แผ่นดินเกาะชวาเริ่มปรากฏชัดขึ้นเมื่อเรือเฟอร์รี่เคลื่อนตัวผ่านเกลียวคลื่นมาไกลมากขึ้น ในขณะที่ภาพของเกาะบาหลีก็ค่อยๆเลือนรางลง

ทันทีที่เราเดินพ้นจากเขตท่าเรือเปอร์เซโร (Persero) แห่งเมืองเคทาปัง (Ketapang) ด้วยใบหน้าและท่าทางที่แสดงความเป็นนักท่องโลกต่างถิ่น ในเวลานี้เราจึงถูกนายหน้าเข้าประกบด้วยการเสนอขายโปรแกรมเที่ยวภูเขาไฟคาวาอีเจ้นและโบรโม่แบบรวมทุกอย่าง พร้อมพาไปส่งที่ยอกยาการ์ต้า รวม 2 วัน 2 คืนเป็นเงิน 900,000 รูเปียห์ต่อคน

ดูโปรแกรมแล้วก็น่าสนใจอยู่หรอก เพราะตรงกับแผนการที่เราวางไว้ อีกทั้งการไปภูเขาไฟคาวาอีเจ้นนั้นไม่ใช่ไปได้ง่ายๆ แต่ติดที่ราคาที่เสนอนั้นแพงเกินไป ต่อรองไปต่อรองมาด้วยท่าทีที่ไม่ง้อใคร ราคาจึงค่อยๆลดลงมาจนเหลือคนละ 650,000 รูเปียห์ต่อคน คิดเป็นเงินไทยตกประมาณ 2 พันบาท ทำให้เราเกือบตกลงกับราคานี้ แต่แล้วจู่ๆเลือดแบ็คแพ็คเกอร์ที่ไม่ง้อทัวร์ก็เกิดพุ่งปี๊ดขึ้นมาในสมอง หน่อยจึงเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาดื้อๆ โดยบอกว่าอยากจะหารถไปเอง ซึ่งน่าจะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า แม้ใจผมอยากจะเออออห่อหมก กระโดดขึ้นรถไปกับนายหน้าเสียแต่ตอนนั้น แต่ไหนๆก็มาด้วยกัน เมื่อเพื่อนไม่อยากไปก็ไม่ไป ซึ่งในเวลานั้นผมไม่รู้เลยว่า เราสามคนได้พลาดโอกาสดีๆที่ถูกหยิบยื่นแบบไม่ต้องดิ้นรนนั้นแล้ว

นอกจากท่าเรือแล้ว เมืองเคทาปังนั้นแทบไม่มีอะไร เราจึงตัดสินใจไปตั้งหลักที่เมืองบันยูวันจี (Banyuwangi) เมืองใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปทางใต้ราว 6 กิโลเมตร แต่เราก็ถึงกับชะงัก เมื่อได้ยินราคาค่าโดยสารจากคนขับ ที่เรียกราคาสำหรับ 3 คนถึง 100,000 รูเปียห์ !

100,000 รูเปียห์ หรือราว 320 บาทสำหรับ 6 กิโลเมตร หากใครไปก็บ้าแล้ว เราเดินเข้าไปสอบถามราคาค่าโดยสารจากพ่อค้าข้างทาง เขาบอกว่าค่ารถไปบันยูวันจีแค่คนละ 4,000 รูเปียห์เท่านั้น และแทบไม่น่าเชื่อว่าทันทีที่เขารู้ว่าคนขับรถสองแถวบอกราคาเราถึง 100,000 รูเปียห์ ความรักชาติก็พุ่งปี๊ด พ่อค้าข้างทางจึงเดินตรงเข้าไปต่อว่าคนขับรถสองแถวเสียยกใหญ่ จนในที่สุดคนขับสองแถวจอมหน้าเลือดก็ยอมลดราคาเหลือคนละ 4,000 รูเปียห์ตามที่ควรเป็น

หน่อยพยายามหาทางต่อรถไปอาราปิก้า ที่พักภายในไร่กาแฟที่อยู่ใกล้ทางขึ้นคาวาอีเจ้น แต่ดูเหมือนคนที่นี่จะไม่มีใครรู้จักเลยสักคน เวลาเคลื่อนตัวจากเย็นมาเป็นค่ำ เราจึงเบนเข็มมาหาที่พักในเมืองบันยูวันจีแทน แม้ที่พักที่นี่จะไม่ได้หาได้ง่ายๆ แต่น้ำใจก็ไม่เคยเหือดแห้งไปจากการเดินทาง เราจึงได้รับน้ำใจจากพี่ชายเจ้าของร้านเบเกอรี่ที่นอกจากจะบอกทางไปโรงแรมแล้ว ยังอุตส่าห์ออกมาโบกรถสองแถวและบอกคนขับรถให้พาเราไปส่งยังโรงแรมแห่งหนึ่ง

แม้จะได้โรงแรมที่พักแล้ว แต่เราก็ต้องออกจากโรงแรมทันทีเมื่อนำเป้เข้าเก็บในห้อง เพราะอนาคตของวันพรุ่งนี้ในการไปคาวาอีเจ้นยังริบหรี่เต็มที เราออกมาหารถเช่าที่หน้าห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ๆโรงแรม รถสองแถวเกือบทุกคันที่แล่นผ่านถูกเราโบกเพื่อจ้างไปคาวาอีเจ้น แต่การเจรจาที่พูดคนละภาษานี่ช่างยากลำบากนัก ทำให้กว่าเราจะได้รถ ก็เป็นเวลาที่ห้างสรรพสินค้าปิดบริการพอดี

เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือดังขึ้นก่อนเวลาตี 4 เล็กน้อย ผมเดินงัวเงียไปปลุกสองสาวที่พักอยู่ห้องตรงข้ามเพื่อไปรอรถสองแถวที่จะมารับหน้าโรงแรม เข็มนาฬิกาค่อยๆเดินขึ้นหน้าไปเรื่อยๆ เลยเวลานัดหมายไปหลายสิบนาที จนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นคุณชายสายบัว ที่แต่งตัวรอเก้อ จึงเดินออกไปที่ปากซอยเพื่อเฝ้ารอคนขับรถสองแถวที่เมื่อคืนนัดหมายไว้ แต่ท้องถนนในยามดึกยังคงว่างเปล่า จนสุดท้ายเราก็ต้องถอดใจ พร้อมภาพการเดินทางสู่ภูเขาไฟคาวาอีเจ้นที่ค่อยๆเลือนรางจนจางหายไปในที่สุด

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพฤหัสที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 16.50 น.

ความคิดเห็น