เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเวลาตี 4 ซึ่งเป็นเวลานัดที่รถจี๊ปจะมารับ แต่ดูเหมือนภายในบ้านยังคงอยู่ในความเงียบ ไม่ได้การเสียแล้ว เดี๋ยวจะไปโบรโม่ไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้น ผมจึงเริ่มปลุกเพื่อนร่วมทางแต่ละห้อง โดยเริ่มจากห้องหน่อยกับแต้ว แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ท่าสองสาวชาวไทยจะขี้เซาเข้าขั้น จึงเปลี่ยนจุดหมายไปเป็นห้องของสองสาวชาวอินโด อีเมลดา กับ คลาร่า เดินมาเปิดประตูด้วยอาการงัวเงีย จากนั้นผมจึงเดินไปเคาะประตูห้องสามีภรรยาชาวฝรั่งเศส

เงียบ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆเกิดขึ้น ผมจึงเคาะใหม่อีก 2 รอบ แล้วสิ่งที่ได้รับคือ ผู้เป็นสามีเดินมาเปิดประตูห้องด้วยใบหน้าเคร่งเครียด พร้อมบอกว่าจะรีบปลุกไปทำไม นี่เพิ่งตี 3 อีกตั้งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด ผมแย้งพร้อมโชว์นาฬิกาข้อมือว่านี่เวลาตี 4 กว่าแล้ว รีบตื่นเถิด เดี๋ยวก็ไปไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นหรอก เขามองหน้าแล้วตอบว่า ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังเล่นตลกอะไร แล้วหันหลังกลับเข้าไปนอนต่อ ปล่อยให้ผมยืนเอ๋ออยู่หน้าห้องเพียงลำพัง

อีเมลดาซึ่งกำลังรินน้ำร้อนลงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจึงเดินเข้ามาหา แล้วขอดูนาฬิกาผม จากนั้นจึงบอกว่านี่เพิ่งเวลาตี 3 เอง แต่ทำไมนาฬิกาผมจึงเดินเร็วไป 1 ชั่วโมง ผมตอบว่านาฬิกาผมเดินตรงแล้วเพราะเมื่อ 3 วันก่อนผมเพิ่งปรับนาฬิกาตามเวลาบาหลี ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง ได้ยินเช่นนั้นอีเมลดาจึงหัวเราะและบอกว่า ถูกต้องที่เวลาบาหลีนั้นเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง แต่นี้เป็นเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซียไม่ได้ใช้เวลาเดียวกันทั้งประเทศ เวลาเกาะชวานั้นช้ากว่าบาหลี 1 ชั่วโมง (เท่ากับเวลาประเทศไทย)

ได้ยินเช่นนั้นผมถึงกับเอ๋อหนักไปกว่าเดิม เพราะนอกจากการปลุกเพื่อนร่วมทางก่อนเวลาในเช้าวันนี้แล้ว บางทีการที่นาฬิกาผมยังคงเป็นเวลาของบาหลี อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมคลาดกับรถที่จะมารับไปคาวาอีเจ้น ซึ่งนั้นเป็นเพราะผมมารอก่อนกำหนดถึง 1 ชั่วโมง !

รถจี๊ปเรียงแถววิ่งฝ่าความมืดเป็นขบวนยาว จากเส้นทางที่เป็นดินอัดแน่น เปลี่ยนเป็นทางที่มากไปด้วยหลุมบ่อ จนเหมือนกำลังวิ่งบนโลกพระจันทร์ จนเวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง ก็ได้เวลาที่ผู้โดยสารจะได้ใช้กำลังขาเดินฝ่าความมืดกันเอง

ท่ามกลางความมืดมิด เราเดินฉายไฟฉายไปตามเส้นทางที่มากไปด้วยผู้คนซึ่งต่างมีจุดหมายเดียวกันนั้นคือที่ ยอดเขาพีนันจากัน (Penanjakan) ด้วยความสูงถึง 2,770 เมตร จึงเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดสำหรับมองภาพอันงดงามที่ถูกจัดวางอย่างลงตัวของ 3 ภูเขาไฟ

สายลมหนาวและเวลาค่อยๆเคลื่อนตัวผ่าน แสงสีส้มเริ่มเรืองรองจากขอบฟ้าที่ห่างไกล เผยให้เห็นทะเลหมอกที่แผ่ตัวเต็มพื้นที่ใต้แผ่นฟ้า เมื่อพระอาทิตย์ดวงโตโผล่พ้นความขาวละมุนของทะเลหมอก แสงแรกแห่งวันก็สาดส่อง ปรากฏภาพอันยิ่งใหญ่ของสามภูเขาไฟที่ธรรมชาติแต่งสรรค์ให้ตั้งเรียงกันด้วยตำแหน่งอันเหมาะสม

เริ่มจากภูเขาไฟบาตอก (Batok) ซึ่งอยู่ใกล้สุด แม้เห็นเล็กๆ แต่มีความสูงถึง 2,440 เมตร ด้วยเหตุที่เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว ความสวยงามของบาตอกจึงอยู่ที่ริ้วลายที่เป็นเหลี่ยมแหลมวนรอบปากปล่องไปจนถึงฐาน

ด้านหลังของบาตอกคือภูเขาไฟโบรโม่ (Bromo) ที่มีความสูงไล่เลี่ยกันคือ 2,329 เมตร ภูเขาไฟลูกนี้ยังไม่ดับ โดยเพิ่งระเบิดครั้งล่าสุดเมื่อปีพ.ศ.2547 แม้ผ่านไปหลายปี แต่ในวันนี้ยังคงมีควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากปากปล่องที่มีขนาดใหญ่มาก จนได้รับการกล่าวขานว่า นี่คือลมหายใจแห่งเทพเจ้า

ไกลสุดสายตาคือภูเขาไฟสุเมรุ (Sumeru) เป็นภูเขาไฟอีกลูกที่ยังไม่ดับ ฉะนั้นหากเพ่งสายตาดีๆจะเห็นควันสีขาวออกมาจากปากปล่อง ที่มีความสูงถึง 3,676 เมตร ด้วยความสูงขนาดนี้ ในวันที่เราบินผ่านเกาะชวาสู่เกาะบาหลี จึงได้เห็นยอดภูเขาไฟแห่งนี้โผล่พ้นม่านเมฆขึ้นมาทายทัก ประดุจดังเขาพระสุเมรุอันสูงลับ ท่ามกลางมหานทีอันกว้างใหญ่

ผมปล่อยเวลาให้ผ่านไปกับภาพอันยิ่งใหญ่ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า จนฝูงชนที่เนื่องแน่นเริ่มบางตา จึงตัดใจลาจากภาพอันยิ่งใหญ่นั้น แล้วเดินกลับไปที่รถจี๊ปพร้อมกับหน่อย แต๋ว อีเมลดา และคลาร่า ที่ในเวลานี้ภาษาและศาสนาไม่อาจเป็นกำแพงขวางกั้นความเป็นเพื่อน ที่กำลังงอกงามจากกล้วยทอดชิ้นยาวแบบฉบับอินโดที่ผมซื้อมาแบ่งกันกิน

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 16.47 น.

ความคิดเห็น