(สวัสดีครับ ต้องออกตัวก่อนเลยว่ารีวิวนี้เป็นรีวิวแรกของผม ถ้ามีอะไรผิดพลาดไป ก็ขออภัยด้วยนะครับ)


จุดเริ่มต้น


... เริ่มจากที่ตัวผมและเพื่อนๆ ชอบในการหาความลำบากใส่ตัว

ด้วยการพาตัวเองไปเดินป่า ขึ้นดอยกัน

ทริปนี้ก็เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ได้เดินป่ากับเพื่อนกลุ่มนี้




สมาชิก


สมาชิกของทริปนี้มีทั้งหมด 10 คน เริ่มจากตัวผมเอง แล้วก็แฟนผม และเพื่อนอีก 8 คน

บูม ทราย มิ้งค์ (เคยไปเดินทริปเขาหลวงสุโขทัยก่อนหน้านี้ด้วยกัน)

พี่โบ้ (รุ่นพี่ของพวกเรา)

พี่หนิง และพี่ยุ้ย (รุ่นพี่ที่ทำงานของทราย)

นุ่น และขวัญ (เพื่อนของแฟนผมที่ชวนมาเหมือนกัน)




เตรียมตัว

แพลนคร่าวๆ ของพวกเราเดินทางออกจากกรุงเทพในคืนวันศุกร์ เพื่อไปถึงตากในตอนเช้า

แวะซื้อของสดไปทำกับข้าวกินกันข้างบนดอย นอนบนดอย 1 คืน แล้วเดินทางกลับกรุงเทพ


พวกเราเริ่มจากตกลงจะเหมารถตู้ไปเลย เพราะลองเทียบราคากับการนั่งรถทัวร์ไปก็น่าจะพอๆ กัน

ไหนจะต้องไปซื้อของ และเข้าไปเทศบาลอีก ดังนั้นแฟนผมเลยติดต่อพี่ Palipili Thailand

เพราะเห็นว่าก่อนหน้านี้พี่เขาเคยหาคนหารทริปไปดอยหลวงตากเหมือนกัน

ก็ได้ลุงเบิด เป็นผู้ที่พาเรายังไงจุดหมาย

** เบอร์โทรติดต่อ : ลุงเบิด 094-3238597


ส่วนเพื่อนอีกคน (บูม) ก็ติดต่อจองรอบขึ้นดอยกับทางเทศบาล

เพราะเห็นว่าเค้าจำกัดจำนวนคนขึ้นในแต่ละรอบด้วย น่าจะไม่เกินประมาณ 50 คน

แต่พี่เค้าก็บอกว่าก็แล้วแต่สถานการณ์นะ เอาเป็นว่าโทรไปจองก่อนจะดีกว่า

** เบอร์โทรติดต่อ : พี่เงิน 084-8225812


หลังจากที่ได้รถ และได้ขึ้นดอยแน่นอนละ

ทีนี้ก็ถึงเวลาที่นักท่องเที่ยวสายอุปกรณ์อย่างพวกผมได้เวลาไปช็อบปิ้งกันนะครับ

ผมกับแฟนได้ยินมาจากเพื่อนว่ามีของยี่ห้อ Quechu ดีและราคาก็ไม่แพงมาก

แล้วจะรอช้าอยู่ใยรีบกดหาใน Google เลย เจอว่ามี shop Dechalon สาขา Lotus พระราม 4

ก็รีบบึ่งไปเลย มีอุปกรณ์กีฬาเยอะแยะเต็มไปหมด

หลังจากเดินอยู่ชั่วโมงกว่าๆ เราก็ได้เต๊นท์มา 1 หลังเป็นเต็นท์ 2 คน และกระเป๋าเป้เล็กๆ อีก 2 ใบ


เดินทาง


แล้วเช้าวันเดินทางก็มาถึง ทุกคนก็ไปทำงานตามปกติ

เพราะยังเป็นวันศุกร์อยู่ แต่ใจนี่ ไปอยู่ตีนดอยแล้ว

เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนเย็นก็รีบกลับมาเตรียมของออกเดินทาง

เรานัดลุงเบิดไว้ที่ ปตท.สนามเป้า จะออกเดินทางกันตอนประมาณ 4 ทุ่ม

พอเพื่อนๆ มากันครบแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทาง


วาร์ปมาถึงตัวเมืองตากตอน 6 โมงเช้า

ลุงเบิดก็แวะให้เรากินโจ๊ก ต้มเลือดหมู กาแฟ ปาท่องโก๋ ร้านจะอยู่ติดกันเลยนะ




พอกินเสร็จ ก็มาแวะที่ตลาดสดริมปิง 3 เพื่อจะมาซื้อของ



พวกเราไม่ได้วางแผนกันเลยว่าจะทำอะไรกินข้างบนบ้าง

เดินไปเดินมา สรุป ก็ได้หมูสับ หมูสามชั้น เพราะเพื่อนบูมอยากทำ

แล้วก็มาม่าเกาหลี กับกิมจิ เพราะเพื่อนทรายอยากทำ =='

ซื้อไข่ไก่อีก 10 ฟอง เห็ด ไส้กรอก แล้วก็ผักอีกนิดหน่อย

ต่อจากนั้นก็เดินทางต่อไป อ.บ้านตาก

ระหว่างทางก็แวะตลาดอีกหน่อย ซื้อหมูทอด ไก่ทอด ข้าวเหนียว ไปกินตอนกลางวันระหว่างเดินขึ้น


ระยะทางอันแสนยาวไกล


ถึงเทศบาลพวกเราก็ต่อรถกระบะไปจุดเดินเท้า

เพื่อนได้ติดต่อเจ้าหน้าที่นำทาง พร้อมลูกหาบอีก 2 คนไว้แล้ว

ลูกหาบ 1 คน หาบได้ประมาณ 20 กก.

พวกเราเลยให้ลูกหาบ หาบของส่วนกลางขึ้นไป

ส่วนสัมภาระที่เหลือก็แบกกันเอง จากเทศบาลนั่งรถมาไม่นาน ก็ถึงจุดเดินเท้า




การเดินขึ้นดอยมีะยะทางทั้งหมด 11 กม.

แต่แบ่งเป็นจากตีนดอยไปถึงจุดกางเต๊นต์ และต่อจากจุดกางเต๊นท์ไปยังจุดชมวิว



การเดินในช่วง 2 กม. แรกก็เดินสบายๆ ยังชิลๆ อยู่

ใครที่จะถ่ายรูปแนะนำให้ถ่ายไว้เยอะๆ เลยเพราะต่อจากนี้มีแต่ทางชัน และชั๊นชัน

เราเดินเลาะทางน้ำมาเรื่อยๆ ซ้ายป่า ขวาลำน้ำจากน้ำตก ก็สวย ร่มรื่นดี







ต่อมาช่วง กม.ที่ 3-5 ก็เดินไต่เขาขึ้นมาเรื่อยๆ

เดินไปได้สักพัก ก็หย่อนตูดลงนั่งพักให้หายเหนื่อย แล้วค่อยเดินกันต่อ






เดินไปท้องก็ร้องไป แต่แพลนของเราคือไปกินข้าวเที่ยง ตรงจุดพักกินข้าว

กว่าจะถุงจุดพักกินข้าว ก็จัดขนมรองท้องซะหน่อย ... " อ่ะ กินป่ะ "



ลุงลูกหาบของเราก็นั่งพักนะ ข้าวของของพวกเราไม่ได้เยอะไปใช่มั้ยครับ



พอมาถึงจุดพักกินข้าวเท่านั้นแหละวางเป้แทบไม่ทัน พร้อมเรียกหาแต่ข้าวกันเลยทีเดียว



นี่ไง ข้าวกลางวันที่เรารอคอยมานาน " ไก่ทอด 2 ไม้ , หมูปิ้ง 1 ไม้ , ข้าวเหนียว 1 ถุง "



แต่ต้องบอกเลยว่าปริมาณแค่นี้ไม่พอยาไส้จริงๆ

การเดินมา 5 กม.นี้ มันหนักหน่วงจริงๆ อากาศร้อน แถมลมก็ไม่ค่อยจะมี

ยังเจอแต่ทางชันอีกต่างหาก ร่างกายเสียพลังงานไปเยอะพอดู

ระหว่างกินเสร็จก็นั่งกินลม ชมวิวกันไป





บางคนพอมีแรงก็อยากจะเป็นลูกหาบขึ้นมาซะอย่างนั้น



ถึงเวลาแล้ว ก่อนนี้หนังตาจะปิด

ขึ้นเป้แล้วเดินกันต่อไป เดินไต่ความชันเลาะสันเขามาเรื่อยๆ




ระหว่างสองข้างทางมีวิวสวยๆ ให้ดูตลอด

ถึงแม้ว่าจะก้มหน้าก้มตาเดิน เพราะเหนื่อยมากก็ตาม






ตรงที่ผมยืนถ่ายรูปกันนี้ พี่เค้าเรียกกันว่า " สันคมมีด "



เดินต่อมาได้สักพักหนึ่งก็มาถึงลานสน พักเหนื่อยกันก่อน แล้วเดินต่อ



เดินไปพักไปเรื่อยๆ จนมาถึงตรงนี้






ว้าว !! มาถึงจุดนี้ คือสิ่งที่เห็นตรงหน้าสวยมาก แค่นี้ก็คุ้มแล้วที่พาตัวเองขึ้นมา

เดินขึ้นข้างบน ชมวิวอีกมุมนึงดีกว่า


















ไกลๆ นั่นพี่เค้าเรียกว่า " หัวสิงห์ "



ส่วนโน่น มองไม่เห็นหรอก คือเทศบาล พี่เค้าชี้ให้ดูว่าเราเดินมาทางไหนบ้าง แต่จำไม่ได้หรอก 555



นั่นก็เป็นอีกจุดชมวิวนึง แต่พวกเราไม่ได้ไป เวลาไม่พอ เพราะเราอยู่กันแค่ 1 คืน



ถ่ายรูปกันหน่อย



และนี่คือเทคนิคการถ่ายรูปของเพื่อนทราย



พอหอมปากหอมคอก็ลงกันมาได้แล้ว




เพราะนี่ยังไม่ใช่จุดหมายที่แท้จริงของพวกเรา

นั่นไงจุดหมายของเราในวันนี้ เขาหัวโล้นที่อยู่ไกลๆ โน่นไง ได้เวลาลุยกันต่อแล้ว



เส้นทางต่อจากจุดนี้คือจุดที่นักท่องเที่ยวหลายๆ คนกลัว

มันคือดงกล้วยที่ได้ชื่อว่าทากชุกชุมมาก

ถ้าวันไหนฝนตก อากาศชื้นก็จะโชคดีได้เห็นทากตัวน้อยๆ ออกมาชูคอทักทายกันเลยทีเดียว

แต่ดีแล้วที่เราโชคร้ายเพราะฝนไม่ตกมาหลายวันแล้ว เลยไม่มีทากออกมาให้เห็นสักเท่าไร

แต่พวกเราก็ยังใส่ถุงกันทากกันนะ มันก็เพื่อความสบายใจอะเนาะ

(ที่จริงคือก็ซื้อมาแล้วไงก็ใช้มันสักหน่อย ดูดีกว่ามะ 555)

ดงกล้วยที่พูดถึงก็ตรงมุมล่างซ้ายของรูปนั่นแหละ

เอาเป็นว่าคนไหนที่กล้ว พอชมวิวที่จุดนี้แล้ว ก็รู้กันว่าต้องทำตัวเองให้ปลอดภัยจากทากละกัน





ความสำเร็จของผู้พิชิต


ในที่สุดเราก็มาถึงจุดกางเต๊นท์สักที กลุ่มเราใช้เวลาเดิม 6 ชม.กว่าๆ

พอถึงก็มีเรื่องเซอร์ไพส์เลย เป็นผลของการที่เรามาถึงจุดกางเต๊นท์ช้า

นั่นก็คือ ลานที่กางเต๊นท์มีคนจับจองเต็มหมดแล้ว

พี่เจ้าหน้าที่เลยพาพวกเราเดินเข้าไปอีกหน่อย หาจุดกางเต๊นท์ใหม่

แต่ก็ต้องเหยียบหญ้าเคลียร์พื้นที่กันเอาเอง ก็ได้อารมณ์ป่าๆดีนะ (ปลอบใจตัวเอง)

เคลียร์พื้นที่เสร็จ ก็เริ่มกางเต็นต์









กางเสร็จก็ได้เวลาดูพระอาทิตย์ตกซะแล้ว แต่ผมกับเพื่อนบางส่วนไม่ได้ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตก

เพราะคิดว่าช่วยทำอาหารกันก่อนดีกว่า (แต่ที่จริงแล้วเมื่อยขาต่างหาก 555)

ถ่ายเอาจากที่เต๊นท์ก่อนละกัน




มื้อเย็นของเราวันนี้มีหมูสามชั้นทอดน้ำปลา ไส้กรอกทอด และไข่เจียวหมูสับ กินกับข้าวสวยร้อนๆ

ถ่ายมาแต่ไส้กรอก นึกขึ้นได้ก็ทำเสร็จไปหลายอย่างละ






พระอาทิตย์ยังไม่ตกดี ฟ้าก็เริ่มปิด หมอกมาจากไหนไม่รู้เต็มไปหมด แล้วอากาศก็หนาวขึ้นมาซะงั้น



พวกเราก็ทยอยกันมากินข้าว ก็กินมันท่ามกลางแสงไฟฉาย กับสายลมเนี่นแหละ (เพราะข้างบนไม่มีไฟฟ้า)

กินเสร็จก็เก็บของ แล้วก็มานั่งรวมกันอยู่ในเต๊นท์

นั่งพูดคุยสัมนากันเพราะมันเพิ่งจะทุ่มกว่าๆ เอง

ที่จริงคืนนี้พวกเราแพลนกันว่าจะมาถ่ายดาว ตามล่าช้าง

แต่ฟ้าปิดซะงั้น ดาวก็ไม่เห็น แถมยังกลัวฝนตกอีกต่างหาก T^T

พอสัมนากันได้ที่ก็เลยแยกย้ายกันเข้านอน ในเวลาแค่ประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ เอง



เช้าวันใหม่ และเดินทางกลับ


ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี 5 เพื่อที่จะตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น



ทำธุระส่วนตัวกันเสร็จก็ทยอยกันเดินขึ้นไปยอดดอย

วันนี้พระอาทิตย์ไม่มาตามนัด แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็สวยไม่แพ้กันเลย

แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหมอกให้เห็นชั้นของทิวเขา พร้อมกับสายลมเย็นๆ ช่างได้บรรยากาศสุดๆ











นี่คือลุงลูกหาบอีก 1 คน แอบถ่ายตอนเรากำลังถ่ายรูปหมู่กัน




จากจุดนี้มองเห็นจุดที่เรากางเต๊นท์นอนด้วยนะ




มีทางเดินขึ้นไปอีกเนินนึง แต่ผมไม่ได้ไปหรอกครับ เพราะความหิวมันรั้งไว้อยู่

ดื่มด่ำบรรยากาศและถ่ายรูปกันเสร็จ ก็ลงมาทำข้าวเช้ากัน



ลงมาเจอน้ำค้างที่อยู่บนเต๊นท์ เมื่อคืนน้ำค้างแรงมากเลยหรอเนี่ย

แต่ลมหน่ะมีแน่ๆ เต๊นท์ผมก็เอาอยู่นะครับ ก็เค้าทำมาเพื่อสิ่งนี้

(ขายของหน่อย แต่ไม่ได้เปอร์เซนต์นะ)




เมนูของเช้าวันนี้คือ มาม่าเกาหลีใส่กิมจิ ... แม่เจ้าไม่คิดว่ามันจะอร่อย หรือเพราะเราหิว 555

มีกาแฟ โอวัลติน ร้อนๆ แล้วก็ไส้กรอก








อิ่มกันแล้วก็ได้เวลาเตรียมตัวเก็บของกัน กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็ 9 โมงแล้ว








นี่พี่เจ้าหน้าที่ที่พาเราเดิน



ในที่สุดก็ได้เวลาเดินลงแล้ว อยากจะนอนต่ออีกสักคืนจริงๆ











เดินลงมาก็ผ่านดงทากอีกสักรอบ






แวะที่จุดชมวิวถ่ายรูปกันอีกสักหน่อย









ผ่านลานสนที่เดิมที่เคยมานั่งพัก













แล้วไม่นานก็ ตุ๊บๆๆๆๆ !!!! ไม่ต้องตกใจไปครับ ผมลื่นเอง 555



มือนึงถือกล้อง อีกมือนึงถือไม้เท้า ผ่านจุดที่เคยนั่งพักก็เก็บภาพไว้ในความทรงจำสักหน่อย





เดินไป ถ่ายรูปไป ก็มาเจอเพื่อนทรายลื่นล้มขาแพลงอยู่ข้างหน้า

นี่เดินมาได้ประมาณ 2 กม. แรกเองนะเพื่อน

... แม่เจ้า !! ยังเหลืออีกตั้ง 6 กม. จะไหวมั้ยเนี่ย แต่นางใจสู้นะ เดินไปไวกว่าเราอีก เพื่อนบูมก็รับหน้าที่แบกเป้ให้






สายย่อตัวจริงมาแล้ว



เดินไปพักไปก็ลงมาถึงตีนดอย แวะล้างหน้า ล้างตัวตรงธารนำสักหน่อย สดชื่นทีเดียว



อ้อ ... ชาวบ้านเค้าเอาว้วไปเลี้ยงข้างบนด้วย ตอนที่แช่น้ำอยู่ก็เห็นเดินผ่านไป

พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าเค้าก็จะเอาไปปล่อยหากินอยู่ข้างบนเลย

เดือนนึงจะไปดูว่าตัวไหนบาดเจ็บมั้ย ถ้ามีตัวที่บาดเจ็บก็จะไล่กลับลงมารักษาข้างล่าง

ก็มีหลายตัวนะที่ชาวบ้านเค้าขึ้นไปดูไม่ทัน ตายอยู่ข้างบนก็มี




แล้วก็เดินต่อไปยังจุดขึ้นรถ รวมๆ แล้วใช้เวลาเดินลงประมาณ 5 ชม.

จากนั้นก็ขนของขึ้นรถกลับเทศบาล



เย้ !! ได้เวลาอาบน้ำสักที ก็ข้างบนนอกจากจะไม่มีไฟฟ้าแล้วยังไม่มีห้องน้ำด้วยนี่นา

ห้องน้ำที่เทศบาลมีอยู่ 2 ห้องที่สามารถอาบน้ำได้

แต่ก็จะมีร้านค้าตรงข้ามกับเทศบาลมีบริการห้องน้ำ ครั้งละ 10 บาทนะ ถ้าไม่อยากรอนานก็ไปใช้บริการได้

อาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเสร็จก็เก็บของขึ้นรถตู้เพื่ออกเดินทางกลับกรุเทพ

แต่เราจะกลับกรุงเทพโดยที่ไม่กินข้าวเย็นไม่ได้

แล้วลุงเบิดก็แวะให้ทานข้าวข้างทางนั่นแหละร้านนี้อาหารรสชาติจัดจ้าน อร่อย

มีอาหารป่าด้วยนะครับ ใครชอบก็แวะมากินและกัน






กินเสร็จก็เดินทางกลับ ถึงกทม. 4 ทุ่มกว่าๆ

แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ก็เป็นอันจบทริป


ค่าใช้จ่าย

  • ค่ารถไปกลับ (เหมารถตู้) 8,500 บาท
  • เจ้าหน้าที่ (วันละ 600) 1,200 บาท
  • ลูกหาบ (วันละ 600*2 คน) 2,400 บาท
  • รถกระบะจากที่ทำการ ไป-กลับ 600 บาท
  • อาหาร ของใช้ 1,990 บาท

รวมทั้งหมด 14,690 บาท หารกันแล้วก็จ่ายค่าเสียหายไปคนละ 1,469 บาท

เที่ยวแบบเรา : Once-a-month

 วันพฤหัสที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.47 น.

ความคิดเห็น