สาวน้อยผิวขาวใสรูปร่างบอบบางสูงประมาณ 160 เซนติเมตร ใส่เสื้อยืดสีเหลืองกระโปรงยีนสั้นระดับหัวเข่า

สวมที่คาดผมรูปดอกไม้ดอกใหญ่ ห้อยตุ้มหูระย้า สะพายเป้คิปลิ้งสีแดงใบเล็กน่ารัก

กำลังยืนรอผมอยู่ริมถนนหน้าบ้านของเธอ เห็นเธอแต่งตัวสวยแบบนี้ทำเอาผมอดคิดไม่ได้

เอ่อ...ผิดงานหรือเปล่าครับ!!

ก็วันนี้เราไม่ได้ชวนกันจะไปเดินห้างที่ไหน หากแต่กำลังจะไปเดินป่าปีนเขากางเต็นท์กันแบบสมบุกสมบัน

ซึ่งมันออกจะเสี่ยงอยู่สักหน่อยที่การเดินทางด้วยกันครั้งแรกผมก็พาเธอมาลำบากซะแล้ว

แต่บางทีความลำบากนี่แหละที่จะทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น

ท่าทีของเธอดูตื่นเต้นตั้งแต่ผมเอ่ยปากชวนว่าทริปนี้จะพาไปเที่ยว “สโตนเฮนจ์" แท่งหินปริศนาแห่งมวลมนุษยชาติ

แต่ไม่ต้องไปถึงกลางที่ราบซอลส์บรี่ทางตอนใต้ของเกาะอังกฤษ เพราะอยู่แค่บ้านท่าหินโงม จังหวัดชัยภูมินี่เอง

ที่นั่นก็มีสโตนเฮนจ์!!



การเดินทางครั้งนี้เพื่อนผมพาครอบครัวไปด้วยรวมทั้งหมด 3 คัน

สภาพเส้นทางดินลูกรังอัดแน่นช่วง 10 กิโลเมตรสุดท้ายดูจะไม่ใช่ปัญหา หากฝนไม่ตกลงมาเหมือนในตอนนี้

รถเพื่อนที่เป็นกระบะยกสูงขับนำไปแบบสบาย

ส่วนอีก 2 คันเป็นรถเก๋งจึงได้แต่คลานตามไปแบบทุลักทุเลจนแทบอยากจะจอดขอเกาะกระบะหลังไปด้วย

ภูมิประเทศค่อยๆ ยกระดับขึ้นแบบไม่รู้ตัว เผลอแป๊บเดียววิวสองข้างทางก็ลงไปแผ่ราบอยู่ลิบๆ เบื้องล่าง

ผมค่อยๆ ประคับประคองรถขึ้นเนินพอพ้นหัวโค้งด้านบนก็เห็นรถเพื่อนจอดอยู่

ยังไม่ทันจะคิดถามว่าจอดทำไม ภาพเบื้องหน้าก็ชิงอธิบายทุกอย่าง

เสาหินขนาดมหึมาสูงประมาณ 12 เมตร 5 ต้น ตั้งเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานคล้ายกับมีใครมาจงใจวางเอาไว้



ไม่ผิดแน่! นี่แหละ "สโตนเฮนจ์เมืองไทย" ประติมากรรมทางธรรมชาติที่ก่อให้เกิดกลุ่มหินรูปร่างแปลกตา



กลุ่มหินดังกล่าวเป็นหินทรายสีขาว ยามสะท้อนกับแสงแดดโดยเฉพาะช่วงหลังฝนตกจะมองเห็นเด่นสะดุดตาแต่ไกล

ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่า “มอหินขาว"



บางกระแสก็เล่าขานว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มีพลังงานลี้ลับ โดยจะปรากฏแสงประหลาดจากหินทุกๆ วันพระขึ้น 15 ค่ำ 8 ค่ำ

บ้างก็ว่าเป็นเมืองโบราณมาแต่เก่าก่อน จะอะไรก็แล้วแต่

ตอนนี้ผมเหมือนจะสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างจากเสาหินทั้ง 5 ที่อยู่ตรงหน้า

มันเป็นพลังงานลึกลับที่สามารถเรียกรอยยิ้มได้จากพวกเราทุกคน



ถัดจากบริเวณเสาหินขึ้นไปไม่ไกลผมก็ได้มายืนอยู่บนหลังช้างข้างๆ กับเธอ บริเวณนี้เรียกว่า “กลุ่มหินเจดีย์-หินโขลงช้าง"

ซึ่งเป็นหินที่มีลักษณะตามชื่อ โดยเฉพาะหินโขลงช้างเหมือนเรายืนอยู่ท่ามกลางช้างทั้งโขลงจริงๆ



บนหลังช้างตัวนั้นมันเป็นจุดที่เราสองคนได้ขึ้นไปยืนถ่ายรูปคู่ด้วยกันเป็นครั้งแรก

ผมเขินจนเพื่อนต้องตะโกนบอกให้ขยับไปยืนชิดๆ กับเธอหน่อย



ผมยังจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ดีแม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบสิบปีแล้วก็ตาม เพราะมันเป็นการเดินทางด้วยกันครั้งแรกของเราสองคน



แต่มาวันนี้ “มอหินขาว" เปลี่ยนแปลงไปมาก ถนนดินลูกรังช่วง 10 กิโลเมตรสุดท้ายกลายเป็นถนนลาดยางอย่างดี

มีลานจอดรถสะดวกสบาย มีการปรับแต่งภูมิทัศน์โดยรอบให้สวยงามเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและผู้คนมากมาย

มันทำให้ผมมองเห็นคุณค่าของความลำบากจากการเดินทาง

ความรู้สึกที่มาเจอมอหินขาวในวันนี้มันช่างแตกต่างจากเมื่อวันก่อนลิบลับ

หรือบางทีเวลานี้อาจจะไม่ได้มีเธอมาด้วย



ผมแอบคิดถึงวันวานขณะขับรถจากหินโขลงช้างต่อขึ้นไปจนสุดทางบนยอดเขาที่ “ผาหัวนาค"

ตอนนั้นจำได้ว่าเราสองคนมายืนมองผืนแผ่นดินเบื้องล่างด้วยกันอยู่ริมผา มองวันเวลาข้างหน้าที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร



แต่มาวันนี้ผมกลับมายืนมองอดีตอยู่เพียงคนเดียว ณ จุดๆ เดิมที่เคยมีเธออยู่เคียงข้าง



การเดินทางสอนให้เราเรียนรู้กันและกัน เรียนรู้ถึงความแตกต่าง เรียนรู้ที่จะยอมรับให้อภัยในความเป็นตัวตนของแต่ละคน

เธอมีโลกของเธอ ผมก็มีโลกของผม ชอบชีวิตแบบไหนก็ใช้มันไปแบบนั้น

มันไม่สำคัญเลยที่จะต้องทำอะไรด้วยกันทุกอย่าง แค่หาพื้นที่ตรงกลางร่วมกันให้เจอก็พอ



ตอนนี้ได้เวลาที่ผมต้องกลับแล้ว เธอกำลังรอผมอยู่ที่บ้าน





เส้นทางของไอฟายน้อยสู่มอหินขาว

จากกรุงเทพฯใช้ถนนมิตรภาพ(ทางหลวงหมายเลข 2) มุ่งหน้าสู่จังหวัดสระบุรี-นครราชสีมา

ผ่านลำตะคองมาเข้าเขตอำเภอสีคิ้ว ให้เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 201 มุ่งหน้าสู่จังหวัดชัยภูมิ

รวมระยะทางจากกรุงเทพฯประมาณ 340 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง



ถึงชัยภูมิให้วิ่งผ่านตัวเมืองไปเข้าทางหลวงหมายเลข 2051 จากนั้นตรงอย่างเดียวไปอีกประมาณ 20 กิโลเมตร

จะเจอสามแยกก่อนถึงด่านเข้าน้ำตกตาดโตน ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 4017 ตรงไปอีกประมาณ 11 กิโลเมตร

เจอสามแยกอีกครั้งให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงสายย่อย ไปตามป้ายมอหินขาว ขับไปตามป้ายอย่างเดียวประมาณ 9 กิโลเมตร

จะเห็นมอหินขาวอยู่ทางซ้ายมือ เป็นถนนลาดยางตลอดไปจนสุดจุดชมวิวผาหัวนาค


ติดตามผลงานเรื่องอื่นๆ ของไอฟายน้อยได้ที่http://bloggang.com/mainblog.php?id=ifind

I-FINDNOI

 วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 05.35 น.

ความคิดเห็น