กรุงเทพ กรุงเทพ กรุงเทพพพ

อยู่มาหลายทศวรรษแล้ว

วันนี้ต้องเดินทางออกไปหาต้นไม้สีเขียว หมอกสีขาวกันหน่อย

ต้องขอบอกก่อนว่าทริปนี้ไปกันแบบเรียกได้ว่าแบคแพค

กระเป๋าตุงๆคนละสองสามใบ

อยากรู้รายละเอียดละอะเด้ อะอะ



เจอเรียกน้ำย่อยเข้าไป

พร้อมจะออกเดินทางกันยัง

ไปเลย ลุยยยย

จุดเริ่มต้นของทริปนี้ก็

จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้

ไปรถไฟขนาดนี้ ก็ต้องหัวลำโพงสิค่ะะะ

แต่ครั้งนี้เราไม่ได้นั่งกันไปธรรมดาๆนะ

เพราะเราจะ

นอนนนนนนนน

นอนเท่านั้นที่ร่างกายต้องการ

นี่ก็อาจจะเป็นครั้งแรกด้วยเเหมือนกัน

ที่มานั่งรอรถไฟในช่วงเวลาที่ดึกดื่นมืดค่ำขนาดนี้

เพราะรถของเราหน่ะ

ออกกันตอนสองทุ่มนู้นนน

แต่ด้วยความตื่นเต้นของเรานะเหรอ

หึ

หกโมงเย็นก็อยู่กันครบทุกชีวิต พร้อมเดินทางสุดๆไปเลย

ด่วนพิเศษ อีสานมรรคา

บางคนอาจจะเคยเห็นตามทวิตตามเฟสกันมาจนเบื่อแล้วว่า

เนี่ย มีรถไฟรุ่นใหม่ที่ไฉไลสุดๆวิ่งยาวไปเชียงใหม่ด้วยนะ

แต่วันนี้เราไม่ได้ไปเชียงใหม่กันหรอกก

เพราะเราจะตีตั๋วนอนยาวไปอีสานต่างหาก

ซึ่งจริงๆก็ต้องขอบอกก่อนอีกว่า

ถ้าใครจะไปเชียงคานจริงๆ

นั่งรถทัวร์ไปเลยเถอะค่ะะ5555555555

ไม่ใช่ว่ารถไฟสายนี้ไม่ดีนะ

ตรงข้ามเลยแหละ

มันดีสุดๆ

หลับสนิทประหนึ่งว่านอนอยู่บนเตียงนอนที่บ้าน

แต่ว่ามันแค่อ้อมโลกไปหน่อยนุง

ปะปะ เดี๋ยวพาไปดูห้องนี่กัน


ฮัลโหลลลล

ห้องนอนสีชมพู

ห้องนี้แม่บอกว่า รวมๆแล้วประมาณ 2,500 บาทไทย

-เตียงล่าง 1,357 บาท 
-เตียงบน 1,149 บาท 
-ส่วนใครที่มาคนเดียวแต่อยากเหมาทั้งห้องเพื่อความเป็นส่วนตัวก็ +500บาท = 1,857 บาท

ถ้าถามว่าแพงไหม

บางคนอาจจะแบบ เฮ้ย นั่งเครื่องบินเลยดีกว่างี้

แต่นี่กับแม่เป็นพวก ปลายทางไม่สำคัญ

ขอเก็บระหว่างทางไปก่อน

เนื่องจากเรามากัน 3 ชีวิต

เลยจองมา 2 ห้อง

เปิดประตูให้หลอมรวมกลายเป็นห้องเดียวกันได้ด้วยนะเหว๋ยย

อย่างชิค


ในห้องก็มีปลั๊กไฟ หูฟัง ทีวี อ่างล้างหน้า พร้อม

เรียกได้ว่าสามารถเปิดออฟฟิศกันบนนี้ได้เลยทีเดียวเชียว

เอ้ออออ ลืมบอกว่า

ปลั๊กไฟเนี่ยมีทั้งเตียงบนเตียงล่างนะ

ไม่ต้องน้อยใจไปว่าข้างบนจ่ายถูกกว่าแล้วจะอดชาตแบต ฮิฮิ

ในขณะที่คุณแม่กำลังตื่นตาตื่นใจกับการดูรายการบลาบลาบลาผ่านทีวีอยู่นั้น


คุณลูกก็เลื่อนนี่เลยค่ะะะ

ของกิน

สั่งผ่านทีวีก็ได้ด้วยอ่อ

ตื่นเต้นๆ

กินไรดีน้าาา

"รับอาหารอะไรไหมคะ สั่งได้เลยนะคะ"

เสียงพนักงานบนรถไฟดังมาจากทางเดิน

อ่าว ไรอะะ

อดเล่นเยย

ว้าาาา ไปห้องน้ำดีกว่า


ไม่ต้องงุนงงว่าทางไหน

เพราะตรงประตูห้องทุกห้อง มีแผนผังแปะไว้ให้เรียบร้อย

เดินตามไปปุ๊ปก็จะเจอ

-ห้องน้ำหญิง 2 ห้อง 
-ห้องน้ำชาย 1 ห้อง 
-ห้องอาบน้ำ 1 ห้อง

เดี๋ยวบางคนจะสงสัยอีกว่า

เหย รถไฟทั้งคันมีห้องน้ำแค่นี้หรอ

ไม่ใช่นะไม่ใช่

นี่แค่ต่อ 1 โบกี้เท่านั้นน

ระหว่างห้องน้ำกับตู้โดยสารก็จะมีประตูอัตโนมือ เปิด-ปิด ให้เสมอ

ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นกันไปเลยค่ะะ

เดินเดินเดินน

เดินเพลินไปห้องสะเบียงต่อเลยแล้วกัน


ระหว่างทางก็ได้พบปะกับตู้นอนปกติ

ราคาประมาณ 800 บาท

ดูน่าสบายไม่แพ้กัน

ต่างกันแค่ความส่วนตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

นี่เราไง ห้องเสบียงเอง


อาหารส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบสำเร็จรูป

แต่ถ้าให้แนะนำแบบเด็ดๆเลยเนี่ย

คงจะไม่พ้น ขนมจีบกุ้ง

ไม่รู้ว่ามันอร่อยหรือนี่หิวนะะ แต่มันแลอร๊อยอร่อยยย

แต่ก็นะ หนังท้องตึงหนังตาหย่อน

พอกลับมาถึงห้องก็ให้พนักงานมาปูที่นอนให้ทันที


ตอนจะขึ้นไปข้างบนก็เกิดอาการตื่นเต้นเล็กน้อย

พอขึ้นไปได้ก็แทบไม่กล้าลงมาอีกเลย

แต่พอขึ้นรอบสองได้ปุ๊ป

เริ่มเซียน

สนุกสนานเลยทีนี้

แม่บอกว่า ให้นอนเก็บแรงไว้สู้กับการเดินทางพรุ่งนี้

วันนี้หน่ะ แค่ให้มานอนเล่นเฉยๆ..

ฝันดีงับ

#ปล.ก่อนจะหลับตานอนพึ่งค้นพบว่า บนรถไฟมีไวไฟด้วย omgggg!!

06:00

เช้าวันนี้ ตื่นมาบนเตียงของเจ้ารถไฟ

ไม่อยากจะเชื่อว่า

การนอนบนรถไฟ แถมนอนชั้นสองหวาดเสียวนี่อีก

จะทำให้เราหลับได้สบายเยี่ยงตายได้ขนาดนี้

คือหลับเพลินมากกก

รถไฟขับนิ่มจนอยากจะตื่นมันสักเที่ยงเลย

แต่ไม่ได้ๆ ต้องรีบไปอาบน้ำ

และแล้วเจ้ารถไฟก็มาจอดแน่นิ่งอยู่ที่ สถานีหนองคาย

ปลายทางของเราหรอ

ป่าวค่ะ

นี่มันแค่จุดเริ่มต้น หึหึ(เสียงแม่หัวเราะในลำคอ)

ต่อจากนี้จะเป็นข้อมูลการเดินทางซึ่ง.. 
ไม่จำเป็น55555555 
ถ้าจะไปแบบคนปกติเขาก็นั่งรถทัวร์ เชียงคาน-กรุงเทพ (500-600บาท) 
แต่นี่แม่แค่อยากให้ได้ลองนั่งรถไฟขบวนใหม่เฉยๆ 
หลังจากนอนสบายมาจนเต็มอิ่มแล้ว 
วันนี้ก็เหมือนโดนเฉือดเลยก็ว่าได้5555555

หลังจากลงที่สถานีหนองคาย

เราก็ต่อสกายแลป

โดยมีผู้ร่วมเดินทางเป็น คนเกาหลี 2 คน และม้าโพนี่ 1 ตัว

หลังจากนั้นก็ต่อรถตู้

รถส้ม

มันคือรถทัวร์ที่สีส้ม เขาเลยเรียกกันว่ารถส้มๆ ไม่ได้ถึงขั้นไปนั่งรถขนส้มนะ ไม่ช่ายยย

ด้วยร่างกายที่เหนื่อยล้าหลังจากผ่านมาหลายรถเหลือเกิน

ในที่สุดเราก็มาถึงเลย

จังหวัดเลยหน่ะ

แอ่ะแอ่ะ ยังไม่จบหรอก

ต้องต่อรถทัวร์ไปเชียงคานอีกรอบ

แต่ก็เหมือนพระเจ้าไม่เป็นใจ

เพราะรถรอบนี้ล่าช้าไปเกือบชั่วโมง

นั่งรอตูดบานเยย

ดีนะที่ได้ไส้กรอกร้านลุงช่วยชีวิตไว้

คุณลุงก็ใจดี โดเรม่อนก็น่ารัก เอ้ะ


พอรถมาก็นั่งต่อมาอีก 1 ชั่วโมง

ใช้เวลาไปทั้งหมดก็ 7-8 ชั่วโมงเอ๊งงง

เฉยเฉยยย

เลยบอกไว้ตั้งแต่ตอนแรกนู้น ว่าให้ข้ามการเดินทางเราไปเลยถ้าไม่จำเป็น

เพราะการอ่านรีวิวการเดินทางครั้งนี้

ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นแน่นอน55555555

แต่ก็สนุกดีนะ

ถึงเชียงคานแล้วเว้ยยยย

แต่ยังๆ ยังไม่จบ

ต้องต่อสกายแลปไปที่พักอีกรอบหนึ่งค่ะะ



The camp Chiang khan

ถึงแล้ววว จุดหมายปลายทางของเราวันนี้

ที่นี่พึ่งเปิดให้บริการได้ไม่กี่วัน

คุณแม่ไปสอยมาจากงานไทยเที่ยวไทย

เลยได้ลดครึ่งราคาเหลือ 2,000 กว่าบาทเห็นจะได้

เป็นเหมือนบ้านเต๊นท์

ซึ่งเราว่าดีเลยนะ

อาจจะเพราะมีอากาศเย็นๆช่วยด้วย

ในเต๊นท์เลยไม่อบอ้าว

พวกเราได้เต๊นท์ที่ติดกับแม่น้ำโขงเลยย

หน้าเต๊นท์เราเลยเป็นงี้

ที่นี่อากาศดีจนลืมไปเลยว่าเคยเหนื่อยมากับการเดินทาง

นี่ก็อยากจะทิ้งตัวลงนอนดื่มด่ำธรรมชาตินะ

แต่ ไปเก็บของเข้าเต๊นท์ก่อนดีไหม๊

ห้องน้ำข้างในก็จะเป็นระบบรูดม่านเปิดปิดกันเอาเอง

อาบน้ำซำบายดีมาก

ส่วนบางเต๊นท์ที่ไม่มีห้องน้ำในตัว

ก็จะลดราคาลงมาหน่อย

แล้วหันไปหาเจ้านี่แทน

เป็นห้องน้ำรวมที่สะอาดมากไม่ต้องเป็นห่วงง

สามารถเข้าไปนอนเลยก็ว่าได้555555555


"ไปล่องเรือกันได้แล้วลูก"

เสียงแม่ร้องเรียกมาจากริมฝั่งแม่น้ำ

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นผลพลอยได้มาจากงานไทยเที่ยวไทย55555555

กิจกรรมล่องเรือ+บาบีคิวยามเย็น ราคา 900บาท/คน

แต่แน่นอนว่าพวกเรา ได้มาแบบลด50%

เหลือเป็น 2 คน 900 บาท ฮิฮิ

และวันนี้ทั้งเรือก็มีแค่เราสองแม่ลูกเท่านั้นน

โรแมนติกสุดๆไปเลย

อ่าว ไหนบอกมีแค่สองแม่ลูกไง

นั่นใคร โกหกหรอ

ป่าวนะป่าว นั่นคนขับเฉยๆ

จริงๆแล้วจุดประสงค์ของการล่องเรือนี้

คือการพาไปดูพระอาทิตย์ตก

แต่

ฟ้าวันนี้ก็ดันกอดพระอาทิตย์ไว้สะแน่น

จนเราไม่มีโอกาสได้เห็นเยย

พี่คนขับก็เห็นใจ

เลยขับพาไปชมนกชมไม้

หมายถึง ชมนกจริงๆนะ

เสียใจที่โฟกัสไม่ทัน ปรับโหมดผิด ไกลไป บลาบลา

เลยได้นกมาแบบเศษกระดาษทิชชู่เท่านี้


ข้างทางมองขึ้นไปก็จะเห็น ถนนคนเดินเชียงคาน

ที่ซึ่งเราจะมาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าแน่นอน

เมื่อฟ้าเริ่มชมพู เรือก็มาจอดเทียบท่า

ถึงเวลาโบกมือบ้ายบายแม่น้ำ

เพราะบาร์บีคิวรอเราอยู่นู้นนน



ขึ้นมาบนบกเก็บของเสร็จ หายใจหายคอได้สักพัก

ร่างกายก็ออกไปตามหาบาร์บีคิวเองแบบอัตโนมัติ


สถานที่ที่เราจะจัดการกับเจ้าบาร์บีคิวในวันนี้

ก็คือคาเฟ่ของที่พักเรานี่เอง

ระหว่างที่กำลังรอเขาจัดชุดบาร์บีคิวให้

นี่ก็ขอขึ้นไปซนซนชั้นบนก่อนแล้วกัน

พอลงมาข้างล่าง

แม่ก็สอนใช้ขาตั้งกล้องทำไฟแฉก

ซึ่งพอลองใช้แล้ว โอ้โหเฮะ

ความชัดมันต่างกับที่เรากดเองเยอะจัง5555555


"บาร์บีคิวมาแล้วจ้าาา"

เสียงแม่ตะโกนร้องเรียกให้ไปปิ้งบาร์บีคิวอีกครั้ง

ที่นี่เขาเปิดโอกาสให้เราปิ้งย่างกันเองตามสบาย

ตอนแรกก็ลุ้นๆอยู่ว่า จะกินได้ไหม๊

แต่ผลออกมามันดีเกินคาด

เพราะเราปิ้งกันเก่งหรอ ป่าวค่ะ น้ำจิ้มเขาเด็ด555555

แต่ก็กินกันแบบถนอมกระเพาะสุดๆ

เพราะเรามีนัดกับถนนคนเดินกันต่อหน่ะสิ

แล้วตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว

รีบโทรให้รถมารับไปเลยดีกว่า บรื๊นบรื๊นน

ถนนคนเดินเชียงคาน

คุณลุงขับสกายแลปมาส่งพวกเราที่นี่

พร้อมแจกเบอร์ไว้ให้โทรหาตอนจะกลับ

ไปเลย ลุ้ยยยยย

ตอนแรกๆที่เดินจะเจอเสื้อผ้าและของฝากสะส่วนใหญ่

แต่เราไม่สนหรอก

เราจะตามหาของกินเท่านั้นนน

ร้านแรกที่เราตัดสินใจแวะกันเพราะความฟรุ้งฟริ้งของมัน

และจัดการสอยกันมาคนละชิ้นสองชิ้น

ร้านที่สองเราก็ยังคงคอนเซ็ปเดิม

เน้นน่ารักไว้ก่อน แม่สอนไว้

แต่ละตัวมันก็ถูกกำหนดไส้ไว้แล้ว

ส่วนนี่อยากกินไส้ครีม

เลยมาโผล่ที่แองกี้เบิร์ดเฉย

ร้านที่สาม

อันนี้ไม่เน้นน่ารักละะ

เพราะอยากกินล้วนๆ

ไม่รู้ว่าคนอื่นเคยเห็นรึป่าว

แต่นี่พึ่งเคยได้ลอง

เมี่ยงคำ แบบที่เป็นคำๆเลยจริงๆ

อร่อยอะะะ

ทำไมอร่อยได้ขนาดนี้

ไม่ต้องลำบากทำกินเองอีก คือดี

นอกจากของกิน

ที่ถนนคนเดินนี้ก็จะถูกสอดแทรกไว้ด้วยโฮมสเตย์ตลอดทาง

แทบทุกที่จะเป็นบ้านไม้

ที่มองดูแล้วรู้สึกอบอุ่นใจแบบบอกไม่ถูกเหมือนกัน

ระหว่างเดินก็ไม่ต้องกลัวเหงา

เพราะเรามีสีสันให้ชมได้ตลอดถนน

หลังจากเดินจนเมื่อยแล้ว

เราก็แวะกินข้าวกันอีกนิด

แล้วโทรให้คุณลุงมารับกลับที่พักไปอาบน้ำนอน

good night @Chiang khan

05:00

วันนี้ตื่นเช้ากว่าเมื่อวานอีก555555

ก็รถจะมารับตีห้าครึ่งนี่นา

ไปไหนนะเหย๋อ ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูทอกนั่นเอง

เมื่อวานไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกแล้ว

วันนี้ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก็ยังดี

ทะเลหมอกภูทอกเชียงคาน

แชะแชะ ถึงแล้ววว

ต้องนั่งรถขึ้นเขาไปอีกต่อนึง

ราคาค่าขึ้นก็คนละ 25 บาท รวมทั้งค่าผ่านทางและค่ารถไว้เรียบร้อย

ขึ้นมาถึงข้างบนคนส่วนใหญ่ก็จะเดินตรงไปกราบพระพุทธรูปที่ตรงนี้ก่อน

แล้วค่อยแยกย้ายกันไปตั้งกล้อง ตั้งหน้า ตั้งตา รอแสงแรกของวัน


ตอนแรกเราก็ยืนกดแชะแชะอยู่แถวแม่นี่แหละ

สักพัก ไปดีกว่าาา

เห็นตรงนู้นมีเป็นทางเดินให้ด้วย น่าสนใจๆ

ทะเลหมอกที่นี่ดูนวลๆมากกว่าที่อื่น

นี่เลยถ่ายภาพไปด้วยความงุนงง

พอแสงเริ่มมา เราก็เริ่มเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีชมพูอีกครั้ง

ชอบตรงนี้

เหมือนธรรมขาติได้จำลองภูเขาไฟฟูจิประเทศไทยไว้ให้แล้ว (มโนววว)


และแล้วพระอาทิตย์ก็เริ่มโผล่มาแย่งซีนท้องฟ้าสีชมพู

ช่วงนี้คนก็เริ่มกดชัตเตอร์กันรัวขึ้น

เพราะมีแสงแล้วนี่นา



แต่ไม่ว่าพระอาทิตย์จะร้อนแรงขนาดไหน

หมอกที่นี่ก็อยู่กับเราเสมอ

และไม่มีทีท่าว่าจะเริ่มจางหายไป

บางคนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

แต่ไม่ใช่แค่จะถ่ายรูป

เขาพร้อมแบ่งปันความสวยงามตรงหน้าให้เพื่อนๆ

ด้วยการไลฟ์สดผ่านเฟสบุ๊คกันเลยตอนนั้น

เริ่มหิวละสิ

ลงเขากันดีกว่าแม่จ๋าาาา

ระหว่างรอคุณลุงมารับ

ที่พลาดไม่ได้เลยเวลามาภาคอีสานคือ

ต้องกินข้าวจี่!

กลับมาแล้วจ้าาา

รีบเดินไปที่เดิมที่เคยนั่งกินทันที

อาหารเช้าที่ที่พักจัดไว้ให้นั้น

มีทั้งชุดอาหารเช้าและข้าวต้มหมูร้อนๆ

แต่ถ้าถามว่าเราเลือกอะไร สองอย่างสิค่ะะะ

ระหว่างที่รอก็ ไปเดินซนซนเหมือนเดิม

ถ่ายรูปอยู่ดีๆ เอ๊ะ ได้กลิ่นไข่ดาวอะ


อิ่มสุดๆมื้อนี้

กลับไปตั้งหลักที่เต๊นท์ก่อนหล่ะ

บ้ายบายทุกคนน

ระหว่างทางก็ถ่ายรูปไปตามสเตป

สรุป กว่าจะถึง เง้อออ


ช่วงนี้ก็พักผ่อนตามอัธยาศัย

แล้วก็เริ่มวุ่นวายกันอีกรอบตอนเช็คเอ้าท์

เพราะเราต้องออกจากที่นี่ตอนบ่ายโมง

แต่รถทัวร์หน่ะสิ

มีอีกทีก็รอบ 1 ทุ่ม

คุณลุงเลยพาเรามาแปะไว้ที่ร้าน

บ้านสุพิชญา

เป็นร้านกาแฟที่ฟรีไวไฟ และอยู่ติดริมแม่น้ำโขงเลย

เราก็หมกตัวกันอยู่กับเค้กที่นี่หลายก้อนเห็นจะได้


พอเริ่มเย็นเราก็ไปหาอะไรกินกันที่ถนนคนเดินอีกครั้ง

วันนี้แตกต่างจากเมื่อคืนตรงที่ยังมีแสงจากพระอาทิตย์หลงเหลืออยู่

ทำให้เราได้เห็นความสวยงามของบ้านเรือนในอีกมุมนึง

เมื่อพระอาทิตย์ใกล้ลาขอบฟ้า ทริปเราก็ใกล้ถึงเวลาจบแล้วเช่นกัน

ขอลากันที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงเลยแล้วกันเนอะ

ไว้เจอกันใหม่เจียงคาน

บินกลับกรุงเทพแล้วนะะ จิ๊บจิ๊บ


สิงหาคม

 วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 09.55 น.

ความคิดเห็น