ในชีวิตนี้ ผมไปเที่ยวภูเก็ตมาน่าจะเกือบ 30 ครั้งได้แล้ว การมาเที่ยวแต่ละครั้งก็จะกลับไปยังสถานที่ที่ประทับใจ และพยายามตามเก็บสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อไม่ให้ตกกระแส บอกได้เลยว่า มาภูเก็ตกี่ทีก็ไม่มีเบื่อจริงๆ สถานที่ที่เคยไปแล้ว มาอีกทีก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ไปดูกันครับว่าทริปนี้ ผมไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง

จุดหมายแรกที่ผมวางแผนไปตะลุยน้ำตกกันก่อนเลย โดยน้ำตกแรกปักหมุดไว้ที่น้ำตกโตนไทร ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินภูเก็ตประมาณ 17 กม. ครับ เป็นน้ำตกขนาดเล็กอยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาพระแทว น้ำตกนี้จะมีน้ำมากในช่วงฤดูฝน ช่วงที่ผมไปก็มีน้ำอยู่พอสมควร บรรยากาศเหมาะกับการพักผ่อนเลยทีเดียว

จากจุดจอดรถเราต้องเดินเท้าไปยังตัวน้ำตกเล็กน้อย สภาพเส้นทางถือว่าสะดวกเลยทีเดียวเพราะเป็นถนนราดยาง เดินไม่ไกล ไม่ทันได้เหนื่อยครับ ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยพรรณไม้น้อยใหญ่ ให้ความรู้สึกสดชื่นมากๆ ครับ

จุดหมายต่อไปคือน้ำตกบางแป ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากน้ำตกโตนไทรมากนัก น้ำตกบางแปก็เป็นอีกหนึ่งน้ำตกที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาพระแทวเช่นกัน ตัวน้ำตกมีความสูงกว่าน้ำตกโตนไทรเล็กน้อย

ระยะทางจากจุดจอดรถไปยังตัวน้ำตกจะเดินไกลกว่าน้ำตกโตนไทร และเส้นทางก็ไม่สะดวกเท่าน้ำตกโตนไทรด้วย แต่ระหว่างทางเราก็จะได้พบพืชนานาพันธุ์ โดยเฉพาะพันธุ์ไม้หายากอย่างปาล์มหลังขาว ซึ่งพบในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเท่านั้นครับ

ปิดท้ายด้วยน้ำตกกระทู้ น้ำตกขนาดเล็ก เส้นทางเดินไปยังตัวน้ำตกมีความร่มรื่นมากๆ มีพรรณไม้น้อยใหญ่ให้ชมตลอดเส้นทาง ทางเดินไปยังตัวน้ำตกจะเดินขึ้นเขา เส้นทางเดินสะดวกมากๆ เพราะทางท้องถิ่นได้ทำทางเดินอย่างดี เน้นว่าอย่างดีครับ จะมีก็แต่เรานี่แหล่ะที่ต้องออกแรงเดินขึ้นไปให้ถึงตัวน้ำตกให้ได้

โดยชั้นแรกจะเป็นน้ำตกชั้นเล็กๆ มีการสร้างเป็นฝายทดน้ำไว้ด้วยครับ

เมื่อเดินต่อเพื่อขึ้นไปยังชั้นต่อไป เส้นทางช่วงนี้ค่อนข้างชันกว่าที่ผ่านมาเล็กน้อย สักพักก็จะได้ยินเสียงน้ำทางด้านซ้ายมือ ชั้นสองนี้สูงกว่าชั้นแรกเล็กน้อย สวยและเป็นธรรมชาติกว่าด้วย เนื่องจากชั้นสองนี้ไม่มีการสร้างฝายทดน้ำครับ สำหรับใบไม้ที่เห็นในภาพ ผมไม่ได้เด็ดแล้วนำมาวางนะครับ เมื่อผมเดินมาถึงจุดนี้ ก็เห็นมีใบไม้วางไว้อยู่แล้ว

จากชั้นสองจะมีทางเดินต่อขึ้นไปอีก ผมแนะนำว่า ไม่ต้องเดินต่อแล้วครับ เพราะสุดเส้นทางเดินเท้าที่ทางท้องถิ่นทำไว้ มันไม่มีน้ำตกให้เห็นแล้ว หรือมันอาจจะมีอีกก็ได้ แต่อาจจะต้องลุยเท้าต่อขึ้นไปเอง แต่เท่าที่ดูก็ไม่เห็นเส้นทางที่จะสามารถเดินต่อได้แล้วนะครับ

ตอนเดินกลับ ก็นับว่าสบายกว่าตอนเดินขึ้น แต่เมื่อเดินถึงรถแล้ว ทำไมขามันสั่นแบบบออกไม่ถูก 555

ชมความสวยงามของน้ำตกจนหนำใจแล้ว ไปไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเองบ้างดีกว่า ขอเริ่มที่วัดไชยธาราราม หรือที่เรียกกันติดปากว่าวัดฉลอง วัดดังคู่บ้านคู่เมืองภูเก็ตครับ

มาที่วัดฉลอง ต้องไม่พลาดมาสักการะหลวงพ่อแช่ม พระเกจิชื่อดัง ในเรื่องของการรักษาโรคและเมตตาธรรม ท่านมีวิชาในด้านการปรุงยาสมุนไพรและรักษาโรค เข้าเฝือกผู้ป่วยที่กระดูกหัก ผมจำได้ว่าผมได้ยินชื่อหลวงพ่อแช่มครั้งแรกในวิชาภาษาไทย สมัยที่ยังเรียนใส่กางเกงขาสั้น มีบทหนึ่งที่เล่าถึงหลวงพ่อแช่ม เกี่ยวกับมีชาวบ้านศรัทธาท่านมากๆ จนต้องมารอปิดทองตามแขนขาของท่าน ไม่รู้ว่าบทเรียนสมัยนี้ยังมีเรื่องราวดังกล่าวอยู่ในวิชาเรียนอยู่หรือเปล่า

ด้านในวิหารเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของหลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อช่วง และหลวงพ่อเกลื้อม อดีตเจ้าอาวาสวัดฉลองครับ

ด้านในสุดของวัดเป็นที่ตั้งของพระมหาธาตุเจดีย์ พระจอมไทยบารมีประกาศ

ด้านในองค์พระมหาเจดีย์ จะแบ่งเป็นชั้นๆ โดยแต่ละชั้นจะมีพระพุทธรูปปางต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้กราบไหว้สักการะมากมายครับ

สำหรับชั้นบนสุด จะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้รับมาจากวัดสัมโพธิหาร ประเทศศรีลังกา ครับ

ด้านบนยังสามารถชมทิวทัศน์มุมสูงของวัดฉลองได้ด้วยครับ

เมื่อมาภูเก็ตแล้ว ไม่อยากให้เพื่อนๆ พลาดการมากราบไหว้ขอพรหลวงพ่อแช่มนะครับ ในแต่ละวันมีญาติโยม นักท่องเที่ยว หมุนเวียนกันมาสักการะกันอย่างไม่ขาดสายเลยครับ

จากวัดฉลอง ผมมุ่งหน้าไปสักการะพระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี บนยอดเขานาคเกิดครับ เส้นทางขึ้นเขานาคเกิดค่อนข้างแคบและชัน ต้องขับรถด้วยความระมัดระวังนะครับ

พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี หรือที่คนภูเก็ตและนักท่องเที่ยวเรียกกันติดปากว่าพระใหญ่ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ที่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล โดยมีความสูงถึง 45 เมตร ว่ากันว่าเป็นองค์พระที่มีความสูงเป็นอันดับสิบของเมืองไทย องค์พระสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ผิวด้านนอกบุด้วยหินอ่อนสีขาวจากพม่า น้ำหนักเฉพาะหยกขาวที่บุรอบองค์พระหนักประมาณ 135 ตันเลยครับ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2545 ด้วยเงินบริจาคกว่า 30 ล้านบาท ปัจจุบันด้านนอกองค์พระเกือบจะแล้วเสร็จ ส่วนด้านในองค์พระ ทำคล้ายๆ กับเป็นโถงสำหรับนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งยังคงดำเนินการเก็บรายละเอียดอยู่ครับ

ใครที่จะขึ้นไปสักการะองค์พระใหญ่ ไม่จำเป็นต้องถอดรองเท้านะครับ วันที่ผมไป มีชาวพม่ามาไหว้พระทำบุญเยอะมาก และได้ถอดรองเท้าอยู่ที่ตีนบันไดเต็มไปหมด (วัฒนธรรมของชาวพม่าจะถอดรองเท้าเมื่อจะเข้าวัด) ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนถอดรองเท้าตาม การสักการะจะขึ้นทางบันไดหน้า และจะลงทางบันไดข้างองค์พระครับ

บริเวณด้านหน้าองค์พระ หากมองหันหลังกลับไป จะเห็นอ่าวฉลองแบบเต็มๆ ตา

ส่วนด้านข้างที่เป็นทางลง หากสังเกตดีๆ จะเห็นเป็นรอยประทับมือและรอยพระบาทครับ

ตรงด้านข้างองค์พระ หากมองออกไปไกลๆ จะเห็นแหลมพรหมเทพ ไกลไปถึงเกาะเฮ และเกาะราชาเลยครับ

ไปสักการะขอพรพระธาตุอินทร์แขวนจำลอง ที่วัดบ้านเกาะสิเหร่ เมื่อขับรถเข้ามาในวัดบ้านเกาะสิเหร่แล้วสามารถจอดรถไว้ที่ลานจอดรถได้เลย จากนั้นต้องเดินเท้าขึ้นเขาไปตามถนนลาดยางอีกประมาณ 600 เมตร ช่วงที่ผมไปทางวัดปิดไม้กั้นพร้อมใส่กุญแจปิดถนนไม่ให้รถยนต์ผ่าน อนุญาตให้เพียงรถมอเตอร์ไซด์ขับขึ้นไปได้เท่านั้น ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ผมเลยต้องเดินเท้าขึ้นไป เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันครับ เส้นทางถือว่าร่มรื่น เพราะถูกปกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่ แต่พอหลุดช่วงที่เป็นพุ่มไม้ใหญ่ ทำให้ผมสามารถมองเห็นวิวมุมสูง ที่มองออกไปเห็นเกาะสิเหร่ได้แบบเต็มๆ ตา อดไม่ได้ที่จะต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป ลืมความเหนื่อยไปเลยครับ

จากนั้นเดินเท้าต่ออีกนิดหน่อย ตามเส้นทางลักษณะคล้ายๆ วงเวียน ก็จะมาพบกับบันไดที่จะเดินขึ้นไปยังวิหารครับ

ด้านในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่เลยทีเดียว เจ้าหน้าที่ที่ดูแลไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปบริเวณพระบาทของพระพุทธไสยาสน์นะครับ ผมลองถามเหตุผลแล้ว เขาก็ไม่รู้เหมือนกันครับ

และเมื่อเดินถัดออกมาจากวิหาร ก็จะพบกับพระธาตุอินทร์แขวนจำลอง ที่จำลองได้เหมือนเลยทีเดียวครับ พระธาตุอินทร์แขวนจำลององค์นี้ ก่อสร้างขึ้นโดยช่างชาวมอญ และแรงศรัทธาที่ร่วมกันบริจาคของชาวบ้าน นับเป็นสิ่งที่สักการบูชาของคนในพื้นที่และชาวพม่าที่มาอาศัยอยู่ในภูเก็ต นอกจากนี้ยังเป็นจุดชมวิวสวยๆ ของภูเก็ตได้แบบ 360 องศาครับ

ที่ฐานขององค์พระธาตุจำลอง เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตจำลอง ตามศิลปะแบบไทย และองค์พระมหามัยมุนี ตามศิลปะแบบพม่าครับ

ไหว้พระกันจนอิ่มเอมใจแล้ว ขอแว๊บไปที่จุดชมวิวต่างๆ กันบ้าง

เริ่มที่จุดลับๆ กับสระน้ำลับริมทะเลแถวๆ หาดกมลา ว่าแล้วก็จับพิกัดไปที่ The Hidden Rock Ponds กันเลย เมื่อ GPS บอกว่าจุดหมายของคุณอยู่ทางขวา ก็หาที่จอดเหมาะๆ ริมถนนเลย แต่คงต้องจอดด้วยความระมัดระวังนะครับ เพราะถนนค่อนข้างแคบมากๆ จอดรถแล้วอาจสงสัย เอ๊ะ เจ้าสระน้ำลับมันอยู่ตรงไหน มองออกไปเห็นแต่ป่ารกๆ

การจะชมสระน้ำลับนั้น เราจะต้องเดินเท้าลงไปตามเส้นทางที่รกชัฏ ประมาณ 300-400 เมตร ขาไปจะเดินลงเขา ค่อนข้างชัน บางจุดจะมีเชือกไว้ให้โรยตัวด้วย ขาลงยังไม่ค่อยเท่าไร ขาขึ้นนี่ซิครับ เหนื่อยแทบขาดใจ แนะนำใส่รองเท้าที่กระชับอย่างรองเท้าผ้าใบ และให้ติดน้ำดื่มไปด้วยนะครับ เนื่องจากเราต้องเดินผ่านป่าหญ้า ทำให้ยุงค่อนข้างเยอะ ติดสเปรย์ฉีดไล่ยุงไปด้วยก็ดีครับ

สระน้ำลับ เกิดจากผลของน้ำขึ้นน้ำลงนี่แหล่ะครับ ยามน้ำลง น้ำบางส่วนก็จะติดอยู่ในแอ่งหิน ดูเป็นสระน้ำ ซึ่งในสระ มีปูตัวเล็กๆ แถมยังมีเพรียงหินด้วย ใครที่จะไปเล่นน้ำในสระก็ระวังโดนเพรียงบาดด้วยนะครับ สำหรับใครที่จะมาชมสระน้ำลับ แนะนำให้เช็คเวลาน้ำขึ้นน้ำลงให้ดีๆ ด้วย เพราะถ้าน้ำขึ้นเต็มที่อาจมองไม่เห็นสระน้ำลับแห่งนี้ อ้อ ที่นี่สามารถมาชมพระอาทิตย์ตกได้ด้วยนะครับ

จากสระน้ำลับ ผมไปต่อที่จุดชมวิวผาหินดำ เส้นทางที่มายังจุดชมวิวผาหินดำ ยังไม่ค่อยดีนัก ขับมาเรื่อยๆ จะพบกับลานจอดรถเล็กๆ เราต้องจอดรถไว้ตรงนี้ จากนั้นเดินเท้าต่อไปตามทางลาดชันอีกประมาณ 200 เมตร ใครผ่านเส้นทางลาดชันที่สระน้ำลับมาแล้ว เส้นทางที่ขึ้นผาหินดำ ก็ถือว่าสบายๆ เส้นทางเดินสะดวกกว่าสระน้ำลับเป็นอย่างมากครับ

จุดชมวิวผาหินดำ เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวภูเก็ต บนจุดชมวิวนี้เราสามารถเห็นวิวแบบพาโนรามา ได้เห็นทั้งจุดชมวิวกังหันลม หาดยะนุ้ย แหลมพรหมเทพ มองได้ไกลถึงเกาะราชา และเกาะเฮ บอกได้เลยว่าเมื่อเห็นวิวแบบนี้แล้ว มันคุ้มค่าเหนื่อยจริงๆ ครับ

ไปต่อที่จุดชมวิวเขาขาด จากจุดชมวิวสามารถมองเห็นอ่าวฉลอง โดยมีองค์พระใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่บนเขานาคเกิดเป็นฉากหลัง สวยงามเลยทีเดียว

จากจุดชมวิวเขาขาด ขับรถต่อไปอีกสักหน่อย ก็มาถึงที่หาดอ่าวยน อ่าวเล็กๆ ลับๆ ที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวสักเท่าไร ใครที่ชอบความเป็นส่วนตัว ลองมาพักผ่อนนอนชิวหรือจะหาเสื่อมาปู มาปิกนิกกินมื้อเที่ยง มื้อเย็นกันที่หาดอ่าวยนกันดูครับ

สุดท้ายที่หาดกล้วย หรือ Banana Beach ซึ่งเป็นชายหาดที่อยู่บริเวณริมเชิงเขา อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน โดยเราจะต้องจอดรถไว้ข้างถนน แล้วเดินลงเขามานิดหน่อย ไม่ทันได้เหนื่อยครับ เราก็จะมาเจอกับหาดลับแห่งนี้

นอกจากจะมีชายหาดที่สวยงามแล้ว ยังมีกองหินที่มีรูปทรงแปลกๆ เพิ่มความสวยงามให้กับหาดกล้วยขึ้นไปอีก น้ำทะเลที่นี่ใส เป็นสีเขียวมรกตเลยครับ

มาภูเก็ตแล้วไม่ลงทะเล เขาจะว่ามาไม่ถึงภูเก็ต ทริปนี้ผมเลือกซื้อแพคเกจทัวร์แบบ one day trip ผ่าน Phuket Tour Holiday ในราคา 950 บาท เพื่อไปเที่ยวยังเกาะราชา เกาะเฮ ครับ โดยรถตู้มารับจากที่พักเพื่อไปส่งยังท่าเรือ

Speed boat ออกจากท่าเรืออ่าวฉลอง เพื่อมุ่งหน้าสู่เกาะราชาใหญ่ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึง ผมเพิ่งจะเคยมาที่เกาะราชาใหญ่เป็นครั้งแรก ต้องบอกเลยว่าถึงแม้จะเดินทางออกจากฝั่งภูเก็ตไม่ไกลมากนัก แต่ความใสของน้ำทะเลที่เกาะราชาใหญ่ ก็สู้หมู่เกาะในทะเลอันดามันที่ต้องนั่งเรือออกไปไกลๆ ได้อย่างสบายครับ โชคดีช่วงเช้าฟ้าเปิด เลยทำให้น้ำทะเลที่เกาะราชาใหญ่สวยใสมากขึ้น ใครที่อยากจะเล่นน้ำที่หน้าหาด ทัวร์ก็ให้เวลาอยู่ที่นี่ราวๆ 2 ชั่วโมงกว่า แต่สำหรับใครที่อยากไปดำน้ำ ทัวร์จะพาไปดำน้ำอีกจุดหนึ่งครับ

สำหรับผม ต้องการมาที่เกาะราชาใหญ่แค่อยากถ่ายรูป เลยหามุมโน่นนี่นั่นถ่ายไปเรื่อย เพื่อนๆ คนไหนที่อยากหามุมถ่ายภาพ ผมแนะนำว่าถ้าหากเราหันหน้าเข้าหาฝั่ง ให้เดินไปทางซ้าย จนสุดหาด แล้วเดินผ่านร้านอาหาร และเดินขึ้นโขดหินนิดเดียว จะพบจุดชมวิวครับ

เมื่อถ่ายภาพจนหนำใจแล้ว เวลาก็ยังเหลือเยอะอยู่ ผมเลยสอบถาม safe guard ว่าบนเกาะราชาใหญ่ มีจุดไหนที่น่าสนใจ พอที่จะเดินเล่นได้บ้าง เขาก็แนะนำให้เดินไปยังด้านหลังเกาะ โดยเดินผ่าน เดอะราชารีสอร์ทไป ระหว่างทางก็จะเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้าน มีบางส่วนเลี้ยงควายเพื่อทำนา ผมคำนวณเวลาแล้ว เห็นว่าเดินไปกลับ น่าจะทันกับเวลาที่บริษัททัวร์นัดเพื่อทานมื้อเที่ยงครับ

ให้ตายซิ ยิ่งเดินยิ่งไกล ควายก็ไม่ได้เห็น ชาวบ้านสักคนก็ไม่มีให้สอบถามเลย ไม่รู้ชาวบ้านหายไปไหนกันหมด แต่ไหนๆ ก็เดินมาตั้งไกลแล้ว ยังไงก็ต้องไปให้สุด ผมเดินมั่วๆ ไปตามเส้นทางที่มีร่องร่อยการเดินไปเรื่อย ๆ จนมาสุดที่ชายหาดแห่งหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าชื่อหาดอะไร แต่หาดนี้ส่วนใหญ่เป็นหาดหินครับ เลยขอแวะถ่ายภาพและพักเหนื่อยสักนิดหน่อย แล้วรีบเดินกลับไปยังจุดเริ่มต้นดีกว่า ในใจก็คิดกลัวเหมือนกัน เพราะเปลี่ยวซะเหลือเกิน

อาหารมื้อเที่ยงเป็นแบบบุฟเฟต์ครับ ผมไม่ได้ถ่ายภาพเอาไว้ เพราะเกรงใจแขกฝรั่ง รสชาติอาหารก็พอประทังครับ ต้องเข้าใจว่ามากับฝรั่ง ก็ต้องกินรสชาติแบบฝรั่ง

จุดหมายต่อไปหลังจากมื้อเที่ยง ผมมุ่งหน้าสู่เกาะเฮ หรือที่ชาวต่างชาติจะรู้จักในชื่อ Coral Island ครับ ผมเห็นภาพเกาะเฮมานานแล้ว เห็นว่าน้ำใสมาก เลยอยากจะมาสัมผัสดูบ้าง แต่เหมือนโชคไม่ค่อยจะเข้าข้าง เพราะช่วงบ่ายเริ่มมีกลุ่มเมฆเข้ามาบดบัง ทำให้น้ำทะเลจากที่เคยใส กลับไม่ใสอย่างที่คิด จริงๆ บนเกาะเฮมีกิจกรรมทางน้ำให้เล่นมากมาย แต่เหมือนคลื่นลมแรง จึงไม่ค่อยเห็นมีฝรั่งเล่นกิจกรรมสักเท่าไร ผมเองก็ได้แต่นั่งตากลม รอให้หมดเวลา เพื่อจะกลับเข้าฝั่งครับ ยิ่งจวนเจียนเวลานัด ฟ้ายิ่งครึ้มลงทุกที

สำหรับช่วงเย็น ผมมีจุดชมพระอาทิตย์ตกมาแนะนำ 3 จุดครับ

1. แหลมกระทิง จริงๆ แล้วการเดินทางไปยังแหลมกระทิง มี 2 เส้นทาง คือ 1.จากบริเวณจุดจอดรถผาหินดำ หากขับรถต่อไปอีกสัก 200 เมตร จะเป็นจุดเริ่มต้นเดินเท้าต่อไปยังแหลมกระทิง ระยะทางประมาณ 1.5 กม. เส้นทางจะเป็นเส้นทางลงเขา 2. ขับรถไปยังบ้านกระทิงรีสอร์ท จากนั้นเดินเท้าต่อไปยังแหลมกระทิง ระยะทางประมาณ 800 เมตร เส้นทางจะลัดเลาะไปตามหน้าผา มีขึ้นทางลาดบ้างแต่ไม่ชันเท่ากับเส้นทางแรกครับ เมื่อได้วิเคราะห์แล้ว หากรอจนพระอาทิตย์ตก แล้วต้องเดินกลับตามเส้นทางที่ 1 ซึ่งต้องเดินขึ้นเขา คงไม่ไหวแน่ๆ ฟ้าคงมืดซะก่อน เกรงว่าจะเป็นอันตราย ผมเลยเลือกที่จะไปยังเส้นทางที่ 2 ซึ่งดูแล้ว น่าจะเดินได้ง่ายกว่าครับ

สำหรับใครที่ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ 2 คงจะต้องไปจอดรถในบ้านกระทิงรีสอร์ท ซึ่งจะต้องเสียค่าจอดรถคันละ 300 บาท โดยที่เราสามารถนำคูปอง 300 บาท ไปซื้ออาหารกินในรีสอร์ทได้ หรือถ้าไม่ต้องการกินอาหาร สามารถชำระค่าจอดรถในอัตรา 200 บาท/ชั่วโมงครับ

เส้นทางที่จะเดินไปยังแหลมกระทิงแอบหวาดเสียวอยู่เหมือนกัน เพราะต้องเดินตามเส้นทางเล็กๆ ขนาดพอดีเท้า เลาะริมหน้าผาไปเรื่อยๆ หากเดินชมวิวเพลินๆ แล้วก้าวพลาด มีหวังได้กลิ้งตกหน้าผาลงทะเลแน่ๆ สำหรับความลาดชันนั้น ระดับอนุบาลครับ อย่างที่บอกในตอนแรก แค่เดินด้วยความระมัดระวังเป็นพอ

ในช่วงฤดูฝน แหลมกระทิงจะถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าสีเขียวดูสดชื่นสบายตา แต่ในช่วงฤดูแล้ง พื้นที่ตรงนี้จะกลายเป็นสีทอง สวยไปอีกแบบหนึ่ง สำหรับใครที่มารอชมพระอาทิตย์ตก แนะนำว่าเมื่อพระอาทิตย์ตก ควรจะรีบเดินกลับในทันที เพราะถ้าหากรอจนฟ้าเปลี่ยนสี อาจจะทำให้มืดระหว่างเดินกลับ ซึ่งอันตรายเลยทีเดียว ก้าวพลาดอาจถึงชีวิตได้ครับ

2. สำนักสงฆ์แหลมพรหมเทพ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแหลมพรหมเทพครับ

เมื่อเข้ามาในสำนักสงฆ์แหลมพรหมเทพแล้ว สามารถหาที่จอดรถได้เลย แล้วเดินไปด้านท้ายของสำนักสงฆ์ จะเจอระเบียงสำหรับชมวิว ซึ่งวิวทางด้านขวาจะมองเห็นแหลมพรหมเทพแบบชัดเจนครับ

ส่วนวิวทางซ้ายมือจะมองเห็นเกาะแก้วพิสดารครับ

การชมพระอาทิตย์ตกตรงจุดนี้ อาจจะมองไม่เห็นพระอาทิตย์ตอนสัมผัสกับผิวน้ำนะครับ ใครอยากจะชมพระอาทิตย์ตกสัมผัสผิวน้ำ คงต้องไปรอชมบนแหลมพรหมเทพ และเมื่อพระอาทิตย์ตกแล้ว แนะนำให้กลับมาชมวิวที่สำนักสงฆ์ เพราะในวันที่ฟ้าเปิด เราจะได้เห็นแสงสวยๆ ที่มีฉากหลังเป็นแหลมพรหมเทพที่ยื่นลงทะเล

สำนักสงฆ์เปิดตั้งแต่เวลา 06.00-19.00 น. ครับ

3. เกาะปลิง เกาะเล็กๆ ที่แทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ผมว่าสิ่งมีชิตที่นี่ยังอุดมสมบูรณ์ เพราะไม่ได้รับการรบกวนจากนักท่องเที่ยว ไม่น่าเชื่อเลยว่าชายหาดที่อยู่ใกล้เกาะปลิงจะมีดงหญ้าทะเลด้วย เห็นว่าที่นี่มีปะการังน้ำตื้น รวมทั้งสัตว์ทะเลอย่างปลาดาว และปลิงทะเลด้วย

การเดินทางมายังเกาะปลิง สามารถตั้ง GPS มาที่เกาะปลิง จอดรถไว้ตรงสุดถนน จากนั้นเดินเลาะชายหาดมาเรื่อยๆ จะมองเห็นเกาะปลิงครับ ถ้าใครอยากจะไปสัมผัสกับเกาะปลิงอย่างใกล้ชิด คงต้องเช็คเวลาน้ำขึ้นน้ำลงให้ดีๆ นะครับ ถ้าน้ำลงแบบช่วงที่ผมไป จะสามารถเดินไปถึงเกาะปลิงได้เลยครับ

เย็นนี้แสงสุดท้ายมาปรากฏให้เห็น แต่แสงยังไม่ค่อยสวยสักเท่าไร แต่ได้แค่นี้ก็โอเคสำหรับผมแล้วครับ

เรื่องอาหารการกิน ผมมีร้านแนะนำ 5 ร้านครับ คือ

1. ร้านฉ่ายเซียนฟง ร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องติ่มซำปั้นสดที่ทางร้านทำเอง นอกจากนี้ยังมีบะกุ๊ดเต๋ ที่น้ำซุปเข้มข้นมาก กินแล้วโล่งคอมากๆ ครับ

ติ่มซำดีงามสมราคาคุยจริงๆ ครับ ทุกอย่างนึ่งออกมาได้นุ่มกำลังดี ร้านฉ่ายเซียนฟง เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 06.00-14.00 น. ครับ

2. ร้านหมี่น้ำกุ้งอ่าวเก ซึ่งอยู่ในตัวเมืองภูเก็ต ชื่อก็บอกแล้วครับ หมี่น้ำกุ้งเป็นพระเอกของร้านนี้ เส้นมีให้เลือกมากมาย มีทั้งแบบหมี่ฮกเกี้ยน หรือเส้นแบน เส้นใหญ่ เส้นหมี่ และวุ้นเส้น โป๊ะมากับเครื่องแน่นๆ อย่างเกี๊ยวหมู หมูชิ้นที่ฝานเป็นแผ่นบางๆ และกุ้งผ่าซีก ที่เด็ดสุดคือน้ำซุป ที่ซดแล้วสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของกุ้งแบบเต็มๆ เพราะที่ร้านจะใช้หัวกุ้งมาต้มเป็นน้ำซุป บอกเลยว่าเด็ดจริงๆ ครับ

3. ร้านทุ่งคา-กาแฟ ซึ่งตั้งอยู่บนเขารัง ร้านนี้บรรยากาศดีมากๆ ร่มครึ้มไปด้วยแมกไม้ใหญ่ แถมยังมองเห็นเมืองภูเก็ตมุมสูงได้แบบพาโนรามาเลยครับ

มื้อนี้ผมได้ผัดกระเพาซีฟู้ด รสชาติมาครบเลย เผ็ดกำลังดี

แกงเหลืองปลากะพง เปรี้ยวจี๊ดจ๊าด เผ็ดจัดจ้าน กินไปต้องซับเหงื่อไป อร่อยมากๆ

ตัดเผ็ดด้วยกุ้งซอสมะขาม มะขามมาทั้งกลิ่นและรสชาติ หวานกลมกล่อมครับ

ตบท้ายด้วยน้ำพริกกุ้งเสียบและผักสดครับ

รสชาติอาหารโดยรวมถือว่าโอเคเลยครับ

ร้านทุ่งคา-กาแฟ อยู่ติดกับจุดชมวิวบนเขารัง ซึ่งจะมีหอเกียติยศ 100 ปี สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงคุณความดีของพระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี คอซิมบี้ ณ ระนอง อดีตสมุหเทศาภิบาลผู้สำเร็จราชการมณฑลภูเก็ต รวมทั้งมีการสร้างระเบียงยื่นออกไป คล้ายๆ กับ Sky Walk เล็กๆ ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นตัวเมืองภูเก็ตได้ในมุมกว้างเลยครับ จุดนี้เหมาะกับการมาชมวิวเมืองภูเก็ตอย่างมาก เพราะไม่มีอะไรมาบดบังสายตาเลย ในช่วงพลบค่ำ สามารถมาชมแสงไฟระยิบระยับทั่วเมืองภูเก็ต ดูไม่ต่างอะไรกับดาวบนดินเลย

4. มาดูบัวคาเฟ่ เป็นคาเฟ่ที่มีกิมมิคของตัวเอง กิมมิคที่ว่าก็ตามชื่อคาเฟ่เลย มาดู”บัว” นั่นก็คือบัววิกตอเรีย หรือ บัวกระด้ง ที่มีขนาดใหญ่ถึง 1.5 เมตรกันเลยทีเดียว นับเป็นบัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาบัวทุกสายพันธุ์ครับ

บรรยากาศในคาเฟ่ มีทั้งแบบ Indoor และ outdoor บริการทั้งเครื่องดื่ม ร้อน เย็น รวมถึงอาหารด้วยครับ ในส่วนของ Outdoor เราจะได้สัมผัสกับความสวยงามละลานตาของบัวกระด้งแบบใกล้ชิดครับ

สำหรับใครอยากได้ภาพถ่ายเก๋ๆ ทางคาเฟ่ก็มีแพคเกจถ่ายภาพให้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการลงไปในเรือแล้วถ่ายภาพมุมสูงจากโดรน หรือเป็นกิจกรรมการลงไปยืนถ่ายภาพบนใบบัว โดยผู้ที่จะลงไปยืนจะต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 65 กิโลกรัมครับ หากใครสนใจก็ลองสอบถามกับทางคาเฟ่ได้เลยครับ

5. Torry’s ice cream เป็นร้านไอศกรีมโฮมเมท ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ภายนอกร้านโดดเด่นด้วยอาคารสไตล์ชิโนโปรตุกีสสีชมพูครับ ด้านในก็ตกแต่งสไตล์วินเทจ ได้อย่างสวยงามเลยทีเดียว เน้นเฟอร์นิเจอร์ไม้โทนสีเข้ม รวมถึงเครื่องทองเหลืองเก่าๆ ที่ดูหรูหราเป็นอย่างมากครับ

สำหรับไอศกรีมก็ไม่ธรรมดาครับ เป็นไอศกรีมโฮมเมดที่ผสมผสานกับขนมท้องถิ่นของชาวภูเก็ต ตัวไอศกรีมก็มีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป มีให้เลือกหลายรส จนไม่รู้ว่าจะเลือกชิมอะไรเลยครับ

ผมเลยลองสั่งเมนูขึ้นชื่อของที่นี่อย่าง Bi-Co-Moi ซึ่งเป็นไอศกรีมกะทิอัญชัน เสิร์ฟมาบนขนมบิโกหมอย ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ ข้าวเหนียวดำ กินเมนูนี้แล้ว ให้อารมณ์ข้าวเหนียวดำราดด้วยน้ำกะทิครับ หวานอร่อยดี

ส่วนเมนูนี้เป็น A-Pong ครับ เสิร์ฟมาพร้อมกับอาโป้ง ลักษณะลูกครึ่งคล้ายกับทองม้วน ที่จะกรอบเฉพาะขอบนอก ส่วนตรงกลางจะนิ่มๆ คล้ายกับขนมโตเกียวที่ทำมาแบบบางๆ ประมาณนั้นครับ

นับว่าเป็นไอเดียดีๆ ในการอนุรักษ์ขนมพื้นบ้านไม่ให้สูญหายไป แถมยังทำให้หลายๆ คนได้รู้จักขนมพื้นเมืองภูเก็ตมากขึ้นด้วย

และทุกๆ วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 16.00-22.00 น. บริเวณถนนถลาง ย่านเมืองเก่าภูเก็ตและลานมังกร จะมีถนนคนเดินภูเก็ตหลาดใหญ่ครับ

ผมมาเริ่มเดินตั้งแต่ลานมังกรแล้วลัดเลาะๆ ไปถึงถนนถลางครับ คือนักท่องเที่ยวเยอะมากๆ สินค้าก็หลากหลาย ทั้งของกินคาว หวาน ของเด็ดของดังภูเก็ต ของฝาก ของที่ระลึก หาได้จากถนนถลางนี่แหล่ะครับ เดินกันเพลินเลย แล้วช่วงพลบค่ำ แสงไฟจากร้านรวงเริ่มส่องสว่าง ยิ่งทำให้ถนนถลางแห่งนี้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะสีสันของตึกในสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่หลากหลายอยู่แล้ว เมื่อต้องกับแสงไฟ มันดูมีเสน่ห์ขึ้นอีกเป็นกองเลยครับ

ใครที่เดินสำรวจจนเกือบจะทุกซอกทุกมุมแล้ว หากมีแรงเหลือสามารถเดินชมเมืองภูเก็ตยามค่ำกันต่อได้นะครับ

หวังเล็กๆ ว่ารีวิวนี้ น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังวางแผนท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตไม่มากก็น้อยนะครับ หากติดปัญหาอะไร สามารถสอบถามหลังไมค์มาได้เลยครับ ยินดีตอบทุกคำถามที่ตอบได้ครับ

สุดท้ายนี้เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt/ ขอบคุณครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565 เวลา 14.10 น.

ความคิดเห็น