โควิดระลอก 3 เรียกได้ว่าหนักหน่วงเอาการ(เอ๊ะ หรือเขาป้องกันไม่ได้กันนะ ฮ่าๆ) ทำเอาต้องล๊อคดาวน์จนออกไปไหนไม่ได้หลายเดือน หลังสถานการณ์ดีขึ้นก็รีบหาทริปเที่ยวแบบด่วนๆ กันเลยทีเดียว โจทย์ของผม ณ ตอนนั้นคือ ไปที่ไหนก็ได้ แต่ขอแค่ฝนอย่าตก ผมเลยกลับไปย้อนนึกขึ้นว่าตอนที่ไปน้ำตกปิตุ๊โกรมันเดือนสิงหา ฝนตกทั้งวันทั้งคืนจนไม่ได้นอน ครั้งนี้ต้องหนีไปต้นหนาวเลยแล้วกัน ว่าแล้วก็จิ้มทริปกลางเดือนตุลาไปที่นึง ชื่อว่า "ม่อน สี่ สหาย" ที่ อ. พบพระ จ. ตาก

ซึ่งความคาดหวังความสวยงามของที่นี่ผมตั้งใจไม่หารีวิวมาอ่านเลย เอาเป็นว่าไปเจอด้วยตัวเอง แล้วเดี๋ยวจะเอามาเขียนเล่าให้เพื่อนๆ ฟังน่าจะสนุกกว่ากันเยอะ แต่หลายๆ คนก็เตือนว่า "ระวังทากนะ" ผมก็แบบ ไม่เคยเดินป่าแบบมีทากนะ คงไม่ต้องเตรียมอะไรไปป้องกันหรอก ฮ่าๆๆๆ ซึ่งจะสนุก โหด มันส์ ฮา แค่ไหน เชิญสนุกไปพร้อมๆ กันเลยครับ 

ก่อนจะเข้ารีวิวขอฝากฉบับวีดีโอด้วยนะครับ ผผากกดไลค์ กดแชร์ เป็นกำลังใจให้ด้วยเด้อจ้าาา ~

ทริปที่ผมไปเป็นทริปแบบ 2 วัน 1 คืน ผมจองทริปกับเพจๆ หนึ่งชื่อย่อว่า เที่ยวแบบมีธีม (ไม่ย่อละมั้ง !!) เราออกเดินทางเย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน อาศัยหลับๆ ตื่นๆ บนรถตู้เอา ไปถึงตากก็เช้าพอดี

เราอาบน้ำเตรียมของที่ฟาร์มแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ๆ คอยอำนวยความสะดวกกับนักท่องเที่ยวที่จะเดินเท้าขึ้นม่อนสี่สหาย มีห้องอาบน้ำ มีที่นั่งทานข้าวเช้าก่อนเดินทาง(สั่งข้าวที่นั่นได้เลย เดี๋ยวเขาเอามาส่ง) ซึ่งบรรยากาศดีมากกก ชื่นใจตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มเดิน ทิวเขาและไอหมอกยามเช้ามันช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ไม่ค่อยได้เที่ยวบ่อยๆ อย่างผม บอกเลยว่ามันฮีลใจจริงๆ 

หลังจากทานอาหารเช้า เตรียมชุด แยกสัมภาระให้ลูกหาบแล้ว ถามว่าผมแบ่งให้ลูกหาบกี่กิโลหน่ะหรอ ฝากทั้งกระเป๋า !! เดินตัวปลิวพร้อมกล้อง GoPro และ Mirrorless เล็กๆ ตัวนึงไว้เก็บภาพระหว่างทาง

แต่พอเขาแจกข้าวเที่ยง(ซึ่งต้องไปทานระหว่างทาง) ผมนี่เครียดเลยครับ คิดหนังว่าจะเอาไปยังไงดีหล่ะ ก็เราฝากกระเป๋าไปหมดแล้ว >..<

แต่สิ่งที่น่าลำบากใจอย่างนึงคือฝนปรอยแต่เช้า แต่ตามพยากรณ์อากาศคือพายุเข้าจ้าาาาาาา ภาพฝนตกหนักทั้งวันทั้งคืน(เต๊นท์ไม่กันฝน และไม่ได้นอน ทุกอย่างเปียกหมด)แล้วหยุดอีกทีวันกลับนี่ลอยมาเลยครับ !

แต่ก่อนขะเริ่มเดิน เราต้องเดินทางไปที่ทางขึ้นด้วยรถกระบะ ซึ่งใช้เวลาเกือบชั่วโมงเลยนะ แต่บรรยากาศข้างทางดีมาก เหมือนได้ชาร์จพลังก่อนเดินเลยครับ 

หลังจากนั่งรถมาระยะนึงทางทีมลูกหาบก็ให้พวกเราลงจากรถก่อน เนื่องจากทางค่อนข้างยาก (เป็นทางดินและลื่นมาก) 

ซึ่งตั้งแต่ตรงนี้เป็นต้นไปเราก็ได้ Say Hi กับเพื่อนร่วมทาง ซึ่งมันน่ากลัวมากก มันซ่อนอยู่เต็มพื้นไปหมดเวลาเราเดินผ่านน้องๆ จะชูขอยืดๆ รอเลย ถ้าเราไม่เข้าไปใกล้ น้องๆ ก็จะคลานมาหาเราด้วยความเร็วสูงดั่งน้องหมาที่วิ่งเข้าหาเจ้าของหลังเลิกงาน เรียกได้ว่าเจอแรกๆ นี่วงแตกกันหมด 

เอาจริงๆ ผมเริ่มคิดว่า คิดผิดแล้วที่ไม่เตรียมเครื่องมืออะไรมากันทากเลย คิดว่าแค่เดินระวังๆ ก็จะผ่านจุดนี้ไปได้ พี่ลูกหาบคนนึงเขาเสนอว่าแค่เราใช้ยากันยุงมาทาตามแขนตามขาก็กันได้แล้ว เอาหล่ะ ไม่รอช้า !!! ทากันสนุกสนานหล่ะครับ เห็นที่วงๆ แดงๆ ที่สายคล้องกล้องมั้ยครับ ในเมื่อเดินตัวปลิวก็ต้องเอาข้าวไปห้อยตรงนั้นหล่ะครับ ทำให้ลำบากขึ้นไปอีกตอนยกกล้องถ่าย ฮ่าๆ 

ช่วงนี้จะสลับกันระหว่างลงเดินกับขึ้นรถไปเรื่อยๆ ประมาณ 15 นาทีก็ถึงจุดที่ต้องลงเดิน นั่นหล่ะครับ

นรกสำหรับผม(คนเดียว) ก็มาถึง ผมไม่ได้เตรียมรองเท้าเดินป่ามา เป็นแค่รองเท้าผ้าใบธรรมดาพร้อมกับพื้นสึกๆ คู่หนึ่ง ซึ่งทางค่อนข้างชัน ประมาณ 45-60 องศาสลับกันไป แต่อุปสรรคสำคัญคือโคลนครับ ทางเป็เดินที่ไม่ค่อยแน่นและเหลวๆ บวกกับรองเท้าลื่นๆ ก็ล้มไปสิครับ ฮ่าๆ ใครจะตามรอยเอารองเท้าที่จิกพื้นแน่นๆ พร้อมไม้ค้ำไปนะครับ คนอื่นที่เตรียมตัวไปดีเดินตัวปลิวเลย ทางเดินไม่ง่ายเลยครับ หลักๆ คือลื่นในวันที่ฝนตก


พอเริ่มเดินสักพักฝนก็เริ่มตก เสื้อกันฝนต้องมาะครับงานนี้ พอตกได้สักพัก เอ้า !! หยุดแล้ว มันจะสลับกันไปเรื่อยๆ พอฝนหยุดก็ร้อน ต้องลำบากถอดเสื้อกันฝน เดินสักพักก็ตกอีกแล้วครับ ฮ่าๆๆ ถอดๆ ใส่ๆ ไปตลอดทาง

เดินมาเหนื่อยๆ ได้เวลาเอาภาระออกละครับ(ห่อข้าวเที่ยง) ณ วินาทีนั้นต่อให้ข้าวจะเย็น หมูจะเหียว เราก็ยังอร่อยกับมื้อเที่ยงได้เสมอทุกทริป (ขออภัยในความภาพเบลอ)



หลังมื้อเที่ยงทีนี้หล่ะครับ หมอกมาแล้ว เป็นวิวเดินป่าที่สวยมาก และสำหรับผมเองเป็นครั้งแรกที่เห็นภาพสวยๆ แบบนี้ 

เราเดินทางผ่านต้นไม้สูงใหญ่ ทางชันๆ มาพักนึง รู้ตัวอีกทีสองข้างทางก็เริ่มมองเห็นสันเขาม่อนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้น ซึ่งเสน่ห์ในช่วงที่ฝนตกคือหมอกปัง ลักษณะเป็นหมอกที่โอบตามยอดเขา เคลื่อนผ่านยอดเขาแต่ละยอด เอาถึงขั้นต้องหยุดเดินแล้วยกกล้องมาถ่ายกันเพลินๆ ให้พอได้พักเหนื่อย

สองข้างทางตอนนี้กลายเป็นต้นเฟิร์น ต้นไม้สูงๆ เริ่มน้อยลง แต่เหนื่อยเอาการอยู่นะ

ช่วงนั้นก็ใกล้เย็นแล้วครับ ถึงเวลาต้องเร่งความเร็ว เพราะผมมัวแต่เดินๆ ถ่ายๆ จนรั้งท้ายทุกทริป (คนอื่นเขาเดินไปจนจะถึงหมดแล้ว เรามัวแต่ลื่นล้ม ฮ่าๆ) แต่ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปถือว่าเป็นภาพจำของผมเลย มันเหนื่อยนะ มันลื่นนะ มันไม่อยากเดินนะ แต่วิวข้างทางนี่แหล่ะ ที่ทำให้มีแรงอยากเดิน อยากดู อย่างถ่ายรูปต่อ 

เดินไปเรื่อยๆ ก็ตั้งคำถามไปว่า เห้ยยยย มันจะถึงยังวะ !! ฮ่าๆ

ซึ่งเอาจริงๆ ผมเดินมาถึงโค้งสุดท้ายของเส้นทางแล้ว แต่อารมณ์เราแบบล้มบ่อยมาก ลื่นตลอดทาง มันไม่อยากเดินแล้ว ฮ่าๆ แต่ก็ต้องเดินต่อนะ บ่นไปก็เท่านั้น ถ้าเราหยุดเดินเจ้าตัวอุปสรรคคงกำลังหัวเราะเราแหล่ะ เพราะงั้นก็ดันตัวเองต่อไป TT 

ตอนเดินแรกๆ ผมก็กลัวทากนะ แต่พอล้มลุกคลุกคลานไปเรื่อยๆ ก็แบบ เอออออ จะเกาะจะดูดอะไรก็ตามสบาย ตอนอิ่มก็ออกไปละกัน ตอนนี้ขอประคองตัวเองให้เดินถึงก่อน >o<

เส้นทางช่วงท้ายก็เรียบๆ หน่อยแต่ไม่มีต้นไม้สูงแล้วครับ ส่วนตัวผมว่าน่ากลัวอยู่นะ เพราะผมพร้อมลื่นได้ตลอดเวลา ถ้าล้มขึ้นมาคงต้องคว้ามหญ้าแถวนั้นให้ทัน ฮ่าๆ ที่ต้องระวังอีกอย่างคือระเบิดครับ (อึวัว) ด้านบนวัวเยอะมาก เป็นสาเหตุให้น้องทากมาชูคอรอดูดเลือดอย่างสนุกสนาน แต่ข้างบนไม่มีทากแล้วนะครับ ลมหนาวมาก

สุดท้ายก็เดินถึงจนได้นะ เป็นคนสุดท้าย แต่ฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจเลยครับลมแรงจนหนาวสั่นควันออกปาก พายุฝนมาจะแทบทำอาหารทามข้าวเย็นไม่ได้ ต้องรีบเข้าเต๊นท์ตั้งแต่ทุ่มนึง

เหตุการณ์ระหวางคืนนั้น : 4 ทุ่มเต๊นท์ขาด, ตี 2 เสาหัก และน้ำซึมเข้าเต๊นท์ นอนเปียกๆ เอาเท้ายันเต๊นท์ไม่ให้ปลิวจนรู่สึกตัวอีกทีฟ้าสว่าง ลุกมาเก็บเต๊นท์เก็บของใส่รองเท้าเดินกลับเลยครับ ประวัติซ้ำรอยจนได้ T.T (สภาพเต๊นท์ดูได้ตามวีดีโอ)

สรุป...
- เดินสนุก ถ้าเตรียมตัวดี (ถ้าเตรียมไม่ดีลื่นล้มเยอะมาก)
- วิวระหว่างทางสวยมาก สวยจนไม่อยากเดินต่อ
- วิวจุดกางเต๊ท์สวยนะ แต่ถ้าพายุมาตรงนั้นคือช่องลมเลยฮะ ใครจะไปขอให้ไม่เจอพายุนะ
- มีต้นสนสูงๆ สวยมาก ใครแรงเหลือ เดินไปถ่ายรูปชิวๆ ตรงนั้นได้ 
- เรื่องทากไม่ต้องกังวลครับ โดนทุกคน ฮ่าๆๆ

ก่อนจากกันไป หากท่านใดชอบผลงานก็สามารถติดตามผลงานได้ทางช่องทางต่างๆ ดังนี้

Facebook fanpage : แบกกล้องไปท่องโลก
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ : https://th.readme.me/id/AYPhot...
IG รวมภาพสวยๆ : arnuphap_y
YouTube : แบกกล้อง ไปท่องโลก ฝากสับเยอะๆ นะครับ ช่วงนี้กำลังมุ่งไปทาง Youtube เยอะหน่อย

Arnuphap Yaiphimai

 วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 17.24 น.

ความคิดเห็น