ส วั ส ดี เพื่อนๆ ทุกคนค้าบบบ..

(ต้องขออภัยสำหรับความล่าช้านะครับ)

และแล้วก็มาถึง 'Ep.3' ตอนจบของ (มหากาพย์) รีวิวฉบับเต็ม

C e b u, P h i l i p p i n e s ฟินส์จนต้องหลงรักที่ระดับน้ำทะเล

. . .

ตอนแรก :: Ep.1 ǀ Cebu, Philippines ฟินส์จนต้องหลงรักที่ระดับน้ำทะเล

(ไปมันส์กับ Canyoneering กันเถอะ!)

https://th.readme.me/p/3734


ตอนสอง :: Ep.2 ǀ Cebu, Philippines ฟินส์จนต้องหลงรักที่ระดับน้ำทะเล

(ไปว่ายน้ำเล่นกับฉลามวาฬ พร้อมปล่อยใจไว้ที่ Sumilon Island กันเถอะ)

https://th.readme.me/p/3763

. . .

ยินดีให้คำแนะนำสำหรับทริปเต็มที่

แวะไปพูดคุยกันได้ที่ >> https://www.facebook.com/hungrytraveller คับผม :)



Day 04 ǀ ออกเดินทางสู่เกาะ Panglao

วันนี้ต้องเดินทางจาก Oslob เพื่อไปเกาะ Panglao กันแล้วครับ

วิธีที่ใช้เวลาน้อยที่สุดก็คือ การใช้บริการของ ' pump boat' นั่งข้ามจาก Oslob ไปเยังกาะโดยตรงเลย ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงก็ถึง ซึ่งจะเป็นการเดินทางที่ใช้เวลาและระยะทางที่สั้นที่สุด หรือไม่อย่างงั้นก็ต้องนั่งรถย้อนกลับขึ้นไปยังเมืองเซบูก่อน แล้วค่อยนั่งเรือเฟอร์รี่ลงมาลงที่เกาะ bohol แล้วนั่งแทกซี่ไปยังเกาะ Panglao ซึ่งอ้อมโลกและเสียเวลามากครับ

โดยเรือ pump boat นี่ไม่มีการโทรจองล่วงหน้านะครับ และก็ไม่ได้มีทุกวันด้วย ยังไงให้ทางรีสอร์ทช่วยติดต่อไว้ให้ก่อน (ซึ่งผมใช้ความพยายามนานมากในการติดต่อเพราะเหมือนถามใครๆ ต่างคนก็ให้คำตอบที่ไม่เหมือนกัน - -")

เอาเป็นว่า ตอนประมาณสิบโมง ผมจ้างรถสามล้อเครื่องจากรีสอร์ทที่ Oslob ให้ไปไปส่งที่ท่าเรือแถวๆ ' สุสานของเมือง หรือ Oslob Cemetery' หรือเอาง่ายๆ บอกคนขับว่าไป Oslob Municipality Heritage Park นั่งไปคนละ 100 เปโซ อัดกันไปคันเดียว สามคน บนสามล้อเล็ก ๆ พร้อมกระเป๋าสัมภาระพะรุงพะรังมาก ให้อารมณ์ว่าได้มาถึงฟิลิปปินส์จริงๆ นั่งไปประมาณ 20 นาทีได้ ลมเย็นดีตลอดเส้นทาง

สามล้อเครื่องที่พาเรามาส่งที่ท่าเรือ

คนขับรถพาไปส่งที่ท่าเรือใกล้ๆ สุสานจริงๆ เป็นท่าเรือแบบบ้านๆ (คืออย่าเรียกว่าท่าเรือเลย เรียกว่าชายหาดมีเรือมาจอดดีกว่า 55) เจอคนขับเรือพอดี มี pump boat จอดลอยอยู่ในทะเลอยู่สองลำ ก็เลยจ่ายเงินและจองเอาไว้ คนละ 1000 เปโซ

พิกัดท่าเรือ: 9.521515, 123.435823

คือปกติเรือ pump boat เนี่ยจะออกใกล้ ๆ ชายหาดแถวๆ Alona beach ของเกาะ Panglao ตอนเช้าเพื่อพาคนบนเกาะที่สนใจดำน้ำกับฉลามวาฬมาถึง oslob ตอนเช้า แล้วก็จอดรอ พอประมาณเที่ยงๆ คนดูเสร็จก็นั่งเรือกลับ หรือถ้าใครอยากจะอยู่ค้างต่อก็ได้แต่ก็ต้องถามเรือว่าจะเข้ามาอีกทีวันไหนก็ค่อยกลับวันหลังได้ครับ ส่วนเราซื้อตั๋วแค่เที่ยวเดียวครับ

หลังจากจองเรียบร้อยเรามีเวลาเกือบๆ ชั่วโมงเลยเดินไปเที่ยว Oslob Municipality Heritage Park อยู่ใกล้ๆ เป็นป้อมปราการและโบสถ์เก่า ให้อารมณ์แบบวินเทจสุดๆ ถ่ายรูปสวยดีครับ คือถ้ามาถ่ายพรีเวดดิ้งที่นี่ ท่าทางจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว

ด้านหน้าของสวน มีทะเลที่สวยมาก น้ำทะเลเป็นสีฟ้าไล่ระดับสีกัน คือดีงามเลยแหละ

เสร็จก็ขึ้นเรือ คือเรือเข้ามาตรงชายหาดไม่ได้ เราก็ต้องลงเรือเล็กจิ๋วลงไปขึ้นเรืออีกที เพราะทุกคนไม่ได้แต่งตัวเตรียมเปียกมา เป็นเรือแมงมุม นั่งสบายดี (ตอนแรกที่เคยอ่านรีวิวมา บางคนบอกว่ามันอันตราย แต่พอนั่งก็โอเคเลยนะ คล้ายๆ เรือข้ามไปเกาะ sumilon island มีชูชีพให้ ไม่ต้องห่วงครับ) คนขับเรือบอกว่าถ้าเราโชคดี อาจได้เจอโลมาว่ายน้ำตามเรือ

เรานั่งมองหาโลมาเผื่อหวังว่าจะโชคดีอย่างที่คนเรือบอก แต่แน่นอนครับ ไม่เจอ 555 นั่งไปสักพักพอใกล้ถึงจะเห็นเกาะ Balicasag Island ทางขวามือ มีหาดสายขาวมาก แสดงว่าใกล้ถึงเกาะ Panglao แล้ว เค้าบอกว่าเกาะนี้สวย เหมาะกับการดำน้ำตื้น หรือจะดำน้ำลึกก็มีฝูงปลาสากนับร้อย แต่ทริปนี้เราไม่ได้ไป (ไว้จะกลับมาใหม่) นั่งเรือมาประมาณเกือบๆ บ่ายสองเรือก็มาถึงเกาะ Panglao แล้ว วู้วววว.. ตื่นเต้นๆๆๆ

เรือค่อยๆ เข้าไปตรงชายหาด น้ำค่อยๆ ตื้นขึ้นๆ ทุกคนที่นั่งมาบนเรือต่างฮือฮาในความใสของน้ำที่มองเห็น หญ้าทะเล ดาวทะเล เยอะแยะเต็มไปหมด แต่... สิ่งไม่คาดคิดกำลังจะเกิดขึ้น..

ผมรับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่าง พอเรือเข้าไปถึงระดับหนึ่งที่ตื้นมาก คนขับเรือบอกว่า ให้ผู้ชายไปอยู่ด้านหน้าเรือให้หมดเพื่อถ่วงน้ำหนักเพราะเรือเข้าไปใกล้ฝั่งมากที่สุด ทุกคนก็ทำตาม จนเรือไม่สามารถเข้าไปได้อีกแล้ว คือมองลงไปเห็นหญ้าทะเล ดาวทะเล ความลึกน้ำประมาณระดับเอว เรือหยุดเครื่อง ทุกคนยังคงตื่นเต้นและถ่ายรูปกับระบบนิเวศน์วิทยาชายหาด ซึ่งยังไม่รู้ว่าหายนะกำลังมาเยือน ทันใดนั้น คนเรือก็บอกว่า ต้องเดินไป เรือไปไม่ได้แล้ว ทุกคนมองไปที่ชายหาด คือมันไกลมากอะ อย่างต่ำประมาณกิโลนึงได้ คนส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมเพื่อจะมาเปียกเพราะคิดว่า จะมีท่าเรือทอดยาวสวยๆ มารับพวกเรา แล้วไหนจะกระเป๋าสัมภาระการเดินทางอีก เอาหวะ ไม่เปลี่ยนก็เปียก ตอนนั้นก็เปลี่ยนชุดกันบนเรือครับ (ห้องน้ำไม่มีนะครับ) แก้ผ้ากันตรงนั้นเลย เอาหวะ ชีวิตมันต้องเอาให้สุด

ผมกับเพื่อนหยิบเป้คนละใบที่มีกล้องและของมีค่า ส่วนกระเป๋าเสื้อผ้าค่อยให้เด็กเรือใส่เรือเล็กลากไปให้ แล้วทุกคนก็เดินตามๆ กันไปเรื่อยๆ ผ่านทุ่งหญ้าทะเล ดาวทะเล และหอยเม่น (เหมือนกับระเบิดดีๆ นี่เอง) แดดร้อนเปรี้ยงๆ ตอนเที่ยง ข้าวเที่ยงก็ยังไม่ได้กิน น้ำตาลในเลือดเริ่มต่ำ แต่มันก็สนุกดีนะ เดินเร็วมากไม่ได้เพราะพื้นทราย (โคลน) มันดูดเท้าและกลัวจะไปเหยียบน้องดาวและน้องเม่นเข้า เด่วงานจะเข้าเอา

เดินมาประมาณเกือบชั่วโมง ขอย้ำว่าเกือบชั่วโมง ถึงชายหาด คือชีวิตมันส์มาก เสร็จก็มารอกระเป๋า ตรงนั้นจะมีรถสองแถวมาคอยรับ เป็นรถสองแถวที่ผูกขาดเจ้าเดียว เพื่อเข้าไปยัง alona beach อีกที คนละ 50 เปโซ คือจะเดินไปก็ไม่ไหว ยังไงก็ต้องยอมจ่าย คือสภาพทุกคนดูไม่ได้จริงๆ ณ ตอนนั้น อะไรก็ยอม

บ่ายสามรถสองแถวพามาปล่อยที่ alona beach จากนั้นก็เปิด google map เพื่อตามหาที่พักเรา ผมพยายามจินตนการถึงที่พักสุดหรูของเราในคืนนี้ไว้ ใจจะได้เย็นๆ เดินๆ ไปอีกเกือบยี่สิบนาที ในที่สุดก็เจอกับวิลล่าสุดหรูที่เราจองเอาไว้ น้ำตาแทบไหล การเดินทางที่แสนยาวนาน

ที่พักชื่อ Villa Kasadya Resort เป็นวิลล่าสุดหรูเลยแหละ คือดีงาม สงบมาก มีแค่สี่กระท่อมเท่านั้น กับสระว่ายน้ำส่วนตัวตรงกลาง กลางคืนไว้นอนดูดาวได้คือดาวชัดมาก บรรยากาศก็เงียบๆ แต่ที่นี่ไม่ติดชายหาดนะ แต่เดินไปได้ประมาณสิบนาทีก็ถึง alona beach จากนั้นพนักงานมาแจก welcome drink รสชาดแปลกๆ แต่อร่อยแบบบอกไม่ถูก

เสร็จเข้าไปดูห้องพัก คือดีงามมาก ให้อารมณ์นอนกระท่อม ห้องใหญ่เหมือนจะนอนกันได้สิบคน เตียงสำหรับสองคนและผมจองเตียงเสริมอีกหนึ่งเตียง ทางรีสอร์ทเค้าดัดแพลงโซฟาของห้องนั่งเล่นมาเป็นเตียงนอน นอนสบายมาก ห้องน้ำก็กว้างขวาง ที่นี่น่าจะเป็นโรงแรมที่แพงที่สุดแล้วที่เคยนอนมา(ผมจองผ่าน agoda)

เสร็จก็รีบไปหาอะไรทานกันดีกว่า เราเดินไปที่ชายหาด alona beach ก่อน ชายหาดที่นี่มีเรือจอดเต็มไปหมด มีร้านอาหาร บาร์ เยอะแยะ ดูไม่เป็นระเบียน วุ่นวาย และขยะเยอะมาก (ไม่ค่อยสงบเหมือนที่ Oslob เลย ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่)

เพื่อนเปิดเนทบอกว่าแถวนี้มีร้านพิซซ่าที่เลื่องชือฤาชา คือใครมาก็ต้องกิน (คือตอนนั้นอะไรก็กินได้แล้วมะ สี่โมงเย็นละ ข้าวเที่ยงก็ยังไม่ได้กิน) ผมแวะซื้อไก่ทอดข้างทางกินรองท้องก่อน ขาดแต่ข้าวเหนียวกับน้ำจิ้มแจ่ว

เดินต่อไปคือไกลมากประมาณสามกิโลเมตรได้ ในที่สุดก็เจอร้านพิซซ่าชื่อดัง ชื่อ Giuseppe Pizzeria & Sicilian Roastกินข้าวเที่ยง + มื้อค่ำตอนห้าโมงพอดี น้ำตาแทบไหล

พิซซ่ารดชาดเฉยๆ นะ หรือว่านี่คือรสชาดที่แท้จริง ก็ไม่รู้ แต่คนมาทานเยอะเหมือนกันนะ แสดงว่าดังเหมือนกัน ถ้าใครชอบพิซซ่าลองมาทานดูครับ แต่สำหรับผมชอบอาหา local มากกว่า

ทานเสร็จก็ไปเดินเล่น เห็นร้านเกาหลีเยอะมาก สงสัยคนเกาหลีมาอยู่เยอะ มีร้านขายอาหารเต็มไปหมด ส่วนใหญ๋จะเป็นพวก BBQ หรือไม่ก็ซีฟู๊ด เลือกทานได้ตามชอบเลยครับ


แล้วก็เดินเล่นชายหาด แถวนั้นมีร้านดำน้ำเยอะมาก แล้วก็ราคาไม่แพง จำราคาไม่ได้แล้ว มีเกาะที่เลื่องชื่อในการดำน้ำลึกนั่นก็คือ Balicasag Island หรือจะไปดำน้ำตื้นแบบเช้าเย็นกลับก็ได้เหมือนกัน แล้วก็กลับไปว่ายน้ำเล่นที่พัก (ยังไม่ได้ดื่มด่ำกับวิลล่าสุดหรูเลย) คืนนั้นสลบ เตรียมตัวเพื่อจะไป bohol ในวันรุ่งขึ้น...

ปล. ถ้าใครจะมาตามโปรแกรมแบบผม ผมแนะนำให้นอนค้างที่ Panglao เพิ่มอีกสักคืน วันรุ่งขึ้นจะได้ซื้อทัวร์ไปดำน้ำเล่นที่เกาะ Balicasag ก่อน แล้วเช้าอีกวันค่อยไป Bohol แต่สำหรับของผมที่ไปมา โปรแกรมมันแน่นไปหน่อย ไม่ค่อยดีครับ


Day 05 ǀ One Day tour in Bohol

ผมตื่นแต่เช้าไปเดินเล่นชายหาดกับถ่ายรูปก่อนพระอาทิตย์ขึ้นที่ Alona beach ก่อน

จากนั้นก็มาทานมื้อเช้าฟรีของทางโรงแรม เติมพลังก่อนเพราะวันนี้อีกยาวไกลครับ..

ผมจองรถพร้อมคนขับกับ boholrentcar.com ไว้ โดยติดต่อกันทางอีเมลล์ ไม่ต้องทำการมัดจำ แค่ก่อนวันเดินทางให้ส่งเมลล์ไปคอนเฟิมกับเค้าว่าจะมาจริงๆ ก็เท่านั้น ง่ายและสะดวกดีครับ นัดให้คนขับมารับที่พักบนเกาะ Panglao ในราคา 2000PHP รวมน้ำมันและคนขับสำหรับหนึ่งวัน สำหรับสามคนถือว่าโอเคเลย เราอยากไปหรือไม่ไปที่ไหน ก็แล้วแต่เราเลยครับเพราะเป็นราคาเหมาหมดแล้ว

เก้าโมงเช้าคนขับมารับ จากนั้นก็ออกเดินทางไปเกาะ Bohol โดยเกาะ Panglao อยู่ติดกับเกาะ Bohol เราบอกให้คนขับไปซื้อตั๋วเรือเฟอร์รี่ที่ท่าเรือ Tagbilaran บนเกาะ Bohol ก่อน เพราะจะได้กำหนดเวลาได้ว่าจะเที่ยวได้ถึงกี่โมง

ที่ท่าเรือ มีหลายเรือเฟอร์รี่ให้บริการหลายเจ้าเลย สุดแล้วแต่จะเลือกครับ เราใช้บริการของ Ocean Jet รอบ 17.30 น. ในราคา 500PHP และต้องไปต่อแถวเพื่อเสีย terminal fee อีก 20PHP (ไม่งั้นกลับไม่ได้) หลังจากซื้อเสร็จก็ออกเดินทาง!


ล่องเรือทานมื้อเที่ยงชิวๆ ที่แม่น้ำ Loboc

ขับไปสักพักฝนมามืดเลย คนขับเลยพาไปล่องเรือทานมื้อเที่ยงก่อน เพราะไปที่อื่นไม่ได้ ตอนนั้นคือสิบเอ็ดโมงเอง ยังไม่หิว แต่ก็ไปไหนไม่ได้ แต่เลยจำใจต้องทาน

คือตรงนั้นมีเรือให้บริการหลายเจ้ามาก อาหารก็แตกต่างกันไป เราซื้อตั๋วในราคา 450PHP แล้วก็ขึ้นเรือดื่มด่ำกับธรรมชาติที่แม่น้ำ loboc

โดยแม่น้ำแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลาทางของนักท่องเที ่ยวที่แวะมาทานกลางวันบนเรือที่ล่องไปตามแม่น้ำ ทั้งสองฝั่งยังคงวิธีชาวบ้านอยู่ มีธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลายจากความเจริญ อาหารจะเสริฟในรูปของบุฟเฟ่ (ดังนั้นอยากตักอะไรให้ตักเลย เพราะอาหารจะไม่มีการมาเติมใหม่.. เราเตือนคุณแล้ว)

อาหารก็ถือว่าทานได้ ไม่ถึงกลับอร่อยแต่ทานบรรยากาศมากกว่า

และระหว่างทางจะมีจุดแวะพักให้นักท่องเที่ยวชมการแสดง การเต้นรำของชาวบ้านด้วย บ้านเรามีลาวกระทบไม้ ส่วนที่นี่ก็มี "ฟิลิปปินส์กระทบไม้" ถ้าชื่นชอบก็ใส่กล่องบริจาคได้

ทานอาหารไป ดื่มด่ำธรรมชาติไป แถมบนเรือยังมีนักดนตรีดีดกีตาร์อีก คือชิวมากนะ.. งานนี้อิ่มท้อง อิ่มบรรยากาศครับ


ตามหาทาร์เซีย.. ไพรเมทตัวจิ๋วต้นแบบเฟอร์บี้

หลังจากที่อิ่มท้องจากการทานเที่ยงที่แม่น้ำ loboc เสร็จเรียบร้อย จุดหมายต่อไปนั่นก็คือไปตามหา tarsier ที่ Philippine Tarsier Sanctuary ซื้อบัตรเข้าชมในราคาคนละ 60PHP

เจ้าทาร์เซียร์ (อังกฤษ: tarsier) หรือ มามัก (ตากาล็อก: mamag) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วนน้ำนมชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็ก เป็นกลุ่มของไพรเมท ที่พบได้ที่เกาะ Bohol ตอนแรกผมจินตนาการว่าจะตัวใหญ่เหมือนลิงทั่วๆ ไป แต่พอไปเห็นจริงๆ แล้วตัวเล็กจิ๋วมาก ตัวเต็มที่น้ำหนักแค่ 80-150 กรัมหรือความยาวลำตัวแค่ 5 นิ้ว (ไม่รวมหางเท่านั้น) คือเอามาวางบนฝ่ามือได้สบายๆ

ทาร์เซียร์มีดวงตาขนาดใหญ่ ดูๆ ไปก็คล้ายๆ กับเจ้าเฟอร์บี้ ของเล่นที่เราคุ้นเคยกัน เป็นสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืน กินแมลงเป็นอาหารหลัก ส่วนในเวลากลางวันจะเซื่องซึม จะอาศัยหลับนอนตามโพรงหรือรอยแตกแยกของต้นไม้ใหญ่

ตอนที่ผมไปดูเป็นตอนบ่ายซึ่งเจ้าทาร์เซียกำลังนอนหลับอยู่ในพุ่มไม้ ต้องตาดีๆ สะหน่อย อีกอย่างถ้าจะถ่ายรูปคงต้องใช้เลนส์ซูเปอร์ซูมครับ เลนส์กล้องธรรมดาหรือมือถือ เอาไม่อยู่ครับ 555 ข้อสำคัญห้ามส่งเสียงดังและห้ามใช้แฟลชซึ่งจะเป็นการรบกวนพวกมันได้ เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้ามันตกใจมันจะทุบตัวเองตาย! ดังนั้นจะไปดูก็ต้องเงียบๆ กันหน่อยนะครับ ทาร์เซียเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ในปัจจุบัน..

ตรงทางออกมีของที่ระลึกขาย และก็พวกอาหาร ของฝากต่างๆ ด้วยครับ


Bilar Man-made Forest

หลังจากดู tarsier เสร็จจากนั้นเราออกเดินทางไป Chocolate Hills ระหว่างทางจะผ่านถนนๆ หนึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวต้องจอดแวะถ่ายรูปนั่นก็คือ Bilar Man-made Forest

ป่านี้ตั้งอยู่ระหว่างทางสองเมืองคือเมือง Loboc และ เมือง Bilar ตลอดระยางทางเกือบสองกิโลเมตรที่เต็มไปด้วยป่าของต้นมะฮอกกานีขาวและแดงบนถนนสายนี้

เพราะการที่เป็นป่ามนุษย์สร้าง ดังนั้นต้นไม้จึงมีความสูงที่สม่ำเสมอเท่ากันหมดรวมถึงการแตกขยายของกิ่งก้านสาขาของต้นมะฮอกกานี มองดูแล้วสวยและร่มรื่นไปอีกแบบ ให้อารมณ์คลาสสิกเหมือนในหนัง Lord of the Rings เลยครับ

แวะจอดรูป โพสต์ท่าเท่ห์ๆ กันกลางถนนได้เลย แต่ระวังรถกันหน่อยน่ะ รถค่อนข้างมาเร็วเลย เด่วหาว่าไม่เตือน..


Chocolate Hills อันนี้ของดีเกาะ Bohol ที่ห้ามพลาดเลย

และแล้วก็มาถึง ' Chocolate Hills' หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ขึ้นชื่อระดับโลก!

ด้านหน้าจะมีจุดขายบัตร เสียคนละ 50 PHP ก่อนถึงจะเข้ามาได้ Chocolate Hills ตั้งอยู่ในเกาะ Bohol ของประเทศฟิลิปปินส์ เป็นภูเขารูปทรงโดมต่ำ ที่เรียงรายไปสุดลูกหูลูกตา เค้าว่ากันว่ามีภูเขาแบบนี้ประมาณ 1,260 ลูกเป็นอย่างน้อย แต่ก็อาจมีได้ถึง 1,776 ลูกเลยทีเดียว

ที่เรียกว่า Chocolate Hills เพราะในหน้าร้อน ต้นไม้ที่ปกคลุมภูเขาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดูคล้ายกันหยดของชอคโกแลต แต่ตอนที่ผมไป กลับกลายเป็นสีเขียว เลยเรียกว่าภูเขาชาเขียวแทนละกัน

ที่นี่ไม่ได้มาง่ายๆ นะครับ พอมาถึงต้องเดินขึ้นบันไดไปประมาณ 10 นาที หรือ 214 ขั้นถึงจะขึ้นไปถึงจุดชมวิว มีจุดแวะพักเป็นระยะให้หายเหนื่อย แต่ร้อนมากนะครับ ไม่มีร่มเลย แต่เพื่อวิวสวยๆ แบบนี้ก็ถือว่าคุ้มครับ


Cool down ที่สวนผีเสื้อ

คือ Chocolate Hills อากาศร้อนมาก คนขับเลยพามา cool down สะหน่อยที่สวนผีเสื้อใกล้ๆ ค่าเข้าคนละ 45PHP

ตอนแรกคิดว่ามันคงน่าเบื่อ อาศัยมานั่งหลบร้อนก็พอ แต่พอเข้าไปคือเค้าจัดแสดงไว้ดีมากนะครับ ให้ความรู้ดี พอเข้าไปจะมีไกด์อาสามาประกบต่อกรุปเลย มีมุมถ่ายรูปเยอะด้วย ถ้าเราอยากมีปีกผีเสื้อก็ให้ไปยืนจุดที่เค้ากำหนดแล้วก็ถ่ายรูป ก็จะได้ปีกผีเสื้อติดมาด้วย คือไอเดียเจ๋งดี ไกด์ของเราบริการดีเลยให้ทิปไปสะหน่อย

พอเราเดินดูเสร็จก็มานั่งทานไอติมที่เป็น home made ของที่นี่ ทานง่ายดีเพราะไอติมอยู่ในหลอดพลาสติก ไม่เลอะมือดี ผมทานไปสองอัน พอคลายร้อนได้ระดับหนึ่ง อันนี้คือชอบสุดและ 55


Sevilla's Twin Hanging Bridge สะพานไม้ไผ่คู่ สุดคูลลลลลล

หลังจากแวะสวนผีเสื้อเสร็จ ก็มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่ในเกาะ Bohol ประเทศฟิลิปปินส์ นั่นก็คือ สะพานไม้ไผ่คู่ ' Sevilla's Twin Hanging Bridge' เป็นสะพานที่สานด้วยลำไม้ไผ่ ทอดยาวประมาณ 40 เมตร ข้ามแม่น้ำ Sipatan ที่มีสีเขียวมรกตอยู่เบื้องล่าง เสียค่าเข้าชมคนละ 20PHP

ในสมัยก่อนใช้เพียงแค่ไม้ไผ่และเชือกในการสร้างสะพานเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีการเสริมสายเคเบิลเข้าไปเพื่อให้เกิดความแข็งแรง แต่ถึงอย่างไรพอตอนเดินเข้าไปในสะพานจะรู้สึกได้ถึงความ 'ยวบยาบ' และเสียงเอียดอาดของไม้ไผ่ที่เสียดสีกัน ชวนหวาดเสียวเหมือนกัน ระหว่างเดิน

ได้มุมสวยๆ ไว้ถ่ายรูปเพิ่มขึ้นแต่ก็เสียวไม่น้อยเลยทีเดียว :P


Blood compact Monument

และสถานที่สุดท้ายที่เราจะแวะสำหรับทัวร์บนเกาะ Bohol นั่นก็คือ Blood compact Monument สร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่แสดงถึงมิตรภาพในการดื่มเลือดเพื่อร่วมสาบาน ระหว่างนักสำรวจชาวาสเปน โปรตุเกส และผู้ปกครองเมืองโบโฮอล ในปี ค.ศ. 1565 นั่นเอง

ให้สังเกตดีๆ เพราะอนุสรณ์สถานแห่งนี้จะหลบอยู่ข้างๆ ตึกของโรงแรม ถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้เลย

แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ มีชาวบ้านมาขายของที่ระลึกอยู่ข้างหน้าและราคาถูกด้วย พวกเราได้พวกกุญแจ handmade สีสันสนใจในราคาเบาๆ ( 4 อัน 100 PHP) มาฝากเพื่อนแล้ว อันนี้คือดีงาม


ถึงเวลาต้องบอกลาเกาะ Bohol

ประมาณสี่โมงครึ่ง คนขับพาไปส่งที่ท่าเรือ Tagbilaran ที่เราซื้อตั๋วตอนเช้า เราให้ทิปคนขับไป 500PHP ที่เค้าบริการดี จากนั้นก็เข้าไปถึงก็ทำการเช็คอิน จะบอกว่าสำหรับสัมภาระที่มีขนาดใหญ่กว่าเป้ ต้องทำการโหลดใต้ท้องเรือ และเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มด้วยนะครับ คิดเป็นใบ ใบละ 150PHP (คือที่นั่งในเรือไม่มีที่เก็บสัมภาระเหมือนเครื่องบินอย่างที่เราเข้าใจ)

หลังจากนั้นเราก็เข้าไปนั่งรอที่ terminal มีนักดนตรีมาขับกล่อมเราด้วยเสียงเพลง ดูเหมือนคนฟิลิปปินส์มีคนตรีอยู่สายเลือดจริงๆ ด้านในมีร้านมินิมาร์ทเล็ก ๆ สามารถซื้อขนมขนเคี้ยวทานระหว่างก่อนขึ้นเรือได้

เกือบๆ หกโมงถึงได้ขึ้นเรือ เป็นเรือใหญ่เลย เรานั่งชั้นล่าง ในชั้นประหยัด (มีชั้น business class ด้วยแต่จ่ายแพงกว่า) เรือเก่าไปหน่อยแต่ก็โอเค มีหนังให้ดู ฉายเสร็จ ประมาณสองชั่วโมงหนังจบพอดี เป็นอันว่าถึงเมืองเซบู

เราเดินออกมาจากท่าเรือ Pier I ที่เมือเซบู นัดกับคนขับรถตู้วันแรก (ที่รวมอยู่ในราคาที่เหมารถตู้ไปแล้ว) ให้ไปส่งที่โรงแรมใกล้ๆ สนามบิน แต่แถวนั้นมีแทกซี่ไว้คอยให้บริการไม่ต้องห่วงครับ เราเลือกที่จะพักที่โรงแรมใกล้สนามบินเพราะจะได้ไม่ต้องตื่นเช้ามาก เพื่อนบอกว่าถ้าพักในเมืองเซบู ต้องเผื่อเวลารถติดด้วยดังนั้นต้องออกเช้ามาก

คืนนี้เราพักที่ Bella Vista ครับ หนึ่งห้องและเพิ่มเตียงเสริมเอา ต้องมัดจำกุญแจด้วยในราคา 1000PHP และจะคืนให้เมื่อเช็คเอ้าท์ ที่นี่ดีคือมีรถ shuttle bus ไปส่งที่สนามบินฟรีครับ เราทานมื้อค่ำกันที่โรงแรม แล้วข้ามถนนไป 7-11 เพื่อไปซื้อขนมและของฝากกลับบ้าน

คนที่นี่ชอบทานหมูเป็นชีวิตจิตใจ ดังนั้นจะไม่แปลกใจเลยที่จะเห็นผลิตภัณฑ์จากหมู อย่างเช่น แคปหมู วางขายใน 7-11 เป็นของทานเล่นระหว่างวัน แต่ที่ผมติดใจและควรซื้อมาก็คือป๊อปคอร์น มีหลายรส ทั้ง ชีส รสเผ็ด รสกาแฟ อันนี้คือดี ราคาถูก เบา เหมาะกันการซื้อไปฝากชาวบ้านครับ


Day 06 ǀ ปิดทริปเซบู ถึงเวลาที่ต้องบอกลา.. แล้วฉันจะกลับมาอีก

เราตื่นเช้า ทานอาหารเช้าฟรีที่โรงแรม เตร็ดเตร่หน่อยแล้วก็มาเช็คเอาท์ เอาเงินมัดจำค่ากุญแจคืน แล้วแจ้งกับพนักงานเพื่อจะขอ shuttle bus ไปส่งที่สนามบิน คือ shuttle bus ที่นี่ไม่มีรอบนะครับ อยากไปเมื่อไหร่ก็บอก เดี๋ยวเค้าไปส่ง (เออ ดีเหมือนกัน)

เราไปถึงสนามบิน ต้องจ่ายภาษีสนามบินด้วยนะครับหลังจากเช็คอินที่สายการบิน คนละ 750PHP (ดังนั้นเหลือเกินไว้บ้าง ไม่งั้นจะไม่ได้กลับไปประเทศไม่รู้ด้วยน้าาา..)

ส่วน duty free ในสนามบินราคาแพงครับ ไม่แนะนำให้ซื้อเลย ไปซื้อที่ไทยถูกกว่าและมีของให้เลือกเยอะกว่า สนามบินไม่ค่อยมีไรเลยมานั่งดื่มกาแฟ ต่อ wifi กันที่ coffee bean เพื่อรอขึ้นเครื่องกลับสิงคโปร์

แล้วก็ถึงเวลาบอกลาเธอ เกาะซีบู ไว้ฉันจะกลับมาใหม่...

~Cebu, Philippines

ฟินส์จนต้องหลงรักที่ระดับน้ำทะเล


ความประทับใจสำหรับทริปหกวัน ห้าคืน กับการมาเที่ยวฟิลิปปินส์ครั้งแรก..

  • สำหรับผม คือผ่านและประทับใจ
  • ผมไม่นึกว่าฟิลิปปินส์จะมีธรรมชาติ มีทะเล น้ำตก ภูเขา ที่สมบูรณ์และสวยงามขนาดนี้
  • ค่าครองชีพที่นี่ถือว่ายังต่ำเทียบกับเมืองไทย ซื้ออะไรก็ถูกลง 25%
  • ผมไม่รู้สึกว่าเค้าชาร์จนักท่องเที่ยวนะ ไม่เหมือนบางประเทศที่ผมไปมา มีป้ายราคาติดชัดเจน ราคาเรายอมรับได้
  • ทึ่งในการเข้มงวดของหน่วยงานรัฐกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ต่างๆ อย่างกิจกรรม canyoneering หรือแม้แต่การดำน้ำกับฉลามวาฬที่เมือง oslob
  • อาหารก็คล้ายๆ กัน ไม่มีปัญหาเรื่องอาหารการกิน ทานได้หมด แต่รสชาดอาจไม่ค่อยถูกปากคนไทยเท่าไหร่
  • พวกเราคนไทยมีหน้าตาและผิวพรรณเหมือนคนที่นี่ ดังนั้นอย่าแปลกที่จะมีคนพูดภาษาตากาล๊อกกับเรา
  • การสื่อสารไม่ใช่ปัญหา เพราะที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องมาก จนเราอาย
  • ใครว่ามาฟิลิปปินส์ไม่ปลอดภัย ผมบอกเลยไม่ว่าจริง (เฉพาะสำหรับที่นี่ ที่ผมมานะครับ ส่วนที่อื่นอันนี้ไม่รู้) คือไม่ถึงขั้นกับปลอดภัยสุดๆ แต่ก็ไม่รู้สึกเดินไปแล้วต้องหวาดระแวง ก็แค่ทำตัวเหมือนนักท่องเที่ยวปกติที่ควรต้องระมัดระวังสิ่งของมีค่าและดูแลทรัพย์สินส่วนตัวให้ดี ก็เท่านั้น

สรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้คร่าวๆ

  • ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ สิงคโปร์-เซบู โดยไทเกอร์แอร์ ǀ 4,800 บาท
  • ค่าเดินทาง (รถตู้ที่เช่าเหมาไว้/ เรือ ferry / สามล้อเครื่อง) ǀ 4370PHP = 3,320 บาท
  • ค่าโรงแรม 5 คืน ǀ 5,540 บาท
  • ค่าแพคเกจทัวร์แบบ one day trip และค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ǀ 4525PHP = 3,440 บาท
  • ค่าอาหาร ǀ 1800PHP = 1,380 บาท
  • ค่าภาษีสนามบิน ǀ 750PHP = 570 บาท
  • ค่า SIM โทรศัพท์ ǀ 300 PHP = 228 บาท
  • รวม 19,300 บาทต่อคน (อันนี้ไม่รวมค่าซื้อของที่ระลึกน้าาาา)

. . .

ในที่สุดก็จบมหากาพย์รีวิวของทริปเซบูทั้งสิ้่นสามตอน

หวังว่ารีวิวจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ

^____^

.

.

.

ขอบคุณสำหรับการติดตาม

หาเงินก็หาไป.. แต่อย่าลืม "หาเวลา" ให้ตัวเอง

~ Hungry Traveller


รีวิวที่ท่องเที่ยวที่ผ่านมา by Hungry Traveller

[[เสม็ดนางชี]] ที่นี่.. กับ Panoramic view ของอ่าวพังงาแบบจุใจ : https://th.readme.me/p/2372

[[[ เ ก า ะ ต า ชั ย . . ช่ายยยยยยยยเลย ]]] : https://th.readme.me/p/2405

เทกาย . ทิ้งใจ . ไว้ทีนี่.. [[ สิมิลัน ]] : https://th.readme.me/p/2542

สิงคโปร์ไม่ได้มีแค่สิงโตพ่นน้ำ ตอนที่ 1 :: Underground Crossing ที่ Fort Canning Park : https://th.readme.me/p/2459

สิงคโปร์ไม่ได้มีแค่สิงโตพ่นน้ำ ตอนที่ 2 :: Lone tree ที่ Upper Seletar Reservoir Park : https://th.readme.me/p/2672

สิงคโปร์ไม่ได้มีแค่สิงโตพ่นน้ำ ตอนที่ 3 :: วิวแพงแบบไม่ซ้ำใครที่ใต้สุดอ่าวมารีน่า.. กับ Marina Barrage Cove https://th.readme.me/p/2794

Cebu, Philippines เกาะนี้มีดีอะไร ?? :: https://th.readme.me/p/3271

Ep.1 ǀ Cebu, Philippines ฟินส์จนต้องหลงรักที่ระดับน้ำทะเล (3 เกาะ 6 วัน 5 คืน กับงบ 19,xxx) ǀ ไปมันส์กับ Canyoneering กันเถอะ! :: https://th.readme.me/p/3734

Ep.2 ǀ Cebu, Philippines ฟินส์จนต้องหลงรักที่ระดับน้ำทะเล (ไปว่ายน้ำเล่นกับฉลามวาฬ พร้อมปล่อยใจไว้ที่ Sumilon Island กันเถอะ) :: https://th.readme.me/p/3763

Hungry Traveller

 วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 16.27 น.

ความคิดเห็น