กลุ่มเพื่อนฝูงจากสถาบันเดียวกัน กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปนาน บางคนไม่เจอกันเกือบ 20 ปี ครั้งนี้พวกเราวางแผนออกทริปไปยังต่างแดนเพื่อเป็นการย้อนอดีตกลับไปช่วงสมัยวัยรุ่น เราจึงเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่ค่อนข้างวัยรุ่นเขาไปกันสักหน่อย เราเลือกวังเวียง ดินแดนของวัยรุ่น อยากไปดูด้วยตาตัวเองสักครั้งว่ามันมีอะไร ทำไมวัยรุ่นไทยจึงไปกันจัง ตามลุงมาเลยหลานเอ๊ย...

...วังเวียง... คือจุดหมายปลายทางของเราในครั้งนี้ เลยนัดรวมตัววางแผนการเดินทางล่วงหน้ากันก่อนที่ ร้านลาบ ริมทางย่านสามเหลี่ยมดินแดง เพราะจากที่อ่านในรีวิวมีคนตกรถกันเยอะ และไม่อยากต้องไปต่อรถหลายเที่ยว สรุปกันว่าให้พี่เอก ซึ่งอยู่โคราชนำ passport ของพวกเราทั้งหมดล่วงหน้าไปนั่งรอซื้อตั๋วรถโดยสารที่ บขส.อุดรก่อน แล้วพวกเราจะนั่งเครื่องตามไปถึงอุดรในตอนเช้า


Day 1 : ดอนเมือง - อุดรธานี - หนองคาย - วังเวียง

พวกเรา 9 คนนัดเจอกันที่สนามบินดอนเมือง ออกเดินทางด้วยสายการบินไทยไลอ้อนแอร์เที่ยวบินที่ SL600 ตอนตี 5:55 แต่กว่าจะออกก็ delay ไปครึ่ง ชม.ซึ่งก็ทำให้พวกเราต้องลุ้นกันมากขึ้น เพราะว่าพี่เอกได้โทรมาจาก บขส.อุดรแจ้งว่า จะซื้อตั๋วได้ต้องใช้บัตรประชาชน+passport และคนที่เดินทางต้องมาซื้อตั๋วด้วยตัวเอง นึกในใจว่านี่มันจะเดินทางไปดาวอังคารหรือไงฟร่ะ ทำไมมันยุ่งยากขนาดนี้)

เมื่อเข้าใกล้น่านฟ้าเมืองอุดร ทัศนวิสัยมีเมฆหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณ แต่ก็ลงจอดได้อย่างปลอดภัย กรมอุตุแจ้งว่าจะมีพายุจะเข้าช่วงที่เราเดินทางก็หวั่นๆเหมือนกันว่าฝนตกแบบนี้มันจะสนุกเหรอ..หลังจาก landing เรียบร้อยแน่ละ late ไปครึ่งชม.ผมล่วงหน้าไปหารถตู้เข้ามืองเพื่อไปส่งยัง บขส.อุดร ค่าโดยสารคนล่ะ 80 มากัน 9 คนเขาเลยให่้ราคาเหมาที่ 600 บาท หลังจากพรรคพวกเข็นกระเป๋าตามาถึง รถตู้ก็พาพวกเราวิ่งลัดเลาะตามตรอกซอกซอยทะลุมายัง บขส.อุดรซึ่งอยู่ใกล้ๆกับห้างเซ็นทรัล ตอนเวลา 8:10 นาที พวกเรารีบจ้ำอ้าวด้วยความกระวนกระวายใจมาที่สถานี เพราะพี่เอกโพสต์ในไลน์ทิ้งท้ายว่า มีข่าวจะบอก..และก็เงียบหายไป..

เรื่องที่แกจะบอกคือ สามารถจองตั๋วล่วงหน้า 30 วันไปวังเวียงได้แล้วและจ่ายเงินที่ 7-11 ทุกสาขา...ส่วนตั๋ววันนั้นยังไม่เต็มมีพอสำหรับพวกเรา แค่ต้องเอาบัตรประชาชน+passport ไปซื้อตั๋วเท่านั้นแต่ทางพนักงานเขาพูดกันไว้แค่นั้นว่าให้คนที่เดินทางต้องมาแสดงตัวด้วยเท่านั้น ><! @#*& กวน..มากทั้งพนักงานและพี่เอก ทนายจอมอำ (ราคาตั่วไปวังเวียง 320 บาทรถออก 8;30)

ส่วนรายละเอียดการเดินทางผ่านแดน จะเล่าให้ฟังย่อๆว่าพอออกจากอุดรตอน 8:30 จะมาถึงด่านหนองคายตอน 10 โมงนิดๆ

1.พนักงานจะแจกใบ ตม.บนรถขณะที่นั่งไปยังหนองคาย เราก็กรอกใบ ตม.ตมทั้งขาเข้าและขาออก ทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาวเตรียมไว้เลย

2.ถึงด่านตม.หนองคาย ลงไปประทับตรา passport และ ใบตม.ขาออกฝั่งไทย กลับมาขึ้นรถ

3.นั่งรถข้ามโขง 15 นาทีไปยังด่านตม.ลาว ลงรถประทับตรา passport และใบตม.ขาเข้า (ตรงจุดนี้ต้องระวังเจ้าหน้าที่แกล้งลืมเช็คดูให้ดีว่ามีการประทับตราขาเข้าทั้ง passport และใบตม.ลาวมั๊ย มิฉะนั้นหากไม่มีตราประทับคุณจะกลายเป็นผู้ต้องหาหลบหนีเข้าเมืองตอนขาออกกลับมาฝั่งไทย และเสียค่าปรับกันตั้งแต่หลักพันจนถึงหมื่นเลยก็มี)

4.แลกเงินกีบที่บริเวณนี้ได้เลย มีรับแลกอยู่ 2-3 จุด อัตราแลกเปลี่ยนณ.วันนั้น 1 บาท = 234 kp แล้วมาซื้อตั๋วผ่านแดน เงินไทย 5 บาท วันธรรมดา วันหยุด 50 บาท แล้วเอาตั๋วไปสอดผ่านเครื่องเหมือนรถไฟฟ้าบ้านเราแล้วเดินมาขึ้นรถ

6.ขากลับก็ทำแบบเดียวกันกับตอนขามา

จากจุดผ่านแดนตม.ลาวตอน 11 โมงจะมาถึง จุดพักรถแวะกินข้าวเที่ยวกันที่ร้านอาหารไชโยตอนบ่ายโมงครึ่ง จุดพักน่าจะเพิ่งทำเสร็จไม่นาน เพราะดูรีวิวเก่าๆก่อนหน้านั้นจะเป็นอีกที่หนึ่ง

จากจุดพักรถเดินทางต่ออีกประมาณ 2 ชม.ก็ถึง บขส.วังเวียงสรุปใช้เวลาเดินทางจากอุดรมาวังเวียง 7 ชม.และพวกผมเลยจองตั๋วรถเที่ยวกลับไว้ด้วย ขากลับผมจะแวะไปเวียงจันทร์ ราคาตั่วไปเวียงจันทร์ 50,000 kp

รถสองแถวฟรีจากท่า บขส.วังเวียงพาพวกเรามาส่งที่โรงแรมเมลานีซึ่งเป็นจุดจอดรถหลักของวังเวียง แล้วพวกเราก็เดินหาที่ตั้งของโรงแรมคืนแรกที่จองไว้คิอโรงแรมบุญตัง หรือชื่อยาวเหยียดว่า mountainview riverside boutique hotel ใช้เวลาไม่นานก็เจอ สภาพโรงแรมเป็นตึกเก่า 3 ชั้น วิวสวยอลังการดาวล้านดวงมาก ชมรีวิวโรงแรมที่ผมทำไว้ที่ link นี้เลยครับ Mountainview Riverside Boutique Hotel

เก็บของเข้าที่พักแล้ว ออกมาหาอะไรกินกันหน่อย กะว่าจะเดินไปถ่ายรูปมุมมหาชนที่จำปาลาวบังกาโลที่เจ้าของเป็นคนไทย และสอบถามร้านอาหารร้านไหนเด็ด ปรากฎว่าร้านปิดปรับปรุงไม่มีกำหนด เลยโฉบๆไปดูวิวมุมที่พูดถึงสักหน่อย น่าเสียดายที่มีการต่อเติมที่พักซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ข้างๆ มาบดบังภาพมุมกว้างไปเสียแล้ว เลยถ่ายหลบมาทางขวาได้แค่มุมเดียว

ออกจาจำปาลาวเลยเดินหาร้านอาหารกัน ไม่ได้ดูรีวิวร้านอาหารมาล่วงหน้าด้วยส่วนใหญ่จะแนะนำกันเป้นพวกโรตี ข้าวจี่ บาแก็ต แซนด์วิช ที่มีขายกันเกลื่อนในวังเวียง แต่นาทีนั้นพวกเราหิวกันจนจะเขมือบควายได้ทั้งตัว อยากกินอะไรหนักๆมากกว่า เลยมาได้ร้านอาหารวิวสวยหน้าโรงแรมนั่นเอง ชื่อร้าน กรีน มุมจากบนร้านอาหาร มองลงไปเห็นสะพานไม้ เบื้องหลังเป็นแนวทิวเขาหินปูนของเมืองตอนใกล้พระอาทิตย์ตก นั่งจิบเบียร์ลาวดื่มด่ำกับบรรยากาศวันแรกของเมือง เมนูอาหารจะเป็นภาษาอังกฤษกับภาษาลาว ลองมาสั่งอาหารกันดูว่าหน้าตารสชาติจะเป็นยังไง หน้าตาอาหารจะคล้ายๆหรือเหมือนกับอาหารไทยเลยล่ะ เพียงแต่ที่แปลกคือส่วนผสมบางอย่างอาหารไทยไม่ใส่ แต่ที่นี่ใส่แต่โดยรวมรสชาติดีมากๆ แนะนำเลยครับร้านนี้อยู่ใกล้ๆริมน้ำซอง ถัดจากโรงแรมบุญตังมาหน่อยเดียวใก้ลๆจำปาลาว ราคาอาหารก็ 80 ขึ้นถือว่าเป็นเรื่องปกติของที่นี่ที่ค่าครองชีพสูงเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวก็เหมือนพัทยา-ภูเก็ตบ้านเราแหละครับ เช็คบิลออกมา 347,000 kp นับกันจนงง หารกันจนเบลอ ตีเป็นเงินไทยแล้วตกประมาณ 1,500 เท่านั้น

หลังจากอิ่มข้าวกันแล้วเราเลยเดินไปซื้อทัวร์ที่วัยรุ่นเขาทำกิจกรรมกันในวังเวียง พอดีเจอร้านเล็กๆ เป็นร้านเช่ามอไซด์เลยไปสอบถามราคาเช่ามอไซด์แต่ไปๆมาได้เป็นทัวร์ 1 day trip คนล่ะ 500 บาทไป ถ้ำช้าง ถ้ำน้ำ พายคายัค และก็บลูลากูน แล้ววันถัดไปจะเช่ารถไป ถ้ำจัง ผาเงิน และน้ำตกแก่งยุ้ย ในราคาเหมา 1100 บาท รวมไปส่งเรายังที่พักแห่งใหม่ที่พวกเราย้ายที่พักกันทุกวันด้วย ซื้อทัวร์เสร็จก็เดินย่อยชมเมืองไปยังจุดต่อไปคือ หลวงพระบางเบเกอรี่ ไปนั่งกิน cake เล่นไวไฟ แต่ผมล่อเบียร์ลาวอีกสักขวดพอกรึ่มๆ วังเวียงช่วงหัวค่ำทำไมมันดูเงียบๆไม่ค่อยครึกครื้นเท่าไหร่ หรืออาจจะเป็นเพราะวันธรรมดาก็ได้มั้ง ต่างชาติมีให้เห็นประปราย จะหนักไปทางเกาหลีซะมากกว่า

นั่งกินสักพักก็แยกย้ายกัน บางคนอายุเยอะหน่อยก็กลับที่พัก บางคนก็ไปเดินหาโรตีกิน ส่วนผมก็นั่งซัดเบียร์ต่อจนหมดแล้วก็เดินส่ายอาดๆคนเดียวไปยังเป้าหมายต่อไป...ซากุระบาร์นั่นเอง ...เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวแค่ถัดไปอีกซอย ก็เจอบาร์เล็กๆซึ่งสภาพตอนกลางวันที่เห็นมันไม่น่าเข้าเอาซะเลย แต่ตกกลางคืนแสงสี เสียงเพลง ช่างล่อตาล่อใจดีเลือเกิน ผมเดินเข้าไปสั่งเบียร์ที่บาร์มาขวดนึงยืนจิบไปพลางมองไปรอบๆร้าน ผู้คนต่างเริ่มทะยอยกันเข้ามา ร้านเล็กๆเลยเริ่มแน่นขนัดร้อยละ 70 จะเป็นเกาหลี 20 เป็นชาติตะวันตก และอีก 10 เป็นคนไทย เสียงเพลงเริ่มเร่งจังหวะปลุกเร้ามากขึ้น นักท่องเที่ยวต่างสนุกกันอย่างเต็มที่บนเวที จุดประสงค์แต่ละคนที่มาที่นี่ก็แตกต่างกันไป บางคนมาเที่ยวแต่บางคนก็มาทำงาน..สำหรับผมแค่มาเยือน..แล้วก็จากไป

ผมเดินออกจากร้านช่วงใกล้ๆ 2 ยาม ออกมามาสักพักเริ่มหลงทิศ ถนนหนทางเงียบสงัดผ่านร้านขาย sandwich ถามทางกลับที่พักเสร็จก็เดินไปตามทางที่แม่ค้าบอก เดินผ่านวัดวัดหนึ่งหันไปเห็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่ยกมือไหว้ขอพรเป็นสิริมงคล แล้วเดินกลับถึงที่พัก ก่อนถึงที่พักดันเจอวงไพ่นั่งเล่นกันอยู่ในซอย มองมาทางผมเป็นสายตาเดียวก็เสียวๆเหมือนกันแต่ก็ถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ


Day 2 : ถ้ำน้ำ - ถ้ำช้าง - พายคายัค - zipline - บลูลากูน

เช้าวันที่ 2 รถมารับพวกเราตอน 9 โมง เรา check out และฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อนที่จะย้ายไปพักที่เวียงธาราในช่วงเย็น รถสองแถวแล่นตะลุยฝุ่นออกนอกมืองไปยังจุดปล่อยเรือคายัคห่างจากตัวเมืองมาประมาณ 20 km ทางเจ้าหน้าที่จะแนะนำขั้นตอนการพายเรือคายัคให้ดูก่อน และเตือนพวกเราว่าให้รักษาไม้พายเท่าชีวิตถ้าไม่พายหักหรือหายจ่าย 2700 แต่ถ้าเรือพัง เรือแตก ทางไกด์จะรับผิดชอบเอง

หลังจากพายเรือได้แค่ไม่กี่จ้วงจากท่า คือแค่พายข้ามฝั่งว่างั้นเถอะ เราก็แวะจุดแรกคือถ้ำช้าง (แล้วทำไมไม่ให้เดินข้ามสะพานแล้วเอาเรือไปขึ้นตรงท่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามน่ะ) ถ้ำช้างก็ไม่มีอะไรมากลักษณะแค่เป็นเวิ้งถ้ำเข้าไป คือไม่ต้องเดินเข้าไปในถ้ำเลย มองไปจะเห็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ และมีหินงอกหินย้อยเป็นรูปช้างแค่นั้น

พออกจากถ้ำช้างที่นี้ก็พายกันยาวๆเลย ลักษณะลำน้ำซองจะไหลคดเคี้ยวไปตามที่ราบเชิงเขา สีน้ำค่อนข้างขุ่นเพราะเป็นช่วงฤดูน้ำหลาก ทิวทัศน์ 2 ข้างทางจะเป็นวิวภุเขาฝั่งหนึ่งอีกฝั่งจะเป็นป่าหญ้าหรือไร่ของชาวบ้าน มีรีสอร์ท หรือที่พัก รวมถึงบาร์ริมน้ำขึ้นอยู่ประปราย ลักษณะเหมือนไม่ค่อยครึกครื้นเท่าไหร่ ตัวสายน้ำไหลแรง และมีเกาะแก่งบางช่วง บางช่วงที่มีหินใต้น้ำก็จะเชี่ยวกรากทีเดียว

การพายเรือคายัค ไกด์จะให้นั่งลำละ 2 คนกลุ่มผมตกเศษอยู่คนนึงคือตัวผม เลยได้ไปลำเดียวกับไกด์ ข้อดีของการไปกับไกด์คือคุณจะค่อนข้างสบายที่ไม่ต้องพาย มีเวลาคว้ากล้องออกมาถ่าย และรับประกันว่าเรือไม่คว่ำแน่นอน แต่ข้อเสียคือคุณจะเป็นเรือกู้ภัย คือลำไหนล่ม คุณกับไกด์จะต้องพายไปช่วยเหลือลำที่ล่ม ตลอดลำน้ำ และจะเป็นลำท้ายๆคอยเก็บตกดูแลความปลอดภัยให้กับคนอื่นๆด้วย

พายเรือมาจนถึงถ้ำน้ำซึ่งเป็นจุดที่พักกินข้าวกลางวัน จุดนี้คือจะมี zipline ซึ่งจะอยู่ในโปรแกรมทัวร์ด้วย ซึ่งถ้าใครที่ไม่ได้ซื้อทัวร์ไว้มาซื้อตรงจุดที่เล่นได้เหมือนกัน ราคา 550 บาททั้งหมดถูกกว่าที่ counter tour ซะอีกเหมือนคล้ายๆว่าจะกินกันเองโดยไม่มีใบเสร็จ zipline ที่เล่นมีทั้งหมด 12 ฐานคือโรยตัวไปยังฐานต่างๆ และมีสะพานไม้โยงกับเชือกไว้ให้เดินเสียวเล่นๆอีก 1 ฐาน ซึ่งพวกผู้สูงวัยอย่างพวกผมมีเหรอที่จะได้แต่ยืนมอง ขอกระชากวัยกับเขาดูบ้าง ชำระเงินเสร็จต้องมาเซ็นต์ชื่อรับสภาพหากเกิดอะไรขึ้นทางทัวร์จะไม่รับผิดชอบประมาณนั้น ตรวจเช็คอุปกรณ์เสร็จก็เดินขึ้นไปโรยตัวแต่ล่ะฐาน


จบจากกิจกรรม zipline ก็กินข้าวกลางวันที่รวมอยู่ใน packet tour เป้นข้าวผัดกับบาร์บีคิวและขนมปังกับผลไม้นิดหน่อย กินเสร็จก็ลอดห่วงยางถ้ำน้ำ ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรมากแค่นั่งห่วงยางใส่ไฟฉายคาดหัวสาวมือไปตามแนวเชือกที่ขึงไว้เป็นไกด์ไลน์เข้าไปในถ้ำประมาณ 50 เมตรแล้วก็ออกทางเดิม มันไม่มีอะไรจริงๆ แต่ที่น่าสนใจคือที่สุดถ้ำมีบันไดไม้ให้ไต่เข้าไป ถามทางไกด์แล้วเขาบอกว่าข้างในมีทางไปอีกจะไปโผล่อีกถ้ำนึงแต่มันอันตรายมากเพราะพื้นด้านล่างเป็นดินเลน ไม่อนุญาติให้เข้า และด้วยความสงสัยว่าปกติเวลาเข้าถ้ำจะได้กลิ่นขี้ค้างคาวหรือเห็นค้างคาวบ้างแต่นี่ไม่ได้กลิ่นเลย ไกด์บอกชาวบ้านจับกินกันหมด..><!

ออกมาจากถ้ำน้ำก็มาพายเรือกันต่อ แดดช่วงบ่ายแรงมากจริงๆ ผิดกับคำพยากรณ์ว่าจะมีพายุเข้า ทางที่ดีควรหาเสื้อผ้าแบบเสื้อแขนยาวขายาวใส่จะดีกว่า ครีมกันแดดก็เอาไม่อยู่ พายมาสักพักไกด์ชี้ให้ดูว่ามีน้ำตกที่มองเห็นไกลๆตรงจุดนั้นมีบริการทัวร์เดินป่าพาไปเหมือนกันแต่ต้องไปพักค้างคืน 1 คืนซึ่งตรงนี้ผมยังไม่เคยเห็นใครรีวิวมาให้ชมเลยว่าน้ำตกมีความงดงามแค่ไหน list ไว้ในใจหากมีโอกาสมาอีกจะมาสำรวจดูสักหน่อย ในที่สุดก็พายเรือคายัคมาถึงจุดสิ้นสุดตรงท่าเทียบเรือข้างๆถาวรสุขรีสอร์ทประมาณเกือบ 4 โมงเย็น ใช้เวลาประมาณ 7 ชมครึ่ง !! ในการทำกิจกรรมทางน้ำ แต่ยังไม่จบเราต้องไปบลูลากูนกันต่อ

รถสองแถวพาพวกเรามายังสถานที่ต่อไปคือบลูลากูน ให้เวลาพวกเราตรงนี้ประมาณ 45 นาที ตลอดเวลา 45 นาทีไม่ได้เดินไปยังจุดอื่นเลยมัวแต่เก้บภาพบริเวณนี้อย่างเดียว แค่ยืนเก็บภาพท่วงท่าแต่ละคนตอนโดดน้ำก็ฮากันกระจายแล้ว

จบทริปวันแรกเข้าที่พักตอน 6 โมงครึ่ง แทบไม่อยากจะเดินไปไหนเลย เลยกินข้าวกันในรีสอร์ท รีสอร์ทที่เราพักชื่อเวียงธาราวิลล่า ชมรีวิวรีสอร์ทที่ผมทำไว้ที่ link นี้เลยครับ Vieng Tara Villa


Day 3 : ผาเงิน - ถ้ำจัง - น้ำตกแก่งยุ้ย

เช้าวันที่ 3 พวกเรานัดรถมารับตอน 9 โมงแต่เราตื่นกันแต่เช้าเพื่อมาเก็บภาพบรรยากาศในรีสอร์ทกันสักหน่อยไม่ต้องบรรยายว่ามันฟินแค่ไหน เหมาะแก่การถ่าย portrait หรือ pre-wedding จริงๆที่นี่ ไปชมภาพกันเลย

เสร็จจากเก็บภาพรีสอร์ทและกินอาหารเช้ากันเสร็จ เราก็ check out ฝากกระเป๋าไว้เหมือนเดิม นั่งรถสองแถว มุ่งหน้าไปเส้นทางเดิมของเมื่อวานคือทางไปผาเงิน,ถ้ำจัง จะไปทางเดียวกับบลูลากูน มาถึงก็เสียค่าเข้าถ้ำเงิน คนล่ะ 10,000 kp เดินขึ้นไปใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีสำหรับคนที่เคยเดินป่าเดินเขามาแล้ว ส่วนคนปกติทั่วไปก็ประมาณ 45 นาทีเส้นทางก็ขึ้นอย่างเดียวไปจนถึงศาลาพักเหนื่อยตรงจุดนี้จะมีทางราบแล้วก็เดินขึ้นไปอีกสักประมาณ 10 นาทีก็ถึงยอดผาเงิน บนนั้นจะมีน้ำ-ส้มตำไว้บริการแล้วเดี๋ยวนี้ ราคาก็บวกนิดหน่อย วิวผาเงินจะเป็นวิวเปิดกว้าง 180 องศาหากขึ้นช่วงเช้าจะเป็นมุมโพลาไรซ์ ถ่ายภาพสวยๆได้สบายเลย แต่หากขึ้นช่วงบ่ายจะเป็นมุมย้อนแสง ถ้าใครอยากถ่ายตอนดวงอาทิตย์ตกแนะนำขึ้นช่วงเย็น สัก 4 โมงครึ่งแล้วไปรอดูพระอาทิตย์ตกดินจะไม่ร้อนมาก


ลงจากผาเงินเราก็ไปถ้ำจังกันต่อ แต่ด้วยสภาพที่ทั้งร้อนทั้งหิวและเหนื่อยเมื่อมาถึงถ้ำจังถ่ายภาพสะพานส้มเสร็จแล้วเดินตรงดิ่งเข้าร้านอาหารทันที ไม่ขึ้นไปดูแล้วบนถ้ำ..ร้านอาหารริมน้ำตรงถ้ำจังรสชาติไม่เลวทีเดียว เช็คบิลมาหลักแสนอีกแระ..

ออกจากถ้ำจังก็มาต่อแก่งยุ้ย ต้องนั่งรถกลับเข้าเมืองและออกไปอีกทางที่เป็นภูเขาฝั่งในเมืองเข้าไปประมาณ 10 กิโลได้เป็นน้ำตกของชาวบ้านจริงๆ ไม่เห็นนักท่องเที่ยวอื่นเลย มีแต่คนลาวเข้ามานั่งกินข้าวกินเหล้ากันตามซุ้มต่างๆที่จัดเตรียมไว้รอบๆ พวกเราก็ไม่ได้เดินขึ้นไปยังชั้นน้ำตกที่อยู่เหนือขึ้นไป เห็นน้ำปุ๊ปก็อยากลงไปแช่ทันที เลยเล่นน้ำกันแถวบริเวณปลายน้ำตกนั่นแหละ

จบกิจกรรมวันที่ 3 ประมาณ 4 โมงเย็น รถพาพวกเราย้ายโรงแรมไปพักที่ The Elephant Crossing Hotel เป็นคืนสุดท้าย ชมรีวิวโรงแรมที่ผมทำไว้ที่ link นี้เลยครับ The Elephant Crossing Hotel


Day 4 : เวียงจันทร์ - อุดร - กทม.

เช้าวันสุดท้าย ตื่นมาทานอาหารเช้าท่ามกลางวิวของภูเขาและสายหมอกแต่ตลอดทั้งทริปเราไม่เห้นบอลลูนเลยสักลูก สอบถามทางคนที่นั้นเขาบอกว่าช่วงหน้าฝนจะไม่มีบอลลูน เพราะมันจะอันตราย.. เสร็จแล้วรอรถมารับไปขนส่งวังเวียง แต่เกิดข้อผิดพลาดตอนเราซื้อตั๋วล่วงหน้าตั้งแต่วันที่มาทางเจ้าหน้าที่ลงวันกลับเราผิด ทำให้เขาต้องส่งรถตู้มารับเราไปส่งที่เวียงจันทร์แทน แต่การนั่งรถตู้ที่วังเวียงถึงแม้จะเป็นรถตู้ไทย แต่เขาให้นั่งแถวล่ะ 4 ซึ่งมันค่อนข้างจะเบียดกันมากแต่ยังดีที่นั่งประมาณ 3 ชม.

รถตู้มาจอดแวะกินข้าวกลางวันริมข้างทาง คนละจุดกับตอนขามา แต่ร้านนี้เคยเห็นบ่อยจากในรีวิว แล้วก้พาเรามาส่งที่เวียงจันทร์ ระหว่างทางก็สอบถามที่เที่ยวในเวีงจันทร์และรถพาเที่ยวในเวียงจันทร์ ทางคนขับเลยเป็นธุระจัดการให้ โดยโทรหาญาติที่ขับรถตู้ด้วยกันติดต่อราคาพาเที่ยวครึ่งวันในราคา 1300 บาท เราเห็นว่าหารกันแล้วก็ตกแค่คนล่ะ 100 กว่าบาทเลยตกลงใจ หลังจากมาถึงเวียงจันทร์ก็เปลี่ยนถ่ายรถกันเสร็จ ให้รถตู้พาเราไปจองตั๋วกลับอุดรเที่ยวสุดท้าย 6 โมงที่ตลาดเช้ากันก่อนและฝากกระเป๋าไว้ที่บขส ราคาตั๋วกลับอุดรค่าโดยสาร 22,000 kp แต่ถ้าเป็นวันหยุดคิด 24,000 เล่นชาร์จกันทุกช่องทางจริงๆ

สถานที่ท่องเที่ยวในเวียงจันทร์ทุกที่จะปิดประมาณ 4 โมง เพราะฉะนั้นเรามีเวลากันแค่ประมาณ 3 ชั่วโมง เลยต้องรีบทำเวลาจุดแรกคือไปแวะซื้อของฝากที่ร้านค้าในเวียงจันทร์ก่อน เสร็จแล้วไปวัดพระธาตุหลวงก่อนค่าเข้าคนล่ะ 5,000 kp ผู้หญิงต้องเปลี่ยนไปใส่ผ้านุ่งน่ะครับ


แล้วมาต่อที่ประตูชัย มาถึงประตูชัยต้องขึ้นไปชมวิวมุมสูงเสียค่าขึ้นอีก 3,000 kp

ออกจากประตูชัยมาต่อที่หอพระแก้ว กับ วัดสีสะเกด ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันเหลือเวลาอีกไม่ถึง 10 นาทีรจ่ายค่าเข้าหอพระแก้ว 5,000 และวัดสีสะเกดอีก 5,000 kp ภายในหอพระแก้วห้ามถ่ายภาพ

ภายในวิหารวัดสีสะเกดก็ห้ามถ่ายภาพ ถ่ายได้บริเวณรอบนอกเท่านั้น

เมื่อเที่ยวกันครบแล้ว ทางรถตู้ก็พาพวกเรามาส่งยังท่ารถ บขส.แต่พวกเรายังมีเวลาเหลืออีกประมาณ ชมครึ่ง เลยหาอะไรกินแถวหน้าบขส.แต่ปรากฎว่าตลาดเช้าและห้างก็ปิดแล้วทั้งๆแค่ 4 โมงเย็น เลยเดินหารอะไรกินริมฟุตบาตหน้าตลาดเช้า ไปเจอร้านขายข้าวจี่ปาเต้ เลยลองซื้อชิมดูตอนอยู่วังเวียงไม่ได้กินกันเลย เพราะเวลาไม่พอจะออกมาเดินเล่นกันเท่าไหร่ ความสะอาดไม่ต้องพูดถึง อยู่ข้างถนนทั่งฝุ่นควัน เต็มไปหมด แต่ชาวบ้านเขาก็กินกัน ก้เลยซื้อมาชิมสักหน่อย รสชาติก็แปลกดีเหมือนกัน มีหลายไส้ให้เลือก

ถัดจากร้านข้าวจี่มาเจอร้านปิ้งย่าง เป็นหมูสามชั้นย่างจิ้มแจ่ว แล้วก็พวกเนื้อย่าง ใส้กรอกอีกสาน เลยซื้อมาลองชิมดู ปรากฎว่าอร่อยจริงๆ แถมที่ร้านมีส้มตำขายอีกเลย นั่งกินกันเป็นเรื่องเป็นราว ส้มตำรสชาติเด็ดมาก ตั้งแต่มาเมืองลาวตลอด 4 วันนี้อาหารที่ถูกปากและอร่อยที่สุดอยู่ข้่างทางหน้าบขส.นี่เองเช็คบิลมาแค่ 500 กว่าบาทอิ่มกันเต็มที่ แนะนำเลยจะเป็นร้านรถเข็นหน้าตลาดเช้าตรงนี้เขาจะเริ่มขายประมาณ 4 โมงเย็นไปถึงเช้า

ไหนๆมาเที่ยวกันทั้งทีแล้วก็ควรจะใช้ชีวิตกันให้เต็มที่ พวกเราปิดทริปวังเวียงกันอย่างมีความสุข และก็วางแผนกันทริปต่อไปล่วงหน้ากันแล้ว

สรุปค่าใช้จ่ายในทริป 4 วัน 3 คืนนี้โดยประมาณ

  • ค่าาตั๋วเครื่องบินไปกลับกทม-อุดร 1,300 บาท
  • ค่ารถโดยสารทั้งหมดในทริปวังเวียง 1,000 บาท
  • ค่าที่พัก 2,345
  • ค่าเข้าที่ท่องเที่ยวต่างๆ 150
  • one day trip + zipline 1,050
  • ค่าอาหารตีซะมื้อล่ะ 100 กว่าให้เต็มที่ 1,500

รวมแล้วทั้งหมด 7,345 / คน

แล้วพบกันใหม่ทริปต่อไป สวัสดีครับ...


-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ

-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง ได้ที่ Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด






















































สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 05.11 น.

ความคิดเห็น