" ดอยหลวงเชียงดาว "

หลายๆ คนอาจจะคุ้นกับชื่อนี้ เป็นสถานที่ที่ใครๆ ก็บอกว่าไปแล้วเหมือนได้ขึ้นสวรรค์

ใครจะไปเชื่อง่ายๆ ล่ะ ต้องลองไปเองเลยจะได้พิสูจน์ว่าขึ้นสวรรค์จริงเปล่า


ดอยหลวงเชียงดาว มีความสูง 2,225 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งก็สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ

ทริปนี้เป็นทริปหารเฉลี่ย 3 วัน 2 คืน เพราะอยากจะใช้เวลาข้างบนให้คุ้มกับการแบกร่างกายขึ้นไป

และพวกเราก็ใช้บริการทัวร์ท้องถิ่นในการดูแลเรื่องอาหารการกิน อุปกรณ์การนอนต่างๆ

ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ดี เพราะไม่ต้องทำอาหารเอง น้ำไม่ต้องแบกเอง มีเต็นท์และถุงนอนให้

สมาชิกในทริปนี้มีมากที่สุดเท่าที่เคยจัดมา ทั้งหมด 19 คน เป็นการรวมตัวกันของเพื่อนๆ หลายๆ กลุ่ม


ค่าใช้จ่ายทั้งหมด

รถตู้ 2 คัน (น้ำมัน + ทางด่วน + ล่วงเวลา) = 24,000 บาท

ทัวร์ท้องถิ่น (อาหาร 7 มื้อ + รถรับส่ง) คนละ = 2,000 บาท

เฉลี่ยประมาณคนละ = 3,300 บาท


ฝากเพจของพวกเราด้วยนะครับ

https://www.facebook.com/wetraveleverymonth/

และฝากเพจทัวร์ของพี่แม็กหน่อยนะครับ ไปใช้บริการกันได้ครับ ราคากันเอง บริการเกินราคา

http://www.facebook.com/นำเที่ยวดอยหลวงเชียงดาว-แม็ก-1510153999290454/?ref=br_rs0153999290454/?ref=br_rs


26 มกราคม 60

เราออกเดินทางกันตอน 22.00 น . โดยรถตู้ที่เราเช่ามาทั้งหมด 2 คัน (เหตุผลที่เช่ารถตู้ คือ เดินทางสะดวกที่สุดและ)


27 มกราคม 2560

ถึงแล้วเชียงดาว เราเดินทางมาถึงกันตอนประมาณ 07.30 น .

แต่ก่อนที่เราจะไปลุยกัน เราขอไปอาบน้ำกันก่อนละกัน เพราะจะไม่ได้อาบอีก 2 วัน

พวกเราไปแวะอาบน้ำกันที่ " เชียงดาวสตอรี่แคมป์ " ใครที่ไปก็สามารถไปอาบน้ำที่นี่ได้

มีบริการน้ำอุ่น สบู่ ยาสระผม และผ้าเช็ดตัว ห้องน้ำมีหลายห้อง ส่วนค่าใช้จ่ายก็คนละ 30 บาท

ระหว่างที่รอเพื่อนๆ อาบน้ำกันครบ เราก็ไปเดินถ่ายรูปเล่นรอบๆ รีสอร์ทกัน



หลังจากที่อาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวกันเสร็จเรียบร้อยกันทุกคนแล้ว ก็ได้เวลาไปเจอพี่ๆ ทัวร์ท้องถิ่นที่เรานัดไว้

เรานัดเจอกันที่ลานจอดรถวัดถ้ำเชียงดาว พี่เค้าบอกว่ามีพื้นที่กว้าง จะได้สะดวก

หลังจากที่เจอกับพี่ๆ แล้ว เราก็จัดสัมภาระของตัวเอง อันไหนที่จะให้ลูกหาบก็แยกไว้ ที่เหลือก็จัดการขึ้นเป้



เตรียมของกันเสร็จแล้ว พี่ๆ ก็แจกข้าวกลางวัน + น้ำดื่มกันคนละชุด จากนั้นก็โดดขึ้นหลังกระบะกันได้เลย




แต่ออกรถไปได้นิดเดียว พี่เค้าก็พาเราไปแวะซื้อรองเท้าใหม่ เพราะบางคนไม่ได้เตรียมรองเท้าสำหรับเดินมา

เลยได้ลงไปชอปปิ้ง " สตั๊ดดอย " รองเท้าขึ้นชื่อของการใส่เดินป่า ที่นี่ขายคู่ละ 65 บาทเอง

อ้อ !! อย่าลืมซื้อผ้าปิดจมูกด้วยล่ะ เพราะระหว่างทางฝุ่นทั้งนั้น เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน



อุปกรณ์พร้อม คนก็พร้อมตั้งนานแล้ว รีบขึ้นรถแล้วออกเดินทางกันเถอะ เพราะนี่ก็สายมากแล้ว

กลุ่มของพวกเราใช้เส้นทางเด่นหญ้าขัดในการเดินขึ้น แล้วไปลงทางปางวัว

ใช้เวลานั่งรถ 4x4 ไปยังจุดเริ่มเดินประมาณก็ชั่งโมงกว่าๆ ขอบอกเลยว่าแค่นั่งรถก็เหนื่อยแล้ว ยังไม่ทันได้เดินเลย

ถนนนี่มีตั้งแต่คอนกรีตธรรมดา ลูกรัง ไปจนถึงหลุมอุกาบาต โยกไปก็โยกมา แถมฝุ่นตลบตลอดทาง



ในที่สุดก็ถึงซะที (ถึงจุดเริ่มเดินนะ ) พอเรามาถึงจะมองเห็น " ดอกพญาเสือโคร่ง " สีชมพูที่บานสะพรั่งรอต้อนรับเราอยู่

มองดูแล้วทำให้ลืมที่เกิดขึ้นระหว่างทางก่อนหน้านี้ไปเลย 555 ต้องมาช่วงนี้นะ มาช่วงอื่นจะไม่เจอแบบนี้



ตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว พวกเราเลยตัดสินใจเอาข้าวกลางวันออกมากินกันก่อนเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องแบกขึ้น



กินข้าว เก็บของ แล้วก็เตรียมตัวออกลุยกันได้เลย อย่าลืมเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยนะ

แต่ แต่ แต่ ก่อนจะออกเดิน เราต้องไปถ่ายรูปกับป้ายกันก่อน 555 กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว



ถ่ายรูปเสร็จก็ออกเดินอย่างจริงจังและ ช่วงแรกๆ ของการเดิน ก็เดินเรียงแถวกันเป็นขบวนรถไฟเลย



ในช่วงแรกของเส้นทางนี้ ไม่ค่อยหนักเท่าไร มีเนินชันบ้างแต่เล็กน้อยพอหอมปากหอมคอเท่านั้น

ช่วงนี้ก็เลยได้เดินไป ถ่ายรูปไป เดินไป เม้ามอยกันไปได้อยู่



เดินไปพักไป ไม่นานก็มาถึงจุดที่เป็นทาง 3 แยก ( คิดในใจ เฮ้ย มันชิวจัง )

จากตอนแรกเดินเรียงกันเป็นแถวสวยงาม ตอนนี้ได้แยกกันเป็น 3 กลุ่มย่อยแล้ว

เราน่ะหรอ อยู่ตรงกลาง เดินกันอยู่กับแฟนสองคน จะตามกลุ่มข้างหน้าก็ไม่ทัน รอกลุ่มข้างหลังก็นาน อิอิ

แต่เราก็มาเจอกลุ่มข้างหลังกันที่แยกนี้นะ แสดงว่าก็ไม่ได้ทิ้งห่างกันเท่าไรนี่นา




พักเหนื่อย ปล้นขนมเพื่อนมาเติมพลังกันเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินต่อ

จาก 3 แยกนี้ คือของจริงที่ต้องไปเผชิญแล้ว มีทั้งทางราบ ขึ้นเนินระดับน้อย ถึงระดับสูงสุด ขนาดลูกหาบยังพักกันถี่ๆ

ส่วนคนธรรมดาอย่างเราหรอ จะไปเหลืออะไร พักถี่กว่าลูกหาบ 10 เท่า ทางมันชันมาก แบบใช้เวลากันเนินตรงนี้นานมาก

ดีที่วันที่เราเดินกัน อากาศไม่ร้อนมาก มีแดดบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะร่ม ทำให้ไม่เหนื่อยมากกว่าเดิม

แต่พอพ้นเนินตรงนี้ไปก็จะเข้าใกล้จุดกางเต็นท์ของเราแล้ว สู้ต่อไป อึ้บไปอีกนิดเดียว



ระหว่างทางมีคนเป็นตะคริวด้วย ก็ช่วยนวดกันไป อาการก็หนักเอาการ เพราะขึ้นมาพร้อมกัน 2 ข้างเลย




ในที่สุดเราก็ทำได้ ถึงแล้วจุดกางเต็นท์ของพวกเรา อ้อ ... พอเรามาถึงก็เอาของเข้าเต็นท์ได้เลยนะ

เพราะพี่ๆ ลูกหาบที่เค้านำหน้าเรามา เค้ามากางเต็นท์ให้เราเรียบร้อยแล้ว



วางกระเป๋าได้ก็นอนพักเลย เหนื่อยมาก มาถึงกันครบทุกคนก็เกือบๆ 5 โมง

บางคนแรงเหลือก็เดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกที่ยอดดอยหลวงกัน ส่วนคนส่วนใหญ่นอนเอาแรงกันมากกว่า

แต่เราก็มีบรรยากาศข้างบนยอดมาให้ดูนะ เพราะเราไปจิ๊กรูปพี่ที่เค้าขึ้นไปมา 555



นี่คือโฉมหน้าของคนที่เป็นสายแข็ง ขึ้นกันไปอยู่ 5 คน และทำให้เพื่อนๆ ต้องรอกินข้าวนานมาก ( แซวเล่นน้า )



แต่ก็มีเซอร์ไพส์มาให้เรานะ พวกเค้าเจอ " เลียงผา " สิ่งที่หลายๆ คนที่ขึ้นมาที่นี่ต้องการเจอ



แล้วพวกเค้าก็ลงกันมาถึงเต็นท์ ก็มืดพอดี ได้เวลาอาหารเย็นที่เรารอคอยกันสักที

พี่ๆ ลูกหาบเป็นคนเตรียมอาหารให้เราทุกมื้อ เรามีหน้าที่แค่กิน แล้วก็ขอเพิ่ม 555

แต่จะบอกว่ากับข้าวอร่อยมาก ปริมาณก็เยอะมากแทบจะเรียกได้ว่าเป็นบุฟเฟ่ กินเท่าไรก็ไม่หมด



กินข้าวกันเสร็จก็ถึงเวลาของกิจกรรมสานสัมพันธ์กันนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน

อากาศคืนแรกหนาวมาก ก่อนเข้าไปนอนก็ประมาณไม่เกิน 10 องศา นอนหลับบ้างไม่หลับบ้างเพราะหนาว

พรุ่งนี้เช้ามืด เรามีนัดกันเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดกิ่วลมใต้กันตอน 04.30 น .


28 มกราคม 2560

04.00 . พี่ๆ ลูกหาบก็ปลุกด้วยเสียง " กิ่วลม กิ่วลม " เป็นสัญญาณว่าถ้าใครจะไปกิ่มลมต้องตื่นได้แล้ว

ล้างหน้า แปรงกัน เตรียมของกันเสร็จ ก็เริ่มออกเดินกันตอน 04.30 น . อย่าลืมไฟฉายนะ เพราะทางมืดสนิท และชันมาก

ใช้เวลาเดินก็ประมาณ 30 นาที ก็ถึงยอดกิ่วลมใต้ ถึงแล้วก็จับจองหาที่นั่ง กางขาตั้งกล้องรอพระอาทิตย์กันได้เลย

ระหว่างนั้นพี่ลูกหาบก็เอาเตาแก๊ส กับกาต้มน้ำออกมา พร้อมกับกาแฟ โอวัลติน และขนม

มีบริการต้มกาแฟบนนี้ด้วยนะครับ 555 ได้กาแฟร้อนๆ รู้สึกดีเลย

หลังจากนั้นก็นั่งรอเวลาให้พระอาทิตย์ออกมาฉายแสง (หาที่นั่งเหมาะๆ นะครับ เอาแบบหลบลมได้หน่อยก็ดี เพราะลมแรง )

รอแล้ว รออีก จน 7 โมงถึงจะเห็นพระอาทิตย์ เช้านี้มีเมฆมาก เลยไม่เห็นไข่แดง เห็นอีกทีก็แสงจ้าแล้ว

ทะเลหมอกมีให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่มาก ก่อนจะเดินกลับพวกเราก็ถ่ายรูปเล่นกันก่อน





ถ่ายรูปกันเสร็จ แดดก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ พวกเราก็เดินกลับลงมาที่เต็นท์ ข้าวเช้ารอเราอยู่



กินอิ่มอร่อยอีกแล้วมื้อนี้ เป็นมื้อเช้าที่หนักมาก กินเสร็จบ้างก็แยกย้ายไปพักผ่อน บ้างก็เตรียมตัวออกไปเดินรอบๆ ดอย

ส่วนผมตั้งใจขึ้นไปส่องเลียงผาบนยอดดอยหลวง ก็ไปกันกับเพื่อนอีก 2 คน

เพื่อน 5 คนไปตะลุยยอดกิ่วลมอีกรอบ ส่วนที่เหลือซุกตัวอยู่ในเต็นท์เก็บแรงไว้เดินขึ้นยอดดอยหลวงตอนเย็น




นั่งกันอยู่นานก็ไม่มีเลียงผาออกมาให้เห็น เลยหันมาถ่ายรูปกันเองละทีนี้



ถ่ายรูปเล่นไปสักพักผมกับแฟนก็เดินกลับลงไปที่เต็นท์ ส่วนพี่พงษ์ขออยู่ถ่ายรูปอีกหน่อย

ไปถึงเต็นท์ก็เห็นเพื่อนบางคนออกมานอกตรงที่ส่วนกลาง เลยมานอนด้วย อากาศเย็นขนาดเที่ยงแล้ว

ส่วนเพื่อนๆ ที่ออกไปตะลุยกิ่มลมก็กลับกันมาพอดี มีรูปมาให้ชมกันด้วยนะครับ




นอนกลิ้งไป กลิ้งมา พี่ๆ ลูกหาบก็ถามว่าจะกินข้าวเลยมั้ย มีหรอที่เราจะปฏิเสธ กินสิครับเพ่ :))

อิ่มท้องแล้วก็หากิจกรรมฆ่าเวลา ทริปเรามีเจ้ามือไพ่อยู่เลยเอาไพ่ออกมาคิดเลข รอเวลาขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตก



นี่ไม่ใช่เจ้ามือนะ นี่กำลังศึกษาทฤษฎีสมสิบกันอยู่

ศึกษาสมสิบได้ไม่เท่าไร เปลี่ยนมาเล่นป็อกแทนละ แล้วดูท่าลุ้นไพ่เค้าสิ ใช่ย่อยที่ไหน เพื่อนโผมมมมมม ......



เล่นกันนานมาก ต่อเวลาไปเรื่อย จากตอนแรกจะขึ้นยอดสัก 3 โมง จน 4 โมงครึ่งก็แล้วยังไม่เลิกกัน เพลินไปหน่อย

เอาล่ะ !! ได้เวลาขึ้นไปบนยอดแล้ว ไม่อย่างนั้นจะอดดูพระอาทิตย์ตกแน่ๆ ยุบวงแล้วไปเตรียมตัวเดินกัน

สิ่งที่ต้องเตรียมขึ้นไป คือ ไฟฉาย กับ เสื้อกันหนาวนะ เพราะตอนลงจะมืด แล้วก็จะหนาวขึ้นมาฉับพลัน

พร้อมแล้วก็ออกเดินกันได้แล้ว ช้ากว่านี้จะไม่มีที่กางขาตั้งกล้องแล้ว คนอื่นเค้าทยอยเดินขึ้นไปกันหมดแล้ว



ถึงแล้ว โห !! บนนี้คนเยอะมาก จับจองหาที่นั่งกันได้แล้วก็รอ รอ รอ ชมพระอาทิตย์ตกกันได้เลย





และกิจกรรมระหว่างรอพระอาทิตย์ตก นั่นก็คือ การส่องหาเลียงผา นั่นเอง

ต้องอาศัยกล้องส่องทางไกลของพี่ลูกหาบที่ตั้งไว้ให้ดูถึงจะสังเกตเห็น เพราะสีตัวของเลียงผากลมกลืนกับธรรมชาติมาก

บางคนก็เห็น บางคนก็ไม่เห็น ต้องสังเกตดีๆ เลยล่ะ เสียดายที่ไม่ได้ภาพมาให้ดูกัน



ดูไปดูมาตาก็เริ่มลาย ไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกดีกว่า วันนี้อากาศดีกว่าเมื่อวาน มีเมฆบ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไร

ลมข้างบนนี้แรงนะครับ พระอาทิตย์ยังไม่ตกดีเลย ต้องรีบเอาเสื้อกันหนาวออกมาใส่แล้ว



และแล้วพระอาทิตย์ก็ค่อยๆ ลาลับขอบฟ้า เผยให้เห็นแสงสีทองตัดกับสีครามของท้องฟ้า

ทำให้อยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้เลย



เมื่อแสงค่อยๆ หมด ทุกคนต่างก้ทยอยกันเดินลงไปยังเต็นท์ของตัวเอง ตอนลงต้องใช้ความระมัดระวังนะครับ

เดินไปยังไม่ถึงครึ่งทางฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ไฟฉายที่เตรียมไว้ก็เอาออกมาใช้เลย ค่อยๆ เดินไม่ต้องรีบกันนะครับ

แล้วพวกเราก็เดินมาถึงเต็นท์อย่างปลอดภัยกันทุกคน แล้วก็ได้เวลาอาหารอีกแล้ว จัดหนักกันเลย

กินข้าวอิ่มแล้วก็นั่งเม้ามอยกันก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าไปพักผ่อน

พรุ่งนี้เรามีนัดกันขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึนกันที่ยอดดอยหลวงอีกครั้งนึง

ปล. อากาศตอนกลางคืนช่วงที่เราไป ก่อนเข้านอนวัดได้ประมาณ 7-8 องศา แต่ตอนกลางคืนน่าจะลดลงมากกว่านั้น

คืนแรกว่าหนาวแล้ว คืนที่สองหนาวกว่า แทบนอนไม่หลับเลย ใครจะมาต้องเตรียมชุดกันหนาวมาให้ดีนะครับ


29 มกราคม 2560 (วันสุดท้ายบนยอดดอย)

05.00 น. ตื่นมาล้างหน้า แปรงฟัน เตรียมตัวขึ้นยอดดอยกันครับ เช้านี้เดินขึ้นเร็วกว่าเดิม สงสัยประสบการณ์เยอะแล้ว

เดินขึ้นไปถึงยอดก็เริ่มมีแสงส้มๆ ออกมาแล้ว




แดดเริ่มมา มาถ่ายรูปรวมกันหน่อยพวกเรา




มาถึงบนนี้แล้ว จะไม่ได้ถ่ายรูปกับป้ายจุดสูงสุดก็อาจจะเหมือนมาไม่ถึง สักหน่อยแล้วกัน ก่อนเดินลง




การพิชิตยอดสูงสุดถือว่าสำเร็จแล้ว ต้องเดินลงแล้ว แต่ตอนระหว่างเดินลง ดูสิ ทะเลหมอก

ถ้าใครขึ้นไปกิ่วลมวันนี้น่าจะเห็นแบบอลังการเลยทีเดียว แต่ก็ไม่เป็นไรทำใจยอมรับแล้วก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป




เดินลงมาถึง อาหารก็พร้อมเลย มีอะไรสบายกว่านี้มั้ย นี่แหบะเหตุผลที่ติดต่อทัวร์

มาครับอาหารมื้อสุดท้ายแล้วของบนนี้แล้ว มีอะไรเหลือพี่ลูกหาบทำมาให้กินหมด คงขี้เกียจแบกลงกันแล้ว 555

กินข้าวเสร็จก็เตรียมตัวเก็บของ เก็บเต็นท์ แพคกระเป๋า



ก่อนออกเดินเรามาถ่ายรูปรวมเป็นที่ระลึกหน่อยละกัน



แล้วก็ทยอยเดินลงกันได้เลย พวกเราออกเดินกันประมาณ 9 โมง ใช้เส้นทางปางวัว

เส้นทางนี้ขึ้นชื่อถึงความชัน เดินไประยะแรกก่อนถึง 3 แยกก็ชิวๆ อยู่ พ้น 3 แยกไปเดินชิวอีก

จนประมาณ 1 กม. สุดท้าย มีแต่ชัน ชัน ชัน แล้วก็ชัน ใครอยากเป็นคนจริงนี่ต้องขึ้นลงทางปางวัวนะคร๊าบบบบ

แต่ผมคนนึงที่ไม่เอา ไม่ไหวจริงๆ ขนาดแค่เดินลงยังเหนื่อยเลย ดีนะที่ฝนไม่ตก ไม่อย่างนั้นนะได้คลานมากกว่าเดินอ่ะ



เห็นวิวหมู่บ้านแบบนี้ อีกไม่ไกลแล้วครับ จะเริ่มได้ยินเสียงรถบีบแตร ปุ๊บ ปี๊ด ป๊าด กันสนั่น



ในที่สุดก็ถึงแล้วโว้ย ..... พี่ๆ เค้าก็จะเอารถมารับเรา พร้อมกับข้าวกลางวัน (มื้อสุดท้ายของทัวร์)

และที่ดีใจยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด พี่เค้าเอาน้ำอัดลม กับน้ำเปล่าเย็นๆ มารอต้อนรับเราด้วย ผมนี่รีบไปหยิบมากินเลยครับ

อ้อ ... แล้วข้าวกลางวันมื้อนี้ พี่แม็ก (หัวหน้าทัวร์) ไปซื้อข้าวขาหมูเชียงดาวมาให้พวกเราได้ชิมกัน

รสชาติดีนะครับ อร่อย แต่ผมอยากได้ข้าวเยอะกว่านี้ ขาหมูไม่สมดุลกับข้าวเลย 555



พวกเราเดินแยกกันมา 2 กลุ่มใหญ่ พวกผมมาถึงกลุ่มแรก เลยตกลงกันว่าจะล่วงหน้าไปอาบน้ำที่รีสอร์ทเดิมกันก่อน



พวกเราอาบน้ำกันเสร็จ อีกกลุ่มนึงก็มาถึง ก็ทยอยกันอาบน้ำครับ ส่วนผมก็ไปเคลียของที่ฝากลูกหาบมา

เรียบร้อยกันทุกคนแล้วก็ขึ้นรถตู้กันได้แล้ว พี่คนขับรถตู้บอกว่าจะไปแวะกินข้าว และซื้อของฝากกันที่ลำปาง

ซื้อของ กินข้าว เสร็จก็ยิงยาวกลับกรุงเทพเลยครับ มาถึงกรุงเทพประมาณตี 1 กว่าๆ แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

เป็นอันจบทริปแบบสมบูรณ์


"

ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่ทำให้เกิดทริปสนุกๆ นี้ขึ้นมา ทุกคนเข้ากันได้เร็วมากจนน่าแปลกใจ

ขอบคุณพี่แม็ก พี่ปาย และพี่ลูกหาบ ที่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี พี่ๆน่ารัก และเป็นกันเองมาก

และขอบคุณโชคชะตาที่พาพวกเรามาเจอกัน อาจจะเป็นทริปที่เหนื่อยหน่อย แต่ก็สนุกมาก

"


เที่ยวแบบเรา : Once-a-month

 วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 16.25 น.

ความคิดเห็น