เพราะติดใจความกว้างของรถแท็กซี่ที่นั่งมาจากขนส่ง การเหมารถเที่ยวอัสวานวันนี้ เราจึงกวาดตาหารถแท็กซี่คันใหญ่แบบนั้นอีก แต่ก็ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากนัก เพราะดูเหมือนรถแท็กซี่ในอัสวานจะมีขนาดใหญ่เช่นนั้นทุกคัน โดยได้ราคาเหมาให้พาเที่ยวทั้งวันที่ 600 ปอนด์อียิปต์

สถานที่แรกที่เป็นจุดหมายคือสถานที่ที่อยู่ไกลที่สุดก่อน นั่นคือวิหารคอมออมโบ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของตัวเมืองอัสวาน ด้วยเหตุที่ยังไม่ได้กินข้าวเช้า ทั้งพวกเรา 5 คนและคนขับ ทันทีที่รถเลี้ยวเข้าสู่ทางเข้าวิหารคอมออมโบ คนขับก็จอดที่ร้านค้าข้างทาง โดยบอกว่าขอลงไปซื้ออะไรทานก่อน ด้วยเห็นว่าเป็นอาหารท้องถิ่นผมจึงลงตามไปบ้าง เพื่อจะได้ลิ้มลองอาหารที่หน้าตาและรสชาติต่างจากที่เคยกิน

คนขับรถชวนให้ผมลองอาหารหน้าตาแปลกๆ ปั้นเป็นก้อนกลมๆขนาดพอดีคำ ภายนอกเป็นสีเขียวเข้ม ผิวขรุขระ อุ่นอยู่ในกระทะพร้อมสมุนไพรอีกหลายอย่าง เมื่อลิ้มลองจึงได้รู้ว่าเจ้าลูกกลมๆนี้ที่แท้ก็คือข้าวเม็ดเล็กๆนำมาปั้น แต่ความอร่อยนั้นอยู่ที่รสชาติที่เต็มปรี่ไปด้วยกินเครื่องเทศ ผมจึงซื้อมากินต่อในรถอีก 1 ถุง ในราคา 5 ปอนด์อียิปต์ หรือแค่ 10 บาทเท่านั้น ทั้งอร่อยทั้งอิ่มจนถึงเที่ยง

แล้วเราก็มาถึงวิหารคอมออมโบ (Kom Ombo) หนึ่งในวิหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอียิปต์ วิหารนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไนล์ทางทิศตะวันออกเช่นเดียวกับเมืองอัสวาน โดยอยู่ตำแหน่งที่แม่น้ำไนล์ไหลโค้งพอดี วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยฟาโรห์ปโตเลมีที่ 6 ซึ่งเป็นยุคสุดท้ายของอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 180 ปีก่อนคริสตกาล ที่ชนชาติกรีกได้กลายมาเป็นฟาโรห์แล้ว ทำให้สถาปัตยกรรมของเสามีกลิ่นอายของศิลปะแบบกรีกเข้ามาผสม และสภาพวิหารก็ยังคงสภาพที่สมบูรณ์กว่าวิหารในเขตมหาพีระมิดมาก

วิหารคอมออมโบนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเซค หรือเทพโซเบคซึ่งมีร่างเป็นมนุษย์ แต่ศีรษะเป็นจระเข้ ซึ่งสันนิษฐานว่าแต่เดิมพื้นที่แห่งนี้น่าจะมีจระเข้ชุกชุม จนสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้าน ในอดีตมนุษย์มักจะสร้างเทพเจ้าขึ้นมาจากธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ หรือไม่ก็จากสิ่งที่เขาหวาดกลัว เพื่อที่จะบูชาให้พวกเขารู้สึกปลอดภัย ในเมื่อจัดการกับจระเข้ไม่ได้ ก็สร้างให้จระเข้เป็นเทพเจ้าเพื่อบูชาเสียเลย เทพเซคซึ่งเป็นตัวแทนของจระเข้จึงถือกำเนิดขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น นอกจากสร้างเพื่อถวายแด่เทพเซคแล้ว วิหารแห่งนี้ยังสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพฮอรัส หรือเทพฮาโรอิลิส ผู้มีศีรษะเป็นเหยี่ยว วิหารคอมออมโบจึงเป็นวิหารคู่ 2 หลัง ที่สร้างขึ้นถวายแด่เทพเจ้า 2 องค์ โดยสามารถพบเห็นภาพสลักของเทพทั้งสองนี้ได้ตามเสา และผนังของวิหาร แม้จะเป็นวิหารคู่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่ในตำนานเทพเจ้าของอียิปต์นั้น เทพ 2 องค์นี้ไม่ได้เป็นพันธมิตร หากแต่เป็นศัตรูคู่อาฆาต ซึ่งสมรภูมิการสู้รบของเทพสององค์นี้ปรากฎชัดที่วิหารแห่งเมืองเอ็ดฟู ซึ่งอยู่ในแผนการเดินทางของผมว่าเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่ต้องไป และสำคัญมากจนเป็นเหตุในเกิดการทะเลาะกันระหว่างเพื่อนร่วมเดินทาง

นอกจากนี้ยังสามารถพบภาพสลักของนางสิงห์เสคเมต ผู้ซึ่งเทพรา เทพเจ้าสูงสุดของอียิปต์ส่งให้ไปสังหารมนุษย์ผู้มีจิตใจชั่วร้าย แต่เกิดติดใจในรสชาติของเลือดมนุษย์จนสุดท้ายกลายเป็นสังหารมนุษย์ทุกคนที่พบเจอ เดือดร้อนให้เทพราต้องกำราบ จนนางสิงห์เสคเมตผู้โหดร้ายกลายเป็นเทพีฮาธอร์ เทพีแห่งความรัก เหมือนเป็นนัยยะว่าความโหดร้ายและความรักมักจะอยู่ในหัวใจของมนุษย์ทุกคน เพียงแต่เราจะเลือกให้ด้านไหนเข้มแข็งกว่าเท่านั้น

ผมเดินชมภาพสลักบนพนังกำแพงด้านนอกไปเรื่อยๆ ในขณะที่เพื่อนๆเริ่มตรงเข้าสู่ภายในวิหาร ภาพสลักของวิหารคอมออมโบนี้คมชัดมาก ซึ่งนอกจากภาพสลักของเทพทั้งสองแล้ว ภาพส่วนใหญ่จะเป็นภาพสลักของฟาโรห์และเหล่าขุนนางที่กำลังถวายเครื่องสักการะแด่เทพทั้งสอง รอบภาพสลักเหล่านั้นเป็นภาพอักษรภาพฮีโรกลีฟิคจำนวนมากที่ถูกสลักขึ้นอย่างละเอียดยิบ จนพื้นที่บนผนังแทบไม่มีพื้นที่ว่าง นอกจากนี้ยังมีภาพสลักของปฏิทินสมัยโบราณ พร้อมภาพสลักเครื่องมือแพทย์ ซึ่งไม่พบแบบสลักแบบนี้ในวิหารใด จึงสัณนิษฐานว่า ในอดีตวิหารแห่งนี้อาจทำหน้าที่เป็นโรงพยาบาลที่ดูแลรักษาผู้ป่วย

ผมเดินชมภาพสลักไปเรื่อยอย่างเพลิดเพลิน นี่ถ้าสามารถอ่านอักษรภาพฮีโรกลีฟิคออกน่าจะทำให้การชมมีอรรถรสและความเข้าใจมากกว่านี้ และเมื่อผมแหงนขึ้นไปมองบนคาน จึงได้พบว่า พื้นที่ใต้คานซึ่งแสงแดดส่องไม่ถึงยังมีภาพสลักที่ยังคงปรากฎสีจางๆทั้งสีแดงและสีน้ำเงินเหมือนกับว่าเพิ่งสลักไม่กี่ร้อยปี หากแต่ความจริงเวลานั้นล่วงเลยไปกว่า 2 พันปีแล้ว แล้วผมก็กลายเป็นเป้าหมายของไกด์ท้องถิ่นอีกจนได้

เมื่อวานที่มหาพีระมิด ก็มีไกด์ท้องถิ่นพาผมเข้าไปสำรวจในซากปรักหักพังของวิหารเพื่อชมภาพสลักที่ซ่อนอยู่ในนั้น มาที่วิหารคอมออมโบก็มีไกด์ท้องถิ่นชักชวนไปชมภาพสลักอีกเช่นกัน แต่ไม่ต้องปีนป่าย ไต่ลงใต้ดินแบบเมื่อวาน เพราะภาพสลักนี้อยู่บนกำแพงของวิหาร เพียงแต่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวทั่วไปมักเดินไปไม่ถึง โดยเป็นภาพสลักของสิงโตตัวใหญ่ซึ่งยังคมชัดมาก ปากสิงโตอ้าเหมือนกำลังตะครุบมือที่ยื่นเข้าไป แต่น่าฉงงเหมือนกันว่าเหตุใดจึงมีเฉพาะภาพสลักมือ เพราะเมื่อพ้นจากข้อมือไปแล้วกลับไม่มีภาพสลักใดๆ จึงไม่อาจรูปได้ว่าภาพสลักมือนี้เป็นมือของผู้ใด

การทำมัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณนั้นไม่ใช่ทำเฉพาะมนุษย์ แต่ยังมีการทำมัมมี่ให้สัตว์ด้วย ในเมื่อเป็นวิหารที่สร้างขึ้นถวายแด่เทพโซเบค ซึ่งเป็นเทพเจ้าจระเข้ ในบริเวณวิหารนี้จึงมีการขุดพบมัมมี่ของจระเข้จำนวนมาก ซึ่งเป็นการยืนยันว่าในอดีตบริเวณนี้น่าจะมีจระเข้ชุกชุม แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีแม้เงาของจระเข้ที่มีชีวิตให้เห็น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกชาวอียิปต์จับทำมัมมี่หมดหรือเปล่า โดยปัจจุบันมัมมี่จระเข้เหล่านี้ถูกเก็บไว้ในห้องจัดแสดงปรับอากาศ ซึ่งเมื่อดูใกล้ๆ มัมมี่จระเข้เหล่านี้มีลักษณะเหมือนแท่งหินสีดำที่ถูกสลักเป็นรูปจระเข้

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2566 เวลา 10.49 น.

ความคิดเห็น