ສະບາຍດີ…

ไม่ว่าจะสบายดีจริงมั้ย

แต่ทริปนี้บอกได้เลยว่าหัวใจสบายดีและได้พูดว่า "สบายดี" แน่นอน เพราะนี่คือคำทักทายของคนประเทศลาวยังไงล่ะ และแน่นอนว่า ทริปล่าสุดนี้เราแบกเป้ 1 ใบ กับหัวใจ 1 ดวง ไปผจญภัยในโลกกว้างที่ประเทศลาว

สมาชิกในทริปก็เยอะเหลือเกิน...

มีทั้งหมด 2 คนถ้วน คือเราและน้องเรานั่นเอง

ขอเล่าย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นทริปนี้ก่อนว่า.. มันเกิดจากการที่เราเหมือนคุยเล่นๆ ตั้งแต่ปี 2018

จู่ๆ ก็มีประโยคที่ว่า “อยากไปเที่ยวลาวว่ะ”  หลังจากนั้นก็คุยกันจริงจังเลยเว้ย ว่าเราจะไปช่วง ก.ค. 62 ที่มันมีวันหยุดยาวๆ นั่นแหละ ตอนนั้นน้องเราติดอย่างเดียวว่า “พี่ ถ้าผมติดทหารก็อาจจะไม่ได้ไปนะ” ตอนนั้นก็ลุ้นแหละว่าน้องเราจะติดมั้ยนะ สรุปก็คือ รอด!! เพราะน้องเรารอบอกไม่ถึง เรียกง่ายๆ ว่า ตัวเล็กนั่นแหละ เลยได้วางแพลนกันอย่างจริงจัง

เริ่มจากการศึกษาหาข้อมูลการเดินทาง เลือกเมืองที่จะไปคือมันเลือกยากจังเว้ย ที่ไหนๆ ก็น่าไป สุดท้ายไปสรุปจบด้วย “หลวงพระบาง วังเวียง และเวียงจันทร์” ในเวลา 5 วัน 4 คืน !!

เราจองตั๋วเครื่องบินกับสายการบินลาวแอร์ไลน์ บินจากสุวรรณภูมิ ไปลง หลวงพระบาง (จริงๆ แอร์เอฯ เค้าก็มีโปรเยอะนะ แต่ที่เราเลือกสุวรรณภูมิเพราะมันใกล้บ้าน ก็จ่ายแพงกว่านิดนึงแลกกับการไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นไปดอนเมือง) ส่วนไฟล์ทกลับเลือกลงดอนเมือง เพราะกลับแล้วอะ จะลงไหนก็ได้ไม่ซีเรียส

ป้ะ ป้ะ เดินทางกันเถอะ !!

Day 1 ສະບາຍດີ…ຫຼວງພຣະບາງ

เราเดินทางด้วยสายการบิน ลาวแอร์ไลน์  ไฟล์ทบิน 10.25 น. ถึงหลวงพระบาง เที่ยงกว่าๆ ก็จำเวลาแน่นอนไม่ได้ ตอนอยู่บนเครื่องกำลังจะหลับเหมือนโดนแม่ปลุกมากินข้าวอะ เพราะแอร์คนสวยเดินมาเสิร์ฟอาหารว่าง อ้ออ บนเครื่องมีเสิร์ฟเบียร์ลาวด้วยอะ  ดีจังง

หลังจากผ่านตม.มาแล้ว ก็ไปแลกเงินและซื้อซิม ซิมนี่จะซื้อด้วยเงินไทยก็ได้นะ เราซื้อแบบ 10GB 150 บาท เอาจริงก็ใช้ไม่หมดหรอก แล้วก็แลกเงินไทยไว้ 3,000 บาท ราวๆ 8 แสนกว่ากีบ (รู้สึกรวยจังอ่า จับเงินแสนนนนน 55555555)

หลังจากมีเงินแล้วก็ไปที่พักก่อนล่ะ เพราะเป้ใบใหญ่ที่แบกมาก็หนักเหลือเกิน เราใช้บริการแท็กซี่ (ที่เป็นรถ mini van) คนละ 20,000 กีบ ไปส่งถึงที่พักเลย

         

วันแรกเราพักที่ “มายลาวโฮมสเตย์”

ที่พักน่ารัก เดินไปข้างหลังก็คือแม่น้ำ ถนนข้างหน้าถ้าเดินต่อไปอีกนิดก็คือมีย่านร้านค้า ของกิน และวัด ซึ่งกว่าจะรู้ว่ามีทุกอย่างอยู่ตรงที่พักตัวเองก็คือ ปั่นจักรยานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันน่าดู  คือด้วยความงกเราเช่าจักรยานแถวที่พักมา แต่เช่าคันเดียวแล้วซ้อนไปด้วยกัน คือตอนน้องขับก็ดูปลอดภัยดีอะ พอเป็นเราเท่านั้นแหละ แงงงง จะรอดมั้ยว๊า แถมถนนที่นี่ไม่เหมือนบ้านเราตรงที่ เขาขับเลนขวากันนนนน สับสนและมึนงงไปชั่วขณะ 

ปั่นไปปั่นมา ไม่รู้ร้านอาหารที่นี่มันไปอยู่ที่ไหนกัน เลยได้แต่แวะแชะรูปไปเรื่อยๆ

สุดท้ายมาเจอย่านน่ารักแถวที่พักนี่แหละ

เอาล่ะ..

หิว ไปกินมื้อเที่ยงกันเถอะ และแน่นอนมาถึงลาวทั้งที !! ต้องกินนนน “พิซซ่า” ใช่ อ่านกันไม่ผิด พิซซ่าค่ะ55555555 เพราะไม่รู้จะกินอะไรแล้วจริงๆ หาร้านข้าวไม่เจอเลยหรืออาจจะไปไม่ถูกแหล่ง แต่หิวแล้วอะ กินเหอะ อย่าเลือกเยอะเลยเดี๋ยวไม่ได้กิน

หน้าตาพิซซ่ามันก็จะประมาณนี้... กินไปกินมาก็อร่อยดี 

 จบมื้อแรกที่ลาวไปด้วยราคา 140,000 กีบ โดยประมาณ
ตอนแรกก็ตกใจ หู้ยยยย แพงจังอะ พอแปลงค่าเป็นเงินไทย ก็ประมาณ 400-500 บาท เอ้อออ

 แต่ก็ ห๊ะ !! แพงอยู่ดี...

ต่อค่ะต่อ... ไปวัดพระธาตุพูสี ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงพระบาง มีค่าเข้าชม คนละ 20,000 กีบนะ

เราสามารถเดินขึ้นไปบนยอดเขาพูสีได้ไม่ยากเพราะมีบันไดเป็นขั้นๆ รวมกันแล้วก็ประมาณ 328 ขั้นเท่านั้น เน้นว่า 328 ขั้นเท่านั้น (อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าเป๊ะมั้ย ไปลอกมาจากกูเกิ้ลเหมือนกัน) เบๆ ชิวๆ สิวๆ แต่ลงมาแล้วขาสั่น 555555 จะสูงกี่ขั้นก็ช่างเหอะ แต่มันเดินง่าย คุณลุงคุณป้าแก็เดินไหว และที่สำคัญวิวข้างบนนี้มันดีมากกกกกกก

ตรงนี้เรียกว่ามุมมหาชนเลยทีเดียว เราไม่รีบเลยรอให้คนอื่นถ่ายเสร็จ แล้วค่อยมาถ่ายชิวๆ มองวิวไปเรื่อย

หลังจากถ่ายรูปและชื่นชมวิวทิวทัศน์กันจนอิ่มอกอิ่มใจ ก็เดินลงไปข้างล่าง เห็นเค้ากำลังตั้งตลาดกันพอดี แต่ก็กำลังตั้งเลยยังไม่มีอะไรให้ดู เลยคุยกันว่าเรากลับไปที่พักไปหาวิธีเดินทางที่จะไปวังเวียงพรุ่งนี้กันดีกว่า


เรามาถามที่ Reception ที่พักเราก่อน สรุปเค้ามีคำตอบให้เราจริงๆ ก็คือ เดี๋ยวเค้าจองให้แล้วมีรถมารับที่ที่พักเลย ค่ารถคนละ 120,000 กีบ มั้งนะ

ถ้าจำไม่ผิด แต่ว่ารอบรถที่จะไปก็คือ 08.00 น. จริงๆก็ไม่ติดอะไรแหละ แต่เสียดายเวลา กะว่ามีรอบสายๆหน่อย เช้าจะได้เที่ยวหลวงพระบางอีกนิด

พอเราได้รถสำหรับพรุ่งนี้แล้ว ไม่รู้จะไปไหน เลยว่าจะเอาจักรยานไปคืนแล้วเปลี่ยนเป็นเดินแทน เริ่มเย็นแล้วอากาศก็เย็นๆ กำลังดี ฟีลแบบเหมือนทางภาคเหนือที่ไทยอะค่ะ น้องบอกว่าฟีลเหมือนเชียงคานเลย

มาเดินเล่นตลาดไม่รู้เรียกว่าไร ถนนคนเดินรึป่าวนะ แต่ของน่ารักเยอะเลย ส่วนมากก็จะขายซ้ำๆกัน เป็นเสื้อ กระเป๋า พวงกุญแจ ของจุกจิกต่างๆ

เดินเล่นไปรอบนึงก็ไปหาอะไรกิน (อีกแล้ว) เดินเข้าตรอกซอกของกิน ไปๆมาๆ จบที่อยากกินปลา และมาถึงหลวงพระบางก็ต้องกินตำหลวงพระบางแล้วป้ะแกรรรรร

ท้องอิ่มสบายใจ กลับไปพักที่ที่ห้อง ไม่รู้จะไปไหนกันดี เอาจริงๆก็มีที่ให้ไปแหละ น้ำตกอะไรสักอย่างแต่มันไกลไปหลายกิโล ประกอบกับมืดแล้ว เลยไม่รู้จะไปไหน

พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันใหม่... แอบเสียดายเหมือนกันแหละ ยังไม่ค่อยจุใจกับที่นี่เลย...


Day 2 ดีจัง.. ที่วังเวียง

 วันนี้เราตื่นแต่เช้า เพราะตั้งใจว่าจะหาอะไรกินกันก่อนที่รถจะมารับ เลยได้ไปเดินเล่นตลาดเช้า ส่วนมากจะเป็นของสด พวกพืชผักซะมากกว่า แทบไม่ค่อยมีอะไรให้กิน

แต่อยากจะบอกว่าใจเราอะ วนเวียนอยู่กับร้าน ร้านนึง ได้แต่เดินผ่านแล้วก็มองว่าร้านนี้น่ารักจัง ชอบจังอะ จะแพงมั้ยนะ แต่ก็คุยกับน้องว่า "ถ้าเราอยากเข้า แล้วเราไม่เข้า เราจะเสียใจมั้ยนะ" เราคงเสียใจแน่ๆ เพราะที่นี่มันคือหลวงพระบาง ประเทศลาว ไม่ใช่ร้านหน้าปากซอยที่จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ พอคิดได้งี้ก็เลยตัดสินใจทานมื้อเช้ากันซะที่นี่แหละ

หลังจากอิ่มแล้วก็รีบกลับไปที่พัก เอาจริงน่าจะห่างไปไม่ถึง 50 เมตรเองด้วยซ้ำ แต่ต้องไปเช็คเอ้าท์และเก็บของให้เรียบร้อย รถมารับเราประมาณ 08.15 เป็นผดส.กลุ่มแรก เลยต้องวนไปรับคนอื่นๆอีกหลายที่ กว่าจะออกจากหลวงพระบางจริงๆ ก็ราว 9 โมงเศษ

ด้วยเส้นทางที่ลาดชันบวกกับโค้งที่เรียกว่าปราบเซียนเหมือนกัน โชคดีที่เลือกนั่งหน้า ไม่งั้นคงมึนหัวแย่เลย เราแก้ปัญหาด้วยการหลับค่ะ หลับเท่านั้นชนะทุกสิ่ง 555555

แต่ก็นะ.. หลับๆ ตื่นๆ มองวิวก็อุทานกันไปว่า สวย สวยมากกกก สวยจังอะ โอ้โห มองทางไหนเขาก็สวย สักพักก็มาถึงจุดพักรถ

นั่งรถ หลับๆตื่นๆ จนมาถึงวังเวียง เวลาประมาณ บ่าย2 น่าจะได้ ไม่รู้ว่าส่วนไหนของวังเวียงเหมือนกัน แต่กดในกูเกิ้ลแมพแล้ว ที่พักห่างจากจุดที่ลงรถประมาณ 500 เมตร เราเลยเดินไปที่โรงแรมก่อน แต่ว่าไอ้ระหว่างทางที่เดินเนี่ย ไปเจอภูเขาตรงหน้า โคตรสวยจนอดตื่นเต้นที่จะเรียกน้องให้ถ่ายรูปให้

เรามาถึงโรงแรมชื่อ Silver naga hotel ค่อนข้างดูดีเลยแหละ ตอนแรกเราไม่ได้จองห้องที่มีวิวไว้ แต่พนง.โรงแรมบอกว่า "อยากให้ลูกค้าได้พักและเห็นวิวที่สวยงาม เลยอัพเกรดห้องให้โดยไม่คิดเงินเพิ่ม" คนลาวน่ารักจังอะ ฮืออออ

และมันดีจริงๆ ที่เขาอัพห้องให้เรา.....

หลังจากเก็บของเสร็จ ก็ไปหาข้าวกิน เพราะหิวกันมากเลย ตอนพักรถไม่กล้ากินอะไรกัน เพราะกลัวอ้วก เดินออกมาจากตรงโรงแรมเจอร้านนี้ก็เลยเลือกร้านนี้แหละ ขี้เกียจเดินดู เพราะหิวกันแล้วจริงๆ

ท้องอิ่มก็ไปต่อ เดินเล่นในเมืองนี่แหละ.. เลยชวนกันไปตรงสะพานที่เรามองเห็นจากห้องพัก

เรียกได้ว่า ทริปนี้ เดินเก่งงงงง เดินเก่งเหลือเกิน ตอนแรกตั้งใจว่าเดี๋ยวเดินไปซื้อเบียร์ไปนั่งกินชิวๆที่ระเบียงห้องกัน แต่ต้องยอมรับว่าเมืองนี้ร้านน้ำปั่นเยอะมาก จนอดไม่ได้ที่จะสั่งมากินคนละแก้ว

เห็นตรงนี้เหมือนจะเป็นตลาดนะ ระหว่างรอเค้าตั้งก็ไปเดินเล่นรอบๆเมืองกัน

เราเดินเล่นไปเรื่อยจนไปเจอลานกว้างๆ ไม่รู้ว่าเป็นลานอะไรเหมือนกัน แต่เจอบอลลูนลูกเบ้อเริ่มเลยยย สวยจังอ่าาา

ก่อนกลับเข้าโรงแรมซื้อเบียร์มาขวดนึง (อ้ออ ลืมบอกว่าแอบชิมเบียร์ตอนอยู่หลวงพระบาง มันดีจริงๆอะ ปกติเราเป็นคนไม่ดื่มเพราะไม่ชอบที่มันขม แต่นี่คือลื่นๆ นิ่มๆ ทำเอาคนไม่ดื่มอย่างเราหลงรักไปเลย) แต่พอมาถึงที่โรงแรมเปิดตู้เย็นจะเอาเบียร์แช่ พบว่า ในห้องก็มี 5555

ฟีลแบบนี้มันดีจังอะ เหมือนร่างกายและหัวใจได้พักผ่อน ในสมองมีแค่ว่าพรุ่งนี้ได้จะได้เห็นอะไรอีกนะ นั่งคุยนั่งจิบกันไป จนแม้แต่ฝนตกก็ยังไม่ลุกไปไหนกัน

เพิ่งรู้ว่าการดื่มเบียร์.. มันก็ช่วยเยียวยาหัวใจและความรู้สึกแย่ๆได้เหมือนกัน
คืนนี้นอนหลับฝันดี เพราะอากาศดี สถานที่ดีๆ.. เก็บแรงไว้พรุ่งนี้ ต้องไปลุยของจริงแล้วนะ !!

Day 3 ที่สุดของการเดินทาง รักคุณจัง.. วังเวียง

อากาศยามเช้าที่วังเวียงนี่มันดีจริงๆ... ตื่นมาก็มองเห็นวิว พร้อมกับหลักฐานที่ยังคาโต๊ะของเมื่อคืนนี้

วิวเมื่อวานว่าสวยแล้ว พอตอนเช้าก็สวยไปอีกแบบ.. มองไม่เบื่อเลยยย

หลังจากสองพี่น้องตื่นนอนและอาบน้ำเรียบร้อย ก็ลงไปทานมื้อเช้า มื้อนี้ที่โรงแรมมีอาหารเช้าให้ เราเลือกเป็นไข่ดาว กับอีกอย่างน่าจะเรียกว่าข้าวเปียก จริงๆมันต้องโรยกระเทียมเจียวแต่ลืม

รองท้องเบาๆ แล้วไปลุยกัน.. แอบตื่นเต้นเหมือนกันว่าวันนี้จะได้เจออะไรบ้าง แต่น้องบอกว่า วันนี้เราน่าจะได้ลุยเต็มที่เลยแหละ

ก่อนอื่นก็ไปเช่ามอเตอร์ไซค์มาก่อน วันละ 70,000 กีบ ได้รถละก็ตั้ง GPS ไปลุยที่แรกคือ บลูลากูน ที่นี่มีถึง 3 ที่ เราเลือก บลูลากูน 3 ที่ที่ไกลที่สุดในโลเคชั่น ไปให้สุดๆกันไปเล้ยยยยยยย

ชีวิต.. สุดจริงว่ะ เพราะทางมันลูกรัง ถึง 95% ของการเดินทาง ฝุ่นมั่ง หลุมมั่ง ที่สำคัญสะพานที่ดูเหมือนจะร่วงหรือจะรอด

แต่วิวระหว่างทางนี่ก็สวยมากพอให้ดึงดูดเหมือนกัน.. ระหว่างเดินทางก็คุยก็ร้องเพลงกันไปเรื่อย เพลงที่ร้องกันบ่อยมากสุดก็.. ที่เธอเห็นแค่ฝุ่นมันเข้าตาาาาา 5555555

มาถึงแล้ววววว บลูลากูน3 ค่าเข้าคนละ 10,000 กีบ

แต่ด้วยความซน อยากรู้อยากเห็น อยากไปเรื่อย... เขามีป้ายว่าจุดชมวิวก็อยากไปดู เลาะๆเข้าป่าา

แต่ขึ้นไปไม่ถึง เพราะป่ามันค่อนข้างรกและชัน เลยว่าจะไปถ้ำกัน แต่ก็ไม่ได้เข้าอีก เพราะน้องบอกให้เดินกลับ เราไม่ได้ถามอะไรมาก มาถามตอนออกมาแล้ว น้องบอกว่า เจองูอยู่ตรงทางเข้า เลยเดินออกดีกว่า เผื่อเข้าไปเจออะไรมากกว่านี้ เพราะป่ามันก็รกจริงๆนั่นแหละ เลยกลับไปเล่นน้ำกันดีกว่า

เล่นได้ไม่นานก็ขึ้นแล้ว เพราะน้ำเย็นมากกกกก หนาวไปหมด เลยล้างตัวเปลี่ยนชุดแล้วไปต่อกันดีกว่า จุดหมายต่อไปตั้งใจว่าจะไปผาเงินกัน แต่หาไม่เจอว่าทางเข้ามันอยู่ไหน เพราะ gps มันบอกไม่ตรงทั้งหมด แต่ขับผ่านตรงนี้เลยแวะเข้าไปดูหน่อย

ตรงนี้ที่ว่าก็คือ ถ้ำน้ำบ่อแก้ว ผาบัว ต้องเดินเข้าไปประมาณ 5 นาที มีค่าเข้า 10,000 กีบ

เอาจริงมันมีถ้ำอะไรไม่รู้อะ แต่ทางเข้ามันแคบและชัน แถมมองไปแล้วมืดสุดๆ (ก็ถ้ำอะเนาะ) เรากลัวความมืดที่มันแคบอะ ไม่ชอบอะไรที่มันอึดอัด ใจแบบไม่เอาแล้ว น้องเราก็บอกว่า งานนี้ไม่เอาด้วยเหมือนกัน เพราะไม่มีนทท.คนอื่นนอกจากเราสองคนเลย กลัวเข้าไปแล้วมีไรเกิดขึ้นจะแย่เอา mission fail กันไป...

เริ่มหิว.. เลยว่าถ้าหาทางเข้าผาเงินไม่เจอก็คงไม่มีที่ไปแล้ว แต่ยังไม่ทันขาดคำ เจอทางเข้าพอดี แต่ก็หิวมากแล้วจริงๆ ก่อนจะลุย mission หลักวันนี้ คงต้องไปเพิ่มพลังให้ร่างกายกันก่อน ขับผ่านมาเจอร้านอาหารพอดี ในเมนูมีเขียนว่า ผัดไทยด้วยล่ะ น้องสั่งมา เราขี้เกียจคิดเลยสั่งตาม

และนี่.. คือผัดไทย.... ผัดไทยก็ผัดไทยวะ เค้าคงทำดีที่สุดแล้วจริงๆ T_T

หลังจากกินอื่มก็ไปขึ้นเขากัน เราซื้อน้ำขึ้นไปคนละขวด แล้วก็เริ่มเดินทาง... แรกๆก็ใส่เสื้อยีนส์กันยุง กันแมลง แต่ด้วยความที่เป็นป่าทึบ ทึบแบบแดดส่องลงมาแทบไม่ถึง ทำให้ต้องถอดเสื้อยีนส์เหลือแต่เสื้อกล้ามเดินล่อยุง

ระหว่างที่เดินๆก็บ่นๆกันว่า เราจะไม่เจอ นทท. คนอื่นเลยหรอ มันเหงาๆเหมือนกันแหะ เส้นทางค่อนข้างชันและเดินขึ้นตลอด น้องเราเดินนำเราเดินตาม สักพักเดินมาเจอพี่ฝรั่งพัก ก็ทักทายตามมารยาท แล้วเดินตามกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงจุดนี้ที่มีป้ายเขียนว่า จุดชมวิวที่ 1 ไปอีก 50 เมตร

เอาจริงป้ะ... 50 เมตร บ้าบออะไร แถมทางก็โหดกว่าตลอดเส้นทางที่ผ่านมา เพราะมีแต่หินและหินผา มีเชือกกั้น2ข้าง พอให้ใช้แรงดึงพยุงตัวขึ้น ต้องปีนป่ายกันสนุกเชียว เกิน 50 เมตรแน่ๆ เราขึ้นไปสูงประมาณนึง หันมองลงมาเห็นพี่ฝรั่งแกตามมาอยู่ ก็ถามเราว่า จะถึงหรือยัง เราก็ไม่เห็นเลยตอบว่ายัง เราก็ปีนป่ายต่อไปเรื่อยๆ ต้องบอกเลยว่า สุดจริงว่ะ !! เริ่มจะทำความเข้าใจไปเองแล้วว่า ชื่อ ผาเงิน นี้อาจจะมาจาก ผาที่มีแต่ก้อนหินสีขาวๆเงินๆ รึป่าวนะ

และนี่คือภาพที่ได้เห็นหลังจากผ่านผาหินนั้นมา..

แอบเสียใจแทนพี่ฝรั่งที่แกเดินขึ้นมาไม่ถึง เพราะไม่เห็นแกอีกเลย ทั้งๆที่อีกนิดเดียวแท้ๆ หรือเราไม่น่าบอกเลยว่า ยังไม่ถึง หลังจากพักเหนื่อยกันแล้ว ก็รีบกลับลงไปข้างล่างกัน เพราะฟ้าเริ่มใกล้มืดแล้ว จะไปต่อจุดที่ 2 คงไม่ทันตะวันตกดินเป็นแน่ เดินป่าตอนมืดคงไม่ไหว..

ตรงที่ว่าชันๆอะไรก็ไม่ค่อยได้ถ่ายนะ เพราะต้องรักษาชีวิตตัวเองก่อน55555 หลังจากลงมาในสภาพเหงื่อชุ่มๆ อย่างกับเอาน้ำราดตัวหรือไม่ก็กลับไปโดดน้ำมาอีกรอบแหน่ะ

กลับโรงแรมไปพักกันดีกว่า นอนพักกันสักแปบ เราก็ออกมาดูวิวข้างนอก ทำให้ได้พบกับภาพเหล่านี้

หลงรักคุณเข้าแล้วสิ.. วังเวียง คุณมีความน่ารักแต่ละช่วงเวลาไม่เหมือนกัน ทำให้เราไม่เบื่อเลย

ค่ำๆ เราสองคนก็ออกไปหาข้าวกิน มื้อนี้จบด้วยหมูกระทะ ใช่จ้ะ หมูกระทะ ฟีลแบบ อยากกินไรปิ้งๆย่างๆ แต่ไม่ได้ถ่ายไว้ หิว5555 กินเสร็จก็กลับเลย เพราะเหนื่อย

วันนี้เหนื่อยมามากจริงๆ... แต่ก็แอบภูมิใจอยู่เล็กๆนะ ว่าการที่เราออกไปวิ่งออกกำลังกายเกือบทุกเย็น มันเห็นผลลัพธ์ชัดเจนก็วันนี้ เพราะเราเคยไปขึ้นภูสอยดาว แล้วสภาพร่อแร่มาก แบบเกือบจะกลับลงมาไม่ถึง ปีนี้แพลนว่าปลายปีจะไปพิชิตเขาหลวง สุโขทัย คิดว่าถ้าผ่านผานี้ไปได้ เขาหลวงก็น่าจะเป็นไปได้แล้วล่ะ

วันนี้รู้สึกรักตัวเองจัง :')

Day 4 วันและค่ำคื่นแห่งการอำลา ณ เวียงจันทน์

               วันนี้เราต้องเดินทางออกจากวังวียง.. เพื่อไปยังเวียงจันทร์ รึ เวียงจันทน์ เขียนยังไงหว่า              เราจองรถกับทางโรงแรมคนละ แสนกว่ากีบ จำไม่ค่อยได้ว่าเท่าไหร่แน่ แต่มีรถมารับถึงโรงแรม เราเลือกรอบ 10.00 น.

หลังจากอาบน้ำ ทานข้าว เก็บของเรียบร้อยก็ลงมานั่งรอที่ล็อบบี้ ไม่นานนักก็มีรถมารับพวกเราไปที่คล้ายๆกับ บขส. บ้านเรา โดยมีนทท.คนอื่นๆ ด้วย

รถค่อนข้างคันเล็ก และแคบเหลือเกิน (เหลือเกินจะทน) ลักษณะเป็นเหมือน mini van เก่าๆ ถ้าบ้านเราก็จะพูดว่า วินเทจหน่อยๆ จะอึดอัดขึ้นก็ตรงที่เราวางกระเป๋าไว้กับตัวตลอดการเดินทาง มีแวะพักรถ 1 ครั้ง ก่อนจะเดินทางมาถึงที่เมืองเวียงจันทร์ในเวลาประมาณ 14.00 น.

แดดค่อนข้างร้อนจัด และไม่รู้ด้วยว่าที่เค้าปล่อยให้เราลงนี่ มันคือตรงไหน... เลยกด Google map ว่าที่พักเรามันห่างไปไกลไหม ...คำตอบที่ปรากฏ คือ ระยะทาง 2 กม. จากตรงนี้ ถ้าเดินเท้าก็นับว่าไม่ไกลเท่าไหร่ แต่อุปสรรคสำหรับเราตอนนั้น ก็คือ อากาศที่มันช่างร้อนระอุ ไม่ต่างจากบ้านเรานัก.. และสัมภาระใบใหญ่ที่สะพายไว้คนละใบ กับกล้องคนละตัว

              เราเดินตาม google map เรื่อยๆ พิกัดของเราคือ โรงแรมดวงจันทร์พลาซ่า เจ้าggm พาเราเดินลัดเลาะ เข้าตรอกซอกซอยจนสุดท้ายก็มาถึงที่โรงแรมจนได้ แต่ถึงในสภาพที่แบบเหงื่อชุ่มๆ ชุ่มยิ่งกว่าโดดน้ำที่บลูลากูนไปอีก ผมเผ้าดูไม่เป็นทรง เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะ

             หลังจากเช็คอิน เก็บของและนั่งพักให้พอหายเหนื่อย ก็ไปหาอะไรกินกัน.. ด้วยความที่ไม่รู้จะกินอะไรดี เดินผ่านร้านที่มีป้ายเขียนว่า ส้มตำ อะไรแนวๆนี้ แต่พอเดินเข้าไป เค้าบอกกับเราว่า “มีแต่เฝออย่างเดียวนะ” เฝอ คืออะไรวะ ไม่เคยกิน เคยได้ยินอย่างเดียว มองหน้ากันเลิ่กลั่ก กินหรือไม่กิน ยังไงดี ด้วยความที่ ศักดิ์ศรีมันค้ำคอเข้าแล้วออกไม่ได้ (น้องว่างี้) เลยลองกินดูแล้วกัน

พอเฝอมาเสิร์ฟ มองหน้ากันแบบงงๆ ว่ากินยังไงวะ คิดอะไรไม่ออก ถามพี่ goo…gle เราเขี่ยๆ เนื้อในชามไปมา แล้วก็คิดว่า นี่มันหมูหรือเนื้อ ทำไมสีมันเหมือนเนื้อเหมือนกันนะ (เราเป็นคนไม่ทานเนื้อ) น้องก็บอกว่ากลิ่นก็คล้ายๆเหมือนกันนะ เราเลยตัดสินใจถาม

“นี่หมูหรือเนื้อวัวคะ”

“เนื้อวัวจ้ะ”

อื้อหืออออออ นั่งกินผักไปอย่างเศร้าใจ 5555555

หลังจากนั้นก็เดินไปที่ประตูไชย ภาษาลาว เขาเอิ้น ประตูไซ ถ่ายรูปกันสักแปบ

ตอนแรกก็กะว่าจะไปพระธาตุหลวงต่อ เห็นยอดพระธาตุอยู่ลิบๆ แต่กว่าจะไปถึงก็คงปิดแล้ว เพราะนี่ก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ได้แต่ยกมื้อไหว้ อธิษฐานในใจ... (ส๊าาาาาา ธุ !)

....วันนี้ไม่มีแพลนแล้วล่ะ จะไปไหนกันดีนะ งั้นไปหาเครื่องดื่มแล้วนั่งพักสักหน่อย เหมือนเดิมค่ะ.. ถามพี่google อ้ออ ลืมบอกว่า เย็นนี้พวกเรามีนัดกับเพื่อนชาวลาว ซึ่งเราก็เตร็ดเตร่รอเวลาให้พวกเค้ามารับนี่แหละค่ะ

มาถึงแล้วววววว ร้านน่ารัก บรรยากาศดี... ร่างกายต้องการสิ่งนี้ ระหว่างที่รอเครื่องดื่มที่สั่งก็อดไม่ได้ที่จะเปิดฝาเลนกล้อง แล้วถ่ายรูปกัน

พักกันได้พอหายเหนื่อย เวลาล่วงเลยจวนจน 5 โมงเย็นแล้ว(มั้ง) ก็แอบเพลียกันประมาณนึงเลยกลับไปนอนหลับสักตื่น พักฟื้นร่างกาย และ.. รอเพื่อนมารับ

รอ แล้ว รอเล่า... เพื่อนน้องมาแล้ววววว เย่ เพราะเราสองคนหิวกันมากนั่นเอง (โดยเฉพาะคนพี่ที่ทั้งวันได้กินแต่ผักกับโกโก้555) ขอใช้คำเรียกพวกเขาว่า เพื่อนแล้วกันนะ หลังจากเจอกันทักทายกันก็ไปทำความรู้จักกันบนรถ เพื่อนเขาพาเรามาที่ร้านแถวๆริมน้ำโขง บรรยากาศดีเชียวแหละ สั่งกับข้าวมากินและคุยสัพเพเหระไปเรื่อย ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเบียร์ลาวนี่แหละนะ อิอิ

ถ่ายมาไม่ค่อยจะชัดหรอก เอาจริงป้ะ เราว่าคืนนั้น เราก็มึนๆ (ไม่น่าจะถึงกับเมา) ถ่ายมาเป็น10รูป ไม่ชัดสักรูป ฮือออออ เนี่ย ชัดสุดละ และอยากบอกว่า คนลาวชนเก่งงงงงง ที่นี่คือจะชนทุกครั้งที่จะยกแก้วดื่ม ชนแล้วชนอีก บ้านเขาเอิ้นว่า "ตำจอก"

แก... เราไม่คิด และไม่รู้เลยว่า อีกฟากฝั่งนึง นั่นคือ ไทย (จ.หนองคาย) พอรู้แบบนี้แล้วก็เกิดอาการใจงอแงอะ 5555 ใจงอแงในที่นี้ก็คือ ยังไม่อยากกลับเลย ยังอยากเที่ยวอีก อยากผจญภัยอีก นั่งคุยกันไปกันมา.. ว่าได้ไปไหนมาบ้าง ไปนั่นมาไหม ไปนี่มายัง ไปๆมาๆ มันจะเกิดทริปลาวอีกรอบรึป่าวนะ ^^

หลังจากนั่งจนร้านเค้าปิดรับออเดอร์ ปิดไฟ เก็บร้าน เราก็ยังอยู่ค่ะ 55555 อยู่แปบเดียว เพื่อนๆเค้าก็ถามว่า ไปกินข้าวเปียกไหม มาลาวได้กินข้าวเปียกหรือยัง อีกแล้วววว อะไรคือข้าวเปียก อื้อออ กินก็กิน !!

และขับรถมากินข้าวเปียกรอบดึก ประมาณเกือบ เที่ยงคืน .... รอบดึกจริงๆ 555

เอ่อ เราว่าเราเลยมึนไปอีกนิดอะ ถ่ายข้าวเปียกยังไม่ชัดเลย เห้อ ท้อใจ 555

เซลฟี่เก็บไว้เป็นภาพสุดประทับใจในค่ำคืนนี้

คืนนี้สนุกจัง

คำพูดที่เราได้ยินน้องพูด แล้วอดคิดตามไม่ได้ว่าคืนนี้สนุกจริงๆ

สนุกที่มีเพื่อนคุย มีเพื่อนแลกเปลี่ยนความคิด แชร์ แบ่งปัน และได้รู้จักอะไรใหม่ๆมากขึ้น

ยิ่งดึกก็ยิ่งใกล้เช้า ยิ่งใกล้เช้าก็คือ.. ต้องกลับแล้ว... แต่ตอนนี้ ต้องหลับแล้ววว ZZzz


Day 5 กลับบ้านเรากันเถอะ..

         งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา... แต่จะเลิกลาด้วยความรู้สึกยังไงนั้น ก็คงมีแค่เราที่รู้สึกอยู่ในใจ

วันนี้ไม่ได้หยิบกล้องออกมาถ่ายรูปเลย มีเพียงรูปถ่ายจากโทรศัพท์นะคะ และขอเล่าเรื่องผ่านตัวหนังสือเป็นส่วนใหญ่แล้วกัน

วันสุดท้ายของการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพื่อนบ้าน... เอาจริงๆ มาเที่ยวครั้งนี้ก็แทบไม่ได้มีแพลนอะไรมากมาย แบบนี้ก็สนุกดีไปอีกแบบ แม้จะแอบเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้ไปแลนด์มาร์กสำคัญๆ ก็เถอะ แต่เราคงจะเสียใจแน่ๆ ถ้าการเดินทางมันไม่มีความตื่นเต้น สนุก หรือการได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปกับเพื่อนร่วมทางของเรา

เช้านี้.. เราค่อนข้างจะตื่นสายกันนิดนึง เพราะวันนี้ไม่ได้มีแพลนอะไร นอกจากการเดินทางกลับไทย..

ตื่นนอนมาก็แอบแชะไปหนึ่งรูป อิอิ

แถมเมื่อคืนมีคนไม่อาบน้ำ 555555

หลังจากตื่นนอน อาบน้ำลงมาเช็คเอ้าท์ (จริงโรงแรมนี้มีอาหารเช้านะ แต่เราลงมาสายไป5นาที เค้าปิดไปแล้ว)

แล้วก็มุ่งหน้าไปที่ตลาดเช้า (ตลาดเช้าคือจุดขึ้นรถ จะเป็นเหมือนป้ายรถเมล์หรือ บขส.บ้านเรา มีรถจอดหลายๆ สาย หลายคัน) เพื่อขึ้นรถไปยั่งเขตข้ามแดน ไทย-ลาว

จากโรงแรมเราเลือกวิธีเดินทางสุดแสนจะสะดวกสบายที่สุด.. นั่นคือ..... การเดินเท้า และใช่ เดินกันแต่เช้าเลย ด้วยระยะทางเพียง 2 km. ไม่หวั่นอยู่แล้ววววว (มั้ง5555) ก็แอบหนักสัมภาระใบโตกลางหลังนี่แหละ

เดิน เดิน และเดิน...ตาม google map ไปเรื่อยๆ ยังยืนยันเหมือนเดิมว่า สิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดสำหรับเวียงจันทร์ก็คือ การข้ามถนน T_T คือปกติก็เป็นคนข้ามถนนไม่ค่อยเก่งอยู่แล้วอะ

หลังจากเดินตาม google map มา ก็มาถึงจุดที่เรียกกันว่า ตลาดเช้า ที่นี่เราไม่ได้ถ่ายรูปไว้นะ แต่หน้าตาก็อย่างที่บอกเหมือนป้ายรถเมล์บขส.บ้านเรา แล้วก็จะมีเหล่าคนขับแท็กซี่หรือสามล้อ ที่จะชอบมาถามเราว่า ไปสะพานข้ามแดนเท่านั้น เท่านี้ รถออกเลยนะ ไปไหม ตอนแรกถามเราว่าคนละ 200 ไปไหม เราส่ายหน้าและปฏิเสธเค้าก็ไม่ตื๊อแบบคนไทยบ้านเรานะคะ ไม่เอา คือ ไม่เอา จบเลย

เราเลือกขึ้นรถเมล์ มีคุณลุงเดินมาถามว่าจะไปไหน เลยบอกจะไปสะพานข้ามแดน เค้าก็บอกขึ้นคันนี้ๆ แล้วก็เดินไปเลย.. ก็งงๆ ใจดีกันจังแฮะ ! ค่ารถเมล์ราคา 8,000 กีบ หรือจะจ่ายเป็นเงินไทยก็ได้ ประมาณ 30 กว่าบาท เราเลือกจ่ายเป็นเงินกีบ เพราะตอนนั้นเหลือประมาณ หมื่นกว่ากีบพอดี จะได้ใช้ให้หมด (พอจ่ายค่ารถแล้วนึกถึงคุณลุงแท็กซี่ลาวเรียกคนละ 200 อย่างโหดเลยย)

ขอเล่าเกี่ยวกับรถเมล์ที่เราขึ้นไปยังเขตข้ามแดน เราว่าที่นี่Service ดีนะ เช่นถ้าที่นั่งว่างพนง.จะเรียกให้ผู้หญิงไปนั่ง หรือถ้ามีใครวางของ หรือมีเด็ก เค้าจะถามว่าจะจ่ายเงินเพิ่มเป็น2คน หรือจะให้เด็กนั่งตัก ถ้านั่งตักก็ไม่เสียเงิน ก็ตอนแรกเราขึ้นไปแล้วที่มันเต็ม เค้าก็หาที่นั่งให้เรากับน้องจนได้อะ น่ารักจัง T_T

ประมาณสักครึ่งชม. (ราวๆนั้น) ก็มาถึงเขตข้ามแดน พอมาถึงตรงนี้ก็เตรียมพาสปอตให้พร้อมนะคะ เพราะเราจะได้ข้ามกับฝั่งไทยกันแล้ว... กลับแล้วจริงๆนะ  

พอข้าม ตม. มาแล้ว ก็ต้องขึ้นรถต่อค่ะ เพื่อข้ามไปยังฝั่งไทย (จ.หนองคาย) ก็ไปซื้อตั๋วคนละ 5,000 กีบ หรือเปล่าไม่แน่ใจ หรือจะจ่ายเงินไทยก็ได้ค่ะ แล้วก็รอเค้าเรียกขึ้นรถ ส่วนเราเดินมาซื้อน้ำกินดับร้อนกันหน่อย มองมาจากร้านค้าก็จะเป็นมุมนี้ รถที่ขึ้นก็ประมาณคันสีเขียวๆในรูปนะคะ

ขึ้นรถกลับบ้านกัน....

ไทย-ลาว แค่แม่น้ำสายเดียวกันเองเนอะ ไว้จะมาอีกนะ..

นั่งรถไม่นาน.. ไม่แน่ใจว่าตรงไหน เริ่มรู้สึกว่า รถเปลี่ยนไปขับเลนซ้ายแล้ว นั่นก็หมายความว่า กลับถึงประเทศไทยแล้วจริงๆ แถมตอนนั้น ไลน์กรุ๊ปที่ทำงานดังขึ้น พร้อมกับข้อความ ของหัวหน้าที่บอกว่า "กลับมาทำงานได้แล้ว เพื่อนๆให้อภัยแล้ว" มันอดขำไม่ได้จริงๆ อื้อออ กลับไปทำงานแล้วก็เก็บเงินมาเที่ยวใหม่กันเถอะ ^^

พอมาถึงฝั่งไทย ก็เดินมาซื้อตั๋วรถ เพื่อไปยังสนามบินอุดรธานีค่ะ

แท็กซี่ก็มีนะ เผื่อใครสะดวกแบบนี้.. ต่อรองราคากันดีๆล่ะ พอเห็นเราเดินออกมาปุ๊บ ก็ชาร์จทันทีแถมลูกตื๊อเยอะเหลือเกิน...

ไปไหน สนามบินคนละ 400 = เงียบ เดินต่อไป

300 ก็ได้ = เงียบ และเดินต่อ..

250 อ่ะ =  ไม่ไปค่ะ ขอบคุณค่ะ

ส่วนตัวเราสะดวกแบบนี้ค่ะ.. นั่งรถตู้คนละ 200 สบายใจ

พอมาถึงสนามบินอุดรก็หาข้าวกินกัน ถ้าใครไม่สะดวกข้างในที่ราคาแพง(เราว่ามันแพง) ก็ออกมาข้างนอกอาคารผดส. ฝั่งโซนร้านอาหารนี่แหละค่ะ เดินออกมาจะมีเป็นร้านอาหารตามสั่งอะไรพวกนี้ด้วย ราคาไม่ถูกนัก แต่ก็ไม่แพงเท่าในสนามบินแน่นอน

กลับละ... บ้ายบาย..

ทริปนี้... เดินทางกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ (แม้จะมีแผลฟกช้ำเล็กน้อยจากการเดินป่าและปีนผาก็เถอะ)

เราว่าเราสนุกและตื่นเต้น ตลกตัวเองเหมือนกันตอนที่ต้องไปทำอะไรทุลักทุเล อย่างเช่น การไปบลูลากูน เดินเข้าป่า เดินขึ้นผาเงิน ตอนนั้นมันก็มีทั้งกลัวและตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็น อยากเจอ อยากบอกตัวเองว่า สู้ๆ ไปอีกหน่อยสิ มันต้องคุ้มค่าเหนื่อยเธอแน่นอน แล้วมันก็คุ้มจริงๆนะ มันชื่นใจนะเวลาไปเห็นภาพสวยๆ หรือเจออะไรดีๆ ที่ปลายทาง หรือต่อให้สิ่งที่ไปเจอไม่ได้เป็นแบบที่คาดหวัง เราว่าระหว่างทางมันก็น่าจดจำไม่แพ้กัน

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงการเดินทางวันสุดท้ายของทริปนี้ค่ะ ขอให้เที่ยวให้สนุกนะคะ ^^ สนับสนุนให้ทุกคนออกเดินทางค่ะ เย่ !!

ไปเถอะ โลกข้างนอกมันสวยกว่าอ่านหนังสือ หรือ ดูภาพจากวิวแน่นอน


แวะมาสรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ค่ะ

ค่าเครื่องบิน ไป-กลับ =  4,650 บาท (ขาไป BKK - LPQ / ขากลับ UTH - DMK)

ค่าที่พักรวม 4 คืน  = 2,280 บาท

ค่าอาหาร(รวมค่าเบียร์ด้วย) ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว ค่าเช่ารถ ค่าเดินทางต่างๆ ที่แลกเป็นเงินลาวไป = 3,000 บาท

ค่าซิม 10 GB ใช้ได้นานสุด 10 วัน = 150 บาท

ค่ารถตู้จากด่านหนองคาย-สนามบินอุดรฯ = 200 บาท

รวม 10,280 บาท

ปล ค่าเครื่องบินเรามาแพงตอนขาไป เพราะอยากขึ้นใกล้บ้านที่สุวรรณภูมิ มีโปรจากหลายสายการบินเลย ลองเช็คดูมีราคาถูกกว่านี้แน่ๆ ค่ะ

ปล2 ค่าที่พักเราจ่ายเป็นบัตรเครดิต คิดเป็นหน่วย US มีรวมค่าชาร์จบัตรเพิ่มเล็กน้อยด้วยค่ะ

ปล3 ราคาทุกอย่างคือหาร2มาแล้วนะคะ  นี่คือยอดที่เราใช้จ่ายสำหรับ 5 วัน ค่ะ

หวังว่าจะมีประโยชน์สำหรับการตัดสินใจเดินทางนะคะ

ป.ล. ไปทำงานเก็บเงินเตรียมแพลนทริปต่อไปก่อนนะคะ ^^

ด้วยรักและอยากเดินทาง

Sherry4869

SHERRY

 วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 21.00 น.

ความคิดเห็น