รีวิวทริปการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวในต่างประเทศ สำหรับสายพาสปอร์ตขาว ><
เราจะมาแชร์แพลนเที่ยวสองเมืองยอดฮิตในญี่ปุ่น ที่เราเป็นคนวางแผนและทำการจองต่างๆ ด้วยตัวเองทั้งหมด
รวมถึงประสบการณ์ที่ตม.ญี่ปุ่น (ไม่ได้น่ากลัวเลย อยากแชร์ให้คนที่ลังเลกล้าไปลองดูค่ะ)

ก่อนอื่นมาเริ่มกันที่การเตรียมตัวก่อนเดินทาง เนื่องจากเป็นการไปต่างประเทศครั้งแรกของเรา 
เพื่อไม่ให้เป็นการไปเที่ยวคนเดียวที่น่ากลัวและลุ้นจนเกินไป เราจะศึกษาเส้นทางรถสาธารณะของแต่ละเมืองก่อน 
จากนั้นเลือกสถานที่ท่องเที่ยว เน้นไปเองได้ง่ายหรืออยู่ใกล้สถานีรถไฟ
จากนั้นจะจองสิ่งต่างๆล่วงหน้าไว้ให้ได้มากที่สุด แม้กระทั่งตั๋วรถไฟเข้าเมืองจากสนามบินเราก็จองไว้ก่อน
 
เมื่อแพลนของเราลงตัวก็อย่าลืมที่จะปริ้นท์เอกสารสำคัญ เช่นการจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรมที่พัก เป็นต้น
เราพกเอกสารไปใช้ยืนยันกับทางตม. เผื่อเกิดปัญหาที่ไม่สามารถใช้โทรศัพท์ได้ จะได้มีทางรอด ^^
 
และหากเราเสิร์ชในกลูเกิ้ลว่า “ไปญี่ปุ่นต้องทำอะไรบ้าง” สิ่งแรกที่จะขึ้นมาเลยก็คือ การลงทะเบียน Visit Japan Web 
Link : https://vjw-lp.digital.go.jp/en/
สิ่งที่สำคัญที่ต้องแนบในการลงทะเบียนคือ Vaccine Certification ต้องเข้าไปขอในแอพหมอพร้อม 
เมื่อได้แล้วก็เซฟไฟล์ติดเครื่องไว้เลย จะต้องได้ยื่นหลักฐานที่สนามบินด้วยนะ
วิธีการกรอกสามารถทำตามเว็บไซต์ต่างๆได้เลย (ตอนนี้เหมือนจะมีกฎอัพเดทเรื่องวัคซีนแล้วนะ ลองไปหาอ่านดูค่ะ)
 
เมื่อกายพร้อมใจพร้อม ก็รอให้ถึงวันเที่ยวและเริ่มการเดินทางได้ !
ไฟลท์บินของเราออกจากกรุงเทพตอนตีสองถึงฮอกไกโดตอนสิบโมงเช้า (เวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าไทยสองชม.)
หลังจากที่ลงเครื่องออกมาให้เดินตามป้าย Arrival เจ้าหน้าที่จะอยู่รอตอนรับเราจากต้นทางถึงปลายทาง
ขั้นตอนต่างๆ จะเรียงการยื่นข้อมูลตามในเว็บไซต์เลย ขั้นแรกเราต้องโชว์หลักฐาน Quarantine ที่ขึ้นว่า
 "Review complete" โดยหน้านั้นจะต้องเป็นสีน้ำเงินเท่านั้น (สีชมพูคือยังไม่ผ่านน้า)
ซึ่งเจ้าหน้าที่จะบอกว่าถ้าสี Blue ให้เดินไปทางไหน ส่วนใครที่ไม่ได้ทำมาก่อนก็ไปทำที่หน้างานได้
แต่มันจะต้องใช้เวลา ในการรอตรวจสอบข้อมูล ฉะนั้นทำไปก่อนจะช่วยลดเวลาได้มาก 
จากนั้นเป็นในส่วนของ Immigration/การตรวจคนเข้าเมือง หรือ ตม. ในขั้นตอนนี้เจ้าหน้าที่จะสอบถามรายละเอียด 
ว่าเรามาทำอะไรในประเทศของเขา เราจะต้องพูดคุยและสำแดงเอกสารเพิ่มความน่าเชื่อถือ
ด้วยความที่เราไปคนเดียวและไม่มีประวัติวีซ่าของที่ไหนมาก่อน ทำให้ค่อนข้างใช้เวลากับตรงนี้พอสมควร
โดยคำถามสำคัญที่เราโดนและสิ่งที่เจ้าหน้าที่ขอดูเอกสารคือ
  - มากี่วัน ไปที่ไหนบ้าง 
    อธิบายแพลนคร่าวๆ และแสดงเอกสารการจองเครื่องบินวันกลับ ให้เห็นว่าเรามีแพลนจะกลับประเทศนะ                          หากมีบินไปเมืองอื่นต่อก็แสดงไปให้หมดเลย
  - พักที่ไหนบ้าง
    อันนี้ให้แสดงหลักฐานการจองโรงแรม จะปริ้นท์จากเว็บหรือเปิดจากแอพก็ได้
  - มาทำอะไร
เนื่องจากเราตั้งใจไปเล่นสกีที่ซัปโปโร ก็โชว์หลักฐานการจองและเช่าอุปกรณ์ของลานสกี (จองผ่านอีเมล์)
    เราเองก็บอกเขานะว่ามาเที่ยวมาพักผ่อนทั่วไป (ใครที่ไม่ได้มาทำอะไรเป็นพิเศษก็ไม่ต้องกลัวนะคะ)
 - มีเพื่อนหรือคนรู้จักอยู่ที่ญี่ปุ่นหรือเปล่า
    เรามีเพื่อนที่ไปทำงานอยู่ที่นั่นก็บอกเขาไปตามตรงว่ามีเพื่อนอยู่ที่นั่น แต่ก็ย้ำไปด้วยว่าเราไม่ได้จะไปเจอเพื่อนนะ 
    เราตั้งใจมาเที่ยวคนเดียว 55555555555
หลังจากดูทรงเราแล้วว่าไม่น่ามีปัญญาทำมิดีมิร้ายในประเทศเขา เจ้าหน้าที่ก็ได้แสตมป์ติดพาสปอร์ตเรา เย้
สุดท้ายที่ด่าน Customs ส่วนนี้รวดเร็วมากแค่แสกน QR code จาก Vistis Japan Web ที่เครื่องก็ผ่านไปได้เลย

และนี่คือแพลนเที่ยวในแต่ละวันของเรา


[Day1 : ย้อนรอยการ์ตูนในวัยเด็กและไปเที่ยวคลองโอตารุ]

มาเริ่มทริปกันเล้ย 😊 หลังจากผ่านพิธีการขาเข้าเรียบร้อยแล้ว ออกมาก็จะเจอกับน้องม่อนตัวนี้รอต้อนรับอยู่ที่ทางออก

ไม่รอช้าตรงไปที่บันด้านหลังนั่น แล้วขึ้นไปที่ชั้นสาม ตามป้ายของ  Smile road zone
ก็จะเจอกับ Doraemon waku waku sky park

มีค่าเข้าสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 800 Yen จ่ายเงินเสร็จจะได้ใบสี่เหลี่ยมสีเหลืองซึ่งเอาไว้ไปแลกกับพนักงานด้านใน
เพื่อจะได้ถ่ายรูปเรากับมาสคอส โดเรม่อน แบบนี้ๆ

จากนั้นก็ดื่มด่ำกับการ์ตูนในวัยเด็กของเรากันได้เลย ด้านในมีสถานที่จำลองตามฉากในเรื่องเลย

มีมุมให้เล่น และถ่ายรูปได้หลากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กมากับผู้ปกครองซะมากกว่า555555

เราเองก็เดินวนๆอยู่สักพักก็ออกมา ตรงข้ามมีคาเฟ่ให้นั่ง ของในร้านเป็นขนมและน้ำลวดลายการ์ตูน
เสียดายที่เราอิ่มจากอาหารบนเครื่องอยู่ เลยขอผ่าน

เดินต่อถัดไปอีกนิดก็จะเจอกับ Royce Chocolate World ซึ่งโชว์วิธีการทำช็อคโกแลต

ทุกคนสามารถเกาะขอบกระจกดูได้เลย

ตรงข้ามกันก็มีคล้ายพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แสดงที่มาของเหล่าช็อคโกแลต ไม่มีค่าใช้จ่ายใดใด เดินชมได้เล้ย

หลักจากนั้นก็ได้เวลาของอาหารมื้อแรกที่ญี่ปุ่นของเราแล้ว มีคนแนะนำให้มาทานตรง Food Court ความพิเศษคือเราสามารถทานอาหารท่ามกลางวิว runways ที่มีเครื่องบินกำลัง landing และ take off อยู่ด้านนอก นอกจากค่าอาหารถูกว่าร้านอื่นๆในสนามบินแล้ว วิวยังชนะขาดรอยอีกด้วย ไม่ลังเลเลยที่จะตามรีวิวท่านอื่นมาที่นี่

และนี่คืออาหารมื้อแรกของเรา ปล.เทมปุระกุ้งอร่อยมาก แบบงง ทำไมไม่เหมือนที่ไทย 555555

เพิ่มเติมความพิเศษอีกนิดนึง ด้านข้างของที่นี่มี Sky museum ที่แสดงโชว์ประวัติของสนามบิน
และเครื่องบินชนิดต่างๆด้วย หากใครชอบ ไปเดินดูเพลินๆได้เลย
ส่วนเราด้วยความหิวได้แต่มองไกลๆ เพราะต้องรีบไปที่อื่นต่อแล้ว TT

หลังจากอิ่มแล้ว เราก็เตรียมตัวเข้าเมืองซัปโปโร โดยจะนั่งรถไฟ JR สาย Rapid Airport Express
จากสถานี Shin-chitose ไป Sapporo ซึ่งจริงๆแล้วรถไฟคันนี้สามารถนั่งยาวถึงสถานี Otaru ได้เลย
แต่เพราะไม่อยากพกกระเป๋าเดินทางไปด้วย ประจวบเหมาะกับเวลา ที่สามารถ Check in ได้พอดี
เราเลยต้องแวะไปที่พัก เพื่อเอาของไว้ แล้วค่อยเดินทางต่อ ซึ่งที่พักของเราอยู่ที่สถานี Odori
ต้องเปลี่ยนจากรถไฟ JR เป็น Subway ซึ่งสถานีต้องเดินถัดไปอีกประมาณ  300 เมตร 

จัดการทุกอย่างเสร็จก็กลับไปนั่งรถไฟ JR ที่สถานี Sapporo จะมีสองสายที่สามารถไปสู่เมืองโอตารุ ได้
คือ JR Rapid Airport Express ที่เราพึ่งนั่งจากสนามบินมา และสาย JR Hakodate main line
เป็น local train สถานีที่จอดจะเยอะกว่า ทำให้ใช้เวลาในการเดินทางมากกว่า ใครสะดวกแบบไหนเลือกได้เลย
(ปล.สำหรับท่านที่ไม่ทราบ ที่นี่ตั๋วรถไฟคิดตามราคา เราจะนั่งรถไฟคันไหน สายไหนก็ได้ หากเป็นชนิดรถไฟเดียวกัน  
ขอแค่ราคาจากสถานีแรกถึงสุดท้าย พอตามจำนวนเงินก็เป็นอันได้)

พอมาถึงที่สถานี Otaru เราก็เดินตรงไปสู่แลนด์มาร์คฮอตฮิต คลองโอตารุ เลยทันที
เมืองนี้ให้ความรู้สึกวินเทจมากๆ อาจจะด้วยอยู่ติดทะเล เสียงนกบวกกับความเย็น มันสงบแบบแปลกๆ แต่เราชอบนะ

มาแล้วต้องจัดเซลฟี่ซะหน่อย 😁

จากนั้นก็เดินดูรอบๆเมือง เป็นบรรยากาศที่อธิบายไม่ถูกเหมือนกันนะ

หลักจากเก็บภาพบรรยากาศต่างๆเสร็จ เราตั้งใจจะมากินร้านอาหารเย็นที่นี่แล้วต่อด้วย Music box museum
แต่เนื่องจากเราหาข้อมูลที่ไม่ดีพอ เลยไม่ทราบว่า ร้านที่นี่ส่วนใหญ่ปิดตอนหกโมงเย็น TT
ทั้งๆที่คนมาเที่ยวก็ยังเยอะมากขนาดนั้น แต่แทบไม่มีร้านไหนเปิดเลย

เราเลยยอมจำนนฟ้าดิน กลับเข้าไปกินในเมืองซัปโปโรแทน โชคดีที่ขามาเรามองเห็นร้านอาหารที่ Stellar place
เลยเดินเข้าไปดู จนเจอร้านขนมหวานน่ากินมากชื่อว่า La Maison เข้าไปฝากมื้อเย็นแบบเบาๆ

หลังจากนั้นก็เดินกลับที่พัก  ไม่นั่งรถไฟแล้ว55555 อยากเดินดูบรรยากาศบ้านเมืองเขาด้วย
ที่นี่กลางคืนหนาวกว่ากลางวันมากๆ แต่ผู้คนยังพลุกพล่าน เดินกลับไม่เหงาเลย ^^


[Day2 : สกีที่ว่าแน่ ยังแพ้พ่ายความมั่น(ใจ)]

มาต่อกันในวันที่สอง เราตั้งใจที่จะมาเล่นสกี บอกก่อนว่าเป็นครั้งแรกเหมือนกัน
เราเคยเรียนสกีหนึ่งรอบถ้วนที่ Ski365 ทำได้แค่ไปข้างหน้าและเบรก แต่จะลองของจริงดูสักครั้ง ฮึบๆ

ขอย้อนความว่าแรกเริ่มเราหาที่เล่นสกีในฮอกไกโด ซึ่งมีเยอะมากๆ เลยเลือกจะไปที่เมืองนิเซโกะ
หาข้อมูลและได้คุยกับเจ้าของที่พักผ่านอีเมล์ เขาก็แนะนำว่าช่วงที่เรามา มันเลย best time ski สำหรับที่นั่นแล้ว
ควรมาช่วงปลายธันวาถึงปลายกุมภาจะดีกว่า ประกอบกับการเดินทางที่ใช้เวลานาน สกิลเราเองก็ไม่คุ้มที่จะไป

เราเลยเปลี่ยนแผนหาที่เล่นใกล้ๆในเมืองซัปโปโรดีกว่า ก็ได้ไปเจอที่ Sapporo Mt.Moiwa Ski Resort
(คนละที่กับนิเซโกะ นะแค่ชื่อภูเขาเดียวกันเฉยๆ) ซึ่งใช้เวลาเดินทางไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พร้อมราคาแพคเกจรวม อุปกรณ์สกี ชุด และ ลิฟต์ 5 ชั่วโมง ในราคา 12000 Yen ซึ่งเรามั่นใจว่าถูกที่สุดในเวลานั้นแล้ว
เลยเลือกที่นั่นแล้วทำการจองกับ Rinyu corp. แต่ในเว็บกรอกค่อนข้างยาก (ต้องใส่ข้อมูลเฉพาะของคนญี่ปุ่น)
เราเลยส่งเมล์ไปสอบถาม ได้ความว่าเราสามารถจองผ่านอีเมล์ได้เลย เพียงแจ้งรายละเอียดวัน เวลา และไซส์อุปกรณ์
ไม่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้าด้วย ไปจ่ายวันจริงได้เลย เผื่อเราเกิดเหตุหรือเปลี่ยนใจก็จะได้ไม่เสียค่าใช้จ่ายตรงนี้ไปฟรีๆ
เข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้น้า Link : https://www.rinyu.co.jp/moiwa/

ส่วนวิธีการไปลานสกี เท่าที่เราหาได้จากในเว็บ (ไม่มีรีวิวของคนไทยเลย TT ) คือจะต้องนั่งรถไฟ Subway สาย Namboku ไปที่สถานี Makomanai แล้วนั่งรถบัส Jotetsu สาย Mt. Moiwa Ski Resort ที่ Platform 17

จากนั้นก็ไปลองเอาข้างหน้าเลย พอไปถึงหน้าสถานีมีถึงแค่ Platform 14 คิดในใจว่าข้อมูลที่หามาแกงเราแน่ๆ TOT ขนาดไปถามลุงคนขับ เขายังไม่ทราบเลย ใจแป้วไปแว๊บนึง ตั้งสติกลับเข้าไปที่สถานีใหม่ โชคดีมากเจอป้ายนี้เข้า

ดูตรงในกรอบสีม่วง คือเราต้องข้ามถนนไปอีกฝั่งถึงจะเจอ
ก็เลยออกมาลองอีกที แค่ยืนรอสัญญาณไฟ ไม่ทันได้หันซ้ายขวา ก็เจอเลยจ้า

ตรงเข้าไปที่เลข 17 ดูเวลารถออกตรงกับข้อมูลที่ถามไว้ตอนจอง เราเลือกไปรอบ 10.00
(เราสอบถามวิธีการไปกับที่ๆจองสกี เขาบอกเวลารอบรถบัสให้เราด้วย มีแค่สามเวลาเท่านั้น)

นั่งรอเวลาแปบนึง รถก็มาจอดที่ท่า (มาถึงก่อนเวลาประมาณห้านาที) จากนั้นก็มุ่งตรงไปสู่ลานสกีกันเลย
ตอนลงรถเราก็ถามคุณลุงคนขับว่า ขากลับต้องไปขึ้นรถที่ไหน แกก็ชี้ไปที่ตรงด้านข้าง
เป็นป้ายจุดรอรถบัสและมีเวลาขากลับติดไว้ให้เราอ่าน แต่ของจริงเราไม่ได้ถ่ายไว้ ไปหาในเว็บเจอเพิ่ม

ซึ่งเราก็จะเลือกกลับเวลา 16.45
เมื่อไปถึงเราก็ไปที่ Rinyu office ลงจากรถหันไปทางขวามือ เดินผ่านลาดจอดรถก็ถึงเลย

ไปติดต่อที่เจ้าหน้าที่ แจ้งชื่อแล้วจ่ายเงิน จะมีพนักงานพาเราไปเอาชุดและอุปกรณ์
เขาให้เราลองทุกอย่างเผื่อไม่พอดีก็จะได้เปลี่ยนได้เลย ระหว่างนั้นพนักงานก็ชวนเราคุยเรื่อยเปื่อย
ซึ่งหายากมากๆที่คนที่นี่จะพูดภาษาอังกฤษ บางประโยคที่เราไม่เข้าใจ เขาก็ให้เราอ่านโพยที่เขาทำไว้
เป็นสมุดโน้ตเล็กๆ จดประโยคคำถามภาษาอังกฤษไว้ แอบประทับใจนะ ที่เขาอยากจะสื่อสารกับผู้ที่มาเที่ยว
ก่อนจะไปเล่น เขาก็อาสาถ่ายรูปให้เราด้วย ฮื่อออออ น้ำตาแทบจะไหล
บอกเลยว่ามาคนเดียว รูปเราแทบไม่มี เน้นถ่านวิวซะส่วนใหญ่ ในที่สุดก็ได้รูปดีๆแล้วค่า

และแล้วก็ถึงเวลาลองของ 5555555 ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าถึงได้กล้าไปขนาดนั้น ทั้งๆที่ผ่านการฝึกแค่ครั้งเดียว
แถมไม่ใช่หิมะจริงๆด้วย พอขึ้นลิฟต์แรกไปเท่านั้นแหละ ความจริงก็ถาโถมมาใส่เรา ว่าเราอ่อนวิชามากๆ
ลงลิฟต์ปุ้บ คว่ำปั๊บ เจ็บไม่เท่าอาย  ความช็อคประกอบกับอากาศ เราก็เอ๋อไปพักนึง
นึกถึงหน้าครูที่ไทย แกบอกเราตลอดว่าต้องมีสตินะ ดูทางไม่ต้องดูเท้า ท่องไว้จนขึ้นใจ แล้วลองใหม่
เราพยายามไปในเส้นทางของ beginner ตามสีเขียวในรูป

ก่อนขึ้นมาพนักงานย้ำแล้วว่าจุดไหนง่ายที่สุดของเขานี้ เราก็ไป สรุปว่าเล่นได้ ถ้า! ไม่ใช่ที่ๆชันมาก
และไม่ใช่ทางเลี้ยวแบบซิกแซก เพราะเราฝึกมาแค่ไหนก็เล่นได้แค่นั้นเลย 555555

ล้มนักใช่มั้ย ตั้งกล้องถ่ายรูปไปซะเลย! พักเหนื่อยไปในตัว

ต้องบอกก่อนว่าเส้นทางที่เราเลือกมันง่ายที่สุดของเขานี้ (หมายเลข8) ฉะนั้นแทบไม่มีคนเลย
ผ่านไปชั่วโมงถึงจะเห็นผ่านมาสักคน5555555 เราเลยกล้าที่จะตั้งอุปกรณ์นะคะ
ถ้ามีคนอื่นไม่แนะนำให้ทำเลยค่ะ จะอันตรายมากๆ

พอเล่นอยู่ข้างบนสักพัก เวลาผ่านไปสามชั่วโมงแต่เราไม่รู้ตัวเลย จนเริ่มหิว ก็วนๆหาทางกลับ
แต่มาเจอความจริงที่ช็อคยิ่งกว่าคือทางลงมันชันมากๆ แล้วเราลงไม่ได้ พยายามลองหลายครั้ง
ล้มทุกครั้ง จนต้องยอมแพ้ แกะรองเท่า แบกสกี ค่อยๆเดินลงมา แล้วก็มีคนลุงสต๊าฟใจดีมาถือสกีให้เรา
พอถึงข้างล่าง ก็รีบไปหาน้ำกิน เพราะรู้สึกคอแห้งมากๆ ก็แน่ละ เล่นไปตั้งแต่สิบเอ็ดโมงยันสองโมงครึ่ง โดยไม่พัก
และไม่พกน้ำไปกิน กว่าจะหาทางลงเขาได้ เกือบสามโมงพอดี 55555555 ต่อไปจะไม่หาทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว

น้ำขวดแรกหมดไปอย่างรวดเร็ว มองเวลาแล้วคิดว่าไม่น่าขึ้นไปต่อไหว (เพราะจะลงไม่ได้ด้วยแหละ)
ก่อนกลับก็ไปเล่นตรง beginner practice (ซึ่งสต๊าฟที่ช่วยแบกสกีได้ชี้บอกเราตอนถึงข้างล่างว่า that way for practice 555555555) ไม่อยากให้เสียน้ำใจ ก็เลยไปเล่นวนๆอยู่ตรงนั้น พอสี่โมงครึ่งก็เอาชุดไปคืน 

ออกมายังมาถ่ายรูปต่อ จนต้องรีบวิ่งกลับไปขึ้นรถบัส รูปลานสกีที่ถ่ายไว้ตอนก่อนกลับค่า

ขากลับก็เหมือนเดิม นั่งรถบัสไปที่สถานี Makomani แล้วนั่งรถไฟ Subway ไปที่สถานี Odori
เพื่อความคุ้มค่าของวันนี้ เราก็ไปเดินเล่นต่อ ที่ TV tower, Odori park และ Clock tower

ก่อนจะไปหาซื้ออุปกรณ์แก้ปวดต่างๆ เพื่อบรรเทาให้ร่างกายเรายังมีชีวิตไปต่อในวันที่เหลือ T^T
เราไปซื้อของที่ Donki สาขา Susukino จากนั้นก็เดินกลับไปหาของกินแถวๆที่พัก จบวันที่สองแบบเหน็ดเหนื่อย 555


[Day3 : ทัวร์โรงงานช็อคโกแลตและนั่งกระเช้าลอยฟ้าชมเมือง]

และแล้วก็มาถึงวันสุดท้ายที่ซัปโปโรของเรา อีกสี่วันที่เหลือเราจะไปที่โตเกียวกันต่อ จองไฟล์ทบินเย็นๆ เพื่อที่ระหว่างวันเรายังจะสามารถไปเที่ยวได้อยู่ หลังจาก Check out ที่พัก เราก็ออกมาฝากกระเป๋าที่สถานี Odori ซึ่งใกล้ที่พักมากและยังใกล้สถานี Nishi yon chome ที่เราจะลงตอนขากลับจากไปเที่ยวด้วย เป็นทำเลที่เหมาะมาก หากใครไม่รู้จะฝากที่ไหนมาที่ตรงนี้ได้ ให้เดินตามป้าย exit 10 ก่อนจะเจอทางออก จะมีตู้ฝากของสีม่วงๆ สามารถใส่กระเป๋าเดินทางไซส์ 20 นิ้วได้พอดีเลย ค่าเช่า 200 Yen ต่อวัน คุ้มมากๆ

จากนั้นก็ไปกันต่อเลยที่แรก เราจะไปโรงงานช็อคโกแลต วิธีไปก็แสนง่าย เพียงแค่นั่ง subway สาย Tozai
ไปที่สถานี Miyamosawa จากนั้นเราก็เดินตามแมพในกลูเกิ้ล ประมาณ  500 เมตตร ก็จะเจอตึกใหญ่ๆ

ด้านในก็มีคนค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ไล่เก็บภาพด้านนอกก่อนจากนั้นก็เข้าไปชมข้างในโรงงานกัน
ค่าเข้าสำหรับผู้ใหญ่ 800 Yen ได้ขนมเป็นของแถมด้วยนะ ลองชิมแล้ว อร่อยมาก ^0^

ด้านในก็เป็นฟิลล์พิพิธภัณฑ์ แสดงประวัติและการทำขนมในโรงงานช็อคโกแลต มีหลายจุดที่ถ่ายรูปสวยๆ

แถมยังมีกิจกรรม ทำขนมด้วยนะ แต่จะต้องจอง ซึ่งเราไม่มีเวลามากขนาดนั้นเลยขอผ่านก่อน TT

พอออกมาก ก็เจอการแสดงเพลงด้านนอกพอดี ชมเสร็จกำลังจะกลับไปเจอกับตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติ
มันเหมาะกับผู้ที่มาคนเดียวแบบเรามากเลยจัดไป  100 Yen ได้มาสามรูป

ข้อควรระวังตอนถ่ายเสียงนับจะดังมากๆ ผู้คนรอบข้างจะให้ความสนใจกะเราได้ อาจจะทำให้เขินหน่อยๆ
แต่หลังจากเราก็มีครอบครัวคนเกาหลีใช้บริการต่อด้วยนะ น่ารักมาก

จากนั้นก็นั่งรถไฟกลับมาที่สถานี Odori  และเดินไปที่ Nijo market มาถึงเมืองทางเหนือทั้งที ต้องได้กินปลาซะหน่อย
ร้านอาหารที่นี่เยอะมาก เราไม่ได้เลือกมาก่อน มาหาเอาที่นี่เลย ซึ่งคนต่อคิวแต่ละร้านเยอะมาก
เดินหาอยู่นานกว่าจะเจอร้านที่คิวน้อยๆ หลังจากเลือกเมนู ก็รอเชฟทำมาให้ ใช้เวลารอพอสมควร
เพราะเค้าทำหนึ่งต่อหนึ่งให้แต่ละลูกค้า รอประมาณยี่สิบนาทีได้ก็ถึงตาของเรา

หน้าตาอาหารเซตนี้จะมี ข้าวหน้าต่างๆ ซูชิปลา/ปู ลองอูนิครั้งแรก ไม่ได้ว้าวนะ รสชาติเหมือนที่คิดไว้
แต่เราค่อนข้างชอบเลย อาหารสดมากๆ เราสายซาชิมิอยู่แล้ว เลยชอบทุกอันเลย 555555555

พอท้องอิ่มมองเวลาก็เกือบๆบ่ายสองแล้ว ต้องบอกก่อนนะว่าเรามีไฟล์ทบินไปโตเกียว ตอน 18.45
ควรไป Check in ก่อนราวๆหนึ่งชั่วโมงและต้องเดินทางไปสนามบินอีก ดังนั้นควรออกจากซัปโปโรประมาณ 16.00
แต่นี่สองโมงแล้วเรายังเที่ยวไม่หมดเลย เลทจากแพลนของเราพอสมควร แต่ใจมันสู้บอกว่าไหว ฮ่าๆ (ไม่ควรทำตามน้า)
งั้นไปต่อกันโลดดดดด จากนั้นเดินไปขึ้นรถราง สาย Yamahana ที่สถานี Tanuki Koji
ซึ่งเป็น Streetcar ที่รถวิ่งวนในเส้นทางเดิม ในราคา 200 Yen ไม่ว่าจะลงที่สถานีไหน
จุดหมายของเราคือสถานี Ropeway Iriguchi พอไปถึง ให้เลี้ยวซ้ายต่อไปอีกประมาณ 50 เมตร
จะเจอกับ shuttle bus ที่รับส่งฟรี เพื่อไปชมวิวที่ Mt.Moiwa โดยเฉพาะ

แต่พอเราไปถึงเจอป้ายภาษาญี่ปุ่น (ถ่ายรูปให้เว็บแปล ได้ใจความว่าเริ่มให้บริการตอน 17.45)
เข้าใจว่าช่วงนั้นน่าจะซัพพอร์ตเฉพาะผู้คนที่มาชมในรอบค่ำๆถึงดึก
ตอนแรกก็ว่าจะกลับ ไหนๆก็ไม่เป็นใจแล้ว แต่คิดไปคิดมา มันเดินไปได้นี่หน่า55555
ระยะทางประมาณ 600 เมตร ใช้เวลาประมาณสิบนาทีได้ ทางขึ้นเขาชันนิดหน่อย แต่พอเดินไหว
พอถึงก็ให้ขึ้นไปที่ชั้น 4 จะมีบริการนั่งกระเช้าลอยฟ้าและเคเบิ้ลคาร์ เพื่อไปจุดชมวิว ไปกลับราคา 2100 Yen
(รอบขาลงกลับมาพร้อมไกด์ทัวร์คนไทย ได้ยินแกบอกว่าสามารถซื้อแค่ขาขึ้นแล้วเดินกลับลงมาก็ได้)

พอได้ตั๋วก็รอเวลา จะมีบริการให้เป็นรอบๆ ไปดูตารางเวลาได้ที่หน้าประตูเลย ของเราได้รอบ  14.45
และเวลานั้นคนค่อนข้างน้อยเลยได้ถ่ายรูปมาเยอะเลย ระหว่างทางที่ขึ้นไปสวยมาก รอบข้างเป็นภูเขามีป่าและหิมะสีขาว

จากนั้นก็ขึ้นคาร์เบิ้ลคาร์เพื่อไปให้ถึงจุดชมวิวสูงสุด ข้างบนจะมีระฆังและที่คล้องกุญแจคู่รัก มีขายของฝากต่างๆ
นอกจากนั้นยังมีลานหิมะซึ่งสามารถเดินต่อออกไปถ่ายรูปได้ มีพื้นที่พอสมควร ซึ่งไม่ค่อยมีคนด้วย

เราอยู่ถ่ายรูปที่นั่นสักพักราวๆสามโมงกว่า ก็มีอีเมล์จากสายการบินว่าเครื่องดีเลย์ไปหนึ่งชั่วโมง!!!!!
ในใจก็คิดว่าเป็นเรื่องโชคดีในความโชคร้ายจริงๆ เพราะเราเองก็เลทแพลนของตัวเองมาประมาณนั้นพอดี
ก็เลยใช้เวลาต่อที่นั่นไปจนสี่โมงกว่าก็กลับ เดินมาทางเดิมเพื่อขึ้นรถรางไปลงที่สถานี Nishi yon chome
ซึ่งอยู่ติดกับสถานี Odori ด้านประตูที่เราได้ทำการฝากกระเป๋าไว้พอดี (จริงๆเราไม่ได้เสิร์ชสถานีนี้ไว้
กะว่าจะไปกลับที่สถานี Susukino แล้วเดินเอาแต่พอไปสำรวจตอนกลางคืนกลับเจอสถานีนี้โดยบังเอิญซึ่งอยู่ข้างโรงแรมที่เราพักเลย)

เอากระเป๋าเสร็จก็นั่ง subway สาย Namboku ไปสถานี Sapporo เพื่อขึ้น JR Rapid Airport Express
ไปสนามบิน New Chitose ระหว่างทางที่เราอยู่บนรถไฟ ก็ได้รับอีเมล์มาอีกฉบับ (เริ่มใจไม่ดีละ)
แจ้งดีเลย์ไปอีกหนึ่งชั่วโมง จาก 18.45 ตอนนี้ได้ไฟลท์ 20.30 นั่นหมายความว่าเราจะไปถึโตเกียวประมาณสี่ทุ่มครึ่ง
ตอนนี้แหละที่คิดว่าเริ่มเกิดหายนะแล้ว เนื่องจากเราหาข้อมูลวิธีเข้าเมืองและจองรถไฟ Keisei  skyliner ไว้                    และรถไฟรอบสุดท้ายคือห้าทุ่ม จากการกะเวลาคร่าวๆที่เราจะไปถึง กว่าจะลงเครื่อง ไหนจะรอกระเป๋าอีก
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะทัน ตอนนั้นว้าวุ่นสุดๆ  ได้แต่ภาวนาและหาวิธีอื่น ซึ่งคำตอบที่ได้ก็มีแต่แท็กซี่
เพราะรถไฟที่นี่ก็จะหมดเวลานั้นเหมือนกัน มากกว่าการที่ต้องเสียเงินซ้ำซ้อนคือจะมีรถให้เราไปได้หรือเปล่าเถอะ
ยิ่งคิดยิ่งไม่สบายใจ ก็เลยไม่คิด 55555555 (เอ๊ะมันแปลกๆนะ) สุดท้ายทำใจแล้วก็ปล่อยให้มันเป็นไป

ขอแอบบ่นอีกเรื่องนอกจากเครื่องดีเลย์แล้ว เราเจอชาร์จค่าโหลดกระเป๋าเราเอาของมาน้อยมากสำหรับเจ็ดวัน
ด้วยกระเป๋าเดินทางยี่สิบนิ้ว เพราะไม่อยากโหลดให้เปลืองเงินและเปลืองเวลา ไฟลท์ขามาเราผ่านชิลล์ๆ
รอบนี้เราเอาไปชั่งก่อนได้ 6.8 แต่พอได้ที่เคาท์เตอร์ มันชั่งได้ 7.4 kg งงอยู่แต่ทำอะไรไม่ได้
โดนไปเลยจุกๆ สามพันเยน แอบเส้าเบาๆ แค่ออกจากเมืองกลิ่นความโชคไม่ดีก็มาแต่ไกลเรย TOT
ฉะนั้นควรตรวจเรื่องน้ำหนักกระเป๋าให้ดีๆนะคะ บวกเพิ่มไปเลย ถ้าไม่มั่นใจก็ให้จองโหลดกระเป๋าเลยค่ะ
ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าและไม่เสียเวลาด้วย

หลังจาก Check in ก็เข้ามารอที่ Gate จนถึงเวลา เครื่องออกจริงแทบจะสามทุ่ม
จากใจที่มันแป้วอยู่แล้วก็เริ่มปลง หลับมันไปเลย ไม่อยากกระวนกระวายไปมากกว่านี้ สติมันต้องมี!
ตื่นอีกทีตอนกัปตันแจ้งจะ landing สุดมาก หลับมายาวๆ มองเวลาก็เป็นอย่างที่คิด 22.35
ลงเครื่องก็มารอกระเป๋า ของเราไม่ออกมาสักที จนๆ 22.50 เรื่องจริงไม่จ้อจี้ กว่าจะได้ของตัวเอง พอได้ก็วิ่งเลยจ้า
ไม่ได้มองสนามบินเลยซักนิด ใจอยู่ที่ป้าย Trian อย่างเดียว ลงไปที่ B1F ให้ไว
เราไม่สามารถขึ้นรถไฟได้ ต้องแลกตั๋วที่เคาน์เตอร์ก่อน โชคดีที่หาง่าย ลงมาก็เจอเลย ไม่มีคิวด้วย
วิ่งหน้าตั้งไปหาพนักงานบอกว่าจองมาจากเว็บและแสดง QR code ให้เขา
จากนั้นเขาจะแสกนและขอตรวจพาสปอร์ต (ยังอีก ยังไม่รีบอี๊กกกก)
แล้วก็ออกตั๋วจริงๆให้เรา บอกด้วยว่า “Final train right now at gate no.5” (จำฝั่งใจแค่ไหนคิดดู 5555555)

ได้ตั๋วก็วิ่งต่อไม่รอแล้วนะ เข้าไปมองหาเลขห้า แล้ววิ่งเข้าไปในขบวน ที่มันว่างเยอะมากๆ นั่งไปเรื่อยเลย
ไม่ได้ดูหมายเลขใดใด (แต่ที่จริงมันเป็น reserve seat มีหมายเลขขบวน และเลขที่นั่ง ต้องนั่งให้ตรงนะ
เราไม่รู้ ไม่ได้สังเกตตั๋ว เพราะรีบและล่ก มารู้ตอนขากลับ TT)

ลืมบอกไปเรามาถึงรถไฟตอน 22.58 !!!! ใช่ค่ะ นั่งหายใจได้แปบนึงรถก็ออกเลย ไม่เคยลุ้นขนาดนี้มาก่อน
ประมาณห้าสิบนาทีก็มาถึงสถานี Keisei Ueno ซึ่งเราพักอยู่แถวสถานีนี้ รีบ Check in โรงแรมแล้วก็พักผ่อน
ร่างกายเรามาถึงวันนี้ก็คือล้ามากๆ แพลนอีกวันก็โหดสุด แต่มองตัวเองแล้วตื่นไม่ไหวแน่ๆ 😭


[Day4 : ตะลุยโตเกียวดิสนีย์แลนด์ในวันฝนตก]

เช้าวันแรกในโตเกียว ซึ่งฝนตก!!!! ตามพยากรณ์อากาศเป๊ะๆ ออกมายืนเอ๋ออยู่หน้าโรงแรมพักนึง
ก่อนจะฮึบเดินไป7-11ตรงข้าม เพื่อซื้อร่ม และเริ่มออกเดินทาง วันนี้แพลนคือสวนสนุกโตเกียวดิสนีย์แลนด์
เรานั่งรถไฟ JR Yamanote ไปที่สถานี Tokyo และเปลี่ยนสาย Keiyo ไปที่สถานี Maihama
พอลงที่สถานีนี้ก็หาทางไปต่อไม่ยากเลยเพราะมีป้ายทางออกไปที่ Tokyo Disneyland เราก็ตามป้ายนั้นไป
เดินตามฝูงชนไปเรื่อยๆ ขนาดวันที่ฝนตกคนก็ยังเยอะเลย เวลาที่เราไปก็ประมาณสิบเอ็ดโมงได้

ไปถึงที่นั่นจะต้องตรวจสัมภาระก่อนเป็นอันดับแรก ของเรามีไม้เซลฟี่ที่เป็นขาตั้งกล้องด้วย
เค้าก็บอกว่าถ้าใส่เพื่อถือถ่าย (เหมือน vlog กันกล้องสั่น) นั้นทำได้แต่ห้ามถ้าเอาไปตั้งถ่ายหรือเซลฟี่
มาที่ด่านถัดไปเป็นการแสดงบัตรเข้า ซึ่งก็ได้ทำการซื้อบัตร ผ่านเว็บ Klook ได้มาในราคา 2300 บาท
มันกำหนดวันไว้แล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ข้อดีคือใช้ง่ายไม่ยุ่งยาก แค่แสกน QR จากแอพที่เครื่อง
ก็สามารถเข้าได้แล้ว แต่ถ้าเลือกได้จะค่อยมาซื้อใกล้ๆวัน รอดูสถานการณ์และประเมินตัวเองก่อน
ทั้งอากาศและร่างกายวันนั้นอยากพักมากๆ

พอเข้ามากข้างในแล้วสิ่งแรกที่ตามหาก็คือร้านอาหาร มื้อเช้าและกลางวันรวมกันไปเลย 555555
เราก็ทำการเสิร์ชมาไว้ก่อน พอไปถึงก็เจอแถวและคิวที่ยาวมากๆ สำหรับร้าน Great American Waffle
ที่เป็นขนม waffle รูป Mickey mouse แล้วท็อปด้วยวิปครีม รู้อยู่แล้วว่าคิวยาว แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้
ด้วยความหิวที่มี มันไม่สามารถรอได้ขนาดนั้น ก็ไปต่อร้านที่สอง ชื่อว่า Sweetheart café

เป็นร้านคาเฟ่ขนมปังต่างๆ โชคดีที่ไม่มีคิวแต่โต๊ะที่ร้านเป็น Out door ซึ่งในวันฝนตกแบบนี้  ที่นั่งแทบจะนั่งไม่ได้เลย
มีร่มแต่ก็ไม่สามารถทำให้เรานั่งแบบไม่เปียก100%ได้ คนเลยไปนั่งที่อื่นกัน ซึ่งก็เป็นโชคดีในโชคร้ายอีก
ทำให้มีบางตัวที่ว่างให้เรานั่งได้ (นั่งได้แค่คนดียวมาหลายคนเลยอด)

ระหว่างกินก็เปิดแอพของที่นี่ชื่อว่า Tokyo Disney Resort แสกนตั๋วเราเข้าไป มันก็จะขึ้นในระบบว่าเรามาเล่นวันนี้
และสามารถจองตั๋วพิเศษอะไรไว้ได้บ้าง คือจริงๆเราเล่นได้ทุกเครื่อง(ถ้ารอไหว) แต่บางเครื่องเล่นหรือบางการแสดง
จะต้องจองแบบพิเศษ ซึ่งจะมีแบบ Entry Request,  Standby pass และ Premier access (จ่ายเพิ่มเพื่อลัดคิว)
ไปหาอ่านเพิ่มเติมได้นะทุกคน พอมาถึงก็ให้เข้าไปกดจองเลย ถ้าโชคดีเราก็จะได้ แต่เรามาสาย ก็หมดหวังไป

ก็ไล่ดู waiting time ของแต่ละเครื่องเล่น ก็คิดว่าเราไม่เหมาะกับการรอนาน ในเวลานั้นสักเท่าไร (ความอดทนคือศูนย์)
เปิดมาด้วยเครื่อง Star Tours ที่โซน Tomorrow land รอประมาณยี่สิบนาที เข้าไปก็จะมีการแจกแว่น 3D              แล้วก็ขึ้นไปในยานอวกาศ จำลองสถานการณ์เหมือนเราบินสู้กับศัตรู คือไม่เคยดูเรื่องนี้มาก่อน
อาจจะไม่อิน แต่ๆเป็นการเริ่มที่ดี เราประทับใจมาก จำได้ว่าเริ่มยิ้มออกเพราะเครื่องเล่นนั้นเลย
มันว้าว มันบอกไม่ถูก จากนั้นก็มีใจไปต่อคิวที่เครื่องอื่นๆละ

แม้จะฝนตกแค่ผู้คนก็ไม่หวั่น  ถือร่ม ใส่เสื้อกันฝน เล่นเครื่องเล่นกัน ทั้งในร่มและด้านนอก
มันเลยทำให้เราไม่กลัวไปด้วย กล้าไปเล่นเครื่องที่จะต้องเปียก เราเดินต่อไปที่โซน  Toon town  
เล่นเครื่อง Gadget’s Go Coaster หรือรถไฟเหาะนั่นแหละ เล่นทั้งๆที่ฝนตกและกลางร่มไม่ได้นะ
เครื่องมันต้องตีลังกาอ่ะเนาะ แค่เกาะราวก็ไม่มีมือไปถืออะไรแล้ว 5555555 แต่ก็ยังสนุกเกินคาด กรี๊ดจนสุดสาย

ที่นี่มีข้อเสียแค่เวลารอนานกว่าเวลาเล่นจริง TOT แปบเดียวก็เสร็จละ

จากนั้นก็ไปโซน Fantasy land หาเครื่องเล่นที่รอเวลาน้อยๆบ้าง ประมาณเครื่องละห้านาที
ก็จะมี Alice’s Tea, Castle Carrousel หรือม้าหมุน ถัดไปด้านข้างก็จะมี Small  World รอประมาณ 15 นาที
นั่งเรือในดินแดนจิ๋ว เพลินๆ ถือเป็นการพักขาไปในตัว

จากนั้นก็เริ่มมีแรงกลับไปต่อแถว มาที่ Snow White’s Adventures ฟิลเหมือนบ้านผีสิงไงไม่รู้แหะ 5555555
แล้วก็เดินต่อไปที่ Cinderella’s Hall ส่วนใหญ่จะมาถ่ายรูปกัน มีห้องโถงจำลอง สถานการณ์ตามฉากต่างๆ

ขณะที่ลงจากปราสาทก็เห็นรถไฟอยู่ไกลๆ เข้าไปดูว่าเป็นเครื่องเล่นอะไร แล้วก็คือเจ้า River Railroad
ใช้เวลารอแค่ห้านาทีแถมระยะทางวิ่งของรถไฟทำเห็นทั้งโซนเลยด้วย เหมาะมากๆ เลยเดินไปฝั่ง Adventure land
หลังนั่งรถไฟเสร็จ ก็เล่นเครื่องด้านล่างต่อเลย Jungle Cruise มีรถไปแล้วจะพลาดนั่งเรือได้ยังไง ^^

พอเล่นเสร็จก็เป็นเวลาสี่โมงครึ่ง เริ่มหมดแรงและหิว มองหาของกินด่วนๆ ไปเจอชูโรส (เคยอ่านเจอว่าเป็นของที่ไม่ควรพลาด) เลยจัดไปหนึ่งชิ้น พอได้ของคือช็อคไปหนึ่งแมท เพราะมันใหญ่กว่าที่คิด กินแทบไม่หมด 555555555

จากนั้นท้องฟ้าเริ่มมืด เพราะห้าโมงกว่าแล้ว ชั่งใจว่าจะเล่นต่อหรือกลับดี แต่ด้วยสภาพที่เปียกไปครึ่งขา
รองเท้าที่แทบจะเปื่อยในตอนนั้น ขอยอมแพ้กลับไปพักดีกว่า  อีกวันเราต้องเตรียมย้ายโรงแรมไปที่ชินจูกุด้วย
เลยอยากนอนไวหน่อย ก็เดินทางด้วยรถไฟสายเดิมกะจะไปทานข้าวเย็นที่สถานี Tokyo ด้วยความขี้เกียจในตอนนั้น
มันลากยาวกลับถึงที่พัก ซื้ออาหารมาจากใน 7-11 และไปใช้ห้อง Relax ส่วนรวมของที่นั่น แต่ขอบอกเลยว่าของกินมันอร่อยมาก มีจับแชของทางเกาหลีและกิมจิ ของหวานก็เป็น ลูกพีชเชื่อมกับเบียร์ Kirin รู้ตัวอีกทีก็ห้าทุ่ม ไม่ได้นอนไวแล้ว


[Day5 : สโลว์ไลฟ์กับการตามหาเครื่องรางและดอกซากุระ 🌸❤️]

เช้าวันนี้รีบเก็บของเตรียม Check out เพื่อย้ายที่พัก แต่ระหว่างวันเราแพลนเที่ยวแถวๆอาซากุสะ และ อูเอโนะ
เพื่อไม่ให้เป็นภาระ เราก็ได้ฝากกระเป๋าไว้ที่สถานี Keisei  Ueno อยู่ใกล้ประตูทางเข้าเลย
เข้าไปเลี้ยวขวามีเพียบ ใช้ช่องเล็กใส่กระเป๋ายี่สิบนิ้วได้พอดี ในราคาวันละ 400 Yen
จากนั้นก็เดินตัวปลิวไปหาอะไรทานที่สถานี Ueno เจอร้าน Echika fit อยู่ระหว่างทางเปลี่ยนไปสาย Subways
เป็นร้าน breakfast ราคาเบาๆ เจ้าปังนี้ราคา 490 Yen

บอกเลยว่าอิ่มจุกมาก จากนั้นก็นั่งสาย Ginza ไปลงที่ Asakusa ออกจากสถานีและไปที่ Sumida park
เพราะวันนี้เราตั้งใจจะไปดูดอกซากุระ ที่นี่เป็นสวนอยู่ติดริมแม่น้ำ Sumida หากข้ามไปอีกฝั่งจะเจอ Tokyo sky tree

วิวสวยมากๆเลย นั่งอยู่ตรงนั้นซักพัก ลืมบอกเลยว่าช่วงเช้าวันนี้ฝนไม่ตก แต่ท้องฟ้าก็ไม่สดใสเช่นกัน
ดูพยากรณ์อากาศฝนจะตกช่วงบ่าย ฉะนั้นเพื่อจะไปให้ทันเก็บภาพดอกซากุระอีกที่ ก็ต้องรีบไปกันต่อ

เราเดินไปที่วัด Sensoji หรือวัด Asakusa ที่นี่คนเยอะมากๆ ตั้งใจมาเพื่อซื้อเครื่องรางโดยเฉพาะ

แต่มาแล้วก็ต้องเข้าไปสักการะซะหน่อย แถมเสี่ยงดวงชะตากับ Omikuji  หรือเซียมซีนั่นแหละ
หากใครได้ดวงดีก็เก็บไว้แต่ถ้าไม่ให้พับแล้วแขวนไว้ที่นี่

มองเวลาและท้องฟ้า ความมืดเริ่มคลืบคลานเข้ามาแล้ว เดินออกมาผ่าน  Nakamise Street
ของซื้อของกินเยอะมากๆ เสียดายที่เวลาไม่มีแล้วอดช้อป

กลับไปที่สถานี Ueno แล้วใช้ทางออกเดียวกับสถานี Keisei Ueno ก่อนถึง จะเจอทางเลี้ยวขวาขึ้นไปด้านบน
เป็น Ueno park เดินเข้ามาสองข้างทางก็เจอดอกซากุระล้อมรอบ ด้านในมีการแสดงและของกินขายเพียบ

มีสวนสัตว์ด้วยนะ แต่เราไม่ได้เข้าไป เพราะฝนดันตก TOT เราก็กลางร่มเดินต่อ สู้สุดๆ
ฝนเริ่มตกหนักขึ้น ตอนนั้นก็จะสี่โมงแล้ว เราก็กลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ แล้วนั่งรถไฟ JR สาย Yamanote
ไปที่ Shin-Okubo สถานีที่ใกล้ที่พักที่สุด จากนั้น Check in เก็บของแล้วก็ออกไปหาของกิน
มื้อเย็นวันนี้จัดเต็มหน่อย ชาบูสไตล์เกาหลี พร้อมอุปกรณ์มากมายที่สามารถทำเมนูอื่นๆต่อได้ด้วย
แต่เราไปคนเดียวแค่ชาบูก็อิ่มมากๆแล้ว จบวันด้วยการไปเดินย่อยที่ชินจูกุ


[Day6 : คาเฟ่ขนมหวานที่ศาลเจ้าและแพลนที่เปลี่ยนไปหมดเลย]

สำหรับแพลนวันนี้ตั้งใจจะไปโซน Harajuku , Shibuya และ Ebisu สามสถานีที่อยู่ติดกัน
ซึ่งหลักๆก็คิดไว้แล้วว่าจะไป Meiji Jingu ต่อด้วยคาเฟ่ ที่ห้าแยกชิบุย่า จบวันด้วยการไปพิพิธภัณฑ์เบียร์ที่เอบิสึ
เดินทางง่ายๆด้วยรถไฟสายเดียว  ด้วยความที่เป็นวันท้ายๆของทริป เรามั่นใจว่าตัวเองจะเหนื่อยและล้า
เลยอยากไปคาเฟ่ที่อยู่ชิลส์นานๆ แน่นอนว่าของกินก็ต้องเด็ดด้วย

เริ่มเดินทางโดยรถไฟ JR สาย Yamanote ไปลงสถานี Harajuku จะมีป้ายบอกทางไปที่ศาลเจ้า
เดินมาตามทางออก แล้วจะอยู่ทางขวามือ หาไม่ยาก เราตั้งใจมาหาอะไรทานที่นี่เลย

คาเฟ่ ชื่อร้าน Mori no Terrace มีสองสาขา อยู่ตรงทางเข้า (ออกสถานีมาแล้วเจอเลย)
และด้านในตรง Forest terrace  เมนูที่เราสั่งเป็นชาร้อนที่ช่วยชีวิตไว้มากๆ

วันนั้นฝนตกเหมือนทุกวัน แต่ที่มันนักหนากว่าวันอื่น คงเป็นเพราะชุดของเราค่อนข้างบาง
สวนทางเข้าศาลเจ้าก็เต็มไปด้วยต้นไม้ แถมลมก็แรงด้วย เย็นยะเยือกเลยทีเดียว
พอได้ของกินก็นั่งชิลล์ไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว

ก็ออกไปลุย สู้อากาศที่หนาวเย็น เดินเข้าด้านในประมาณ 500 เมตร จะเจอศาลเจ้า
ซึ่งมีคู่รักกำลังทำพิธีแต่งงานอยู่ด้วย ภายในบริเวณศาลเจ้าห้ามถ่ายรูป เลยเก็บภาพบริเวณโดยรอบมาแทน

ด้านข้างที่มีต้นไม้ใหญ่ จะมีผู้คนเขียนคำอธิษฐานและแขวนไว้แบบนี้ เราเองก็ไม่พลาดเช่นกัน
ซื้อไม้ Ema ในราคา 500 Yen จะมีโซนให้เขียนด้านข้าง พอเสร็จก็เอาไปแขวนได้

อยู่ตรงนั้นสักพักก็ออกมา ด้วยความหิวมาแวะที่เดิมแต่คราวนี้ลองเป็น Dango เป็นโมจิที่เคลือบด้วยซอสเค็ม
เหมือนกับขนมโดโซะบ้านเราแต่เป็นแป้งนุ่ม อร่อยนะ สามชิ้นอิ่มไปเลย รอดแล้วกลางวันนี้ ^O^

กินเสร็จก็แวะดูของฝากซะหน่อย บอกก่อนเลยว่าตลอดวันที่ผ่านมาเราไม่คิดจะซื้ออะไรทั้งนั้น
จนกว่าจะถึงวันกลับ ซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้เลยเริ่มๆดูของบ้าง สุดท้ายได้ Candy มาหนึ่งตลับ แพ้ความแพคเกจจิ้ง

จากนั้นก็กลับไปที่สถานีและใช้บริการสายเดิมต่อไปที่ Shibuya สถานีนี้คนเยอะมาก มีการก่อสร้างใหม่แถวนั้น ทำให้หาทางไปค่อนข้างยาก อาจจะด้วยความหนาวและความอิ่ม ทำให้ล้มเลิกแผนคาเฟ่ แค่ไปแวะดูว่าแถวนั้นเป็นยังไงก็จะกลับ

ที่นี้มันดันเหลือเวลา พึ่งจะสามโมงเย็นเอง ไปไหนได้อีกเยอะ ไม่อยากจะเสียเวลาไปเปล่าๆและตามแพลนของวันที่ 4
เราพลาดทัวร์สถานี Tokyo ไป เพราะความเหนื่อย วันนี้คิดว่าไหว เลยจะนั่งรถไฟไปที่นู่น
ส่วนพิพิธภัณฑ์เบียร์ที่เอบิสึ คงต้องยกเลิกไปด้วย เพราะไม่อยากย้อนกลับมาทางนี้แล้ว

ที่มาสถานี Tokyo เพราะอยากมาดูขนมต่างๆที่ขาย เพื่อนบอกมาว่ามีเยอะ ซึ่งก็ตามคาดที่สถานีเต็มไปด้วยร้านขนม      ใครไม่รู้จะไปซื้อที่ไหนแนะนำให้มาที่นี่เลย มีตั้งแต่ชั้น 1, B1 ออกไปที่ห้าง Daimaru ก็ยังเจออีก
เดินทัวร์ที่ชั้น B1 จะมี Character street เป็นแหล่งซื้อของการ์ตูนต่างๆ แทบทุกเรื่องที่เรารู้จักเลยทีเดียว
แต่เราไปสะดุดที่ Pokemon store เนื่องจากตามหากระเป๋าตังค์ที่เคยใช้ แต่ตอนนี้ที่ไทยหาไม่ได้แล้ว
ร้านคนเยอะมาก เดินดูไม่สะดวก จำได้ว่าแถวสถานีจะมี Pokemon Center และทำการเปิดแมพหาทางไป
หลงอยู่พอสมควรกว่าจะหาตึกเจอ ขึ้นไปก็งงๆ เน้นตามคนข้างหน้า ก็มาเจอจนได้
ร้านมีขนาดใหญ่กว่าสาขาที่สถานี คนเยอะนะแต่ก็ยังดูของได้ทั่ว

ตามกระเป๋าตังค์แต่ก็ไม่เจอแบบที่เคยใช้เลย ไปได้น้องคนนี้มาแทน
น่ารักมาก ยอมจ่ายแม้จะทำให้ไม่มีเงินใส่ในกระเป๋าแล้ว 55555555555555

พอเริ่มค่ำแล้วก็กลับไปที่สถานี Shinjuku ทานข้าวและหาซื้อของฝากต่อ กลับที่พักดึกมากๆ เกือบเที่ยงคืน
หมดเวลาไปกับการช้อป รีบอาบน้ำและเตรียมแพคของกลับ


[Day7 : ถึงเวลาต้องร่ำลา TT]

วันสุดท้ายแล้ว ไม่ได้แวะไปเที่ยวที่ไหน เพราะกลับไฟลท์บ่ายสอง ต้องเผื่อเวลาไป Check in และซื้อของฝาก
เราก็ออกจากโรงแรมตอนสิบโมง ขึ้นรถไฟสายเดิมไปที่สถานี Ueno เพื่อต่อรถไฟ Keisei skyliner ไปสนามบินนาริตะ
เหมือนขามาเราก็ได้ทำการจองตั๋วผ่านเว็บไซต์  ดังนั้นพอไปถึงสถานีเราก็แค่เปิดเมล์แสดง QR ให้พนักงานแสกน
เค้าก็จะออกตั๋วเวลาของรอบที่เร็วที่สุดมาให้ เราไปถึงสถานีประมาณ 10.40 เลยได้รถไฟรถรอบ 11.00

ถึงสนามบินเวลา 11.40 เป๊ะๆ เรามองนาฬิกาตอนรถไฟจอดพอดี เราลงที่ T2 นะ จากนั้นก็ขึ้นไปที่ชั้น 3
มองหาจอทีวีใหญ่ๆ ดูว่าไฟลท์ของเราต้องไปที่เคาน์เตอร์ไหน เรากลับด้วยสายการบิน AirAsia X อยู่ที่เคาน์เตอร์ N
(เท่าที่ดูในแผนที่สนามบิน เฉพาะ Terminal 2, 3F น่ามีเคาน์เตอร์ A-T เลย เยอะมากๆ)
ไปถึงก็ต้องผงะเพราะแถวยาวล้นออกไกลมาก TT และ Boarding time ของเราคือ 14.05
เรามีเวลา Check in กินข้าว ซื้อของฝาก ภายในเวลาสองชั่วโมงกว่า (ซึ่งน้อยมาก ควรมาเร็วกว่านี้อีกนะทุกคน)
เวลาไปผ่านไปครึ่งชั่วโมง แถวขยับไปได้นิดเดียวเองช่วงประมาณหกเจ็ดคนได้ ในใจคือเริ่มกระวนกระวาย
เพราะมันรอนานกว่าที่คิด ยิ่งแถวขยับก็เห็นว่าด้านในก็มีแถวยาวไปอี๊กกกก (คือต่อแถวในต่อแถวอีกที TT)
ถ้าเราพร้อมเดินทางเลยคงไม่มีปัญหา อันนี้ข้าวสักเม็ดยังไม่ตกถึงท้องเลยจ้า แถมของฝากเราก็ยังซื้อได้ไม่เยอะ
เพราะคิดไว้ว่าจะมาซื้อต่อที่สนามบิน (ขี้เกียจขนจากโตเกียวแหละจริงๆแล้ว)
แต่เหมือนพระเจ้าเห็นใจคนหิวข้าว ตอนนั้นมีคนถามพนักงานเรื่องแถวสำหรับคนที่ Check in ออนไลน์มาก่อน
เราก็หูผึ่งเลย แล้วก็ตัดสินใจเดินตามเขาไป 5555555555 คือมันจะมีแถวพิเศษอยู่ช่องขวามือสุด
ทำให้เราย่นระยะไปได้ประมาณสามสิบคนเลยอ่ะ รออีกประมาณสิบนาทีก็ถึงคิวเรา แปบเดียวก็ได้ตั๋ว

ฉะนั้นเพื่อความรวดเร็วให้ Check in ออนไลน์มาก่อนนะทุกคน  อย่างน้อยก็ช่วยลดระเวลาในการรอ

จากนั้นเราเดินตรงขึ้นไปที่ชั้น 4 มีร้านขายของฝาก ร้านข้าว ร้านกาแฟ แม้แต่ 7-11 ก็มี
เราระงับความหิวและเดินซื้อของฝากก่อน เพราะคิดว่าจะต้องรอคิวจ่ายเงินอีก แต่เปล่าเลยแหะ
ถึงแถวในร้านค้าจะยาวแต่ก็เร็วกว่าที่คิด เราใช้เวลาซื้อขนมมาหนึ่งถุงใหญ่ภายในเวลาสามสิบนาทีเท่านั้น
ตอนนั้นก็บ่ายพอดีมีเวลาเหลือหนึ่งชั่วโมง ไปหาอะไรกิน แต่ด้วยเงินที่เหลือไม่เยอะ (ซื้อของไปหมดลืมว่ายังไม่ได้กินข้าว)
เลยจบมื้อนั้นที่ 7-11 เอาจริงข้าวในนั้นอร่อยนะ 555555555 แต่เราหาที่นั่งไม่เจอ ไปกินอยู่ตรง Observe desk
ที่สำหรับดูวิว Runways เห็นว่ามีที่นั่งว่างก็เลยนั่งกินที่นั่น ฟิลเหมือนตอนอยู่ที่ New Chitose Airport เลย

พอเสร็จเราก็เดินไปที่ Gate  มีร้านขายของฝาก Tax Free อีกเพียบเลยนะ สำหรับใครที่จะซื้อของฝาก
แนะนำตัวใหญ่ๆเลยว่าให้มาซื้อที่สนามบินดีกว่า หมายถึงของที่มีขายทั่วไปนะ ถ้าขนมหรือของที่มัน Special มากๆ      อาจจะไม่มี ควรเสิร์ชข้อมูลก่อน เราเจอว่าราคาถูกว่าซื้อจากร้านในตัวเมือง ราคาต่างหลักร้อยเยน แถมไม่ต้องแบกมาไกล
(เราแอบเช็คไปสองอย่างคือครีมกันแดด Biore และ Kitkat ราคาถูกว่าที่ร้านๆนึงร้อยกว่าเยนเลย เสียดายมั่ก)
แล้วก็นั่งรอเวลาขึ้นเครื่องกลับสู่โลกแห่งความจริง

และค่าใช้จ่ายทั้งหมดในทริปนี้ (ไม่รวมค่าของกินและของฝาก)

สามารถตามแพลนเราได้เลยนะ ถ้าไม่เล่นสกีจะเซฟเงินได้ราวๆอีกห้าพันบาท
เที่ยวต่างประเทศ 7 วันในราคา สี่หมื่น เราคิดว่ามันสมเหตุสมผลเพียงพอ ☺️

เพิ่มเติมข้อสำคัญ มาเที่ยวอย่าลืมทำประกันชีวิตเด็ดขาด เผื่อเกิดอะไรขึ้น ซื้อความสบายใจไว้เนิ่นๆ ดีกว่าค่ะ
เรื่องอินเตอร์เน็ต เราใช้ของทรู ไปติดต่อที่สาขา Terminal 21 ทำเบอร์ปกติเป็น eSim
แล้วใช้ตัว Travel sim ใส่แทน ทางร้านจะลงทะเบียนทุกอย่างให้เรา ให้ทำการลองใช้ภายในประเทศเราก่อน
เผื่อรับข้อความเริ่มสิทธิ์การใช้งาน (เน็ตจริงๆจะเริ่มคิดตอนอยู่ญี่ปุ่นเท่านั้น) เราใช้แล้วไม่มีปัญหาเลย
ตัวถึงสนามบิน แจ้งเตือน ก็เข้ารัวๆ ระหว่างวันอาจจะมีแค่หลุดนิดหน่อย ไม่กี่วิ แล้วก็เล่นได้ปกติ

สำหรับการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกนั้นมันยอดเยี่ยมและประทับใจมาก คงต้องพูดเหมือนที่ท่านอื่นๆบอก
ว่า “ประเทศญี่ปุ่นไม่มีคำว่าครั้งเดียว”  ซึ่งก็คงจริง เราจะหาโอกาสมาอีกแน่นอน 

เราใช้เวลาในการเขียนรีวิวและเรียบเรียงค่อนข้างนาน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ
เพราะตอนที่เราทำแพลนใช้เวลาเป็นเดือนๆเลยกว่าจะลงตัว และที่สำคัญเราตั้งใจแชร์เพื่อบอกว่า
การเที่ยวคนเดียวไม่ได้น่ากลัวเลย ถ้าเรามีการวางแผนที่ดีพอ(ในระดับนึง)
ส่วนภาษาที่หลายๆคนกังวล พอถึงเวลา เราเชื่อว่ามนุษย์มีความสามารถในการเอาตัวรอดที่สูงนะ ยังไงก็จะผ่านไปได้

และสุดท้ายนี้อยากจะฝากไว้  เราไปเที่ยวต่างบ้านต่างเมือง ประเทศเขาเองก็ต้อนรับเพื่อนบ้านอย่างเราๆดีมาก
หวังว่าเราจะเที่ยวในประเทศเขาด้วยความเคารพสถานที่ และกฎระเบียบนะคะ 😍😍😍

TPtheLuckyGirl

 วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2566 เวลา 13.35 น.

ความคิดเห็น