หลายคนอาจจะเคยได้ยินวลีที่ว่า “นอนเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1 ปี” กันมาบ้าง

แล้วถ้าหากผมได้มีชีวิตอยู่จนถึงเกณฑ์อายุขัยโดยเฉลี่ยของเพศชาย ที่ 73 ปี ผมคงจะมีอายุยืนถึงเกือบ 100 ปีเป็นแน่ๆ เพราะผมได้กำไรมาจากการไปนอนเขาค้อมา น่าจะเกือบ 20 ครั้งแล้ว หลายคนอาจสงสัยทำไมผมถึงไปเขาค้อบ่อย เพราะเพชรบูรณ์และลพบุรี (ผมเป็นคนลพบุรี) เป็นจังหวัดที่อยู่ติดกัน จึงไปเที่ยวบ่อยมากๆ

สำหรับรีวิวชุดนี้ เป็นการนำสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเพชรบูรณ์ 3 ครั้ง ล่าสุด รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวของพิษณุโลก และ เลย มายำรวมกันเป็นทริปนี้ทริปเดียว ทำให้เพื่อนๆ จะได้เห็นบรรยากาศในช่วงปลายฝนต้นหนาว รวมถึงช่วงฤดูหนาว ซึ่งใครจะนำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทริปก็ได้นะครับ เส้นทางการเดินทางจะประมาณนี้ครับ

ผมไปเที่ยวเพชรบูรณ์มาก็หลายครั้งมากๆ แต่ก็เพิ่งจะมารู้ว่า เพชรบูรณ์เป็นดินแดนมหัศจรรย์แห่งธรณีวิทยา ก็เมื่อทริปครั้งล่าสุดนี่เอง โดยเมื่อราว 350-300 ล้านปีได้เกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกเก่าและใหม่ ที่เรียกกันว่า อนุแผ่นผิวโลกเก่าอินโด-ไชน่า ทางฝั่งตะวันออก และอนุแผ่นผิวโลกใหม่ชาน-ไทย ทางฝั่งตะวันตก ทำให้แผ่นดินเกิดการยกระดับภาคอีสานกับภาคกลางโดยเกิดริ้วรอยขึ้นในฝั่งเพชรบูรณ์ ก่อให้เกิดคุณค่าทางธรณีวิทยาในจังหวัดเพชรบูรณ์รวม 22 จุด จึงได้มีการประกาศจัดตั้ง “อุทยานธรณีเพชรบูรณ์” เพื่อผลักดันให้คนในท้องถิ่นเกิดการร่วมกันศึกษา ตระหนักในคุณค่า ร่วมกันรักษา และพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวครับ และจุดหมายแรกของทริปนี้ ผมขอแวะเปิดโลกทัศน์ใหม่ของผมกันที่ ท้องทะเลดึกดำบรรพ์ ภูน้ำหยด 1 ใน 22 แหล่งท่องเที่ยวในอุทยานธรณีเพชรบูรณ์ ในเขตอำเภอวิเชียรบุรี ครับ

หากไม่รู้ประวัติของสถานที่นี้มาก่อน คงคิดว่า ผมพามาดูอะไร มีแต่เศษซากหินอยู่เต็มไปหมด แต่สถานที่แห่งนี้ เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ทำให้รู้ว่า เดิมที่นี่เคยเป็นมหาสมุทรที่คั่นระหว่างแผ่นเปลือกโลกอินโด-ไชน่า และ ฉาน-ไทย นักธรณีวิทยาได้ลงพื้นที่สำรวจแหล่งธรณีวิทยาภูน้ำหยด ทำให้รู้ว่าเศษหินที่เห็นเกลื่อนกลาดคือ ทุ่งโขดหินกรวดมนฟอสซิล 240 ล้านปี ยุคปลายเพอร์เมียน ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงตำแหน่งภูมิศาสตร์ของโลกในอดีต โดยเฉพาะเป็นหลักฐานของแอ่งสะสมตะกอนในมหาสมุทร หรือทะเลโบราณ ในปลายยุคตอนต้นมีทะเลใหญ่ที่เรียกว่าทะเลเททิส คั่นกลางระหว่าง 2 แผ่นเปลือกโลกคือ อินโด-ไชน่า และ ฉาน-ไทย โดยที่แห่งนี้คือหลักฐานทะเลเททิสที่ยังหลงเหลืออยู่ครับ

จากที่ผมหาข้อมูลมา นักวิชาการบอกว่าเดิมบริเวณนี้เป็นแนวหินปะการังใหญ่ที่มีขนาดใหญ่เหมือนเกรตแบร์ริเออร์รีฟ แห่งทวีปออสเตรเลีย หลังจากนั้นเกิดการยกตัว ทำให้ในแอ่งหยุดการตกตะกอน และทำให้แนวหินปะการังโผล่ขึ้นพ้นพื้นน้ำ จากอิทธิพลของแสงแดดและการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิจึงเกิดการแตกหัก และมาสะสมตัวที่เป็นไหล่ทวีปก่อนเกิดการแข็งตัวกลายเป็นหินในที่สุด

ต้องบอกเลยว่าลักษณะของพื้นที่บริเวณนี้ มีความเฉพาะตัวจริงๆ ครับ มันดูแปลกดีที่มีกลุ่มหินปูนโผล่ขึ้นมาบนพื้นดินแบบตะปุ่มตะป่ำ กินพื้นที่ค่อนข้างกว้าง การมาเที่ยวที่นี่ควรจะมีไกด์ท้องถิ่นมาด้วย เพราะไกด์จะแนะนำและพาไปดูยังจุดสำคัญๆ แต่ถ้าไม่มีไกด์ ก็ต้องมานั่งงม นั่งตามหาซากฟอสซิลเหมือนผม จริงๆ แล้ว กลุ่มก้อนหินด้านหน้าป้าย “ท้องทะเลดึกดำบรรพ์ ภูน้ำหยด” ถ้าหากสังเกตดีๆ ก็จะเห็นร่องรอยของฟอสซิลปะการังต่างๆ มากมายครับ

จากนั้นเดินทางต่อ สู่วัดธรรมยาน แห่งอำเภอหนองไผ่ โดดเด่นที่พระอุโบสถสีขาวสถาปัตยกรรมร่วมสมัยที่มีโครงสร้างแปลกตา ด้านหน้าพระอุโบสถมีประติมากรรมพญานาคขนาดใหญ่ 2 องค์ ดูสวยงามสมจริง กำลังเลื้อยและพ่นน้ำอยู่ในสระน้ำ เชื่อกันว่าหากใครให้พญานาคพ่นน้ำใส่จะดลบันดาลให้เกิดสิริมงคลกับชีวิตเงินทองไหลมาเทมาครับ

สำหรับด้านในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธรูปศิลปะแบบปางมารวิชัย องค์สีทองอร่าม งดงามมากๆ

นับเป็นอีกหนึ่งวัดสวยที่ไม่ควรพลาดจริงๆ ผมมาวัดนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วครับ

ไปต่อกันที่ถ้ำผาโค้ง แห่งอำเภอวังโป่ง เป็นอีกหนึ่งใน 22 แหล่งท่องเที่ยวในอุทยานธรณีเพชรบูรณ์ ซึ่งที่นี่ผมขอยกให้เป็น Unseen เพชรบูรณ์เลยละกัน เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเที่ยวที่นี่ การมาเที่ยวเพชรบูรณ์ตลอดเกือบน่าจะ 20 ครั้งของผม สารภาพว่าผมไม่รู้จักที่นี่เลย จนท้ายสุด เมื่อได้รู้ข้อมูลว่าเพชรบูรณ์มีสถานที่แบบนี้ด้วย มันจึงเป็นตัวจุดประกายให้ผมได้มาเที่ยวเพชรบูรณ์ครั้งล่าสุดครับ

ถ้าเอ่ยถึง “ถ้ำ” หลายคนอาจจะนึกถึงความลึกลับ น่ากลัว มืดตื๋อ แต่ถ้ำที่ทิวเขาผาโค้ง ไม่เหมือนถ้ำที่หลายคนนึกถึง แต่ละถ้ำจะเป็นถ้ำตื้นๆ ซึ่งมีความพิเศษเฉพาะตัว ที่สำคัญ แต่ละถ้ำอยู่ใกล้กันมาก สามารถเที่ยวได้แบบสบายๆ ครับ

ขอเริ่มที่ถ้ำที่เป็นไฮไลท์ก่อนเลย คือถ้ำผาโค้ง หรือที่ชาวบ้านเรียก ผาเจ็ดสี จะเป็นภูเขาหินปูนขนาดเล็กที่ถูกกัดเซาะโดยลมและน้ำเป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้ผามีลักษณะโค้งมน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นม่านหิน สูง 20 เมตร ยาว 80 เมตร นอกจากนั้นยังมีลายหินเป็นริ้วๆ และมีตะไคร่น้ำเกาะบางตำแหน่ง เป็นลวดลายแปลกตาดีครับ ยามริ้วลายพวกนี้ต้องกับแสง จะเกิดเป็นเฉดสีไล่กันอย่างสวยงามครับ

ยืนจากถ้ำผาโค้ง มองออกไปจะเห็นถ้ำปากเสือ ระยะทางจากถ้ำผาโค้งไปยังถ้ำปากเสือประมาณ 100 เมตรเห็นจะได้ การเที่ยวชมถ้ำปากเสือนี้ จะต้องเดินขึ้นบันไดเหล็กระยะทางสั้นๆ ประมาณ 10 เมตร ตอนแรกผมก็ยังไม่กล้าที่จะเดินขึ้นไป เพราะสภาพที่รกชัฏ เกรงว่าบันไดเหล็กจะผุพัง แต่จากการหยั่งๆ ดูสภาพแล้ว ก็ยังพอที่จะเดินขึ้นไปชมความสวยงามของถ้ำปากเสือได้ครับ

ถ้ำปากเสือเป็นถ้ำเล็กๆ เตี้ยๆ มีโถงลักษณะคล้ายเสือกำลังอ้าปาก แล้วมีเขี้ยวของเสืออยู่เต็มไปหมด คือถ่ายรูปออกมาแปลกตามากๆ ครับ จากด้านในถ้ำ หากนั่งหันหน้าให้ปากถ้ำ จะมองเห็นทุ่งหญ้าด้านล่าง อากาศถ่ายเทดี แต่มีกลิ่นขี้ค้างคาวบ้างครับ จากลักษณะภายในของถ้ำปากเสือคล้ายเขี้ยวของเสือ ชาวบ้านจึงนิยมเรียก ถ้ำเขี้ยวเสือ อีกชื่อหนึ่งครับ

อีกหนึ่งถ้ำที่มีความพิเศษก็คือ ถ้ำแอร์ คงไม่ต้องบอกนะครับว่าช่วงบ่ายแก่ๆ อากาศมันจะร้อนอบอ้าวแค่ไหน แถมผมเพิ่งจะเข้าไปสำรวจถ้ำปากเสือเสร็จใหม่ๆ เหงื่อไหลไคลย้อย แต่เพียงแค่ได้เดินเข้าไปใกล้ปากถ้ำแอร์ ผมก็รับรู้ถึงความเย็นที่มาปะทะผิวกายเลยครับ อากาศมันเย็นลงจนน่าแปลกใจจริงๆ เหมือนได้เดินเข้าไปในห้องแอร์เลย จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถ้ำแห่งนี้จึงได้ชื่อว่าถ้ำแอร์ ตามข้อมูลบอกว่าช่วงเวลาที่ภายในถ้ำมีความเย็น จะอยู่ในช่วงเวลา 09.00-16.00 น. นอกเหนือเวลานั้นจะเป็นเพียงลมธรรมชาติครับ สำหรับปากทางเข้าถ้ำแอร์ เป็นเพียงช่องเล็กๆ ด้านในถ้ำเป็นเพียงโถงเล็กๆ เท่านั้นเองครับ

ติดกับถ้ำแอร์ยังมีถ้ำเงิน ถ้ำทองและถ้ำนาค ซึ่งทั้ง 4 ถ้ำ อยู่ติดๆ กับถ้ำผาโค้งครับ

เส้นทางที่จะมาเที่ยวที่ถ้ำผาโค้งจะแยกมาจากถนนหมายเลข 21 ตรงแยกวังชมพู ระยะทางประมาณ 56 กิโลเมตร ก็ถือว่าไกลพอสมควร หากเพื่อนๆ มีเวลาก็อยากให้ลองแวะมาเที่ยวชมดูครับ ผมว่าคุ้มค่าอยู่ครับ

ผมมุ่งหน้าสู่อำเภอเขาค้อ การเดินทางมายังเขาค้อ สามารถเดินทางได้ 2 เส้นทาง เส้นทางแรกคือเข้าทางแยกแคมป์สน อีกเส้นทางใช้ทางหลวงหมายเลข 2196 ซึ่งทางแยกจะอยู่เลยจากตัวอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ประมาณ 15 กิโลเมตร ซึ่งผมเลือกใช้เส้นทางหลังนี้ครับ

ก่อนที่จะเข้าตัวอำเภอเขาค้อ ก็จะมีไร่สตรอว์เบอร์รีให้เห็นมากมาย แต่ละสวนต่างงัดกลยุทธ์หาวิธีดึงนักท่องเที่ยว โดยให้นักท่องเที่ยวสามารถเก็บสตรอว์เบอร์รีได้จากต้น เก็บมาเท่าไรก็ชั่งน้ำหนักขายตามปริมาณที่เราเด็ดมานั่นแหล่ะ ผมเองก็เด็ดมาพอสมควร เพราะกะจะเอามากินหลังอาหารมื้อค่ำครับ สตรอว์เบอร์รีหวาน กรอบ อร่อย ใช้ได้เลยครับ

วันก่อนผมได้ดูข่าว เจ้าของไร่สตรอว์เบอร์รี่ที่ภูทับเบิก ออกมาตัดพ้อผ่านทีวี ว่าเจอนักท่องเที่ยวไร้มารยาท เก็บสตรอว์เบอร์รี่น้ำหนักเกือบ 2 กิโลกรัม แล้วนำมาซุกตามตอไม้ บางส่วนก็นำไปซุกอยู่ใต้ต้น เหตุเพราะไม่อยากโดนเจ้าของไร่มาคิดเงิน ได้ยินข่าวแล้วก็นึกสงสารเจ้าของไร่นะครับ ลงทุนไปก็เยอะ แล้วมาเจอนักท่องเที่ยวไร้จิตสำนึกแบบนี้ ถ้าเจอจะจับมาตีมือให้หักเลย

สำหรับคืนนี้ ผมเข้าพักที่ The Jazz Camp site Khaokho เขาค้อครับ

สำหรับที่พักที่นี่ ก็ตามชื่อเลยครับ Camp site ห้องพักมีให้เลือกทั้ง แบบโดมอวกาศ โดมขนาดใหญ่ แบบกระโจม และแบบรถบ้าน ผมเองอยากได้ประสบการณ์ใหม่ๆ จึงเลือกเข้าพักแบบรถบ้าน สนนราคา 2,500 บาท นอนได้ 2 คน ราคานี้รวมอาหารเช้าด้วยครับ

เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสนอนรถบ้าน ก็แอบรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย ภายในมีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างแคบเลยครับ โดยหลักๆ จะมีที่นอน สามารถนอนได้ 2 คน แต่อาจจะดูอึดอัดไปสักนิด ติดกับเตียงนอนจะเป็นเบาะที่นั่ง ใช้นั่งกินข้าวก็ได้ นอกจากนี้ยังมีพวกอุปกรณ์เครื่องครัวต่างๆ เช่นตู้เย็น เตาไฟฟ้า และคล้ายๆตู้อบ แต่ไม่สามารถใช้งานจริงได้ครับ

ส่วนด้านท้ายรถ จะเป็นห้องน้ำ ภายในห้องน้ำก็จะมีตู้เสื้อผ้า อ่างล้างหน้า ให้ด้วยครับ เนื่องจากพื้นที่ในรถบ้านค่อนข้างจำกัด ทำให้พื้นที่ในห้องน้ำจำกัดไปด้วย เวลาอาบน้ำถูสบู่ที ตัวก็จะไปโดนผนังของห้องอาบน้ำ เสียงดังตุบตับๆ ตลอดเลยครับ 555 คือ ราคา 2,500 แนะนำว่าไปเปิดห้องพักดีๆ นอนสบายๆ ดีกว่า แต่ถ้าใครขำๆ อยากพักเพื่อถ่ายรูป เพื่อเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ก็โอเคครับ

ไม่ได้ว่าห้องพักของ The Jazz ไม่ดีนะครับ ผมคิดว่าห้องพักที่เป็นประเภทรถบ้าน ที่ไหนๆ ก็น่าจะเหมือนกันทั้งหมด เพราะขนาดก็คงไม่หนีกัน

ห้องพักที่เป็นรถบ้าน จะอยู่ติดริมผาเลย มองออกไปก็จะเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนและยังเห็นอ่างเก็บน้ำเล็กๆ ด้วย อ่างนี้ไม่ใช่อ่างรัตนัยนะครับ ที่ตั้งของ The Jazz อยู่คนละฝั่งกับจุดชมทะเลหมอกบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเขาค้อครับ ช่วงค่ำบรรยากาศดีมาก อากาศเย็นเลยทีเดียวครับ

มา Camping แบบนี้ มื้อเย็นคงหนีหมูกระทะไม่ได้ ทางรีสอร์ทมีบริการหมูกระทะด้วย ในราคาชุดละ 500 บาทครับ (ไม่รวมเบียร์นะครับ)

ห้องพักของ The Jazz สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นได้จากหน้าเต็นท์ของตัวเองเลยครับ และถ้าอากาศเหมาะๆ ก็จะได้เห็นทะเลหมอกด้วย แต่วันที่ผมเข้าพัก หมอกไม่มีให้เห็นครับ ได้เห็นแต่แสงสวยๆ และอาทิตย์ดวงโตๆ ครับ

สำหรับอาหารมื้อเช้า เป็นแบบบุฟเฟต์ครับ มีทั้งข้าวต้ม มีทั้ง ABF ครับ

ปัจจุบัน ทางรีสอร์ทได้นำรถบ้านออกไปแล้วนะครับ คงเหลือแต่ห้องพักที่เป็นเต็นท์เท่านั้นครับ

ในขณะที่ฝั่ง The Jazz ไม่มีหมอก แต่ฝั่งอ่างเก็บน้ำรัตนัย หมอกเพียบเลยครับ จากปากทางเข้า The Jazz ห่างออกไปประมาณ 400 เมตร จะเป็นจุดชมวิวทะเลหมอกเขาค้อ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเขาค้อ จุดนี้เป็น 1 ใน 2 จุดชมทะเลหมอกบนทางหลวงหมายเลข 2196 ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากครับ

จุดนี้เองก็จะมีเด็กชาวเขามาขายของที่ระลึกต่างๆ นับเป็นอีกหนึ่งสีสันของจุดชมทะเลหมอกแห่งนี้ครับ

และจุดชมทะเลหมอกที่ 2 อยู่ถัดจากจุดชมวิวนี้ไปอีกราว 1 กิโลเมตร จะเป็นที่ตั้งของไปรษณีย์ไทย สาขาเขาค้อ ด้านหลังของตัวอาคาร จะเป็นจุดชมทะเลหมอก ที่วิวอาจจะไม่แตกต่างจากจุดแรกเท่าใดนักครับ

สายหมอกพลิ้วตัวเหมือนเกลียวคลื่นเลยครับ

จริงๆ แล้ว ที่เขาค้อ ยังมีอีก 2 จุดชมทะเลหมอกสวยๆ ซึ่งบรรยากาศจะคนละอย่างกับสองจุดก่อนหน้านี้ จุดแรกคือยอดเขาตะเคียนโง๊ะ ซึ่งในรีวิวนี้ ผมไม่ได้นำมาให้ชมนะครับ เพราะผมเคยรีวิวที่นี่ไปก่อนหน้านั้นแล้ว ส่วนอีกที่คือวัดกองเนียม ซึ่งจุดนี้ผมยังไม่เคยไปชมครับ

จากไปรษณีย์เขาค้อ ไปต่อกันที่ทุ่งกังหันลมครับ เส้นทางขึ้นมายังทุ่งกังหันลมชันพอสมควร ที่ทุ่งกังหัน ผมก็มาหลายรอบแล้วเหมือนกัน รอบนี้มันก็ดูแล้งๆ หน่อยครับ

จากเขาค้อ ผมมุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จากเขาค้อ ไปยังภูหินร่องกล้า สามารถเดินทางได้ 2 เส้นทาง คือ จากแยกแคมป์สน ให้เลี้ยวซ้าย เพื่อไปยังอำเภอนครไทย แล้วตรงขึ้นไปยังอุทยาน เส้นทางนี้จะไม่ชันมากครับ อีกหนึ่งเส้นทางคือขึ้นทางภูทับเบิก ซึ่งเส้นนี้จะชันเอาเรื่องครับ สำหรับผม ใช้เส้นทางแรกครับ

ที่ภูหินร่องกล้า ผมเองก็มาหลายรอบแล้ว ทั้งมาพักค้างคืนและมาเที่ยวภายในอุทยาน ส่วนใหญ่ก็จะแวะเที่ยวลานหินปุ่ม ลานหินแตก ผาชูธง โรงเรียนการเมืองทหาร แต่การมารอบนี้ มันพิเศษกว่าทุกครั้ง จะพิเศษยังไง ไปดูกันครับ

จุดหมายแรก ผมปักหมุดที่ ผาพบรัก ซึ่งผานี้ตั้งอยู่ในโครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า ผาพบรักเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของผืนป่าในเขตอุทยาน ในช่วงฤดูฝน สามารถมาชมทะเลหมอกได้ด้วย แต่สำหรับใครที่มาในช่วงฤดูหนาว นอกจากจะได้ชมทิวทัศน์ของผืนป่าแล้ว ยังจะได้เห็นทุ่งดอกกระดาษที่บานสะพรั่ง เพิ่มสีสันให้กับผาพบรักเป็นอย่างมากเลยครับ

จากทุ่งดอกกระดาษ เราจะมองเห็นผาพบรัก ผาสลัดรัก ผารักยืนยง ผาคู่รัก ผาไททานิค ผาบอกรัก อยู่ติดกันเป็นเทือกเลยครับ

จากผาพบรัก นั่งรถต่ออีกนิด เพื่อไปยังโรงเรียนการเมืองทหาร ซึ่งการมาเที่ยวครั้งนี้ ก็พิเศษไม่เหมือนรอบที่ผ่านๆ มาเช่นกัน เพราะช่วงเวลาฤดูหนาว ใบเมเปิ้ลที่นี่จะทยอยเปลี่ยนสีเป็นสีแดงครับ

ช่วงที่ผมไปก็ยังไม่ถือว่าแดงเต็มต้นครับ แต่ก็ยังคงพอเห็นสีแดงสลับกับสีเขียว ดูสวยงามไปอีกแบบครับ

จริงๆ แล้ว สิ่งที่ดึงดูดใจให้ผมมายังอุทยานภูหินร่องกล้าในครั้งนี้ นั่นคือดอกนางพญาเสือโคร่งที่ภูลมโล ซึ่งกำลังบานสะพรั่ง จนทำให้เขาทั้งลูกเป็นสีชมภูครับ การเดินทางเข้าไปยังภูลมโล สามารถเข้าได้ 2 ทาง คือ ทางหมู่บ้านร่องกล้า และอีกเส้นทางคือกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ซึ่งทั้งสองเส้นทางไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขับรถเข้าไปเอง แต่สามารถใช้บริการรถท้องถิ่น ที่มีบริการทั้ง 2 จุดครับ

จากโรงเรียนการเมืองทหาร ผมกด GPS เพื่อให้พาไปยังบ้านร่องกล้า แต่ก่อนที่จะไปติดต่อรถเพื่อเข้าไปยังภูลมโล ผมขอแวะไปชมวิวในหมู่บ้านร่องกล้าก่อน โดยเมื่อเข้าเขตหมู่บ้านร่องกล้าแล้ว ผมขับรถไปตามป้ายบอกทางเพื่อไปยังวัดป่าภูหินร่องกล้า เส้นทางค่อนข้างแคบ ด้านในวัดมีที่จอดรถ แต่จอดได้ไม่มากนักครับ

จากจุดจอดรถ ต้องเดินเท้าต่ออีกประมาณ 200 เมตร เส้นทางเดินสะดวก แต่ก็เล่นเอาเหงื่อซึมได้เหมือนกัน ไม่นานนักก็จะมาถึงยังจุดชมวิวบ้านร่องกล้าครับ

จากจุดชมวิวนี้ มองออกไปเห็นดอกนางพญาเสือโคร่งกำลังเบ่งบานเต็มหมู่บ้านร่องกล้าเลยครับ ให้อารมณ์เหมือนหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ที่ญี่ปุ่นเลยครับ

และบริเวณจุดชมวิวนี้เอง ก็ได้มีการปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งแปลงใหญ่ ช่วงที่ผมไปต้นยังไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็ออกดอกทยอยเบ่งบานแล้วครับ อีกสัก 2-3 ปี คงจะสวยน่าดูเหมือนกัน

หลังจากไปซึมซับกับบรรยากาศสวยๆ ของหมู่บ้านร่องกล้าแล้ว ต่อไปก็ถึงเวลาเข้าไปชมความสวยงามในภูลมโลแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อเหมารถของทางชมรมท่องเที่ยวบ้านร่องกล้า ในราคาคันละ 1,000 บาท โดย 1 คัน นั่งได้ 10 คน แต่ถ้าใครไม่อยากไปรวมกับคนอื่น ก็ใช้การเหมาได้เลยครับ จะใช้เวลาจุดไหนนาน จุดไหนเร็ว เรากำหนดเวลาได้เองเลย

ดอกนางพญาเสือโคร่ง ยามต้องแสงตรงทางเข้า แค่นี้ก็สวยแล้วครับ

โซเฟอร์พาขึ้นไปยังจุดบนสุด ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มองออกไปจะเห็นเขาทั้งลูกเป็นสีชมพูครับ

จากนั้นก็จะพาไปยังแปลงที่ต้นนางพญาเสือโคร่งกำลังเบ่งบานครับ แต่ละจุดเราจะใช้เวลาอยู่นานเท่าไรก็ได้นะครับ

โดยการเที่ยวชมครั้งนี้ ผมใช้เวลาตั้งแต่นั่งรถเข้า จนถึงจบทริปประมาณ 2 ชั่วโมงครับ ที่ภูลมโล ผมเคยมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ครั้งแรกผมเข้าทางกกสะทอน เป็นช่วงที่ภูลมโลยังไม่บูมมาก ต้นนางพญาเสือโคร่งยังไม่ค่อยมากเท่าระยะหลังนี้ ส่วนรอบที่ 2 มาเที่ยวช้าไปนิด ดอกเริ่มโรยเกือบหมดแล้ว แต่พอมารอบนี้ ถือว่าพีคสุดๆ ครับ ปีหน้าใครจะมาเที่ยวภูลมโล แนะนำให้ติดตามหน้าเพจของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าให้ดีๆ ครับ เพราะจะมีการอัพเดทการบานของดอกนางพญาเสือโคร่งว่าช่วงนี้บานกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งจะทำให้เราไม่พลาดช่วงเวลาที่รอคอยไปครับ ภูลมโล จะสวยที่สุดก็ช่วงดอกนางพญาเสือโคร่งบานเต็มเขานี่แหล่ะครับ ใน 1 ปี มีหนเดียว และสามารถชมได้ในระยะเวลาสั้นๆ ด้วย ไม่เกิน 1 เดือนครับ

จุดที่ลงรถหลังจบทริป มีร้านกาแฟให้นั่งชิลๆ ด้วยนะครับ ช่วงที่ผมไปดอกพวงแสดกำลังเบ่งบานแข่งสีสันกับดอกนางพญาเสือโคร่ง ดูสวยงามมากๆ ครับ

คืนนี้ผมจองที่พักที่ภูทับเบิกไว้ หลังจากออกมาจากภูลมโลแล้ว ผมก็ตรงเข้าภูทับเบิกเลยครับ

ผมเลือกพักที่อิ่มไอหมอก ซึ่งทำเลที่ตั้งนั้นจะอยู่ต่ำกว่าจุดชมวิวภูทับเบิก แต่เมื่อแหงนหน้าคอตั้งบ่าขึ้นฟ้า มองขึ้นไปนั่นคือจุดชมวิวภูทับเบิก ดังนั้น การเข้าพักที่นี่ จะมองเห็นวิวเดียวกับบนจุดชมวิวภูทับเบิกครับ

ห้องพักที่นี่มี 2 แบบ คือแบบบ้านเป็นหลัง และแบบเป็นเต็นท์ครับ โดยทั้งสองแบบ ราคาเท่ากัน ช่วงที่ผมไป ราคา 2,000 บาท พักได้ 2 คนครับ

สำหรับคืนนี้ผมเลือกนอนเต็นท์ เหตุผลที่เลือกนอนเต็นท์คือ 1. ผมยังไม่เคยนอนเต็นท์โดมแบบนี้ 2.ถ้านอนบ้านพัก หากเรานั่งตรงระเบียงเพื่อชมทิวทัศน์ จะมองเห็นเต็นท์ ซึ่งอาจทำให้สุนทรียภาพในการมองวิวลดน้อยลง แต่ถ้าหากพักเต็นท์ เราจะไม่เห็นอะไรมาบดบังทัศนียภาพเลยครับ

พื้นที่ภายในเต็นท์ก็ถือว่ากว้างขวางดีครับ มีเตียงพร้อมพัดลมตั้งพื้น มีโต๊ะญี่ปุ่นให้นั่งชมวิว ข้างๆ เต็นท์ก็จะเป็นห้องน้ำ เต็นท์ใครเต็นท์มัน สำหรับเรื่องไฟฟ้า ภายในเต็นท์มีปลั๊กไฟให้ 1 จุด ส่วนไฟส่องสว่างใช้พลังงานแสงอาทิตย์ครับ

บรรยากาศช่วงพลบค่ำหลังพระอาทิตย์ตกดินนี่สุดยอดจริงๆ ครับ

มาแคมป์ปิ้ง ก็คงหนีหมูกระทะไม่พ้นนะครับ ทางรีสอร์ทมีบริการด้วย ผมมากัน 4 คน เลยสั่งชุดใหญ่ ชุดละ 700 บาท ใหญ่จริงไรจริง กินกันไม่หมดครับ อีกอย่างทนหนาวไม่ไหวด้วย รีบแยกย้ายกันเข้านอนครับ

เช้าวันใหม่ ผมขึ้นไปยังจุดชมวิวภูทับเบิกครับ อยากขึ้นไปดูบรรยากาศด้านบนโดยรอบว่ามันเป็นยังไงบ้างแล้ว เพราะผมห่างหายจากการมาเที่ยวภูทับเบิกหลายปีมาก

ภูทับเบิกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากๆ เรียกได้ว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย ผมเคยมาตั้งแต่จุดชมวิวนี้ ยังเป็นแปลงปลูกกะหล่ำปลีอยู่เลยครับ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นดงรีสอร์ทไปหมดแล้ว

จากจุดชมวิว มองลงไปด้านล่าง ที่มุมขวาของภาพ ที่เห็นนั้นคือ อิ่มไอหมอก รีสอร์ทที่ผมพักนั่นเองครับ

ผมอยู่รอชมแสงแรก และพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดภูแล้ว ก็ตีกลับลงมายังรีสอร์ทครับ

ตรงจุดชมวิวภูทับเบิก รวมถึงที่พักของผม ก็สามารถเห็นดอกนางพญาเสือโคร่งได้เช่นกันครับ อีกหน่อยคงมีการปลูกเพิ่มขึ้น และต่อไปที่ภูทับเบิกก็น่าจะเป็นจุดชมดอกนางพญาเสือโคร่งได้เช่นกันครับ

ที่รีสอร์ทเตรียมข้าวต้มเห็ดหอมหมูเด้งไว้รอแล้วครับ พร้อมเสิร์ฟเวลา 07.00 น. โดยจะมาเสิร์ฟถึงหน้าเต็นท์เลย อาหารเข้านี่รวมอยู่ในค่าที่พักแล้วครับ

นั่งทานข้าวต้มร้อนๆ ไป ชมวิวที่อยู่เบื้องหน้าไป มันฟินมากๆ ครับ

จากภูทับเบิก ผมมุ่งหน้าสู่ ภูพระ บ้านหมากแข้ง แห่งอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลยครับ

ภูพระ เป็น 1 ใน 25 Unseen New Series ของ ททท. ผมรู้จักที่นี่ก็เพราะได้เห็นภาพโปรโมทของ ททท. นี่แหล่ะครับ อยากมาเห็นกับตาตัวเอง ว่ามันเป็นอย่างไร เส้นทางที่ขึ้นภูพระ ค่อนข้างแคบ และเป็นทางดินที่ลื่นมากๆ ถ้าหากมาช่วงวันธรรมดา อาจจะสามารถขับรถขึ้นไปด้านบนได้เลย แต่คงต้องเป็นรถปิคอัพ หรือรถ 4WD ครับ รถเก๋งหมดสิทธิ์

ผมมาถึงทางเข้าภูพระพร้อมกับสายฝน จากที่วางแผนจะขับรถขึ้นไปเลย ก็คงต้องเปลี่ยนแผน ติดต่อเหมารถอีแต๊กขึ้นไป น่าจะปลอดภัยที่สุด ตรงทางเข้าจะมีจุดรถรับส่งขึ้นภูพระ สามารถติดต่อเหมารถอีแต๊กขึ้นภูพระได้ในราคาคันละ 300 บาท นั่งได้ 4-5 คน สามารถโทรจองก่อนได้ ที่ 096-2467833, 092-9484733 โดยสามารถเหมารถอีแต๊กได้ตั้งแต่เวลา 05.00-18.00 น. ครับ

ตัดสินใจถูกจริงๆ ที่เหมารถอีแต๊กขึ้นมา สภาพเส้นทางช่วงที่ฝนตก ลำบากและลื่นมากครับ บางช่วงรถอีแต๊กต้องอาศัยไลน์ของร่องล้อคันก่อนๆ เพื่อไม่ให้รถลื่นไหล บางร่องก็ลึกจนไม่สามารถไปได้ เดินหน้าถอยหลัง จนรถแทบพลิกคว่ำ ผมนั่งมาด้านหลัง ก้นนี่เรียกได้ว่าติดดินกันเลย โดนขี้ดินดีดจนเปรอะไปหมด ผมนี่เกร็งมือเกาะที่จับเพื่อยึดตัวเองไม่ให้ตกจนตะคริวจะกินมือ ในขณะที่พี่เพอะนั่งอยู่ด้านหน้า รถแหงนจนตัวพี่เพอะลอยชี้ฟ้า ดูท่าแล้วคงไม่ไหว ไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้ง เลยขอลงเดินขึ้นไปบนภูพระแทนครับ

โชคยังพอเข้าข้างอยู่บ้าง เมื่อขึ้นไปถึงบนภูพระ ฝนก็หยุดตก พอให้ผมได้ถ่ายภาพเก็บบรรยากาศได้บ้าง ภูพระ ณ เวลานี้ เขียวขจีไปด้วยนาข้าวขั้นบันไดเล็กๆ มองออกไปเห็นสายหมอก หยอกล้ออยู่กับทิวเขาที่อยู่เบื้องหน้า ภาพองค์พระสีขาวช่างตัดกับสีเขียวของนาข้าว บรรยากาศยามนี้มันช่างสดชื่นเสียจริงๆ ครับ

บนภูพระ เป็นที่รวบรวมองค์พระพุทธรูปปางสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้าง 2.5 เมตร สูง 3 เมตร จำนวน 47 องค์ โดยผู้ที่ริเริ่มแนวคิดนี้คือพระครูโสภณ ธรรมะประสิทธิ์ เจ้าอาวาสวัดเย็นศิระ สมัยที่ท่านได้มาบุกร้างสร้างวัดที่นี่ ท่านก็อยากจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เลยคิดว่าถ้าหากทำพระเพื่อเป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้าทั่วหุบเขา เหมือนที่พุกาม ประเทศพม่า น่าจะเป็นสิ่งที่แปลก ที่จังหวัดอื่นไม่มี เมื่อก่อนมีชาวบ้านได้ขอพระพุทธรูปไปตั้งในพื้นที่ของตัวเองเพื่อเอาไว้สักการบูชา แต่พอขอไปแล้วก็ไม่ดูแลรักษา ปล่อยทิ้งปล่อยขว้าง มีบ้างที่ดูแลรักษา รวมๆ แล้วมีพระพุทธรูปร้อยกว่าองค์กระจายอยู่ทั่วทั้งหุบเขา ท่านก็มีแนวคิดว่าจะนำพระพุทธรูปทั้งหมดมาไว้รวมกันบนภูพระ ปัจจุบันได้เคลื่อนย้ายมาไว้บนภูพระและได้ทำการตกแต่งใหม่ แล้วเสร็จไป 47 องค์ ยังเหลืออีก 6 องค์ที่ยังไม่ได้เคลื่อนย้ายครับ

จากภูพระ ผมมุ่งหน้าสู่อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย เดิมทีเดียวตั้งใจจะไปเก็บแสงเย็นบนภูป่าเปาะ แต่เนื่องจากผมไปติดฝนอยู่ที่ภูพระ ทำให้เสียเวลา มาไม่ทันเก็บแสงเย็นบนภูป่าเปาะครับ คืนนี้ผมเข้าพักที่พนิดากู๊ดวิลล์ เดินทางมาถึงเย็นแล้ว แถมหิวด้วย เลยไม่ได้เก็บภาพบรรยากาศที่พักมาให้ชม แต่ที่พักโดยรวมถือว่าโอเคเลยครับ มื้อค่ำผมก็ฝากท้องไว้ที่รีสอร์ทเลย

เช้าวันใหม่ ผมออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด ตั้งใจว่าจะไปเก็บแสงเช้าบนภูป่าเปาะ การเดินทางขึ้นภูป่าเปาะ เราจะต้องเหมารถอีแต๊กกันอีกแล้วครับ โดยสามารถติดต่อเหมารถได้ที่ "ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูป่าเปาะ" (ตั้ง GPS ตามนี้ได้เลย) ค่าบริการ 60 บาท/คน (ไป-กลับ) โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่ 05.00 น.-18.00 น. เดินทางมาคนเดียว เขาก็พาขึ้นครับ ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องรอจนกว่าคนจะเต็ม ด้านหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูป่าเปาะมีรูปปั้นของสัตว์ป่าหลากชนิด เช่น เสือ ช้าง ยีราฟ ม้าลาย ไม่ใช่แค่รูปปั้นธรรมดานะครับ แต่ยังสามารถขยับหาง ขยับหู แถมมีเสียงร้องด้วย คือเหมือนมากๆ

จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ไปถึงยอดภู ระยะทางประมาณ 3 กม. ใช้เวลานั่งรถขึ้นประมาณ 15 นาที เส้นทางหลังฝนตก มันก็จะแฉะๆ หน่อย แต่สภาพเส้นทางยังดีกว่าที่ภูพระครับ

ที่ภูป่าเปาะ มีจุดชมวิว 4 จุด จุดแรกคนขับรถพาขึ้นมายังจุดชมวิวที่ 4 เป็นจุดแรก เพื่อจะให้เรามาชมแสงแรกด้านบน โดยรถอีแต๊กจะมาจอดที่จุดชมวิวที่ 3 แล้วเราต้องเดินเท้าขึ้นไปประมาณ 250 เมตรครับ จริงๆ แล้ว จุดชมวิวที่ 3 ก็สามารถชมแสงเช้าได้เหมือนกัน และหากมองออกไป จะมองเห็นสวนหินผางามด้วยครับ

นอกจากสวนหินผางามแล้ว ยังมองเห็นผานางนอน ภูเขาที่มีลักษณะคล้ายกับผู้หญิงกำลังนอนอยู่ครับ

การเดินจากจุดชมวิวที่ 3 ไปยังจุดชมวิวที่ 4 อาจจะเรียกเสียงหอบได้สักนิด แต่บอกเลยว่าคุ้มค่า เพราะด้านบนสามารถมองวิวได้แบบ 360 องศา มองเห็น ภูหลวง ภูหอ ภูกระดึง ภูยอง ภูผาขวาง ภูค้อ ภูกระแต สวนหินผางาม ภูผาม่าน ครับ

ช่วงที่ผมไป ดอกบัวตองกำลังบาน แถมฝนเพิ่งจะตกไปก่อนหน้าวันที่ผมไปถึง ทำให้เช้านี้มีหมอกมาคลอเคลียอยู่ที่ภูหอด้วยครับ

หลังจากชมแสงแรกแล้ว ผมลงมายังจุดชมวิวที่ 2 ซึ่งจุดนี้วิวก็จะคล้ายๆ กับจุดชมวิวที่ 4 ผมจึงข้ามไปยังจุดชมวิวที่ 1 ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นภูหอ ภูเขายอดตัดที่มีรูปร่างคล้ายภูเขาไฟฟูจิ ได้ใกล้ที่สุด การที่ภูหอมีลักษณะคล้ายภูเขาไฟฟูจิ จึงทำให้นักท่องเที่ยวเรียกกันติดปากว่า ฟูจิเมืองเลย ครับ

เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจที่เมืองเลย จากนั้นผมมุ่งหน้ากลับไปยังจังหวัดเพชรบูรณ์อีกครั้งครับ

จากภูป่าเปาะ ผมตีรถยาวไปยังอำเภอน้ำหนาว เพื่อไปยังแคนยอนน้ำหนาว การเดินทางไปยังแคนยอนน้ำหนาวใช้เส้นทางเข้าวัดโคกมนเลยครับ จากนั้นขับรถเลยพระอุโบสถไปอีกประมาณ 500 เมตร จนสุดเส้นทาง ไม่ต้องกังวลว่าจะหลงเพราะมีป้ายบอกชัดเจน สามารถจอดรถที่ลานจอดได้เลย จากนั้นเดินเท้านิดเดียว เราก็จะพบกับน้ำตกนาคราชครับ

น้ำตกนาคราช อยู่ติดกับแคนยอนน้ำหนาว เรียกได้ว่ามาที่นี่ที่เดียวได้เที่ยวถึง 3 แห่ง นั่นคือ น้ำตกนาคราช แคนยอนน้ำหนาว และสามารถมองเห็นน้ำตกตาดหมอกได้ในระยะไกล

แคนยอนน้ำหนาว มหัศจรรย์เปลือกโลก เป็นอีกหนึ่งใน 22 แหล่งท่องเที่ยวในอุทยานธรณีเพชรบูรณ์ ตัวแคนยอนมีลักษณะเป็นหน้าผาหินโค้งสูงชันที่มีโครงสร้างหินเรียงตัวกันคล้ายขนมชั้น เกิดการแข็งตัวของตะกอนที่สะสมตัวในทะเลสาบเมื่อประมาณ 200 ล้านปี ทับถมกันจนเป็นหินชั้น จากนั้นเกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกทำให้ชั้นหินยกตัวขึ้นจนโก่งงอและแตกหัก กลายเป็นหน้าผาที่มีความสูงกว่า 200 เมตร ดูคล้ายกับแกรนแคนยอนในสหรัฐอเมริกา แต่มีขนาดเล็กกว่า เหตุนี้จึงเป็นที่มาของการตั้งชื่อแคนยอนน้ำหนาวครับ

จากจุดชมแคนยอนน้ำหนาว หากมองลงไปในหุบเขาเบื้องล่าง จะมองเห็นน้ำตกท่ามกลางหุบเขาอีก 2 น้ำตกด้วย จุดที่ชมน้ำตกนาคราช เราจะเห็นเพียงแค่น้ำตกชั้นเล็กๆ แต่...น้ำตกสายนี้ จะตกดิ่งลงไปยังหน้าผาเบื้องล่าง ซึ่งเราจะไม่สามารถมองเห็นได้ครับ

จุดชมแคนยอนน้ำหนาว จะมีให้ชม 2 จุด คือที่วัดโคกมน และอีกจุดคือ ไร่ผาหมอกโฮมสเตย์ ซึ่งผมว่าจุดนี้เป็นจุดชมที่สวยที่สุดเลยครับ เพราะเราจะมองเห็นหน้าผารูปครึ่งวงกลมค่อนข้างชัดเจน ได้เห็นน้ำตกนาคราช ช่วงที่น้ำตกดิ่งลงหน้าผา รวมถึงน้ำตกตาดหมอกได้แบบชัดเจนครับ

น้ำตกนาคราช

น้ำตกตาดหมอก

ทั้ง 2 น้ำตก ปัจจุบันกรมธรณีวิทยา ได้เข้ามาตั้งชื่อใหม่ให้น้ำตกทั้งสองว่า “น้ำตกผาแคนยอน” โดยน้ำตกทั้ง 2 สาย จะตกจากหน้าผาหินโค้ง ลงไปยังเบื้องล่างที่สูงกว่า 200 เมตร ช่วงเวลาเหมาะๆ จะมองเห็นสายรุ้งมาปรากฏให้เห็นบริเวณด้านล่างของน้ำตกตาดหมอกด้วยครับ

เลยจากทางเข้าไร่ผาหมอกโฮมสเตย์ไปอีกประมาณ 4.5 กิโลเมตร จะเป็นที่ตั้งของน้ำตกตาดใหญ่ อีกหนึ่งคุณค่าทางธรณีวิทยาของจังหวัดเพชรบูรณ์ น้ำตกตาดใหญ่เกิดจากหินดินดานที่เกิดการทับถมกันของชั้นตะกอนต่างๆ ซ้อนทับกันเป็นแผ่นๆ ยาวนานนับ 300-200 ล้านปี นับเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ กินพื้นที่ถึง 2 จังหวัด คือ อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ และ อำเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น โดยธารน้ำจะไหลไปจนสุดตรงหน้าผาสูงชัน จากนั้นจะทิ้งตัวลงสู่เบื้องล่างด้วยความสูงราว 60 เมตร ใครที่ชอบความหวาดเสียว ความท้าทาย สามารถเดินลงบันได ไต่เชือก เพื่อไปสัมผัสความสวยงามอีกรูปแบบหนึ่งที่ด้านล่างของน้ำตกตาดใหญ่ หรือจะนั่งรถอีแต๊กของชาวบ้านลงไปยังเบื้องล่างแล้วเดินเท้าต่อเข้าไปยังตัวน้ำตกก็ได้ แต่ถ้าใครสายชิลล์ แบบผม เพียงแค่ได้ชื่นชมความสวยงามของผืนน้ำตกที่ไหลเลาะไปตามชั้นหินดินดาน ก็ทำให้ชื่นฉ่ำหัวใจได้แล้วครับ

เลยจากปากทางเข้าน้ำตกตาดใหญ่ไปอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร จะเป็นที่ตั้งของน้ำตกตาดทิดมี จริงๆ น้ำตกนี้อยู่ในเขต อำเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่นครับ

น้ำตกตาดทิดมี มีลักษณะเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันไปตามความลาดเอียงของภูมิประเทศ บริเวณหน้าผาน้ำตกสูงประมาณ 14 เมตร กว้าง 25 เมตร สายน้ำที่ตกลงมาจะไหลลงสู่น้ำตกตาดใหญ่ แถมยังเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างจังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดขอนแก่น โดยตัวน้ำตกตาดทิดมีอยู่ในเขต อำเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น ครับ จากจุดจอดรถ เดินเท้าสักประมาณ 150 เมตร ก็ถึงตัวน้ำตกแล้ว ทางเดินสะดวกมากครับ

น้ำตกตาดทิดมี ช่วงที่มีน้ำเยอะๆ สวยมากๆ สายน้ำที่ตกลงมาเหมือนม่านน้ำ ที่ดูพลิ้วไหวครับ

จากน้ำตกตาดทิดมี ผมตีรถยาวไปยังแกรนด์แคนยอนหล่มสัก สถานที่ลับๆ ที่ยังไม่ค่อยรู้จักกันมากนัก อยู่ห่างจากตัวอำเภอหล่มสักประมาณ 8 กิโลเมตรครับ

แกรนด์แคนยอนหล่มสักเป็นภูเขาดินลูกย่อมๆ สูงราวๆ 25-30 เมตร กินเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ ตั้งอยู่กลางทุ่งเลยครับ มีร่องรอยที่เกิดการกัดเซาะของลมและน้ำ ดูไม่ต่างจากแพะเมืองผีที่แพร่สักเท่าไรครับ

เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ทำให้สิ่งอำนวยความสะดวกยังเข้าไม่ถึง สภาพเส้นทางช่วงใกล้ๆ แกรนด์แคนยอนเป็นทางลูกรัง รถเก๋งน่าจะเข้ามาลำบากครับ

จากอำเภอหล่มสัก ผมมุ่งหน้ากลับมายังอำเภอเขาค้ออีกครั้ง เพื่อปฏิบัติภารกิจที่ตั้งใจจะทำในทริปเพชรบูรณ์หลายทริปแล้ว แต่ก็พลาดทุกทริป นั่นจึงเป็นเหตุให้ในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ผมต้องมาเพชรบูรณ์ถึง 3 ครั้ง เพื่อจะปฏิบัติภารกิจนี้ให้สำเร็จ ทำให้ผมสามารถนำภาพแต่ละทริปที่พลาดจากการปฏิบัติภารกิจ มารวมไว้ในรีวิวนี้รีวิวเดียว และภารกิจที่ว่านี้ คือการพิชิตผาตัดครับ

ทางเข้าผาตัดอยู่ที่บ้านเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ หากปักหมุดใน GPS ว่า “ผาตัด” จะค่อนข้างมั่ว และหลงทางนะครับ ให้มาใช้เส้นทางเข็กน้อยจะดีที่สุด ตรงปากทางจะมี 7-11 ตามภาพเลยครับ

ขับไปเรื่อยๆ ประมาณ 2.7 กม. จะเห็นแยกขวามือ ที่ปากทางแยกมีป้ายบอก ดอยตั๋วเพ่ง/ผาตัด (ผาซ่อนแก้ว) และจะมีอู่โชคเจริญชัยการช่าง ( https://goo.gl/maps/Gvn7MU8wWLdG1YbG6 ) เมื่อเจอแยกนี้ให้เลี้ยวขวา เข้าไปเลยครับ

รถที่จะขึ้นไปยังผาตัด ต้อง 4x4 เท่านั้นนะครับ ส่วนใหญ่คนขับ 4x4 มักจะมาลองฝีมือกันที่นี่ช่วงฤดูฝน แต่ถ้านักท่องเที่ยวที่ไม่อยากเหนื่อย และไม่อยากปวดหัวจากการบาดเจ็บของรถ แนะนำให้มาช่วงเดือนธันวาคม-เมษายน เพราะเส้นทางจะแห้ง (ฝุ่นตลบ) แต่ถ้าหากเป็นช่วงฤดูฝนแล้ว เส้นทางจะลำบากมากเพราะมีหลุมบ่อลึกมากๆ แถมบางช่วงสองข้างทางยังเป็นเหวลึกอีกด้วย พลาดคือชีวิต ส่วนเนินสำคัญ จะมีเนินรับแขก เนินที่ให้เราตัดสินใจว่า เราจะไปต่อหรือพอแค่นี้ หากไปต่อ จะเจออีกเนิน คือ เนิน VIP เนินที่ขึ้นเขาค่อนข้างชันในระยะทางยาว ต้องอาศัยความชำนาญในการขับพอสมควรครับ หลุดจากเนิน VIP ก็จะถึงยอดผาตัดแล้วครับ สำหรับทริปนี้ พี่เพอะ ผู้ชำนาญในการขับ 4x4 ใช้เวลาขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมงครับ

ว่ากันว่าผาตัดเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเพชรบูรณ์ ด้านบนผาตัดเป็นลานกว้าง มองเห็นวิวของอำเภอเขาค้อได้สุดลูกหูลูกตาเลย ด้านบนสามารถกางเต็นท์ได้ แต่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เลยนะครับ ใครจะมากางเต็นท์ต้องเตรียมตัวมาดีๆ ครับ

มุมนี้มองเห็นทุ่งกังหันลมครับ

ส่วนมุมนี้ มองเห็นพระธาตุผาซ่อนแก้วแบบไม่มีอะไรมาบดบังเลยครับ

มุมนี้มองเห็นวิลล่าป่าสนครับ

มุมนี้ Blue sky เขาค้อครับ

เป็นอันว่าภารกิจเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ครับ

สำหรับมื้อเย็นนี้ ผมฝากท้องที่ Takmoh Coffee Khao Kho & โรงเตี๊ยมสุดขอบฟ้า ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าหากผมกระโดดร่มไปจากยอดผาตัดลงไป ก็จะถึงร้านตั๊กม้อเลยครับ

ร้านตกแต่งสไตล์จีน พื้นที่นั่งทานอาหารมีทั้งแบบ indoor และ outdoor ครับ

ผมมาร้านนี้ทีไร ก็จะสั่งเมนูซ้ำๆ เสมอ เพราะติดใจในรสชาติครับ เริ่มที่ขาหมูหมั่นโถว ขาหมูนิ่มมากๆ

เห็ดหอมอบซีอิ้ว กรอบ แห้ง หอมซีอิ้วมากๆ

กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา เมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดาครับ

ปลาคังลวกจิ้ม

แกงป่า เผ็ดร้อนมากๆ

บรรยากาศในร้านกาแฟ

อาหารรสชาติดีครับ จานใหญ่ เวลาสั่งอย่าสั่งตอนหิวเหมือนผม สั่งมาหลายเมนู กินไม่หมดครับ 555

หลังมื้อเย็น ผมเข้าที่พักที่ Moon Light Chateau ซึ่งตั้งอยู่ติดลานจอดรถของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วเลยครับ

Moon Light Chateau เป็นรีสอร์ทเล็กๆ สไตล์น่ารักๆ บรรยากาศคล้ายอยู่เมืองนอกเลยครับ

ห้องที่ผมพัก ขนาด 20 ตารางเมตร มี 2 ชั้น ภายในตกแต่งแบบเรียบง่าย บริเวณหน้าต่างออกแบบให้เป็นที่นั่งเล่น สำหรับผู้ที่มาเป็นครอบครัวหรือเพื่อนฝูง สามารถแจ้งของห้อง Connect ได้ครับ สำหรับชั้นบนจะเป็นห้องใต้หลังคา เป็นพื้นที่สำหรับเตียงเสริมครับ บันไดขึ้นไปด้านบนค่อนข้างชันเลยทีเดียว

ไปดู Lobby กันบ้าง Lobby จะอยู่ที่อาคารหลังแรก ตามภาพแรก ติด Lobby เป็นพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อน

ติดกันจะเป็นโซนห้องอาหารครับ ช่วงที่ผมไป ห้องอาหารให้บริการเฉพาะอาหารเช้าเท่านั้นครับ

บรรยากาศโดยรอบ น่ารักเลยทีเดียวครับ

วิวดีหรือไม่ดี ดูเอาครับ มองเห็นพระธาตุผาซ่อนแก้ว และพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ด้วยครับ

ห้องพักจะตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ มองออกไปเห็นทะเลภูเขา และถ้าในช่วงเวลาเป็นใจ จะเห็นทะเลหมอกด้วยครับ

ช่วงค่ำๆ บรรยากาศในรีสอร์ทดีมากๆ ครับ สามารถชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้เลย ด้านหน้าห้องพักมีเก้าอี้ให้นั่งเล่นด้วย ราคาห้องพักอาจจะแรงเกินสภาพห้องสักหน่อย แต่ก็ถือซะว่ามาซื้อบรรยากาศครับ

บริเวณห้องอาหาร ก็มองเห็นวิวพระธาตุผาซ่อนแก้วครับ สำหรับอาหารเช้าทางรีสอร์ทจะเตรียมมาให้เป็นเซต โดย 1 เซตประกอบด้วย ABF ข้าวต้ม น้ำส้มและกาแฟครับ

ผมมาปิดท้ายทริปที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ซึ่งอยู่ห่างจากรีสอร์ทที่ผมพักเพียง 300 เมตร ทำให้ผมสามารถเก็บภาพที่วัดแห่งนี้ได้ทั้งช่วงแสงแรกและแสงสุดท้ายเลยครับ

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว เป็นวัดสวยที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวเขาค้อ วัดที่มีความวิจิตรการตาด้านสถาปัตยกรรม มีการนำกระจก ถ้วยกระเบื้อง รวมทั้งหินสีต่างๆ มาประดับประดาเป็นลวดลายตกแต่งองค์เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว ซึ่งเป็นเจดีย์ทรงกลีบบัวสีทอง 9 ชั้น ดูงดงามแปลกตา

เคียงคู่กันเป็นที่ตั้งของพระมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ พระพุทธรูปปางสมาธิสีขาวบริสุทธิ์ 5 องค์ ซึ่งประกอบด้วยพระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระโคตมพุทธเจ้า (องค์ปัจจุบัน) และพระเมตไตรยพุทธเจ้า ประดิษฐานอยู่ด้านบนพระมหาวิหาร ที่ออกแบบเป็นฐานช่อบัว ลดหลั่นตามขนาดจากใหญ่มาหาเล็ก ซึ่งหาชมจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนอกจากที่นี่ที่เดียว

จากบนเจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว มองออกไปเห็นแสงสุดท้ายด้านหลังทุ่งกังหันลม สวยงามมากๆ ครับ

หลังจากที่ได้เก็บแสงสุดท้ายแล้ว ผมได้มีโอกาสสนทนากับพระอาจารย์รูปหนึ่ง ท่านถามผมว่ามาจากไหน ผมก็บอกท่านว่ามาจากลพบุรี มาถ่ายรูปเพื่อนำไปทำรีวิวและเขียนคอลัมน์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดเพชรบูรณ์ เลยขอมาเก็บภาพช่วงที่ทางวัดเปิดไฟ ท่านก็บอกว่าดีๆ และท่านยังชวนให้มาถ่ายภาพช่วงพระอาทิตย์ขึ้นตรงลานวัด และชวนให้ร่วมทำบุญตักบาตรกันที่บริเวณด้านหน้าพระมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ด้วย ท่านบอกถ่ายภาพได้ทั้งหมด ยกเว้นห้ามใช้โดรนถ่ายภาพ ผมอึ้งไปสักนิด แล้วสารภาพกับท่านว่า เมื่อช่วงเย็น ผมบินโดรนถ่ายภาพพระเจดีย์และมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์จากด้านนอกวัด ไม่ได้บินผ่านอาณาเขตของวัด ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ ท่านเงียบไปสักพัก แล้วก็พยักหน้า ผมเลยขออนุญาตท่านเพื่อจะนำภาพมุมสูงลงในพื้นที่สาธารณะ ท่านก็อนุญาตครับ

ช่วงเช้า ผมมาตามนัด และแสงแรกก็มาตามนัดด้วยเช่นกัน ถ่ายรูปตั้งแต่ฟ้ามืดยันฟ้าสว่างกันเลยทีเดียวครับ

บรรยากาศด้านในของมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์

พระอาทิตย์ขึ้นด้านหลังศาลาพระหยกเขียว

ผมมาเที่ยวชมพระธาตุผาซ่อนแก้วบ่อยมาก มาตั้งแต่ที่วัดนี้เพิ่งจะเริ่มสร้างองค์เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว จนตอนนี้ทางวัดก็กำลังก่อสร้างพระนอนชนะมาร ความยาว 108 เมตร มาครั้งนี้รู้สึกอิ่มเอมใจเป็นพิเศษ เพราะได้มาในช่วงเวลาที่ไม่เคยมา คือช่วงแสงเย็นและแสงเช้า ที่สำคัญยังได้มีโอกาสมาทำบุญตักบาตรด้วย นักท่องเที่ยวก็สามารถมาทำบุญตักบาตรได้นะครับ ด้านหน้าพระมหาวิหาร มีชุดใส่บาตรจำหน่ายในราคาชุดละ 40 บาท โดยพิธีจะเริ่มประมาณ 07.00 น. ครับ

ถ้าหากใครมาที่วัดนี้ในช่วงเช้า หากโชคดีจะได้เห็นทะเลหมอกสวยๆ รายล้อมองค์เจดีย์พระธาตุและพระมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ให้อารมณ์เหมือนได้ล่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์เลยครับ

อย่างที่บอกในช่วงต้นรีวิวไปแล้วว่ารีวิวนี้เป็นการรวมทริปที่ผมมาเที่ยวเพชรบูรณ์ 2 ช่วงฤดู คือ ช่วงปลายฝนต้นหนาว และช่วงฤดูหนาว ทำให้สามารถถ่ายทอดบรรยากาศได้ 2 ช่วง ถ้าหากเพื่อนๆ เที่ยวตามรีวิวนี้ของผม อาจจะไม่ได้เห็นบรรยากาศสวยๆ ในทุกๆ สถานที่นะครับ ถ้าหากเลือกเดินทางในช่วงปลายฝนต้นหนาว ราวๆ เดือน พฤศจิกายน เพื่อนๆ จะได้สัมผัสกับสายหมอก น้ำตก และอาจจะได้เห็นดอกบัวตองบานที่ภูป่าเปาะด้วย แต่คงไม่ได้เห็นทุ่งดอกกระดาษ ใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสี และดอกนางพญาเสือโคร่งครับ แต่ถ้าหากอยากดู 3 สิ่งหลัง คงต้องเลือกมาในช่วงเดือนมกราคม แต่ก็คงไม่ได้เห็นภาพน้ำตกสวยๆ เพราะน้ำน่าจะแห้งไปเยอะครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องคอยติดตามที่เพจอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ซึ่งจะคอยอัพเดทการบานของดอกนางพญาเสือโคร่ง ดอกกระดาษ รวมถึงการเปลี่ยนสีของใบเมเปิ้ลด้วยครับ สำหรับเรื่องหมอกก็คงต้องลุ้นกับสภาพอากาศกันอีกที ถึงแม้โอกาสที่จะเห็นทะเลหมอกอาจมีน้อยก็ตามครับ

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 12.09 น.

ความคิดเห็น