... วสันตฤดูได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อย่างเข้าสู่เดือนมิถุนายน ซึ่งถือว่าปีนี้ฝนมาเร็วพอสมควร ก็ได้เวลาที่จะเหวี่ยงเป้ขึ้นหลัง พร้อมรองเท้าสตั๊ดดอยคู่ใจออกไปสูดไอดินกลิ่นฝนยังบ้านพี่เมืองน้องที่คุ้นเคยสักที จุดหมายปลายทางของเรายังอยู่ที่เดิมคือ "บ้านหนองหลวง" เมืองปากซ่อง แขวงจำปาสัก ลาวใต้ ซึ่งเป็นประตูสู่ดินแดนกาแฟชั้นดีแห่งที่ราบสูงบอละเวน อีกทั้งยังมีผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ และน้ำตกขนาดใหญ่มากมายรวมกันอยู่ที่นั่น ซึ่งหลังจากปล่อยรีวิว ด่านใหญ่ - ตาดเสือ - ตาดขมึด มีกระแสตอบรับดีเกินคาด ทำให้ปีนี้ถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่บ้านหนองหลวงกันอย่างคุึกคักในช่วงเข้าพรรษาที่จะถึงนี้ แต่ทริปนี้ผมจะพาไปชมความงามของตาดอื่นๆกันบ้าง ตามผมมาเลยครับ...


กรุงเทพ - ช่องเม็ก - บ้านหนองหลวง

...พวกเราชาวแคมป์สายลุยทีมงาน "คนแบกเป้"รวมตัวกันได้ 17 คน ออกเดินทางวันที่ 22 มิย.59 ด้วยรถบขสที่หมอชิต.ของโลตัสพิบูลทัวร์ กรุงเทพ - ช่องเม็ก จ.อุบล เที่ยว 2 ทุ่มครึ่ง ไปถึงยังด่านชายแดนช่องเม็กตอน 6 โมงเช้า กินข้าวเช้าที่ร้านเพลินทัวร์ช่วงรอด่านเปิด และจ้างรถเข็นสัมภาระข้ามไปรอที่วินรถสองแถวฝั่งด่านวังเต่าของประเทศลาว

หลังจากด่านเปิด เข้าแถวรอรอพิธีการของ ตม.ฝั่งไทยเสร็จเดินข้ามไปฝั่งลาวด้วยอุโมงค์เล็กๆ อย่าลืมไปประทับตราที่ ตม.ลาวด้วยน่ะครับไม่งั้นโดนค่าปรับอานเลยทีเดียว ช่วงรอตรวจหนังสือเดินทางที่ฝั่งลาวก็เสียค่า "เหยียบแผ่นดิน"ให้กับทางเจ้าหน้าที่รัฐของฝั่งลาวแล้วแต่กรรมใครหนักใครเบา ใครกรรมหนักก็เสีย 100 นึง เบาก็เสียแค่ 40 ฝั่งเราก็ใช่ย่อยได้ยินมาเหมือนกันจากทางฝั่งลาว ส่วนใครติดโซเชียลเปลี่ยน sim ลาวตรงด่านนั่นเลยราคา 100 บาท ผมใช้ยี่ห้อ unitel แม่ค้าบอกใช้ได้ถึงบ้านหนองหลวงเลย..(แต่เสียใจถึงบ้านหนองหลวงชาวบ้านบอกเจ้าหน่้าที่ถอดเสาสัญญาณ ไปติดตั้งไว้ทีบริเวณไร่ของคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง ทำให้เล่นเน็ทไม่ได้แล้ว)

รถสองแถวเจ้าประจำ รับเราจากด่านวังเต่าขับเรื่อยๆ ผ่านปากเซมาปากซ่อง และมาแวะจอดยังทางเข้าหมู่บ้านหนองหลวงเพื่อหาซื้ออุปกรณ์สำหรับตั้งแคมป์ในป่าเพิ่มเติม ฝนก็กระหน่ำตกๆหยุดๆมาตลอดทาง มองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวไปหมด หน้าทางเข้าบ้านหนองหลวงเห็นอนุสรณ์สถานที่เพิ่งสร้างมาได้ 3 ปีแล้ว เคยแต่ผ่าน วันนี้เลยลองเข้าไปดูสักหน่อย

ประวัติความเป็นมาคร่าวๆของอนุสรณ์สถานแห่งนี้ คือ เป็นอนุสาวรีย์พันธมิตรเวียดนาม-ลาวที่ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรชนและทหารหาญของทั้งสองชาติที่ได้พลีชีพในช่วงต่อสู้เพื่อปลดปล่อยประชาชนทั้งสองประเทศจากจักรวรรดินิยมอเมริกาและนักล่าเมืองขึ้น

หลังจากเรียนรู้ประวัติศาสตร์กันแล้ว.. ผมจะพาเข้าไปยังหมู่บ้านหนองหลวงซึ่งเป็นจุดเริ่มเดินทางเข้าสู่ผืนป่าอช.ดงหัวสาวแห่งที่ราบสูงบอละเวนกันเลยน่ะครับ จากปากทางเข้าบ้านหนองหลวงไปยังหมู่บ้านระยะทางประมาณ 10 กว่ากิโลทุกปีจะใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบชั่วโมง เพราะสภาพถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ แต่ปีนี้ทางการลาวได้เกรดถนนไปจนถึงหมู่บ้านแล้วรอราดยางปีหน้า ใช้เวลาเดินทางแค่ 10 นาทีก็ถึง

จุดหมายของเราคือโฮมสเตย์บ้านผู้ใหญ่ทิ ที่เป็นจุดรวมของนักท่องเที่ยว ที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง รวมถึงบ้านเรือนอื่นๆในหมู่บ้านด้วยที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ที่ถึงแม้กระแสความเจริญจะเริ่มไหลบ่ากันเข้ามาไม่ขาดสายจากนักท่องเที่ยวที่มาเดินป่าหรือเล่น zipline พวกเราจัดแจงแยกสัมภาระสำหรับเดินทางเข้าป่าเอาไปขึ้นรถไถที่ดัดแปลงไว้บรรทุกของ อีกส่วนเอาไว้ที่โฮมสเตย์เพราะคืนสุดท้ายเราจะกลับมานอนที่นี่



บ้านหนองหลวง - บ้านไร่กาแฟ แคมป์ 1

หลังจากเคลื่อนย้ายสัมภาระขึนรถไถเรียบร้อย บางส่วนก็เดินตัวเปล่าอีก 7-8 กฺิโลไปยัง camp แรก บางส่วนก็โดยสารไปกับรถไถ ผมเลือกอย่างหลังเพื่อ save พลังไว้เดินหนักๆในวันพรุ่งนี้ สภาพถนนเป็นถนนดินแดงเป็นหลุมเป็นบ่อมากมายเพราะฝนตกตลอด ซึ่งถนนเส้นนี้ชาวบ้านไว้สัญจรเข้าไปเก็บเมล็ดกาแฟที่ปลูกไว้ตามแนวขอบชายป่า

รถไถพาเรามาถึงแคมป์แรกซึ่งใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ไล่เลี่ยพอๆกันกับกลุ่มที่เดินมา แคมป์แรกที่เราใช้อาศัยหลับนอน เป็นบ้านไม้หลังขนาดพอสมควร ซึ่งบนบ้านจะไม่มีอะไรเป็นแค่ที่หลบฝนชั่วคราวสำหรับชาวบ้านที่มาเก็บกาแฟ เราจัดการปู ground sheet เพื่ออาศัยนอนชั่วคราว บางส่วนก็ผูกเปลนอนเต้นท์กันตามสะดวก อีกส่วนก็สร้างแคมป์กลางเพื่อไว้สำหรับประกอบอาหาร เมนูอาหารเย็นวันนั้นไม่ได้เลิศหรูอลังการ หากแต่การได้กินข้าวกับเพื่อนคนคอเดียวกันท่ามกลางบรรยากาศฝนพรำตลอดทั้งคืน มันช่างมีความสุขพิลึก


แคมป์ 2 กลางป่า - ตาดนางนี

เช้าวันที่ 2 ตื่นขึ้นมาท่ามกลางสายฝนโปรยปราย พวกเราจัดแจงเติมพลังเข้าท้อง วันนี้เราต้องเดินกันประมาณ 4 กิโลไปยังแคมป์ 2 กลางป่า หลังจากเก็บแคมป์เรียบร้อย สะพายเป้ขึ้นหลังออกเดินเข้าสู่ผืนป่า การเดินทางเพื่อไปชมตัวน้ำตกในบริเวณที่ราบสูงบอละเวน เราต้องเดินไต่ระดับลงไป เพราะอย่าลืมว่าเราอยู่บนที่ราบสูง สภาพเส้นทางจะค่อยๆเดินลงผ่านขนำกาแฟหลังสุดท้ายก็เข้าสู่ผืนป่าที่ต้องเดินข้ามลำธาร และก้อนหินน้อยใหญ่ อีกทั้งรากไม้ที่คอยจะเหนี่ยวรั้งให้เราสะดุดอยู่เรื่อยๆหากวางเท้าไม่ดี ส่วนเรื่องน้ำกินไม่ต้องเตรียมไปมากมาย เพราะมีน้ำจากลำธารอยู่ตามเส้นทางที่เราเดินอยู่แล้ว หากเดินเหนื่อยๆก็ลงไปแช่หรือนั่งพักขาในลำธารสักทีนึง

ในที่สุดก็มาถึงแคมป์ 2 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงกับระยะทางสั้นๆแค่ 4 กม.ถึงมันจะไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แต่มันยากตรงที่เราต้องค่อยๆก้าวไต่ลงเนินไปเรื่อยๆ ทำให้ทำเวลาไม่ได้ พอมาถึงก็จัดแจงตั้งแคมป์หุงหาอาหารกลางวันกัน เมนูง่ายๆผัดซีอิ๊วเส้นหมี่ แคมป์ที่เราตั้งจะอยู่ใกล้ริมลำธารเพื่อความสะดวกในการใช้กินใช้อาบ

จัดแจงอาหารกลางวันเรียบร้อยดีแล้วก็ ออกเดินไปยังตาดนางนีแค่กฺิโลกว่าๆ แต่เป็นกิโลที่ต้องแผ้วถางฟันทางไต่ระดับความชันลงไปเผื่อให้ถึงตัวน้ำตก เสียงกระหึ่มของน้ำตกดังมาแต่ไกลทำให้คาดคะเนได้ว่าสายน้ำต้องมีความแรงมาก เราเริ่มมองเห็นสายน้ำลอดทิวไม้มาบ้างแล้วแต่ยังคลำทางหาทางลงไม่ได้ บางจุดต้องผูกเชือกยึดกับต้นไม้ไต่ลงไปจนมาถึงจุดหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆหัวตาด เราเดินเลี้ยวขวาไต่ไปตามก้อนหินที่ชันและลื่นมาก เมื่อพ้นทิวไม้ พลันสายตาก็พบกับความยิ่งใหญ่และรุนแรงของกระแสน้ำบริเวณหัวตาดในระยะใกล้มาก เสียงครืนครันของกระแสน้ำดังกลบเสียงพูด ละอองน้ำปลิวกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ หมดสิทธิ์ที่จะหยิบกล้องใหญ่ออกมาเก็บภาพ

หลังจากถ่ายภาพบริเวณหัวตาดนางนีแล้วเราพยายามหาทางเดินลงมายังจุดที่จะมองเห็นตัวตาดได้เต็มๆ จากที่ได้ดูทริปสำรวจเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ด้วยสภาพของผืนป่าที่ไม่มีใครรบกวนมาเป็นปีปีทำให้ต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นแน่นขนัด ลูกหาบต้องลงทุนปีนขึ้นไปฟันยอดไม้เพื่อให้เราได้มองเห็นเต็มๆ โดยที่พวกเราไม่ทันได้ทักท้วงอะไร จริงแล้วๆพวกเราไม่ได้ต้องการที่จะชมวิวน้ำตกโดยการตัดต้นไม้ แต่เป็นการบริการของลูกหาบเองที่เขาหาทางลงไปไม่ได้เลยแก้ปัญหาแบบนี้ ที่สำคัญปีนี้น้ำเยอะตั้งแต่ต้นฤดูทำให้หาทางที่จะลอดผ่านม่านน้ำตกไปยังอีกฝั่งหนึ่งไม่ได้

จากมุมด้านล่างตรงโขดหินก้อนใหญ่หลังจากตัดยอดไม้บางส่วนออก หากมองย้อนขึ้นไปก็ยังคงไม่เห็นตรงจุดที่กระแสน้ำทิ้งตัวลงมาจากหน้าผาอยู่ดี ต้องไต่ไปตามก้อนหินลื่นๆกลางลำธารไหลเชี่ยวถึงจะมองเห็นถนัดถนี่ แต่ก็ไม่มีใครเอาชีวิตมาทิ้งไว้ตรงนี้ เพราะเบื้องหลังลงไปเป็นหุบเหวที่สูงชัน หากพลาดพลั้งลื่นลงไปคงศพไม่สวย แต่กับลูกหาบพวกเขากลับปีนป่ายไปนั่งอยู่ตามก้อนหินลื่นๆได้อย่างคล่องแคล่ว

เราใช้เวลาชื่นชมความงามของน้ำตกกันอยู่สักชั่วโมงก็ต้อง ไต่ระห่ำปีนป่ายขึ้นไปข้างบนเพื่อกลับแคมป์ ขาลงว่ายากแล้วขาขึ้นยิ่งยากกว่า แต่กลายเป็นว่าขาขึ้น ถึงจะเหนื่อยมากกว่าขาลงแต่กลับทำเวลาได้ดีกว่าใช้เวลากลับถึงแคมปฺ์ประมาณ ครึ่งชั่วโมง


ตาดน้ำพาก - โฮมสเตย์บ้านหนองหลวง

เช้าวันที่ 3 ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายที่ปวดร้าวระบมไปตามๆกัน หลังจากที่เมื่อวานไปไต่ระห่ำลงไปยังตาดนางนี วันนี้มีเป้าหมายสุดท้ายที่ต้องทำให้สำเร็จ นั้นคือ พิชิตตาดน้ำพากให้ได้ ตอน 8 โมงครึ่ง พวกเราแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งที่ค่อนข้างมีอายุ เดินไม่ไหว 3-4 คนให้ล่วงหน้ากลับไปรอที่แคมป์ 1 บ้านไร่กาแฟก่อน ส่วนพวกเราเดินออกหลังแคมป์ทางเดิมที่ไปตาดนางนีแต่วันนี้เลี้ยวขวาไต่ระดับความสูงขึ้นไป เพราะตาดน้ำพากคือต้นน้ำของตาดนางนี และอยู่ในระดับที่สูงกว่า เส้นทางค่อนข้างยากเพราะต้องเดินไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยหินลอยก้อนใหญ่ๆ ต้องวางเท้าดีๆไม่งั้นเท้าแพลงขึ้นมาจะยุ่ง และมุดผ่านป่าไผ่ก็ต้องระวังกิ่งไผ่บาดหากเราอาศัยกิ่งไผ่เป็นที่เหนี่ยวรั้ง บางกิ่งมันเปราะหักมามันจะบาดมือเราได้ง่ายๆ ส่วนกิ่งไผ่ที่ล้มก็อย่าพยายามไปเหยียบให้เดินข้ามเอาเพราะมันทั้งคมทั้งเปราะเหมือนกัน เราเหน็ดเหนื่อยกันพอสมควรกับระยะทางแค่ 2 กิโล

ขณะที่เดินเราจะได้ยินเสียงของน้ำตกดังอยู่ตลอดเวลา บางช่วงก็เห็นลอดทิวไม้บังไพรมา พอเดินพ้นป่าไผ่มาได้ไม่กี่ก้าว ประตูแห่งหน้าผาน้ำตกยักษ์ปรากฎอยู่เบื้องหน้า !!

ความงดงามที่เผยให้เห็นไม่รู้จะสรรหาคำบรรยายใดๆมาอธิบายเพื่อให้เข้าใจถึงความรู้สึกในขณะนั้น สายน้ำกระโจนตัวลงมาจากหน้าผาไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นนับได้ 3 ชั้นก่อนจะมาทิ้งลงหน้าผาขนาดยักษ์เบื้องหน้าเราเป็นชั้นที่ 4

ตาดน้ำพากเกิดจากลำห้วยน้ำพากที่อยู่ด้านบนที่ราบสูงไหลผ่านผืนป่าดงหัวสาวตกลงมายังบริเวณที่เป็นขอบแผ่นดินที่ยุบตัวลงเป็นหุบเหว ต่อไปยังตาดนางนี ลงไปรวมกันยังห้วยตวยซึ่งเป็นที่รองรับน้ำปริมาณมหาศาลของตาดหลายๆตาดในบริเวณที่ราบสูงบอละเวน และไหลออกสู่แม่น้ำโขง ตาดน้ำพากเราจะแบ่งเป็น 2 ส่วนตามที่พี่กัณฑ์แห่งเว็บคนแบกเป้ได้อธิบายไว้ คือคือน้ำพากเทิง - น้ำพากลุ่ม ในส่วนน้ำพากเทิงคือ 3 ชั้นบนที่ต้องเดินจากไร่กาแฟด้านบนไต่ลงมาสิ้นสุดที่ชั้น 3 ไปต่อไม่ได้ ส่วนน้ำพากลุ่มจากทริปสำรวจตาดนางนีเมื่อ 2 ปีก่อน พบเส้นทางใหม่ที่ตัดไปออกตาดน้ำพากในชั้นที่ 4 ได้ ซึ่งเส้นทางนี้จะเดินลงจากไร่กาแฟด้านบนอ้อมมาและเดินย้อนขึ้นไปยังตาดน้ำพากชั้น 4 ซึ่งชั้นนี้จะเป็นชั้นที่สวยที่สุดที่มองเห็น 3 ชั้นด้านบนได้อย่างเต็มตา

เราใช้เวลาเก็บภาพที่บริเวณตัวตาดประมาณชั่วโมงนึง ก็ถึงเวลาอำลาตาดน้ำพาก ขากลับไวกว่าขามาเพราะไต่ลง ซึ่งกลับกันกับตาดนางนีที่ขากลับไวกว่าขามาเพราะปีนขึ้น ? สรุปตาดนางนีขาขึ้นง่ายกว่า ตาดน้ำพากขาลงง่ายกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความปวดร้าวระบบจาก 2 วันที่ผ่านมา ยิ่งกลับเป็นภาระในตอนขากลับออกจากแคมป์ 2 ไปหมู่บ้านนี่สิ ที่ต้องไต่ขึ้นและเดินรวดเดียวอีก ทั้งหมด 11 กิโล ออกจากแคมป์ประมาณบ่ายโมงถึงหมู่บ้านกันครบทุกคนก็ประมาณ 6 โมงเย็นได้ ตอนช่วงที่เดินมาถึงแคมป์ 1 ได้อาศัยรถเครื่องของลูกหาบกลับหมู่บ้านช่วยผ่อนแรงได้เยอะเลย แต่ก็นั่งเกร็งไปตลอดทางเพราะเป็นนักขับมอเตอร์ครอสประจำหมู่บ้าน เจอหลุมเนินแทบไม่มีผ่อน ประกอบกับฝนตกทางลื่น เล่นเอาลื่นไถลออกนอกเส้นทางไป 2-3 ครั้ง


อำลาบ้านหนองหลวง

เมื่อคืนหลังออกจากป่ามีสังสรรค์กันเล็กๆที่โฮมเสตย์และพูดคุยกันถึงทริปตาดขมึด - ตาดเสือ - ตาดตาเก็ด ที่จะจัดขึ้นช่วงเข้าพรรษา เดือน กรกฎาคม ได้รับรายงานจากบรรดาลูกหาบว่ามีคณะที่จัดตรงกันทั้งหมด 4 คณะซึ่งแน่นอนว่าคนเป็นร้อย ที่จะเดินทางมาในช่วงนั้นเพื่อชมความงามของทุ่งเปราะภูบนด่านใหญ่ และความอลังการของตาดต่างๆ แต่ละคณะคงต้องบริหารจัดการ จัดสรร แบ่งปันพื้นที่การกินอยู่หลับนอนในบริเวณพื้นที่ป่ากันดีๆ เพราะเราเป็นแค่ผู้มาเยือน ไม่มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ ขอให้เอื้อเฟื้อแบ่งปันกัน และช่วยกันดูแลรักษาสภาพพื้นที่ให้คงอยู่สภาพเดิมให้มากที่สุด เพราะหลังจากได้เห็นภาพข่าวว่าด่านใหญ่ ทุ่งเปราะภูบางส่วน กำลังถูกบุกรุกทำลายจากทางเจ้าหน้าที่รัฐที่ขึ้นมาสำรวจแร่ ยิ่งรู้สึกใจหายว่าอีกไม่นานเราคงไม่เห็นความงามตรงบริเวณนี้อีกแล้วก็ได้..

เช้านี้ฝนตกตลอด เลยอดได้ทำสิ่งที่ทำเป็นประจำเมื่อได้มาเยือนคือการใส่บาตรพระจากวัดป่าคีรีวงกต วัดประจำหมู่บ้านหนองหลวง จะไปถ่ายภาพดอกเปราะภูที่เริ่มบานที่ด่านน้อยก็ไม่ได้ เลยถ่ายภาพมุม "ครัวน้ำพราก" ซึ่งอยู่หลังบ้านรอเวลากลับ ซึ่งใครเข้าครัวมาต้องน้ำตาไหลพรากด้วยควันไฟจากกองฟืนที่ใช้ประกอบอาหารบนบ้านที่ตลบอบอวลไปทั่ว หลังจากกินข้าวที่ครัวน้ำพรากเสร็จแล้ว ก็ได้นำของฝากที่เพื่อนจากเมืองไทยฝากมาแจกลูกหาบบ้านหนองหลวง เป็นถุงกันน้ำจำนวน 10 ใบ เพราะเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆและคงได้ใช้ให้เกิดประโยชน์ เพราะบริเวณนี้ฝนตกแทบจะทั้งวันทั้งคืนเมื่อเข้าหน้าฝน

ถึงเวลาอำลา รถสองแถวมารับพวกเราตามที่ได้นัดหมาย ก่อนไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกร่วมกันที่มุมประจำของชาวคณะเมื่อได้มาเยือนทุกครั้ง เสร็จแล้ว ร่ำลาพ่อใหญ่ แม่ใหญ่ เจ้าของโฮมเสตย์เดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนของเราโดยสวัสดิภาพ

ก่อนกลับเข้าด่านแวะกินเฝอร้านดังเมืองปากเซ ชื่อร้านเฝอแม๊กกี้ ราคาแรงใช่เล่น มีหมู กับ เนื้อ ชามที่ร้านจะมี 4 ขนาด เล็ก กลาง ใหญ่ พิเศษ ราคาก็เรียงลำดับไป 60 - 80 - 100 -120 ชามเล็กก็ขนาดปกติทั่วไป แต่พอเห็นชามกลางเท่านั้นแหละ ไม่ต้องพูดถึงว่า พิเศษจะขนาดไหน ทั้งเนื้อ ทั้งเส้นที่ให้มาพูนชามทีเดียว เจ๊แม๊กกี้แกใส่มาไม่ยั้ง แถมใจดียังแถมเนื้อเปื่อยมาให้เรากินเล่นอีก ผักที่กินกับเฝอวางเต็มตะกร้า ทั้งถั่วงอก มะเขือเทศ และผักอื่นๆอีกเยอะแยะ ปกติน้ำซุปก็กลมกล่อมดีอยู่แล้ว ถ้าใครอยากกินเฝอให้ถึงรสขริงๆต้องตักกะปิใส่ไปด้วยรับรองนัวมาก

แวะชิมอเมซอนปากเซสักหน่อยนึกว่าจะใช้กาแฟลาว ใช้กาแฟไทยนี่แหละรสชาติฝั่งไทยจะเข้มข้นกว่านิดนึง

ขอขอบคุณ

  • พี่กัณฑ์ แห่งเว็บ คนแบกเป้ ที่จัดทริปพาเราไปลาวอยู่ทุกปี สนใจทริปเดินทางเข้าไปชมกันได้น่ะครับ http://www.khonbaakpae.com/
  • ไอ้คล้าวผจญภัย (หนึ่ง) ผู้เสียสละของทีม และเป็นผู้ชื่นชอบการเก็บข้อมูลการเดินทางทุกที่ที่เคยไป ผมก็ได้อาศัยข้อมูลและภาพถ่ายบางภาพอันเป็นประโยชน์ของเขามาประกอบการเขียนรีวิวของผมในครั้งนี้ด้วย
  • หนุ่ม แมวแบกเป้ หัวหน้า chef ใหญ่ของชาวคณะที่นิยมแบกกล้องไปเที่ยวแต่ไม่ค่อยได้ถ่ายเพราะต้องคอยดูแลเรื่องอาหารการกินของพวกเรา
  • เพื่อนร่วมทริปทุกท่าน
  • ทีมงานย่างป่าบ้านหนองหลวง

เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย

  • หากนำรถมาสามารถฝากรถได้ที่ร้านเพลินทัวร์ ตรงช่องเม็กน่ะครับ คุณติ๋ม 0896271233 วันล่ะ 100 บาท
  • รถปอ 1 โลตัสพิบูลทัวร์ กรุงเทพ - ช่องเม็ก 730 บาท
  • ค่าเหยียบแผ่นดิน ฝั่ง ตม.ลาว เตรียมไว้ 20 - 100 แล้วแต่เขาจะเรียกช่วงเทศกาลอาจขึ้นไปถึง 200 !
  • รถเข็นของผ่านแดนเพื่อไปขึ้นรถสองแถวฝั่งลาว เที่ยวล่ะ 200
  • เหมารถสองแถวไปบ้านหนองหลวง ไปกลับ 5,000
  • ใครติดโซเชียลแนะนำเปลี่ยนซิมลาว 100 บาทไว้เล่นเน็ท ผมใช่ยี่ห้อ unitel แนะนำว่าให้แม่ค้า set ค่าต่างๆและ test ให้ดูก่อนน่ะครับ ไม่งั้นถ้าเรามา set เองอาจจะไม่เข้าใจและเล่นไม่ได้
  • เบอร์ติดต่อ"โฮมเสตย์บ้านผู้ใหญ่ทิ" บ้านหนองหลวง เบอร์แม่จัน 003-856-0304904275 เบอร์น้องใหญ่ 020 95446224 รหัสประเทศ 856 แล้วตามด้วยเบอร์ที่ให้ไว้
  • แลกเงินกีบได้ตรง ตม.ลาวเลยช่องยื่นหนังสือเดินทางไปอีกล็อคนึง หรือ duty free จะมีธนาคารอยู่ rate ช่วงนั้นที่ผมแลกที่ ตม.ลาว 1 บาท = 230 กีบ
  • พกกล้องควรใส่ถุงซิปล็อคและติดสารกันชื้นไปด้วย แล้วค่อยใสถุงกันน้ำหรือเป้อีกชั้นนึง เพราะอากาศชื้นมากและควรหาผ้าแห้งไว้เช็ดเลนส์ ผ้าขนหนูผืนเล็กไว้เช็ดมือ ใส่ซองกันน้ำอีกชั้น เพราะตัวเราจะเปียกด้วยฝนที่ตกแทบจะตลอดและละอองน้ำจากน้ำตก
  • นอนเปล ระวังเรื่องน้ำไหลเข้าสายเปล ฟรายชีทต้องใหญ่พอสมควร 2x3 กำลังดี จะได้ป้องกันลมพายุได้ระดับนึง นอนเต้นท์ระวังเรื่องการกางบนทางไหลของน้ำ เช็คความแข็งแรงของอุปกรณ์ก่อนมาว่ามีชำรุดเสียหายหรือเปล่า เพราะจากประสพการณ์บนด่านใหญ่ ลมฝนลมพายุแรงมากอาจต้องนอนแช่น้ำ
  • รองเท้าเดินป่า แนะนำ สตั๊ดดอยดีที่สุดกับสภาพพื้นที่บริเวณนี้
  • พกขนมขบเคี้ยวให้พลังงานติดตัวไปบ้าง เพราะอาจกินข้าวได้ไม่ตรงตามเวลา

ติดตามเรื่องราวการผจญภัยทริปป่าลาวได้ จาก review ก่อนหน้านี้ได้ตาม link นี้น่ะครับ

  1. ด่านใหญ่ - ตาดเสือ - ตาดขมึด https://th.readme.me/p/3088
  2. สำรวจตาดเซคำพอ 1 https://th.readme.me/p/2957
  3. สำรวจตาดเซคำพอ 2 https://th.readme.me/p/3029
  4. สำรวจตาดเซคำพอ 3 https://th.readme.me/p/3030
  5. สำรวจตาดแซพะ-แซป่องไล https://th.readme.me/p/11657
  6. zipline ตาดฟาน https://th.readme.me/p/11838

-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ

-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง ได้ที่ Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด



สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.34 น.

ความคิดเห็น