แค่พูดว่าไปเที่ยว หลายคนคงเป็นเหมือนเรา หัวใจมักจะพองโตทุกครั้ง ยิ่งได้เห็นรูปจากที่ต่างๆ สวย งดงามแตกต่างกันไป มันยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้อยากออกเดินทาง และเราก็ทำแบบนั้นมาหลายปี ออกเดินทางท่องเที่ยว เก็บความทรงจำผ่านภาพถ่ายเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็มีหลายต่อหลายครั้ง ที่เราเลือกไปกับกลุ่มคนที่ทำประโยชน์ต่อธรรมชาติ ในหลายๆ ด้าน ทำให้ทริปหลังๆ ของพวกเรามักจะมีกิจกรรมเข้ามาในระหว่างทริปด้วย ได้เที่ยวแถมได้ทำดี สนุกไปอีกแบบ



“เรา คิด ว่า เรา ค้น พบ แนว ทาง ของ เราแล้ว"
“อา สา เที่ยว แค่ อยาก ให้ คน ไป เที่ยว ได้ อะไร มาก กว่า แค่ ไป เที่ยว"

การจะกลับไปในที่ที่เคยไปแล้วทำให้รู้สึกดีอย่างน้อยก็ได้กลับไปดูว่าครั้งนั้นกับครั้งนี้มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง และที่สำคัญครั้งนี้ได้ไปทำประโยชน์ให้สัตว์ป่าอย่างโป่งเทียมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันออก จังหวัดตาก ต้องมีการเตรียมตัวหลายอย่างมากในทริปครั้งนี้ เยอะและวุ่นวายพอสมควร แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีจนถึงวันออกเดินทาง

กางแผนที่



กว่าจะออกจากกรุงเทพฯ ได้ก็ใช้เวลามากกว่าปกติ เพราะเป็นวันที่รถติดมากถึงมากที่สุด ฝนตกอีก พอถึงที่พักเก็บของ กินข้าวก็ออกเดินทางเลย เราไปถึงจุดนัดที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันออกก็สายมากแล้ว ไปถึงก็ยื่นเอกสาร ฟังบรรยาย และถ่ายรูปกับสัตว์ที่เดินมาโชว์เราหลายตัว หลังจากนั้นก็ขึ้นรถกระบะต่อไปอีกสักระยะ

ทีละก้าว…ทีละก้าว



รถกระบะค่อยๆ ขับพาเราเข้าไปตามทางเรื่อยๆ จนเข้าไปถึงตรงจุดที่ทำโป่งให้สัตว์ ซึ่งเป็นโป่งเดิมอยู่แล้ว โป่งที่นี่แค่เติมเกลือลงไปให้ทั่วๆ ก็พอ เพราะเดี๋ยวฝนก็ตก เกลือก็ละลายผสมไปกับดินเอง ซึ่งพี่ๆ เจ้าหน้าที่อธิบายขั้นตอนให้เราฟัง ขั้นตอนไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพราะแต่ละที่การทำโป่งจะแตกต่างกันไป หลังจากที่อธิบายเสร็จก็ลงมือสาธิตให้เราดู กระสอบเกลือถูกทยอยแบกลงจากรถ ใครมีแรงมากก็ช่วยแบก ใครไม่ไหวก็รอโรยเกลือ

กระสอบเกลือถูกวางไว้เป็นจุดๆ หลังจากแกะก็ช่วยกันโกยเกลือขึ้นมาแล้วสาดลงไปบนพื้นดิน ใครแรงน้อยก็กอบเกลือเอามาโรย แต่ใครแรงเยอะก็ยกกระสอบเทเลย เราทำกันเหมือนเล่น แต่ก็ฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ตลอด พยายามสาด โรยเกลือให้ทั่วถึง และเต็มบริเวณ เพื่อให้เกลือซึมลงไปได้เร็วที่สุด

ภายในพริบตาเกลือเม็ดก็ถูกสาดไปจนทั่วและเต็มบริเวณดินแดง และแอ่งน้ำ จากสีแดงกลายเป็นสีขาวเต็มไปทั่วบริเวณ เกลือที่นำมาก็หมดพอดี หลังจากที่สนุกใช้มือโกยเกลือ สาดไป สาดมา พอเสร็จแล้วไปล้างือเท่านั้นแหละ แสบมือไปตามๆ กัน เพราะเกลือกัดจนเป็นแผลเล็กๆเต็มมือ

หลังจากทำโป่งเสร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว เพราะบริเวณไม่กว้างมากนัก เราก็ขึ้นรถ มาขึ้นหอส่องสัตว์ที่อยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก แต่สูงพอสมควร และรับรู้ได้ถึงการเอนไปมาของหอที่นี่ตอนที่เราขึ้นไปกันจนครบ จากจุดนี้เห็นจุดที่เราทำโป่ง และ บริเวณโดยรอบ ไกลสุดลูกหู ลูกตา เห็นต้นไม้ สีเขียว ตัดกับสีท้องฟ้าและสีขาวของก้อนเมฆ ลมพัดอ่อนๆ ให้ได้ชื่นใจ หลังจากนั้นเราก็นั่งรถเพื่อไปยังน้ำตกปะหละทะ กว่าจะถึงก็ปวดตัวไปตามๆ กัน เพราะระยะทางที่ค่อนข้างไกลและขรุขระ พอไปถึงเราแวะกินข้าวเที่ยงกันก่อนที่จะเดินไปที่น้ำตก น้ำที่นี่ยังไหลแรงและมีสีน้ำตาล แต่บรรยากาศโดยรอบเงียบ สงบพอสมควร เราดื่มด่ำอยู่ที่นี่จนเกือบค่ำ เรารีบกลับที่พักก่อนที่จะมืด ถึงที่พักก็หมดแรง หลังจากกินข้าวเย็นก็แยกย้าย

วันรุ่งขึ้น เราตื่นกันมาแต่เช้า และเตรียมตัวออกเดินทางไปยังจุดลงแพ หลังจากที่เราขึ้นแพ โดยแยกออกเป็น 2 ลำ ก็พายตามกันไปเรื่อยๆ น้ำไหลแรงมาก แพไหลตามน้ำไปอย่างไว เราสนุกสนานอยู่บนแพฟังเสียงนก แหงนมองวิว มองหน้าผาไปเรื่อยๆ ทั้งผาโหว่ ผาแหงน ผาผึ้ง และผาเลือด ทำให้พวกเราตื่นตา ตื่นใจไปตลอดทาง

ผ่านไปได้สักระยะเราก็มาถึงน้ำตกทีลอจ่อ หรือบางคนก็เรียกน้ำตกสายฝน เป็นม่านน้ำที่ตกลงมาจากหน้าผา ใครที่ล่องแพมาถึงตรงนี้ก็ต้องเข้าไปสัมผัส ผ่านม่านน้ำให้ได้เปียกปอนกันไป และถ้าโชคดี มาถูกช่วง ถูกเวลา แสงแดดส่องผ่านละอองน้ำ ก็จะได้เห็นสายรุ้งสีสวยปรากฎอยู่

เรายังคงสนุกเฮฮากันอยู่บนแพ กันอย่างต่อเนื่อง วิวถูกสลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนมาถึงบ่อน้ำร้อน เราได้แวะขึ้นฝั่ง ที่นี่มีห้องน้ำ และของกิน ซึ่งเราก็กินกันทุกอย่างที่มีขาย ทั้งมันปิ้ง ไข่ปิ้ง น้ำขิงใส่น้ำผึ้ง พออิ่มแล้วก็เดินไปเพื่อหวังจะแช่บ่อน้ำร้อน สุดท้ายก็อด เพราะเขากำลังซ่อมแซมส่วนนี้อยู่

หลังจากที่นั่งแพมาอย่างยาวนานแล้ว ก็ถึงเวลาขึ้นจากแพเพื่อนั่งรถต่อ ซึ่งเราก็ยังคงใส่เสื้อชูชีพตามที่พี่ๆ บอก แรกๆ ก็งงว่าใส่ทำไม แต่พอนั่งรถไปได้สักระยะ ก็รู้แล้วว่าทำไม ดีนะที่เราใส่มา เพราะมันช่วยกันกระแทกได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่มี ตัวคงน่วม ทางที่นี่ทั้งลื่น ทั้งแฉะ เพราะส่วนใหญ่เป็นทางดิน และยังมีฝนตกอยู่บ้าง นี่ขนาดมีการมาสำรวจทำถนนก่อนที่เราจะเข้ามา ก็ยังต้องใช้เวลาพอสมควร พอลงจากรถเราก็พักกินข้าวเที่ยงกันก่อนที่จะเดินเข้าไปยังน้ำตกอีกประมาณโลครึ่ง ซึ่งทางหลังจากตรงนี้เป็นทางปูนที่ปูยาวไปจนถึงน้ำตก ระหว่างทางเต็มไปด้วยต้นไม้นานชนิด เดินไปกันแบบเพลินๆ

ระหว่างทางที่เราผ่านมีทั้งป่าไผ่และป่าเบญจพรรณ และมีป้ายชื่อต้นไม้รวมทั้งรายละเอียดตามจุดต่างๆ เราค่อยๆ เดินตามกันไป จนมาถึงมุมที่มองเห็นน้ำตกไกลๆ ก็รีบเร่งเดินเพื่อให้ถึงเร็วกว่าขึ้น เมื่อถึงบริเวณน้ำตก จุดที่ทุกคนจะต้องมายืนดู ยืนมอง และถ่ายรูป จุดที่มองเห็นน้ำตกกว้างๆ ละอองน้ำที่พัดมาตามแรงลมโดนเราทั่วทั้งตัว เย็นฉ่ำ หลังจากที่เก็บภาพได้สักพัก ฟ้าเริ่มปิด ฝนเริ่มตก เราก็เริ่มเก็บกล้องเช่นกัน

เราเดินไปทางด้านขวา หาแอ่งน้ำไม่ลึกมาก เล่นน้ำท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมา น้ำตกไหลแรงและเย็นมาก ฝนที่ตกก็แรงเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครถอยไปไหน ยังเล่นน้ำต่อ ชุ่มฉ่ำ เปียกปอนกันไป เราเล่นกันอยู่สักพักก็ไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุด เราก็เลยรีบเดินออกท่ามกลางสายฝน เพราะเดี๋ยวจะค่ำกลางทาง แต่พอเราออกไปถึงจุดกางเต้นท์ ฝนก็หยุดตก ฟ้าเปิด เราได้แค่มองหน้ากัน ป่านนี้ที่น้ำตกละอองคงกระทบกับแสงสวยงามน่าดู เราได้แค่เสียดาย แต่ก็เข้าใจ ว่าการมาเที่ยวธรรมชาติ คาดเดาได้ยาก

วันสุดท้ายเราตื่นกันตั้งแต่เช้าเพื่อออกมาชมวิวที่ดอยหัวหมด ซึ่งเราก็แอบลุ้นตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าจะเห็นวิวไหม พอไปถึงเราเดินขึ้นไปข้างบน ถึงกับร้องว้าว อ้าปากค้าง ฟ้าเป็นใจเปิด ให้เราได้เห็นทะเลหมอก อยู่ตามสันเขาไหลไปตามแรงลม

ผ่านไปไม่นาน หมอกเริ่มพัดผ่านพวกเราเรื่อยๆ จนฟ้าปิด ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาว รอบตัวเรามองไม่เห็นวิวแล้ว แต่เราก็ยังคงดื่มด่ำอยู่ที่นี่จนแสงพระอาทิตย์เริ่มแรง หมอกค่อยๆ จางหายไป ทำให้เราเห็นวิวอีกครั้งแบบไม่ค่อยมีหมอกเหมือนตอนแรก แต่เราก็ยังสนุกและเพลินกับต้นดอกเทียนแทน มีขึ้นกระจายอยู่ทั่วไป

หลังจากนั้นพอเราผ่านเส้นทางอันคดเคี้ยวของอุ้มผางมาได้ หลายคนเริ่มมีอาการเวียนหัว เหมือนจะอ้วก เราก็มาจอดแวะพักที่นี่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญซึ่งเป็นน้ำตกหินปูนที่มีชั้นน้ำตกไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ จำนวนหลายชั้น สามารถเดินขึ้นไปชมชั้นบนๆ ได้ พวกเราก็เดินขึ้นไปแต่ก็ไม่ได้ไปถึงขั้นบนสุด น้ำเย็นมาก และลื่นมากต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินบริเวณน้ำตก ที่นี่ยังมีดอกกระเจียวสีส้มให้ชมด้วย เยอะแยะละลานตาเต็มไปหมด

มิใช่…แค่ปลายทาง



เพราะในการการเดินทางแต่ละครั้ง ไม่ได้มีเพียงแค่เพื่อนร่วมทางเท่านั้นที่เราจะได้เจอ แต่ยังมีผู้คนระหว่างทาง ต้นไม้ ใบหญ้าและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รอบตัวเราอีกมากมาย สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราได้พบเจอมันอาจจะเป็นความงามที่มีอยู่อย่างนั้นมาเนิ่นนานแล้ว แต่ถ้าเราไม่ได้อยู่ตรงนั้นเราก็ไม่มีทางได้เห็น และก็คงจะไม่แปลกที่เราจะอิ่มเอม และใช้เวลาในการชื่นชมสิ่งเหล่านั้นบ้างเมื่อพบเจอ เพราะสิ่งที่ธรรมชาติสรรสร้างนั้น บางอย่างก็สวยงามอย่างน่าเหลือเชื่อว่ามันงามได้ขนาดนี้เลยรึ

เก็บตก



เป็นอีกทริปที่ที่พักสวย อาหารอร่อยทุกมื้อ และอลังทุกมื้อเช่นกัน จัดมาเต็มโต๊ะ และเติมไม่อั้น กินกันเพลินจนพุงจะแตก แถมยังมีชา กาแฟ และส้มตำให้ทำกันเองด้วย เพิ่มความสนุกในการกินของพวกเราได้ไม่น้อย หลายคนโชว์ฝีมือเด็ดแบบทำกินเอง และให้เพื่อนได้ชิม เรียกเสียงหัวเราะได้ทุกมื้อ

พวกเราทุกคนล้วนแล้วแต่มีความเป็นตัวของตัวเองค่อนข้างสูง พอมารวมตัวกันกว่าจะได้ภาพสวยๆ ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ก็ต้องใช้ความพยายามชี้ชวน บอกเล่ากันอยู่หลายรอบ คล้อยตามบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง เฮฮากันไป แต่ก็มีหลายต่อหลายครั้งที่อยู่ดีดีก็ทำตามให้ความร่วมมือกันด้วยดีซะงั้น แค่มีกล้องหันมาเท่านั้นแหละ แต่เรื่องความพร้อม บอกเลยว่าต้องฝึกอีกเยอะ โดดกันจนเข่าจะพัง ยังไม่พร้อมกันเลย



เราเป็นกลุ่มคนที่เป็นเหยื่อการตลาดได้ดี ใครซื้ออะไรก็จะไปลุมและสุดท้ายก็ได้กันคนละอย่างสองอย่าง กลับมาทีไรกระเป๋าสตางค์นี่แบนเชียว



แต่ทริปนี้ก็เป็นอีกทริปที่เราคงไม่มีทางลืมตั้งแต่เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพฯ จนกระทั่งกลับ เสียงหัวเราะจากเพื่อนเก่าที่เจอกันมาหลายทริปแล้วรวมกับเสียงหัวเราะจากเพื่อนใหม่บอกได้เลยว่าปวดท้องเพราะหัวเราะทุกวันที่อยู่ด้วยกัน แล้วไปร่วมทริปด้วยกันอีกนะ



สำหรับผู้ที่สนใจจะมาเที่ยวน้ำตกทีลอซูสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานตาก โทร. 0-5551-4341-3 หรือ 1672 เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย



ข้อมูลที่พัก

ตู กะ สู คอทเทจ รีสอร์ท โทร. 055-561295 , 081-825 8238 , 081-819 0304



อาสาเที่ยวขอขอบคุณ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานตาก

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร (ฝั่งตะวันออก)

เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอุ้มผาง

ตูกะสู คอทเทจ

และผู้ร่วมทริปอาสาเที่ยวทุกๆคน



สำหรับผูที่สนใจร่วมกิจกรรมกับอาสาเที่ยว สามารถดูขอมูลได้ที่ facebook fanpage rsatieow



ขอบคุณภาพเพิ่มเติม

Worapot Juntaranil / Wirot A Chanrit / Som Kulthida / Skhonpol Guy

May Macro

 วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 14.37 น.

ความคิดเห็น