+++...Leh Ladakh ถ้าคิดจะพัก ให้มาลองรัก Leh...+++


นมัสเต แหม่ มาเป็นภาษาฮินดีเลย ฮ่าๆๆ จากครั้งที่แล้วเราไปลุยที่ลาวใต้กันอย่างสนุกสนาน มาถึงคราวนี้ มนุษย์เงินเดือนอย่างผมมีวันหยุดยาวๆ มาให้ได้ออกไปท่องโลกและเรียนรู้กับเพื่อนร่วมโลกอีกมากมาย มนุษย์เงินเดือนอย่างผมก็อยากลองของแปลก และอยากทำในสิ่งที่คิดว่าชาตินี้เราคงไม่ได้ทำมัน แต่เรากลับได้ทำมันเพราะมันคือความฝันของเรา การเดินทางครั้งนี้เกิดจากการที่อยากไปเจออะไรใหม่ๆ การที่ต้องการไปให้สุดของฝันเล็กๆ ฝันนึง การที่มีแรงบรรดาลใจจากอะไรหลายๆ อย่างและการที่อยากจะสร้างแรงบรรดาลใจให้ผู้อื่นได้เริ่มออกเดินทางและหนีออกจากชีวิตที่วนรูปที่ไม่รู้จบ ครั้งนี้เราจะ ไปเมืองโรตีกันหน่อยดีกว่า ไปลองลิ้มรสโรตีต้นตำหรับสักครั้ง เขาว่ากันว่าประเทศเนี้ยยังมีอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นที่สุดของโลกเยอะซะด้วย หนึ่งในนั้นเป็นสิ่งที่ผมอยากไปให้ได้ก่อนอายุ 30 เอาละอย่าเสียเวลาเลยไปเริ่มตามหาที่ในสิ่งที่ผมเรียกว่า “ความฝัน" กันดีกว่า โดยเรื่องที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังอาจจะมีคำหยาบคายบ้างถ้ามีอะไรไม่เหมาะสมก็ขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วย แล้วก็ถ้าหลงมาอ่านแล้วก็ช่วยๆ กันตามต่อให้จบนะครับ ฮ่าๆ ^_^



ขออณุญาตขี่มอเตอร์ไซค์หน่อยครับพี่


Metro


leh ladakh


อ.อาหาร


การเดินทาง = การเรียนรู้


สวรรค์บนดินกับสิ่งที่วาดไว้


การจากลาคือความทรงจำ




ขออณุญาตขี่มอเตอร์ไซค์หน่อยครับพี่


ทริปนี้เราอยากไปสิ่งที่เราฝันไว้ นั้นคือการขี่มอเตอร์ไซค์ไปบนถนนที่สูงที่สุดของโลก เราก็ต้องมีใบขับขี่ให้ถูกต้องเสียก่อน ถ้าไม่มีเดี๋ยวผู้หนวดที่นั้นเขาจะเล่นงานเอา การขอใบขับขี่ระหว่างประเทศไม่ได้ยากมากมายอะไรเลย เอกสารที่ต้องเตรียมก็มีไม่กี่อย่างเอง เอกสารที่ต้องเตรียมก็มีดังนี้น่ะ

1. สำเนาหนังสือเดินทาง (Passport) พร้อมเล่มจริง

2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมฉบับจริง

3. สำเนาใบขับขี่ พร้อมฉบับจริง

4. รูปถ่าย 2 นิ้ว 2 รูป ขอเนี้ยเราก็ได้รูปจากที่ถ่ายมาจากตอนขอ Visa แล้วเราก็มีแล้วไม่ต้องเสียเงินอีกงบไม่ถึง 5 บาทได้ตั้ง 4 รูป

เสียค่าธรรมเนียม 505 บาท เราใช้เวลาในการทำไม่นานเลย ตั้งแต่ยื่นเอกสาร รอคิว รอรับสมุดใบขับขี่สากล ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีเลย เสร็จแล้วใบขับขี่ของเรา ^_^

คราวนีก็พร้อมกับการขี่มอเตอร์ไซค์แล้วล่ะ


ทำรูปติดบัตร >> http://anyexposure.com/id-photo-online-create.html

ข้อมูลเพิ่มเติม >> https://2baht.com/international-driving-permit/



Metro


เมื่อเอกสารทุกอย่างพร้อมแล้ว คราวนี้เรามาเริ่มเดินทางกันดีครับแค่ก้าวแรกเดินเข้ามาช่องทางเข้าเครื่องก็ต้องร้องว่า เชรี่ยย ทำไมผู้หญิงคนนั้นสวยจังวะ อ้าวคนไทยนี้หว่าฮ่าๆ พอเดินเข้ามาถึงในเครื่อง ก็รับรู้ถึงความเป็นอินเดียมาก ส่วนใหญ่มีแต่คนอินเดียเรื่องกลิ่นนั้นไม่ต้องพูดถึงครับ แต่ขอโทษครับมันไม่ได้กลิ่นเครื่องเทศอย่างที่เราคิดโว๊ยเห้ยย มันไม่ได้กลิ่น ทำไมมันถึงไม่ได้กลิ่นวะ งงงง

พอประมาณ 12.45 น. มาถึง นิวเดลลี กัปตันของเราก็บินวนรอบเมืองประมาณ สามรอบให้เราได้ชมวิวทิวทัศน์ในมุมสูงกัน พอถึงสนามบินมา เราก็ไปหาที่ฝากกระเป๋ากันก่อน


และจุดเริ่มต้นของ metro ก็ได้เริ่มขึ้น ณ บัดนี้ การซื้อตั๋วก็เป็นปกติเหมือนบ้านเราเนี้ยแหละแต่ที่เริ่มไม่ปกตินั้นก็คือตอนขึ้นรถไฟกับตอนอยู่บนรถไฟ มันเป็นอีกหนึ่งการเรียนรู้ที่ทำอย่างไรจึงจะได้ขึ้นรถไฟ และทำอย่างไรถึงจะยู่บนรถไฟได้อย่างสบายๆ


อย่างแรกเลยนะตอนขึ้นรถไฟ เบียดมันเข้าไปเลยโว๊ยดันเข้าไป ดันจนกว่าเราจะได้ขึ้น ฮ่าๆๆ ถ้าเรามัวต่อแถวน่ะ มาอีก 10 ขบวนก็ไม่ได้ขึ้นนี้ไงได้ยืนถ่ายรูปเล่นเลย ฮ่าๆ


การแซงคิวที่นี้ถือเป็นปกติมั้งไม่ชัวร์แต่แมร่งผมโดนแซงตลอดเลย เพราะฉะนั้นเบียดแมร่งเข้าไปเดี๋ยวเจ้าหน้าที่จับเรายัดเข้าไปอีกรอบเอง


ต่อมาเรื่องของการอยู่บนรถไฟ พอเข้าไปมันก็เบียดกันชนิดที่ว่ายกขายังลอยได้แล้วใช่ป่ะ เราต้องป้องกันตัวเองจากการถูกเสียดสีด้วยนะ ฮ่าๆ โดยฉะเพราะ ผู้หญิงต้องป้องกันตัวเองดีๆ


พวกผู้ชายที่นี้ใช่ย่อย ^_^ การป้องกันที่คือ หันหน้าเข้าประตูรถไฟและให้เพื่อนผู้ชายยืนกันด้านหลังอีกที หรือเข้าไปนั่งถ้าทำได้ ถ้าใครมีวิธีที่ดีกว่านี้แนะนำด้วยครับ เพราะเราก็ไม่เชี่ยว ฮ่าๆ สุดท้ายเป็นเรื่องของกลิ่น มันก็มีบ้างนะแต่ไม่ถึงกับหื้มมม ทนไม่ไหววะไรเงี้ยของงี้ต้องลองเองจริงๆ


Leh – Ladakh


เมืองที่ใครหลายคนอยากมาสัมผัสของความเป็นเลห์ และเมืองเลห์มันก็มีเอกลักษณ์ในแบบของมัน บางอย่างเราถามคนพื้นที่ว่า ทำไมที่นี้ถึงเป็นแบบนี้ ทำไมที่นี้ถึงเป็นแบบนั้น คนพื้นที่ตอบสั้นๆ ว่า is leh...!! เราได้แต่ทำหน้าเงิบแล้วอมยิ้ม แล้วก็คิดในใจว่าเออมันก็คงเป็นเลห์อะ ทำไงได้ละ ฮ่าๆ เราจะใช้เวลาอยู่ที่นี้ 8 วัน และจะบอกว่าเรามีเรื่องราวที่นี้มากมายที่อยากจะเล่ามันออกมา แต่เราคิดว่าคงเล่าออกมาไม่ครบ แต่เราอยากให้พวกคุณมาลองสัมผัสมันเองกว่า ว่ามันมีดีอะไรทำไมหลายคนถึงอยากมาก่อนอื่นเราจะพามาดูสถานที่สวยๆ และของกินอร่อยๆ ในตัวเมืองและบริเวณรอบๆ กันก่อน ว่าสถานที่แรกที่เราจะพาไปก็จะเป็นวัด วัดนึงที่ใครมาแล้วก็ต้องไปกราบไหว้เพื่อให้เป็นศิริมงคล ก่อนการเดินทางนั้นก็คือวัด


Shanti Stupa

ที่นี้สามรถมองเห็นได้จากทุกพื้นที่เลยเพราะเป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเขาเลยมองมาจากทางไหนต้องเห็นวัดนี้แน่นอน หลังจากการกราบไหว้บริเวณนั้นก็มีมุมสวยๆ ให้เราชมกันอีกด้วยแต่ทว่าช่วงที่เราไปมันหนาวมากกกกก


ถ้าจะหนาวขนาดนี้ ดูแปปเดียวก็ได้มุมนี้เราจะสามารถมองเห็น Leh Palace มุมนี้เป็นอีกมุมนึงที่มีความสวยงามมากเลยนะ


แต่มันหนาวเกินไป ฮ่าๆ เอาเป็นว่ามาถึงเมืองเลห์แล้ว ก็เข้าไปกราบไหว้กันก่อนละกันเสมือนเป็นศาลหลักเมืองบ้านเราแหละ ^_^ เราไปสถานที่อื่นกันต่อดีกว่า เราจะพาไปที่คุณเห็นในภาพมักกี้เนี้ย



Leh Palace

เป็นถานที่ ที่เราเห็นมักกี้แหละถ้าถามว่าในนี้มีอะไรนะหรือหึหึหึ มีวิวเมืองเลห์ให้ดูไงแต่ก่อนจะถึง ก็เห็นวิวสวยๆ แล้วอะ ก่อนจะเข้าเราต้องซื้อตั๋วก่อนนะและทางเข้าก็เป็นเช่นนี้ แต่ๆข้างในมันไม่มีอะไรหรอกจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นจุดชมวิวอีกมุมนึงที่สวยไม่แพ้ที่ Shanti Stupa


แต่ทว่าตรงนี้เห็นพระอาทิตย์ตกพอดี แต่ก็นั้นแหละหนาวจะตายยยย บ้าป่าวใครจะอยู่ได้นานๆ ฮ่าๆ


หลังจากนั้นเราก็กลับที่พักเพื่อพักผ่อนกัน เพราะเกรงว่าจะปรับร่างกายกันไม่ทันเดี๋ยวจะเป็นโรคแพ้ความสูงกันและเดี๋ยวจะอดเที่ยวและนี้คือที่พักของเราในค่ำคืนแรก


Shey Palace


สถานที่แห่งนี้จะอยู่ข้างทาง ที่เป็นทางเดียวกับเส้นทางไป Pangong lake คือถ้าไป Pangong ยังไงก็ต้องผ่านเส้นทางนี้เป็นสถานที่แรกที่เราออกมาจากเมืองเลยแหละ


และที่สำคัญอย่าลืมเดินขึ้นไปข้างบนน่ะเพราะวิวมันสวยมาก


ดูแต่รูปพอ ^_^


สวยกว่าภาพถ่ายของเราเสียอีก ^_^ เห็นแล้วชอบอะ


Thikse Gompa


อยู่ถัดมาจาก Shey Palace เพียงไม่กี่กิโลเอง ไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้วละ จะบอกว่าอยู่ดูอย่างห่างๆ นะครับ เพราะถ้าเข้าไปข้างในแล้ว คุณจะเหนื่อยแน่ ฮ่าๆ อันที่จริงๆ ลองเดินเข้าไปก็ได้นะครับ จะได้รู้สึกถึงความเป็น thikse Gompa แต่ผมไม่อยากเข้าถึงขนาดนั้นน่ะสิ ฮ่าๆ เลยไม่ได้ถ่ายรูปภายในมาให้ดูกันเลย ถ้าใครมีรบกวนเอามาแปะได้น่ะ เราว่าแมร่งหาคนที่จะเดินให้ทั่วยากมาก


Hemis Gompa


ก่อนเข้ามาได้นั้น พายุเข้าพอดีฮ่าๆ ตอนแรกเกือบจะเลี้ยวรถกลับแล้วพายุมาแรงจริงๆ ตอนนั้นขี่มอเตอร์ไซค์ไปด้วยเกือบล้มเลย ฮ่าๆ ได้แต่ถามใจตัวเองดูว่าไหวมั้ย ^_^ วัดนี้เป็นวัดที่สวยอีกวัดนึงเลยนะ เดี๋ยวเราพาไปดูด้านในกัน


และแบบตอนเราเข้าไปอะ เห้ยยย พระท่านกำลังทำวัดด้วยดูดิ


แล้วองค์พระก็สวยงามมาก แต่ทว่า ข้างในโบสถ์เขาห้ามใช้แฟลชแต่ดันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติแมร่งใช้แฟลชกัน เลยอดถ่ายภาพสวยๆ เลย เลยได้มาแค่เนี้ย



Chemrey Gompa

วัดนี้น่ะเอาจริงๆ ไม่ต้องเข้าไปข้างในหรอกครับ แบบถ้าใครไม่อินจริง ผมว่าเข้ามาขี่รถวนสัก 3 รอบแล้วก็เผาได้เลยย เอ้ยยยยไม่ใช่ล๊าวว ฮ่าๆ อย่างที่ว่าแหละครับวนครบ 3 รอบแล้วเผาเลยฮ่าๆ ไม่ใช่ๆๆๆ


วัดนี้ถ้าดูจากทางเข้าผมว่าสวยสุดแล้ว มองภาพรวมๆ ของวัดแล้วลองนึกภาพตามนะครับ ว่าคนสมัยก่อนทำไมเขาต้องสร้างวัดไว้บนภูเขาด้วยหรือที่สูงๆ ด้วยหรือว่าเป็นของสูงความอยู่ที่สูง ^_^ การแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณตัวเมืองและบริเวณรอบๆ เมืองเลห์ก็มีคร่าวๆ ประมาณเท่านี้แหละครับ ^_^ ส่วนสถานที่อื่นๆ ต้องใช้เวลาในการเล่า ^_^




ลาวใต้ ใครเล่าจะรู้ว่า...!!!


>http://pantip.com/topic/34402527


บิด 2 ล้อไปเปิด Sing ณ เมืองลาว...!!!


>http://pantip.com/topic/33571899มาสนุกกันต่อดีกว่าครับ ดึกแบบนี้แล้วเรามาคุยเรื่องอาหารกันดีกว่าเนอะ



อออาหาร


เรื่องอาหารเราว่าเราจะไม่ยุ่งแล้วมันพูดลำบากจริงๆ ใครว่าอาหาจะเป็นยังไงแต่เราเชื่อว่าอาหารที่นี้อร่อยนะ ใครมาที่นี้แล้วถ้าไม่ลองกินเนื้อทอดที่แล้วเนี้ย แสดงว่ามาไม่ถึงจริง เพราะเจ้าเนื้อนี้เอาไปทำอะไรก็อร่อย ไม่ว่า ผัดหรือทอด ก็อร่อยทั้งนั้นนี้ก็เป็นหน้าตาของมัน


เห้ยยยไม่ใช่ล๊าวววววว นี้มันน้องหมาใครบ้าจะกินมันลง น่ารักซะขนาดนี้ อยากจะอุ้มกลับไทย ฮ่าๆๆๆ นี้ๆหน้าตามันเป็นแบบนี้ต่างหาก


วางปุ๊บก็จัดกันเลยเกือบลืมถ่ายไว้ให้ดู มันอร่อยมากกกกกก มาแล้วต้องกินให้ได้นะ เราจึงให้เมนูที่มีเนื้อเป็นอันดับหนึ่งเลย ฮ่าๆ อร่อยสุดๆ



อันดับ 2 มาม่า

เจ้ามาม่าบ้านเราเนี้ยแหละแล้วมิกกับไข่ไก่ มันเป็นอาหารที่ดีมากสำหรับเราและการปรับตัว^_^ คิดไรไม่ออกสั่งเลย กินได้แน่นอน


รับนรองอิ่มทองแถมถูกปากอีกด้วย

รสชาติก็นั้นแหละไม่ถึงกับอร่อยมากแต่กินได้แต่ว่าเรามีน้ำปลาช่วยชีวิต ฮ่าๆ มันก็เลยอร่อยยขึ้นมาทันที



อันดับที่ 3 ไข่เจียว

เรายกให้ก็น่าจะเป็นไข่เจียวธรรมดาเนี้ยแหละกินกับอะไรก็อร่อยถ้ามีแม็กกี้ด้วยนะจะฟินมากฮ่าๆ ที่ในเมืองเลห์เขาจะมีแผ่นแป้งโรตีอะเป็นแผ่นๆ กินเป็นอาหารเช้า


แล้วก็เอาไข่เจียวเนี้ยใส่เข้าไปใส่เนยถั่วเข้าไป อร่อยใช่เล่นเหมือนกันนะ แนะนำให้มาลองกินกันดู อร่อยจริงๆ ไม่โกหก



อันดับที่ 4 ซุป

เป็นอาหารเช้าเหมือนกัน ช่วงเวลาที่เราไปเป็นช่วงฤดูหนาวของที่นั้น พอได้เจ้านี้ไปทำให้อุ่นมือลากยาวไปยันท้องเลยมันก็คือ ซุป อะไรสักอย่าง ฮ่าๆ เหมือนกับว่ามันเป็นซุปผงแล้วเอามาต้มเหมือนโจ๊กซองบ้านเราแหละ เราลืมถ่ายรูปซองมันมา แต่หน้าตามันประมาณนี้นะ อร่อยอยู่ ตอนเช้ากินคู่กับ มิลที โอ๊ยยยอร่อยไรปานนั้น ^_^



อันดับที่ 5 มิลค์ทีกับโกโก้

มิลค์ทีกับโกโก้กินตอนก่อนเข้านอนอร่อยไม่เบาเลย อยู่ที่นั้นอยากกินแต่ของร้อนๆ พอได้กินของร้อนๆ ร่างกายมันอุ่นสบายดี ^_^ ถึงจะเป็นแค่ชานมร้อนๆ แต่มันก็ทำร่างกายเราอบอุ่นดีนักแล เราจึงให้เมนูนี้ติดอันดับกับเขาด้วย



หมดไปกับ 5 อันดับที่เป็นของกินเด็ดๆ แล้วละเราเชื่อว่าใครมาต้องลองทาน 5 อันดับนี้ให้ได้ ไม่ต้องลงทุนและลงแรงลองชิมของเกือบทุกอย่างเลยว่าอะไรอร่อยหรือไม่อร่อยบ้าง เพราะอาจจะท้องเสียได้ฮ่าๆ คราวนี้เราลองมาดูอาหารที้ไม่ควรสั่งกันบ้างดีกว่า เชื่อว่าถ้าคนไทยไปอย่าได้หลงสั่งไปเชียว มาเรามาดูอาหารที้ไม่คววรสั่งกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง ถ้าอยากลองเราก็ไม่ห้ามนะ



อันดับที่ 1 แกงเขียวหวานไก่

แกงเขียวหวานไก่ มานี้ก็มีอาหารไทยนะแก แต่ทำไมถึงห้ามสั่งละ ก็เพราะว่ามันคือแกงเขียวหวานไก่ไง ฮ่าๆ อะนี้ดูหน้าตามันซะก่อน


เป็นไงละฮ่าๆๆๆ เขียวมั้ยยย จะเถียงก็ไม่ได้ด้วยว่าไม่เขียว นอกจากสีที่จะน่าจะกินแล้ว รสชาติก็.....เช่นกันนนน ฮ่าๆ



อันดับที่ 2 แกงเหลือง

แกงสีเหลืองๆ ข้างๆ แกงเขียวหวานไก่แหละครับ แลคไม่ไล้เลยยย ฮ่าๆ 2 อย่างนี้ถ้าอยากลอง ก็ลองได้ครับไม่บอกตำแหน่งร้านนะครับ



อันดับที่ 3 ถั่วผสม

อาหารที่มีแกงถั่วหรือต้มถั่วต่างๆ ผสมอยู่ ถ้าใครชอบถั่วก็จัดเลยน่ะ แต่เราคนนึงที่ไม่ชอบเท่าไร อันดับที่สามนี้ยกให้พี่ถั่วเขาเลย อาหารอะไรก็ตามที่มีถั่วอยู่ด้วยเริ่มจะแปลกๆ ท่าทางไม่ไว้ใจฮ่าๆ แต่บางอย่างมันอร่อยน่ะ แต่แกงอะไรก็ตามที่มีถั่วปนอยู่ด้วยแล้วรับรอง ฮึๆๆ ^_^ ได้มีเฮ



อับดับที่ 4 น้ำจิ้มหรือซอสแปลกๆ

ขอให้ระวังพวกน้ำจิ้มหรือซอสทั้งหลาย แนะนำว่าให้ลองชิมก่อนนะ อย่าหาว่าไม่เตือน ^_^ รสชาติมันเหมือนพลาสติกผสมกับอะไรสักอย่าง บอกไม่ถูกต้องลองไปชิมเอง น้ำจิ้มนี้อยู่ตรงร้านทางไป Nubra ช่วงที่เลย khardungla pass ไปแล้ว ถ้าใครอยากลองก้ไม่ว่ากัน ^_^ รูปมันไม่ชัดเพราะ ครอปมา ไม่ได้ถ่ายแบบชัดๆ ไว้เลย ^_^ ถ่ายแต่หลังร้านไว้ฮ่าๆ


อันดับที่ 5


ไม่มีแล้วหนักๆ ก็มีแค่เนี้ยแหละฮ่าๆ อาหารส่วนใหญ่ที่นี้อร่อย มากๆ พวกเรากินกันหมดเกือบทุกมื้อเลย หรือว่าอดยากลึป่าวก็ไม่รู้ ^_^



จบไปแล้วสำหรับอาหารทั้งอร่อยและไม่อร่อย ถ้าใครไปก็ระวังเรื่องการสั่งอาหด้วยนะ ^_^ ถ้าใครมีอาหารอร่อยก็แนะนำได้ครับ และที่เราจัดนี้เป็นความชอบส่วนตัวนะ ถ้าใครมีอร่อยๆ ก็บอกเพื่อนๆ กันได้ครับ เพราะเราก็ใช่ว่าจะเชี่ยวเลย ส่วนใหญ่ที่เรากินในเมืองเลห์ก็จะเป็นเนื้อแหละ อร่อยโครตๆ มาแล้วต้องโดนให้ได้เลย ของหวานก็จะแนะนำเป็นไอศครีมแท่งอะ รสมะม่วงเราว่าอร่อยดี ลองดูๆ ไม่เสียหาย มาทั้งทีต้องลองให้ครบ อย่าลืมเตรียมยามากันด้วยนะครับ ^_^วันนี้เรามาต่อกับเรื่องที่ 5 กันดีกว่าครับ ไม่รู้วันนี้จะจบมั้ย แต่กะเอาให้จบเลย ถ้าไม่ง่วงซะก่อน ฮ่าๆ



การเดินทาง = การเรียนรู้


เคยมั้ยตอนนั่งรถเฉยๆ ก็คิดอะไรดีๆ ออก

เคยมั้ยตอนขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ ก็มีไอเดียดีๆ ออกมาระหว่างการเดินทาง

เคยมั้ยตอนเรามีปัญหากับชีวิตประจำวัน เราก็จะออกไปเที่ยวเพื่อให้สมองได้พักผ่อน

และเคยมั้ยตอนเราคิดจะหยุดเที่ยวมันกลับทำไม่ได้... ^_^



ความหวังในการเดินทางครั้งนี้ก็หวังว่าจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่สามารถทำได้ในเมืองไทยอย่างเช่นขี่มอไซค์ไปถนนที่สูงที่สุดในโลก ขี่มอไซค์ลุยหิมะ ขี่มอไซค์ตอนที่อากาศหนาวสัสๆ แหม่ในเมืองไทยแมร่งคงทำได้นะ ห่าแต่ละอย่างไม่มีโอกาสเกิดขึ้นที่ประเทศเราเลย ฮ่าๆๆ ในการเดินทางครั้งนี้ผมได้เช่ามอเตอร์ไซค์ไว้คันนึง คือเจ้า Royal Enfield

เป็นมอเตอร์ไซค์ที่หนักมาก แต่เอาเหอะมันคงพาเราไปตามความฝันได้แหละมั้ง เห้ยอย่ามั้งสิถ้าเราพร้อมแล้วเรามาเริ่มเดินทางไปกับมอเตอร์ไซค์คันนี้ดีกว่า โดยที่ปลายทางของการเดินทางครั้งนี้ จะไปสุดที่ทะเลสาบ Pangong TSO Lake ถ้าพร้อมแล้วลุยย


กินแปป ฮ่าๆ

ก่อนอื่นต้องเติมน้ำมันก่อนเลย เติมไปเต็มถังเลยนะประมาณ 1200 รูปี สามารถขี่ ไป-กลับ ได้เลยออกไปแล้วไม่มัปั๊มให้แวะละนะ


พอขี่มาตามเส้นทางเรื่อยๆ เราก็จะพบกับสถานที่แห่งนึงก็คือ Shey Palace


ชื่นชมกับความงามของสถาปัตยกรรมของวัดเสร็จแล้วก็เดินทางกันต่อดีกว่า กว่าจะถึง Pangong อีกหลายกิโลเลย คราวนี้ผมขี่รถมาเรื่อยๆ จนมาถึง Karu เลยมันก็จะมีด่านเหมือนกับค่าผ่านทางยังไงไม่รู้ บริเวณตรงนี้นะ


ถ้าเจอทางแยก ถ้าไปทางขวาก็จะไป Hemis Gompa ส่วนทางซ้ายก็จะไปทะเลสาบ Pangong ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเราวันนี้ พอผ่านจากตรงทางแยกไม่กี่ร้อยเมตร เราก็ต้องหยุดตรวจ Permit กันก่อน


มอเตอร์ไซค์ตรงนี้ก็ต้องตรวจด้วยครับ เราก็ยื่นใบขับขี่สากลที่เราเตรียมมากับพาสปอร์ตให้เขาเลย ให้เจ้าหน้าที่เช็คแปปเดียวก็ขับรถกันต่อ แบบขี่กันยาวๆ เลย จะบอกว่าถนนช่วงนี้ขี่สนุกมากกก เป็นทางตรงยาวๆ แต่มีโดดนิดหน่อยนะระวังกันด้วยครับ ^_^


ขี่ไปชมวิวไปอะไรมันจะสวยขนาดนั้น


และแล้วพอขี่ขึ้นเขามาเรื่อยๆ มันก็เริ่มจะเจอหิมะ ความหนาวเย็นก็เริ่มเข้าร่างกายมากขึ้น หัวใจเริ่มเต้นเร็วๆ ผิดปกติเพราะความตื่นเต้นกับการขี่รถมอไซค์ลุยหิมะครั้งแรก


พอถึงช่วงถนนที่เป็นหิมะ เชรี่ยยยย ทำไมมันแปลกๆ มันบอกไม่ถูก การควบคุมรถเริ่มยากขึ้น เรื่อยๆ และสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น....


เชรี่ยยย กูมาถึงจุดที่ถนนสูงเป็นอับดับสามของโลกอย่าง Changla Pass แล้วโว๊ยยย มาถึงจุดนี้ได้ยังไงวะเนี้ย แมร่งเอ้ย ดีใจอย่างสุดซึ่งในที่สุดความฝันมันก็ค่อยๆ เป็นจริงละ เหลือแค่ถนนอันดับหนึ่งสินะ ^_^


ผมว่าการขึ้นมาหรือการมาถึงจุดหมายไม่ยากเท่าไรหรอก แต่การที่ไปถึงจุดหมายแล้วกลับมาได้อย่างปลอดภัยต่างหากที่ยากที่สุด


ทางต่อจากนี้เนี้ยจะเป็นหิมะปกคลุม พอออกจากจุดนั้นไม่นาน เชรี่ยยยสิ่งที่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลยตลอดทั้งทริปนี้มันก็ดันเกิดขึ้น...!!!


รถล้มมมมมมมมมม แต่ล้มไม่แรงมากครับ แต่น้ำเนี้ยเชรี่ยยเข้ารองเท้าฮ่าๆๆๆ เย็นมาก (เย็นแบบโอ๊ยยยขอน้ำร้อนเลยได้มั้ย) ตอนยกรถขึ้นยกคนเดียวไม่ไหวจริงๆ ต้องให้คนมาช่วยยกจังหวะนั้นลืมไปเลยว่ายกผิดท่า พอขี่ไปเรื่อยๆ บนทางหิมะ น้ำที่เข้ารองเท้ามันเริ่มเข้าไปถึงถุงเท้าจนซึมเข้าไปโดนเท้า มันเย็นเยือกมากเย็นแบบทรมานเลยแหละ จากจุดที่ผมล้มขี่ไปสัก 4 km ก็มีจุดพักรถ แต่กว่าจะถึงเล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน บ้มแล้วล้มอีก ล้มแล้วล้มเล่า ลืมจนไม่เหลือให้ล้ม ฮ่าๆ ผมก็แวะเพื่อที่เปลี่ยนถุงเท้าก่อน แต่เชรี่ยยยย กูจะแกะเชือกรองเท้าไงเนี้ย น้ำแมร่งแข็งแล้วเกาะที่เชือกเลย


(ขอโทษที่รูปไม่ชัดครับครอปมาจาก VDO อีกที)


พักกันสักแปปก็ลุยกันต่อไกด์บอกผมว่าต่อไปจะเป็นทางหิมะที่หนาขึ้นเรื่อยๆ และมีความหนาของหิมะเพิ่มขึ้น เท่านั้นแหละใจกูเต้นผิดจังหวะเลย ฮ่าๆ พอขี่ไปไม่ไกล อ้าวเชรี่ยยยย เอาอีกแล้ววว แต่คราวนี้ไม่ล้มนะแต่ล้อหน้าแมร่งจิ้มไปกะหิมะเลย ดึงไม่ออกต้องให้คนมาช่วยเหมือนเดิม

(ทุกครั้งที่เอารถออกหรือเข็นรถแมร่งเหนื่อยสัส หายใจไม่ทันเลย) หลังนากนั้นไม่นาน ก็ลดระดับความสูงลง หิมะเริ่มเบาบางโครตรู้สึกดีเลย พอเราเดินทางจากตรงนั้นไม่นานก็ต้องเจอจุดตรวจ Permit อีกรอบนึงก็ทำตามเหมืนจุดแรกเลย


ระยะทางจากตรงนี้ไปถึงทะเลสาบ Pangong จะเป็นในส่วนของค่ายทหารแล้วนะ แอบมีความกลัวฮ่าๆ แต่ระหว่างรอเช็ค Permit อยู่นั้นได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ไม่รู้หมามันเห่าอะไร ก็เดินไปดูเชรี่ยยยดูดิ


โหดจังว่ะ กัดกันจนตายเลยหรอ ไม่เอาๆ ไม่ให้ดูละเดินทางกันต่อดีกว่า คราวนี่อัดยาวๆ อยากจะถึงจุดหมายแล้ว เหนื่อยแล้วล้าแล้วอยากนอน หัวใจเริ่มงอแง ฮ่าๆ ไม่อยากขี่ต่อแล้ว เหนื่อยกับการล้มลุกคลุกคลานกับทางหิมะ ฮ่าๆ แต่ก็ต้องมาแวะที่จุดตรงนี้ เห้ยยยย วัวแมร่งเต็มเลยวิวสวยด้วยแวะแปปปป ฮ่าๆ


แต่หลังจากเนี้ยยิงยาวจริงๆ อยากถึง Pangong แล้วอะเหนื่อย เหนื่อยมากๆ งอแงแมมเลยยย แต่ด้วยความโมโหตัวเองเลยรีบบิดให้มันถึงๆซะ แล้วไม่นานก็เห็นวิวนี้เป็นวิวแรกเลย


พอมาถึงตรงทะเลสาบเท่านั้นแหละ โห๊ววววเชรี่ยยย สวยใช่เล่นนะเนี้ย ยู่ระหว่างทะเลสาบที่เป็นน้ำแข็งกับน้ำด้วย มันแบ่งแยกอย่างชัดเจนเลบนะดูดิ


มองไม่เห็นละสิ ฮ่าๆ พอชื่นชมความสวยงามกันแล้วก็ขี่เข้าไปหาที่พักกันดีกว่า หนาวววว ทนไม่ไหว แต่ๆๆๆ เชรี่ยก่อนจะเข้าหมูบ้านล้มอีก แมร่งทางแมร่งเป็นน้ำแข็งแบบเนี้ย


เชรี่ยย ไม่ล้มก็บ้าล๊าวววว ฮ่าๆๆๆ โครตโมโหตัวเองเลย นี้พิมพ์ไปยังโมโหเลย ฮ่าๆ


เห็นไกด์เรามั้ย ฮ่าๆ แบบเขาคงเอือมระอากะผมละ จะติดหล่ม จะล้ม จะตกบ่อ จะแก้เชือกรองเท้าไม่ได้ สาระผัด ก็ต้องเป็นเขาที่คอยช่วยเราเสมอ พอผ่านตรงนี้ไปได้ก็สบายใจจจจ เราก็วนหาที่พักจนได้ที่พัก ชื่อ PADMA ข้างในมีที่ผิงไฟด้วยนะ ต้องขอบคุณขี้จามรีมากๆ ที่ให้ความอบอุ่นกับพวกเรา ฮ่าๆ นี้คือสภาพห้อง เราไปกัน 8 คนนะ


พอเก็บข้าวของพิงไฟพอให้ร่างกายอบอุ่นก็ออกไปเดินเล่นแถวนั้น


ส่วนใหญ่แล้วเนี้ยเขาก็จะเลี้ยงแพะเป็นหลัก เนื้อส่วนใหญ่ที่เรากินกันก็เจ้าพวกนี้เนี้ยแหละ ^_^ อร่อยมากกกกก ฮ่าๆ


อันนี้แปะยิ้ม เอ้ยแพะยิ้ม ดูดิ

หนาวไม่หนาวก็ดูดิแพะดิ ฟันออกปากเลย ฮ่าๆ แพะนักรบก็มีนะ


มีเลือดกลางหน้าผากด้วย แพะสายแบ๊วก็ยังมีนะเอออ นี้ไง


เดินได้สักแปปก็ได้เวลากลับละแมร่งหนาวเกิ๊นทนไม่ไหว แล้วนี้ก็อาหารมื้อเย็นของเรา


พอกินข้าวกันเสร็จแล้ว ก็นั่งเมาท์เรื่องวันนี้กันทั้งฮา ทั้งตลกตัวเอง ทั้งสงสารตัวเอง โอ๊ยยหลายอย่างมากแต่ก็นั้นแหละอีกใจนึงก็ท้อแท้นะอยากซื้อใบวาปกลับเลห์เลย เหมือนวันนี้ออกไปล่าบอสทั้งวันพอฆ่าบอสเสร็จก็อยากวาปกลับเลย นึกสภาพพรุ่งนี้ไม่ออกเลยว่าจะเป็นไง อยากได้ใบวาปปปป ฮ่าๆๆๆ แยกย้ายกันเข้านอนดีกว่าครับ พรุ่งนี้ค่อยมาเล่าต่อ บายยยยย


เช้าละ ฮ่าๆ (อยากเล่าให้มันจบๆ ^_^)

เช้าวันต่อมา ผมชวนเพื่อนไปแปรงฟันที่ทะเลสาบ แมร่งก็บ้ายอไปกะผมด้วยฮ่าๆ หนาวมาก หนาวแบบเย็นเยือกเลย

อยากจะบอกว่าน้ำแมร่งเค็มมาก แต่เค็มแบบแปลกๆ เหมือนมีแร่ธาตุเยอะ ผมเดาเอานะ ฮ่าๆ น้ำแบบโครตเย็นเลยแถบบ้วนปากไม่ได้ พอเสร็จแล้วก็กลับมาเตรียมตัวกินข้าวเช้าแล้วออกเดินทสงกลับเลห์กันดีกว่า ^_^ พอขี่มาตรงที่เดิมก่อนออกจากหมู่บ้านนั้นแหละห่า


ทางน้ำแข็งเล่นงานอีกแล้วคราวนี่ไม่ล้มนะแต่เข็น ทั้งเร่ง ทั้งติดหล่ม ห่าอย่างเหนื่อยเลย ดูหน้าดิ


แถบตายยย หายใจไม่ทัน ฮ่าๆ นี้ยังไม่ไปไหนเลยนะเนี้ยแมร่งเอาซะหอบจับเลย พอขี่ไปตามเส้นทางเรื่อย เราก็ไปตามจุดแลนด์มาร์คต่างๆ ที่ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ว่าสักครั้งหนึ่งเราขี่มอไซค์มาทะเลสาบ Pangong ในฤดูหนาว ฮ่าๆ


วันนี้ฟ้าไม่เปิดเสียใจจจ เขาบอกว่าพายุเข้า T T แม่มมจะรอดกลับไปถึงเลห์มั้ยเนี้ยยพอถ่ายตรงนี้เสร็จ เราก็ขี่ไปต่ออีกยาวๆ จนไปถึงถนนเส้นนึงจะบอกว่าสวยมาก ตรงที่มีตัวเหมือนตุ่นอยู่อะ ก็จอดถ่ายรูปกันอยู่สักพักนึง แต่อันที่จริงเส้นทางนี้เราผ่านตั้งแต่เมื่อวานแล้วละ แต่โมโหไงอยากไปให้ถึง ที่พักไวๆ


พาธงชาติไทย โบกสะบัดในต่างแดน


หลังจากนั้นแหละผมบิด และโดดเนินอย่างมันส์ ไบค์เกอร์ต้องไปโดนถนนเส้นนี้ใฟ้ได้ขี่โครตมันส์ เมื่อวานไม่ได้เล่นโค้งเส้นนี้เพราะว่ายังไม้รู้ไลน์ แต่ขากลับนี้ใส่เอา ใส่เอา ฮ่าๆ


ขากลับไม่มีอะไรมาก จุดไหนที่เราเช็ค permit ไว้เราต้องจอดรายงานเขาด้วยว่าเรากลับแล้วน่ะครับ ^_^


แต่ขากลับผมแวะไปอีก 3 สถานที่ ที่มะวานไม่ได้แวะสถานที่แรกก็คือ

Hemis Gompa

อยู่ตรง karu ตรงเช็ค permit ครั้งแรกจะบอกว่าตอนขี่เข้าวัดพายุมาจากไหนไม่รู้โดนลมพัดทีรถเกือบล้มเลยย ฮ่าๆ ถามใจดูว่าไหวมั้ย

ในที่สุดก็ผ่านพายุบ้าๆ นั้นมาได้แล้วก็มาถึงแล้วครับ Hemis Gompa


เลื่อนขึ้นไปดูด้านบนนะครับ ฮ่าๆ


Thikse Gompa

มีความสวยงามแอบซ้อนอยู่ ^_^ แต่ถว่ามองไกลๆ จะสวยกว่าฮ่าๆ ปะไปกันต่อ อีกวัดมีลักษณะคล้ายกันเลย แต่วัดนี้ตอนเรากำลังไปเขากำลังทำประตูทางเข้าใหม่เลย


และนี้ก็วิวข้างทาง


ไม่นานเราก็กลับมาถึงเลห์แล้วครับ เย้ๆๆๆๆ


จะบอกว่าเป็นสองวันที่เหนื่อยและหิวโหยเนื้อมากๆ อยากกินของอร่อยๆ ให้อิ่มท้อง เพราะพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญยิ่งนักที่เราจะไปให้ถึงถนนที่สูงที่สุดของโลกอย่าง kradung la Pass ได้เวลาพักผ่อนกันแล้วละ พรุ่งนี้เรามาลุยกันต่อดีกว่าเนอะ ^_^


ในเช้าวันรุ่งขึ้น

คราวนี้เตรียมแกลอนน้ำมันไปด้วยเพราะกลัวเหมือนเมื่อวาน เกือบได้เข็นรถไปเติมน้ำมันฮ่าๆ ^_^ แต่เขามีเตือนมาว่าหิมะจะหนามากกว่าทางที่ไป Pangong ความจริงไกด์ไม่ให้เราเอามอไซค์ไปแต่แรกอยู่แล้วเพราะว่า เมื่อวานมีหิมะถล่มด้วย แต่เราอยากลองดู ใจมันได้อะทำไงพร้อมแล้วลุยยยยนี้ระหว่างทาง โครตสวย


ผมว่าเป็นเส้นทางที่แบบมาได้ไม่มีวันเบื่ออะ มาอีกกี่ทีก็ได้ นี้แค่วิวข้างทางนะของถนนที่สูงที่สุดในโลกนะ พอถึงตรงจุดสูงสุดจริงๆ แล้วจะเป็นไงนะ ขี่มาไม่นานมากก็ถึงจุดเช็ค Permit แล้วครับ...


แต่ถว่า... ณ จุดตรวจผู้หนวดบอกว่า ไม่ให้เอามอเตอร์ไซค์ขึ้นเพราะทางหิมะพร้อมถล่มและอันตรายมาก ณ ตอนนั้นผมเหมือนโดนสตั๊นอย่างต่อเนื่อง ได้แต่นิ่งเงียบ และพยายามขอร้องอ้อนวอนขอเข้าขี่ขึ้นไป.... ไกด์เราก็แสนจะน่ารักพยายามทุกทางเหมือนกันเพราะมันคือ อิส ดรีมมิ่ง เลยนะ แต่ผู้หนวดแกไม่ยอมจริงๆ เลยต้องจอดทิ้งไว้ที่ตรงนี่ เสียใจจจจ แล้วก็ขึ้นรถยนต์ไปกับเพื่อน


ณ ตอนนั้นผมได้แต่นั่งเงียบ ไม่พูดไม่จา เป็นโรคซึมเศร้าอย่างทันตาเห็น ก็แหม่ ความฝันที่จะขี่ขึ้นไปถนนที่สูงที่สุดมันโดนพังถลายต่อหน้า โดนผู้หนวดดับฝันอย่างแท้จริง ผมเป็นคนนึงที่ไม่ค่อบชอบนั่งรถยนต์ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน(แต่ก็ต้องทำให้ร่าเริงฮ่าๆ) พอไปเจอทางจริงๆก็ เชรี่ยยย มันอันตรายจริงๆ หิมะทั้งทางแถมทางบางจุดเป็นน้ำแข็งที่มีระยะทางยาวๆ


คิดสภาพไม่ออกเลยถ้าเอามอไซค์มาจะเป็นไง เอาเป็นว่าเชื่อฟังคำสั่งเขาเถอะครับ^_^ พอไม่นารก็เจอปัญหารถติดฮ่าๆ พอดีมีรถด้านหน้าเกิดปัญหาไม่สามารถไปต่อได้ บางคันก็เริ่มเอาโซ่มาใส่ล้อแล้ว


แต่คันผมไม่ใส่ เพราะพี่แกขับรถเซียนมาก ไม่นานนักก็มาถึงถนนที่สูงที่สุดอย่าง Kradung la Pass แล้วมันไม่ค่อยน่าดีใจเท่าไรเลยเพราะไม่ได้ขี่มอไซค์ขึ้นมา


มีเวลาถ่ายรูปแปปนึง ก็ต้องเดินทางต่อแล้ว แต่ดูทางสิช่างโหดร้าย แล้วรถก็ติดเหมือนเดิมจนเราต้องลงจากรถมาหาอะไรเล่นกัน ^_^


แล้วก็ขี่มาสักพักใหญ่ เราก็มาถึงจุดพักอีกจุดนึง และเราก็แวะทานข้าวกันตรงนี่เลย


อาหารพอแดรกได้ แต่น้ำพริกหรือน้ำจิ้มที่วางบนโต๊ะอะ อย่าได้ลองเชียว เพราะเราลองมาแล้ว แถบอ๊วก มันบอกไม่ถูกว่ารสชาติเป็นไง ไว้มาแล้วก็อย่าลืมลองนะ โห๊วววแบบสุดๆ อะ ต้องลองเองจริงๆ วะ อ๊วกพุ่ง ณ ตอนนั้น มื้อน้เราหมดไป ...


555 รูปีแมร่งเล่นตลกปะเนี้ย ฮ่าๆ กินข้าวเที่ยง อิ่มหนำ แล้วก็ขึ้นรถ มันช่างง่วงเหลือเกินแต่เห็นทางแล้ว ในส่วนของการง่วงนอนก็หายไปทันที ฮ่าๆ


มองแบบนี้มันเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไรเลย ถ้าคนขับรถเราพลาดนิดเดียวละก็ ฮึๆๆๆ ไม่อยากจะคิดเลย ดูวิวข้างทางกันดีกว่าครับ


ต้องขอขอบคุณวิวข้างทางมากๆ ที่ทำให้เราได้เพลิดเพลินกับธรรมขาติที่แปลกใหม่ ทำให้ลืมเรื่องเส้นทางกันไปได้เยอะเลยทีเดียว และไม่นานก็ถึงจุดชมวิวแล้วครับ


เห้ยนี้เราเปลี่ยนมาอีกประเทศแล้วหรอมักกี้ยังมีหิมะ มีทางน้ำแข็งอยู่เลย ตื่นมาอีกทีมีแค่ทะเลทราย


และทรายก็เต็มไปหมดเลย ^_^ จากจุดชมวิวไม่นานก็เข้ามาถึงหมู่บ้าน Nubra Valley


แล้วครับ สิ่งแรกที่เราไปก็คือการไปขี่อูฐนี้ไงน้องอูฐ


แต่ๆ Nubra Valley ที่หมู่บ้านแห่งนี้ถึงแม้มันจะสวยงามเพียงใด แต่มันก็คงหนีไม่พ้นธุรกิจอยู่ดี หนึ่งในนั้นที่ไม่ใช่สิ่งสวยงามเลยคือ การที่ทรมานอูฐ เจ้าของอูฐแต่ละตัวจะเอาอูฐมาตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น เพื่อรอนักท่องเที่ยวมานั่งรอบละ 10-15 นาที อูฐบางตัวจำเป็นต้องให้นักท่องเที่ยวนั่งตลอดเพื่อที่มันจะได้ไม่ถูกเจ้าของตีหรือเจาะรูจมูกเพิ่ม แต่ถ้าอูฐตัวใดมีเจ้าของที่ดี เมื่อเจ้าของเห็นอูฐตัวเองเหนื่อยแล้วก็จะพาไปพักผ่อน และจะไม่รับนักท่องเที่ยวให้นั่ง เราสามารถเห็นอารมณ์ของอูฐแต่ละตัวได้เลยว่าตัวไหนอยากหรือไม่อยากให้นั่ง ใจนึงก็สงสารแต่อีกใจก็มันมาถึงแล้วก็ต้องนั่ง แต่ตอนนั่งได้อูฐที่อารมณ์ดี ^_^ พาเดินเพลินเลย


เอาละพอเรานั่งอูฐชื่นชมความเป็นธรรมชาติมั้ง เสร็จแล้วก็เข้าที่พักกัน คืนนี้เรามาพักที่นี้ครับ


เป็นบ้านที่อุ่นดีเหมือนกันน่ะ อาหารก็กินได้ด้วยบรรยายกาศก็ดีมากเช่นกัน ^_^ เข้านอนกันได้ล๊าวววววว ทุกคนเดี๋ยวพรุ่งนี้มาเล่าต่อ อีกยาวเลย ฮ่าๆ

7NOVEMBER

 วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 19.10 น.

ความคิดเห็น