เราเริ่มจากเมืองเก่าโปตุกิส เกาะปันหยี เขาตาปู เขาพิงกัน ถ้ำลอด เขาหมาจู เขาหลัก หมู่เกาะสิมิลัน หาดตาชัย และปิดท้ายด้วยหมู่เกาะสุรินทร์


6 คืน 5 วัน กับการวางตังค์กองกลางคนละ 10,000 บาท ไม่คิดไม่คาดฝันว่าจะเที่ยวได้เยอะขนาดนี้



ปลายตุลาคมของทุกปี เกาะเหล่านี้คงเปิดหมดแล้วสินะ จะรออะไรอยู่หละ เลื่อนไปบทถัดไปกันเลย...



reviewed by https://www.facebook.com/PalapiliiThailand

บทนำ



:: ทริปนี้ผมวางแผนมาประมาณสองสามเดือน ก่อนที่จะถึงวันจริงคือช่วงหยุดยาวเดือนเมษายนปี 2557
ผมอยากไปทะเลใต้มานานแล้ว และคิดว่าถ้าไปก็ต้องเอาให้สุดไปเลย เอาให้เบื่อกันไปข้างหนึ่งเลย
ช่วงปีที่ผ่านมา คำว่า "ตาชัย" กับ "สิมิลัน" รู้สึกมันจะเป็นอะไรที่ Hot ติดลมซะเหลือเกิน
เราไม่พลาดที่จะนำเอาสองสถานที่นั้น เข้ามาปั่นผสมรวมกันกับสถานที่อื่นๆ ที่เราวางแผนไว้
ล่องใต้แต่ละครั้งมันใช้เงินมหาศาลพอสมควรสำหรับเด็กเพิ่งจบใหม่อย่างพวกเรา จะมีอะไรที่ดีไปกว่า
การหาเพื่อนร่วมเดินทาง ใช่ครับ ผมประกาศหาเพื่อนร่วมเดินทาง โดยการยื่นข้อเสนอเป็นสถานที่ที่แพลนเอาไว้
แจ้งวัน เวลา และทิ้งท้ายด้วยคำว่า " 10,000 บาท หมดที่ไหน จบที่นั่น "
สิบสามคนรวมตัวกัน ท่องใต้ด้วยเงื่อนไขข้างบน และเดินทางด้วยคำจำกัดความที่ว่า...

" M e s s yS u m m e rI nP a r a d i s e "

ผลงานที่ผ่านมา

:: Backpack หลวงพระบาง - วังเวียง - เวียงจันทร์ ด้วยเงิน 5,000 บาท


http://pantip.com/topic/31480606


:: Backpack นครวัด - นครธม ด้วยเงิน 2,500 บาท


http://pantip.com/topic/32255585


:: Backpack วังเวียง ด้วยเงิน 2,500 บาท


http://pantip.com/topic/32303037


:: Backpack ทีลอซู - ปริโต๊ะลอซู ด้วยเงิน 3,000 บาท


http://pantip.com/topic/32131519


:: Backpack ปากเซ - ดานัง - ฮอยอัน ด้วยเงิน 6,000 บาท


http://pantip.com/topic/32495990


:: 30 ข้อควรรู้ ก่อน Backpack ไปสิงคโปร์


http://pantip.com/topic/32411379


:: Backpack ภูชี้ฟ้า - ดอยแม่สลอง - ไร่ชาฉุยฟง ด้วยเงิน 3,000 บาท


http://pantip.com/topic/32673881



ฝากผลงานข้างบนและผลงานที่กำลังเขียนอยู่ตอนนี้ด้วยนะครับ ทุกรีวิวพยายามทำออกมาให้ดีที่สุด

และถ้าไม่ลำบากจนเกินไปอยากให้เพื่อนๆ ให้กำลังใจโดยการกดบวกเพิ่มพลังและกำลังใจในการเขียนกระทู้ด้วยครับ : )



ขอบคุณครับ

9:35
28 ตุลาคม 2557
อยุธยา


วางแผน

:: ทริปนี้ไม่มีอะไรมาก ตั้งโจทย์ไว้ว่า ทำยังไงก็ได้ให้เที่ยวให้ครบทุกที่ในพังงาเท่าที่เราจะทำได้


ที่สำคัญด้วยเงินคนละ 10,000 บาทพอ หมดที่ไหน ทริปก็จบที่นั่น โดยเราใช้เวลารวมเกือบหนึ่งสัปดาห์

การเดินทางเริ่มต้นจากการรวมตัวกันใน กทม. เดินทางตอนดึกเพื่อไปให้ถึงเช้าที่เขาหลัก

Check in เอาของและสัมภาระฝากไว้กับทางที่พัก แต่ทว่าวันเดินทางจริง เราไปถึงเร็วกว่ากำหนด

ก็เลยได้ไปเหยียบเมืองภูเก็ตเพิ่มเข้ามาอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งเราก็ได้รวมไว้ในแพลนให้เพื่อนๆ ดูแล้ว



ช่วงแรก



เราไปที่เมืองเก่าปุตุกิส จ.ภูเก็ต ต่อด้วยอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา

ไปชมเกาะปันหยี เขาตาปู เขาพิงกัน ถ้ำลอด เขาหมาจูฯลฯ

ก่อนที่จะตีรถกลับไปที่เขาหลัก เพื่อไปพักผ่อนรอการเดินทางในช่วงสำคัญของทริป



ช่วงสอง



เรากะจะเช่าเรือไปสิมิลัน แล้วไปเที่ยงที่ตาชัย ก่อนที่จะแล่นไปต่อที่หมู่เกาะสุรินทร์

เพื่อประหยัดเวลาในการเดินทาง จะได้ไม่ต้องเข้าฝั่งแล้วนั่งรถไปขึ้นเรืออีกท่าหนึ่ง แต่ก็ทำไม่ได้

ก็เลยซื้อ Day trip ไปสิมิลันตาชัยของบริษัทแห่งหนึ่ง ด้วยเงิน 3,000 บาท ช่วงเช้าจะไปตาชัย

แล้วทานข้าวเที่ยงบนเกาะ ต้องบอกว่าสวยมาก ส่วนช่วงบ่ายก็ไปที่สิมิลัน ก่อนที่จะนั่งเรือกลับ

หลังจากถึงฝั่งที่เขาหลัก ก็นั่งรถต่อไปที่ อ.คุระบุรี เพื่อรอการเดินทางไปหมู่เกาะสุรินทร์ในเช้าของอีกวัน



ช่วงสาม



นั่งเรือไปที่หมู่เกาะสุรินทร์ ใช้เวลา 2 วัน 1 คืนที่นั่น ไม่คิดไม่ฝันว่าที่นี่จะเป็นเมนหลักสำคัญของทริป

มันเป็นสถานที่ที่สงบแล้วชวนฝันมาก ปลานีโม่อยู่เพียงแค่หน้าหาดที่เรากางเต็นท์นอน

ผมยังจำได้ ว่า 6 ก่อนีโม่นั้นอยู่ตรงไหนบ้าง 2 วัน 1 คืนอาจไม่พอ

แต่บ่ายของวันที่สองที่อยู่บนเกาะสุรินทร์เราต้องเดินทางกลับสู่ฝั่ง

เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับ กทม. ด้วยความรู้สึกที่ค้างคา และความทรงจำที่ไม่มีวันลืม...

เมืองเก่าโปรตุกิส

:: ฝนตกโปรยปรายท่ามกลางแสงแดดอ่อนเบาตอนหกโมงเย็น นั่นคือเวลาที่เรานัดเจอกัน


แต่ละคนก็มาจากแต่ละทาง ต่างจังหวัดบ้าง ในเมืองบ้าง หรืออยู่แถวนั้นเลยก็มี

เราเหมารถตู้มาหนึ่งคัน เป็นคันที่จะต้องใช้ตลอดทั้งทริป 6 คืน 5 วัน กับการล่องใต้ครั้งนี้

รถตู้นั่งได้ 10 คน แต่มีอีก 3 คนขอเกาะสอยห้อยไปด้วยและยืนยันว่าจะขับรถส่วนตัวตามกันไป

เอาหล่ะ เมิงคงอยากไปกันจริงๆ ในเมื่อคนพร้อม แผนพร้อม ราคาพร้อม ทุกอย่างพร้อม ล้อก็หมุน...



:: เราใช้เวลากว่าสิบชั่วโมงในการเดินทางมาถึงจุดหมายแรกของเราคือเขาหลัก

แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมาถึงเช้าขนาดนี้ เราไปถึงตอนประมาณ ตีห้าเกือบหกโมง

เข้าไปติดต่อพนักงานเค้าก็บอกว่า สามารถ Check in ได้ตอน บ่ายๆ เอาไงดีหล่ะ

สุดท้ายก็ปรึกษากันว่า เราจะข้ามไปภูเก็ตก่อนเลย แล้วไปหาอะไรทำเอาที่นู้น...



:: เมื่อเก่าโปรตุกิส ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ใกล้พังงาที่สุด และน่าสนใจที่สุดในตอนนั้น


เราเดินทางต่อจากเขาหลักข้ามสะพานสารสินสู่เมืองเก่าโปรตุกิส เพื่อชมความงามของเมือง

เมืองที่นี่น่ารักกระทัดรัดดี เป็นเมืองเก่าแต่คงความคลาสสิคไว้อย่างสมบูรณ์

บ้านทุกหลังมีคนอยู่จริงๆ ไม่ได้เพิ่งสร้างมาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว

เราบอกพี่คนขับว่าขอเวลาเราหนึ่งถึงสองชั่วโมงสำหรับพื้นที่ตรงนี้

เพื่อใช้เวลาเดินดูวิถีชีวิต และส่องภาพผ่านเลนส์เก็บเอามาฝากเพื่อนๆ ที่ไม่มีโอกาสได้มากับเรา อิอิ



:: การเดินเมืองเก่าโปตุกิส ถ้าจะเดินให้ทั่วต้องเดินตามรูทนี้เลยครับ



ช่วงที่ 1 ณ ถนนภูเก็ต ถนนรัษฎา และถนนระนอง

ช่วงที่ 2 ถนนพังงา ถนนภูเก็ต และถนนมนตรี

ช่วงที่ 3 ถนนถลางและซอยรมณีย์

ช่วงที่ 4 ถนนกระบี่ และถนนสตูล

ช่วงที่ 5 ถนนเยาวราช ตรอกสุ่นอุทิศ ถนนดีบุก

ช่วงที่ 6 ถนนกระษัตรี



ทั้งนี้ทั้งสั้น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม เชิญ Search เอาใน Google เลยนะครับ

ผมคงไม่มีความรู้อะไรจะบรรยายให้เพื่อนๆ ได้ฟังมากไปกว่าเอาภาพมาให้ดู



:: เราก็เดินกันไม่ครบทุกช่วงหรอกครับ เหนื่อยซิพหาย ร้อนก็ร้อน หิวก็หิว


อีกอย่างดูท่าทางแต่ละคนไม่ค่อยจะศรัทธากับสถาปัตยกรรมล้านนาที่นี่เท่าไหร่เลย

หน้าตาพวกเมิงดูเหี่ยวและเปรี่ยวมาก ผมว่าเราควรหาอะไรกิน

เดินกลับมาก็เห็นร้านอาหารตามสั่งอยู่ร้านหนึ่งคนเต็มร้านเลย

ตามสัญชาตญาณ เมิงต้องอร่อยแน่ๆ ร้านนี้

พวกเราเดินเข้าไปนั่งสองฝั่ง โต๊ะละ 6 - 7 คน

ตอนนั้นหิวกันแบบหน้ามืด ไม่ขอเมนงเมนูอะไรทั้งนั้น

พี่ครับ... ไส้อั่วหนึ่ง ข้าวซอยสี่ ขันโตกสองชุด น้ำพริกหนุ่มมาสอง

แกงฮังเลสอง ขนมจีนน้ำเงี้ย... พ่อง!!! เมิงอยู่ภาคใต้อิไม



อ่อๆ ตอนนั้นเราก็สั่งอาหารพื้นเมืองของคนใต้นั่นแหละครับ


มัสมันเอย มะตะบะเอย ข้าวยำเอย อะไรที่มันฟรุ้งฟริ้งๆ แบบนี้แหละครับ

แต่ you guys don't forget it!!!

อย่าลืมกินชาใต้ อร่อยเหี้_ๆ



เขาตาปู

:: สายแก่ๆ เราก็มุ่งหน้าจากเมืองเก่าโปรตุกิสสู่อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา


ระหว่างทางกลับเราจะผ่านสะพานที่เป็นตำนานโด่งดัง ซึ่งเกี่ยวกับความรักของคนสองคน

ผมขอไม่เล่าแล้วกันว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร สะพานเส้นนี้มีชื่อว่า "ส า ร สิ น"



เราจอดรถไว้ที่ตีนสะพานและแวะเข้าไปชมความสวยงามรอบๆ บรรยากาศมันได้ เราเห็นทะเลสีฟ้า


เริ่มจะอดใจไม่ไหวสำหรับวันพรุ่งนี้แล้ว ทะเลพรุ่งนี้มันคงใสและครามกว่าที่เห็นในตอนนี้

แต่ละคนก็ดูจะซุกซนผิดจากอายุที่ตีตราบนหน้าของตัวเอง วิ่งเล่นกันซะเหมือนเด็กน้อย

กระโดดไปถ่ายรูปเล่นบนตอหม้อสะพานบ้าง ขึ้นไปบนศาลาสารสินไม่ก็ไปเพื่อหลับแดดอันร้อนแรง

เราถ่ายรูปที่ระลึกเก็บไว้ ก่อนที่จะเดินทางต่อไปในดินแดนที่เคยถูกซีนามิพังยับเยินเมื่อเกือบสิบปีที่ผ่านมา



:: บริเวณอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาจะมีสถานที่ท่องเที่ยวหลักประมาณนี้ครับ


ถ้ำลอด เขาหมาจู เขาพังกัน เกาะปันหยี และ Unseen Thailand เขาตาปู

หรือที่ชาวต่างชาติเรียกกันว่าเกาะเจมส์บอนด์หรือเกาะ 007 นั่เอง

เหตุผลที่ได้ชื่อนี้มาก็เพราะว่า สถานที่นี้เคยใช้ถ่ายทำหนังเรื่อง 007 ยังไงหล่ะครับ



:: พอไปถึงท่าเรือก็จะมีชาวบ้านมารอรับเราเลยครับ เรือที่สามารถจะนั่งไปชมบริเวณอ่าวพังงาได้


จะมีอยู่ 3 ราคาด้วยกัน นั่นคือ เล็ก กลาง ใหญ่ โดยราคาตอนนั้นคือ 2,000 2,500 3,000 และ 3,500 ตามลำดับ

เพื่อนๆ สามารถเลือกลำที่ต้องการได้ โดยพิจารณาจากจำนวนคนที่ไป สำหรับผม

ขอถูกๆ แต่สามารถพาทั้ง 13 คนลงเรือไปแล้วเรือไม่จมเป็นพอ นั่นคือราคา 2,500 บาท



:: เมื่อตกลงราคากันเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเดินทางครับ พี่เจ้าของเรือจะพาเราวนไปตามทางของพี่เค้า


ก็ปล่อยพี่เค้าไปเรื่อยๆ ครับ อยากรู้อะไรก็ถามพี่เค้าเลย ในช่วงนั้นผมรู้สึกธรรมดามาก

น้ำทะเลไม่ได้ใสสีฟ้าแต่ออกสีเขียวปนน้ำตาลซะส่วนใหญ่ รอบข้างจะเป็นหุบเขาที่อยู่ดีๆ ก็โดดขึ้นมา

โชว์ภูผาหน้าตาอยู่กลางท้องฟ้า มองไปรอบๆ ก็จะมีป่าชายเลนเป็นระยะๆ แล่นผ่านเกาะไหนเขาไหน

พี่คนเรือก็จะฉะลอและก็อธิบายว่านี่คืออะไร ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ซึ่งสำหรับผมก็ไม่ค่อยได้สนใจฟังเท่าไหร่

เน้นไปให้เห็นและถ่ายรูปอย่างเดียว เพราะในช่วงนี้ที่อยากไปคือ เกาะปันหยี กับเขาตาปูเท่านั้น...



:: ไม่นานนักเราก็มาถึงถ้ำลอดครับ ถ้ำลอดจะมีกิจกรรมให้พวกเราพายคายัค โดยจะพายเข้าไปในป่าชายเลน


แล้วลอดถ้ำเล็กๆ ถ้ำหนึ่ง จากนั้นพายต่อไปลอดถ้ำลอดใหญ่ที่เห็นในภาพฉากหลัง ผมรู้สึกเฉยมากกับกิจกรรมนี้

อากาศมันร้อนเกินไป รวมถึงทุกคนที่อยู่บนเรือก็ไม่ได้สนใจในกิจกรรมนี้เท่าไหร่ ก็เลยผ่านเลยไป

ที่สำคัญ ราคาแพงมากครับ ค่าใช้จ่ายคิดคนละ 250 บาท ต่อคน ไม่ใช่ต่อลำนะครับ หึหึ โหดมาก บายๆ



:: เราเดินทางมาถึงเกาะตาปูในไม่ช้า ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เคยเห็นแต่ในภาพ สงสัยว่ามันอยู่ได้ยังไงโดยไม่ล้ม


ทุกคนเตรียมตัวและก้าวออกมาจากเรือ พี่คนเรือบอกให้เวลา 30 นาที ทุกคนเดินเท้าเพื่อเข้าไปในอ่าว

และภาพที่ผมเห็นมันทำให้ผมถึงกับอึ้งไปเลย เขาตาปูที่ว่าตั้งตระหง่าท้าลมฟ้าอากาศได้ล้มลงอย่างน่าใจหา... เมิงโม้



โหยยยย... ตอนนั้นตื่นเต้นมากครับ จำได้ว่าเดินนำเค้าเลย พอเข้าไปถึงแม่มก็ตะโกนโวยวายใหญ่


นอนชักดิ้นชักงอชี้ไปที่เขาตาปู แล้วร้องลั่นว่า จาอาว จาอาว จา... นี่ก็เว่อร์เกิน ผมไปถึงจุดนั้นแล้วหยุดนิ่งไปชั่วขณะ

ใช้สายตาและสมาธิจ้องมองเขาตาปูลูกนั้นอย่างช้าๆ โดยผ่านเรตินาและเก็บไว้ในความทรงจำ

นี่สินะ เขาตาปูที่ฉันตั้งใจจะมาสัมผัสให้ได้ตั้งแต่เด็ก ทันใดนั้น ผมถอดเสื้อออกแล้วกระโดดลงน้ำ

ว่ายเข้าไปหาเขาตาปูอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่ว่ายนั้นจิตใจเต็มด้วยด้วยพลังอันล้นปรี่

น้ำทะเลก็ซัดเข้าฝั่งถี่ๆ ไม่ขาดสาย หน้าตานี่เต็มไปด้วยเม็ดทรายและน้ำเค็มที่เต็มรูจมูกและช่องปาก

มองกลับไปที่หาดกุมาไกลพอสมควร อีกไม่นาน มือของชั้นจะได้สัมผัสกับเขาตาปูอย่างที่วาดฝันไว้แล้ว

ผมว่ายไป ว่ายไป จนกระทั่งเพื่อนๆ ทุกคนอ่านมาถึงตรงนี้ ต้องขอบคุณมากๆ

เพราะขนาดเรือเข้ายังไม่อนุญาตให้เข้าไปใกล้เขาตาปูเกิน 5 เมตรเลย (ไม คือบทนี้เมิงเยอะไปอะ)



:: เราใช้เวลาชมความงามของเขาตาปูอยู่ไม่นานนัก เพราะแดดร้อนมาก ถ่ายรูปสองสามแชะก็พอใจแล้ว


เดินเข้าไปอีกนิดหนึ่งจะเป็นเขาพิงกัน ลักษณะจะเป็นเขาสองลูกนอนพิงกันอยู่ ก็แปลกดี ดูรักกันมาก

รอบข้างจะมีร้านค้าขายของที่ระลึกเต็มไปหมดครับเพื่อนๆ ใครอยากได้อะไรก็จับจ่ายกันมันตรงนั้นให้เสร็จ



:: ออกจากเขาตาปูเขาพิงกัน พี่คนขับเรือก็พาเราไปยันหมู่บ้านๆ หนึ่งที่ต้องอาศัยการลอยแพอยู่บนเกาะ


บนเกาะนั่นไม่มีพื้นดินครับเพื่อนๆ ชาวบ้านจะเอาถังบ้างหล่ะ ไม้ไผ่บ้างหล่ะ หรืออะไรก็ได้ที่สามารถทำให้ลอยน้ำได้

มาเป็นฐานสำหรับสร้างพื้นที่อยู่อาศัย หมู่บ้านแห่งนี้อยู่บนเกาะโด่งดังที่มีสนามฟุตบอลกลางเกาะนามว่า "ปั น ห ยี"



:: เราใช้เวลาอยู่ที่นี่อยู่นานพอสมควร สิ่งที่พลาดไม่ได้บนเกาะนี้คือ น้ำพริกกุ้งเสียบ กับไปดูสนามฟุตบอลกลางเกาะ


ถ้าเพื่อนๆ ไป อย่าลืมสองอย่างนี้นะครับ recommend กันเลยทีเดียว เราทานข้าวเที่ยงกันที่นี่ครับ

จะว่าข้าวเที่ยงก็ไม่ใช่ เพราะตอนนั้นก็ปาไปบ่ายสามแก่ๆ แล้ว บนเกาะชาวบ้านจะเปิดร้านหลังบ้าน

ขายของฝากของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว ถ้าเป็นไปได้ควรซื้อซักอย่างสองอย่าง ถือว่าช่วยเหลือกันไปครับ

ลองคิดในทางกลับกัน เค้าจะหาเงินมาจากไหนได้มากพอที่จะส่งลูกส่งหลานเลี้ยง เค้าต้องใช้ขีวิตอยู่บนเกาะ

ถ้าจะให้ออกไปหาเงินข้างนอกก็คงจะลำบากพอสมควร กว่าจะนั่งเรือออกไป แล้วยังไงต่อหละ เรื่องเราวเต็มไปหมด

เราเดินทางมาทั้งที ก็ส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่งเสริมคนท้องถิ่น เอาเงินมาหมุนให้คนไทยด้วยกันเองดีกว่า...



:: พี่คนเรือส่งสัญญาณให้เราลงเรือได้แล้ว เพราะมันหมดเวลาที่เราจะอยู่บนเกาะแห่งนี้แล้ว


เราลากร่างกายกลับไปในแบบที่หลังงอเพราะอิ่มมาก ระหว่างแล่นผ่านพี่เค้าก็จะชี้ไปทางซ้าย

นั่นไงเขาหมาจู ที่ชื่อหมาจูเพราะมันเหมือนหมานั่นเองครับ



:: ถัดจากนั้นก็จะเป็นผาอะไรไม่รู้


พี่เค้าจอดชิดผาและชะลอความเร็วลงพร้อมชี้ไปที่ผนังหน้าผา ภาพที่เห็นคือภาพวาดสมัยโบราณ

อายุราวๆหลายร้อยหลายพันปี น่าจะถูกเขียนด้วยคนโบราณนั่นแหละ

เราชมความมหัศจรรญ์ผนังผาได้ชั่วครู่ ก่อนกลับเข้าฝั่ง...



เขาหลัก

:: เขาหลักที่เราเห็นในตอนนั้นดูโอเคขึ้นจากภาพข่าวเห็นเห็นเมื่อหลายปีที่แล้ว ทุกอย่างถูกฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
ถนนหนทางดูเรียบเนียนเต็มไปด้วยการวาดลายของเส้นโค้งที่ทำให้บางคนถึงกับขั้นแอบเมารถ
เรานอนสลบไสลกันมาตื่นหนึ่ง จนถึง อุทยานแห่งชาติเขาหลักฯ ผมแวะไปประทับตราปั้ม Passport Thailand
กะจะใช้เวลาช่วงหนึ่งเท่านั้น แต่ไหงเพื่อนๆ ทุกคนลงตามกันหมดและบอกว่า ไหนๆ ก็มาแล้ว ลงไปดูกันหน่อยแล้วกัน
เราลงตามบันไดและช่องทางที่อุทยานจัดเตรียมไว้ให้ ไม่นานนักก็พบกับทะเลสีใสสะท้อนแสงเรืองอร่ามของดวงอาทิตย์
เราไปถึงที่นั้นตอนประมาณห้าโมงเย็น ดวงอาทิตย์คล้อยว่าจะลับขอบฟ้าไปพักผ่อน
เวลาที่เหลือก่อนแสงสุดท้ายจะหมดลงในช่วงแรกของทริป เราใช้เวลาตรงนั้นได้อย่างคุ้มค่า
ค่อยๆ มองแสงของดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป อย่างที่มันทำอยู่ทุกวัน แต่ต่างกันแค่วันนี้เราไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมก็เท่านั้น...

:: ที่พักของเราอยู่ไม่ไกลจากหาดเลย อยู่ในเขาหลักนั่นแหละ ติดถนนซะด้วย เราจองเป็นแบบบังกะโลสามหลัง


บังกะโลจะอยู่ลึกเข้าไปเป็นพื้นที่ที่ Private มาก สามารถส่งเสียงหรือเล่นเกมส์ยามดึกได้สบายเลยหละ

ภายในก็ตกแต่งสะอาดสะอ้าน มีปัจจัยพื้นฐานครบครันไม่ต้องห่วง และที่สำคัญ Free Wifi เร็วเหี้_ๆ

สิบสามหารสามก็จะนอนกันได้ห้องละสี่ถึงห้าคน ระหว่างที่รออาบน้ำ พี่ๆ รีสอร์ทก็นำเอาขนมไทยมาให้เราชิมรางแก้หิว



:: เราต่างพากันอาบน้ำและนัดกันไปเดินตลาดบริเวณเขาหลัก


แต่ทว่ามันช่างเงียบสงัดเช่นนี้ เขาหลักในเมืองที่ผมคิดมันไม่ใช่เลย มันเงียบเกินไป เราเดินไปกินก๋วยเตี๋ยว

และเดินกลับเข้ามาที่ห้องอย่างงงงวย ระหว่างทางกลับก็เตรียมเสบียงสุราอาหารแห้งปาจิถะติดไม้ติดมือกลับมาด้วย

ทุกครั้งที่ผมออกทริปจะมีเกมส์ๆ หนึ่งทีทำให้ทุกคนรู้จักกันเร็วขึ้น นั่นก็คือ "P A L A P I L I IS H O T"

มันคือการละเล่นที่ต้องใช้ไหวพริบ ใช้สมาธิ ความรู้รอบตัวและความอึดถึกเป็นอย่างมาก บางคนขอถอนตัวกลับไปนอน

แต่ก็มีพวกคึกหลายคน ที่ยังคงนั่งล้อมวงเล่นเกมส์นี้กันไปจนเหล้าหมด สำหรับคืนนี้เราคงหลับกันสบายแน่ๆ หละ



PALAPILII SHOT


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เกมส์นี้ไม่มีอะไรมากครับ ขอแค่มีอุปกรณ์ดังต่อไปนี้แค่นั้นก็พอ

1. ใบ 1 สำรับ ครบ 52 ใบ
2. Vodka ยี่ห้ออะไรก็ได้
3. แก้วช๊อท

:: การเล่นเกมส์จะเป็นการวางไพ่ไว้ตรงกลาง จากนั้นก็ให้คนแรกเปิดไพ่
พอหงายขึ้นมาเจอหมายเลขอะไรก็ยึดตามเงื่อนไขข้างล่างนี้
สมมติว่าได้ A ก็กินเอง 1 ช๊อท โดยคนที่จะเติมช๊อท จะต้องเป็นคนเดียวกันตลอดทั้งเกมส์
จะเริ่มโดยการวนซ้ายหรือวนขวาก็แล้วแต่ แต่ตลอดทั้งเกมส์ ห้ามทุกคนลุกเข้าห้องน้ำ
กติกาของผมก็มีประมาณนี้ แต่ถ้าใครจะเอาไปประยุกต์ใช้ยังไง ก็เชิญเลยนะครับ
ขอให้สนุกกับเกมส์ทำความรู้จักกันเกมส์นี้ครับ palapilii shot!!!

:: สำหรับรายละเอียดที่พักที่เราพักในคืนแรกชื่อ "SEAWEED HOSTEL KHAOLAK" นะครับ


ห้องที่เราพักเป็นแบบบังกะโล ราคาคืนละ 800 บาท ถ้าจำไม่ผิด ทาง HOSTEL มีห้องหลายแบบมาก

เริ่มต้นตั้งแต่ราคา 250 บาท ถึง 800 บาทที่พวกเราใช้บริการครับ

เพื่อนๆ สามารถเข้าไปสอบถามข้อมูลได้ที่ https://www.facebook.com/Khaolakhostel

หรือ Booking ผ่านทาง web : http://seaweedkhaolak.com/ ได้แบบสบายๆ เลยหละครับ



:: เอาหล่ะ... ผมว่าข้อมูลข้างบนน่าจะเพียงพอสำหรับคนที่อยากไปตามรอยพวกเราแล้วนะ


ถ้าเกิดว่า link ที่ผมให้ไป มันไม่ได้ช่วยอะไรเพื่อนๆ ผมก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงแล้วหละ

เออ... ลืมบอกไปอีกอย่าง พี่เจ้าของเค้ามีที่พักใหม่อีกทีนึงชื่อ "Monkey dive hostel khaolak"

ยังไงลองสอบถามกับพี่เค้าเพิ่มเติมดู ลองบอกไปว่า มาจาก palapilii ดูดิ เผื่อเค้าจะลดให้ ๕๕๕

ทั้งนี้ทั้งนั้น "Monkey Dive Hostel Khaolak" จะเปิดในเดือน พฤศจิกายนนี้ครับ

ปลาบิน

:: เช้าวันใหม่สดใสฝุดๆ หัวใจเต้นเป็นจังหวะ Dub-step บวกกับเพลงโจ๊ะแถวบ้านเรา


คิดเล่นๆ สิ หาดตาชัยเอ่ย หาดสิมิลันเอย ดำน้ำเอย ปลาการ์ตูนเอย โอ้ยๆๆ ว่ากันแล้วก็ไปกันเลย...

พี่ๆ ทีงาน "Medsye Tour" ส่งพนักงานรับเราถึงหน้าที่พัก (Seaweed Hostel) ด้วยรถสองแถว

แผนเปลี่ยนนิดหน่อย เปลี่ยนจากเดิมไปเป็นขึ้นเรืออีกท่าหนึ่ง (ผมจำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร)

แต่ห่างจากตัวเขาหลักไปราวๆ 20 นาที และไม่ช้าไม่นาน เราก็มาถึง...



:: พอเรามาถึงก็นำใบจองมายื่นให้แก่พี่ๆ พี่ๆ เค้าก็จะขานทีละคนว่าใครว่ายน้ำเป็นว่ายน้ำไม่เป็นบ้าง


และก็เอาเชือกด้ายหลายสีมาผูกข้อมือให้เรา เผื่อแบ่งแยกว่า เมิงไปทัวร์นี้นะ เมิงไปทั่วร์นั้นนะ

ไม่นานพี่ๆ ทีมงานเค้าก็บรีฟเราอย่างรวดเร็ว ว่าเราจะไปไหนก่อนอย่างไรบ้าง ต้องทำอะไรบ้าง

มีเวลาอยู่หาดนี้กี่นาที กับข้าวเที่ยงนี้มีอะไรบ้าง และก็แจกอุปกรณ์ดำน้ำตื้นให้กับเรา

แล้วก็ปล่อยให้เราเดินลงไปที่ท่าเรืออย่างเนิบๆ ท่ามกลางแดดที่ร้อนเปร็ยง



:: เราถอดรองเท้าแตะรองเท้าคีบออกโดยการถูกบังคับ เนื่องจากว่าพี่ๆ พนักงานเค้าเป็นห่วง


กลัวว่ารองเท้าเราจะตกหรือหล่นหายตายจากไปกับทะเลอันดามันแสนสุดสวยนั่นเอง

เมื่อทุกคนพร้อม แขกพร้อม ไกด์พร้อม กล้องพร้อม ทุกอย่างพร้อม เครื่องยนต์ท้ายเรือก็ทำงาน...



:: ระหว่างที่นั่งเรือ ก็มองวิวสองฝั่งข้างทางไปอย่างเพลิดเพิลน ด้านซ้ายมีภูเขาลูกใหญ่โดดมาอย่างสง่างาม


บวกกับมีป่าไม้ริมตีนเขาที่แปลกตา ฝูงนกบินไล่กันวุ่นไปหมด มองไปฝั่งขวาก็ดุเหมือนกลุ่มเราจะโชคดี

มีปลาโลมาแหวกว่ายท้าชิงกับความเร็วของเรือ นี่มันฝันชัดๆ ปลาโลมาน้อยใหญ่กำลังว่ายท้าคลื่นตีคลื่น

ขนาบสองฝั่งข้างเรือ เราหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย ทุกคนดูตื่นเต้นตื่นตา นี่อาจเป็นครั้งแรกของใครหลายคน

รวมถึงผมด้วย ให้ตายเถอะโลมาตัวเป็นๆ ทำไมมันน่ารักแบบนี้ ด้วยความที่ตื่นเต้นแบบมากๆ ผมาไม่รอช้า

คว้าสวิงที่ท้ายเรือผูกมัดเข้ากับไม้พาย แล้วช้อนปลาโลมาขึ้นมาได้อย่า... พ่อง!!!



เอาจริงๆ คือระหว่างทางที่ไปหาดตาชัยเหี้_มากๆ ครับมองไปทางไหนก็เห็นแต่น้ำทะสุดลูกหูลูกตา


คือเข้าใจอารมณ์ปะ มันใช่น้ำใสๆ ครามๆ เหมือนสีน้ำใกล้ๆ หาดนะเฟ้ย มันดำไปหมดเบยย T T

นั่งข้างหลังก็เหม็นกลิ่นควันจากเครื่องยนต์บ้าง กลิ่นน้ำมันบ้าง แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรมาก

พวกเราพากันเดินไปหน้าเรือเพื่อไปถ่ายรูปเล่นกัน ว้าววว นี่สินะ อีกรารมณ์หนึ่งของการมาเที่ยวทะเล

การอ้าแขนกว้างๆ แล้วปล่อยให้ลมซัดเข้าหาตัวแรงๆ มันทำให้รู้สึดีไม่น้อย

ระหว่างที่กำลังสนุกสนานกันอยู่ที่หน้าเรือ ก็เห็นเหมือนมีคนชี้นู้นชี้นี้แล้วก็ โซๆๆๆๆๆๆ

เราเลยเดินเข้าไปถามว่าอะไร เค้าก็บอกว่า "ปลาบิน" ฮ๊ะ!!! ปลาบิน

มันดีด้วยหรอวะเนี่ย พี่ท้ายเรือเค้าบอกว่า คอยดูนะ เด่วมันก็ขึ้นมาอีก

แล้วมันก็ขี้นมาจริงๆ ครับ มันใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที โดดขั้นเหนือน้ำราว 20 เซนติเมตร

และก็บิน บิน บินๆๆๆๆๆ พ่องงงงงงงง บินไปไกลมาก ผมนิลุกขึ้นยืนเลย



:: เอาหละ มาเอาเกร็ดความรู้กลับไปกันซักเล็กน้อย ปลานกกระจอกหรือที่เค้าเรียกว่า "ปลาบิน"


ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Exocoetidae มีลักษณะโดยรวม คือ มีลำตัวยาวมาก ค่อนข้างกลม

จะงอยปากสั้นทู่สั้นกว่าตา ปากเล็ก ไม่มีฟัน ไม่มีก้านครีบแข็งที่ทุกครีบ ครีบหูขยายใหญ่ยาวถึงครีบหลัง

ครีบท้องขยายอยู่ในตำแหน่งท้อง ครีบหางมีแพนล่างยาวกว่าแพนบน ครีบหางเว้าลึกแบบส้อม

เส้นข้างลำตัวอยู่ค่อนลงทางด้านล่างของลำตัว เกล็ดเป็นแบบขอบบางไม่มีขอบหยักหรือสาก หลุดร่วงง่าย

จัดเป็นปลาทะเลขนาดเล็ก มีความยาวเต็มที่ไม่เกิน 30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก

โดยพบในทะเลที่ห่างจากชายฝั่งพอสมควร ส่วนใหญ่มีลำตัวสีเขียว หรือสีน้ำเงินหม่น ข้างท้องสีขาวเงิน



:: เป็นปลาที่มีลักษณะเด่น คือ นิยมอยู่รวมกันเป็นฝูงและหากินบริเวณผิวน้ำ


มีจุดเด่น คือ เมื่อตกใจหรือหนีภัยจะกระโดดได้ไกลเหมือนกับร่อนหรือเหินไปในอากาศเหมือนนกบิน

ซึ่งอาจไกลได้ถึง 30 เมตร ขึ้นอยู่กับขนาดของตัวปลาและจังหวะ อันเป็นที่มาของชื่อ

โดยใช้ครีบอกหรือครีบหูที่มีขนาดใหญ่มากเป็นตัวพยุงช่วย ในขณะที่บางชนิดมีครีบก้นที่มีขนาดใหญ่ร่วมด้วย

ปลานกกระจอกเมื่อกระโดดอาจกระโดดได้สูงถึง 7-10 เมตร ด้วยความเร็วประมาณ 65 กิโลเมตร/ชั่วโมง

และสามารถอยู่บนกลางอากาศได้นานอย่างน้อย 10 วินาที นี่เมิง บินเร็วนักใช่มั้ย กุจับมาทอดกิ้นแม่ม! หึหึ



:: ขอบคุณเรื่องราวดีๆ จากพี่วีกีพีเดียด้วยนะครับ ไม่นานนัก พี่แกก็พาเราอ้อมไปหลังเกาะตาชัยครับ


คราวนี้ถึงเวลาที่เราจะดำน้ำกันแล้ว ไม่รู้ว่าเราจะโชคดีได้เจอฉลามวาฬเหมือนกรุ๊ปอื่นๆ กันรึป่าว

แต่ยังไงก็ตามแต่ ขอให้เราโชคดีด้วยเถิด สาธุ



ตาชัย

:: เสียใจมากๆ ที่จุดดำน้ำตาชัยมีแต่หิน หิน หิน ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันคือปะการังรึป่าว


ในสายตาผม แม่มมันคือหินเว้ยยยยยยย นิกุมาทำอะไรที่เกาะแห่งนี้เนี่ย

ผมเฟลเบาๆ เพื่อนๆ ถ่ายรูปกันสนุกสนาน ผมแยกตัวออกมาเพราะเฟลพอสมควร

ไม่คิดว่ามันจะทุเรศขนาดนี้ ไหนเพจประโคมข่าวกันว่าเห็นหลามวาฬ เห็นนุ้นนี่กันนักหนา

ทำไมกุมาแล้วไม่เห็นอะไรเลยฟร๊ะ หรือกุจะโชคร้ายเนี่ย T T



:: เราใช้เวลาอยู่ตรงนั้นไม่นานหรอกครับ ราวๆ 15 นาทีก็เรียกว่าเบื่อได้แล้ว


เราขึ้นลงมานั่งบนเรือพร้อมอาการที่เหนื่อยพอสมควร เพราะตอนที่เราไปคลื่นแรงมาก

ว่ายน้ำไม่ค่อยไปเลย ผมเก็บความเฟลไว้ในใจ และหวังว่าหาดคงจะทำให้ผมหายเฟล



:: จากหลังเกาะมาสู่หน้าหาดใช้เวลาไม่มากครับ ถ้าผมจำไม่ผิด เค้าบอกว่าหาดตาชัย


เป็นหาดที่ยาวราวๆ 700 เมตร (รึป่าววะ) หาดจะขาวใสพื้นทรายเนียน เรือดับเครื่องยนต์

ผู้คนก็เริ่มเดินลงจากเรือ ปลายเท้าผมสัมผัสน้ำทะเลอันดามัน พร้อมกระแทกตอนหลังกับพื้นทราย

ความรู้สึกตอนนั้นมันยังไม่หายเฟล เดินนำเพื่อนไปแล้วก็เอากล้องหันหลังกลับมาถ่ายเพื่อนๆ

หลังจากที่ถ่ายรุปเพื่อนๆ ครบทุกคน เราก็พากันเดินขึ้นชายหาด พี่ๆไกด์ก็ประกาศเสียงดัง

"ใครที่มากับเม็ดทรายทัวร์ ให้เดินตามมาทางนี้นะค่ะ อาหารของเราเป็นแบบบุฟเฟ่ต์"

ผมหิว เพื่อนหิว เราเดินขึ้นหาดทรายตามเสียงของผู้ใหญ่เสื้อเขียวคนนั้นไป

แต่ทว่า มีอยู่จังหวะหนึ่งที่ผมนึกอยากจะหันหลังกลับไป และภาพตรงหน้าตอนนั้นที่ผมเห็น

ผมนิหยุดนิ่งยังกะรูปปั้นตามวงเวียนต่างจังหวัดเลยหละครับ...



:: คือเมิงใสไปครับ เมิงใสไป ความเฟลของผมตอนนั้นมันถุกกระชากออกจากหัวไปหมด


ผมได้แต่หักห้ามใจ เด่วกุจะกลับมาถ่าย กุจะกลับมาเล่น กุจะกลับมาเอาเมิงให้คุ้มเลยตาชัย

ผมหันหลังกลับไปแล้วเดินตามลูกทัวร์คนอื่นๆ ไปในห้องอาหารท่ามกลางเกาะใหญ่

ที่มีต้นไม้เขียวขจีล้อมรอบ ปูพื้นด้วยผืนทรายเม็ดละเอียด โหหหห ให้ตายเถอะครับ...



:: เราคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือก Package จากบริษัทนี้ครับ พี่ๆ ทีมงานเม็ดทรายทัวร์


เค้าให้เราใช้ชีวิตแบบฟรีสไตล์เลย หยิบจานแล้วไปตักข้าว รวมถึงอาหารบางส่วนเอง

ระหว่างที่นั่งกินกัน ก็จะมีกุ้งตัวใหญ่ๆ โตๆ มาคอยทะยอยเสิร์ฟให้ ไม่พอก็เอาอีก

ผมไม่รู้จะกินอะไรแล้ว มันเยอะไปหมด และกินแค่เท่านี้ก็คงจะอิ่มแล้วแน่ๆ

ผมรีบจ้วงช่วงใหญ่ซัดข้าวและก็กุ้งตัวโตๆ อย่างเมามัน ก่อนที่จะไปโดปไอติมต่ออีก 1 สกูป

โอ้ยยย ให้ตายเถอะครับ อากาศชิวๆ คล้อยสายลมเบาๆ ท่ามกลางเกาะกางทะเล

ที่ขึ้นชื่อว่าสวยเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย กับไอติมกะทิมะพร้าว 1 สกูปในมือนิมันฟินนดีจริงๆ เลย



:: เวลาที่เหลือคงเป็นของพวกเราแล้วสิครับ หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จ เรามีเวลาราว 45 นาที


ในการใช้ชีวิตอยู่บนหาดทรายขาวยาวกว่า 700 เมตรแห่งนี้ พวกเรากลายร่างเป็นเด็กน้อยอีกครั้ง

ิวิ่งเล่นกันจนลืมไปว่าในเกาะไม่ได้มีแค่พวกเราเพียงกรุ๊ปเดียว แต่ก็ช่างมันเถอะ มีชีวิตก็ใช้ซะ!!!



:: คืออารมณ์ตอนนั้นเราไม่ได้สนใจวิวแล้วครับ เราสนใจแค่ว่า


จะทำยังให้ภาพของเรา มีตัวเราอยู่ในวิวนั้นให้มากที่สุด

เราถ่ายแต่รูปคู่ รูปกลุ่ม จนไม่ได้ถ่ายรูปวิวติดมือมาซักภาพเดียว

ผมว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอก ถ้าไม่เชื่อคุณลองนั่งเรือไปหาดตาชัยดูสิครับ : )



สิมิลัน

:: ออกมาจากหาดตาชัยก็นั่งเรือต่อไปที่สิมิลันครับ ก่อนเข้าเกาะสี่พี่ๆ ทีมงานเม็ดทรายทัวร์


จะจอดเรือให้เราพักดำน้ำอยู่ที่เกาะๆหนึ่งในสิมิลัน ซึ่งก่อนเรามา เค้าเล่าว่าฉลามวาฬอยู่แถวนี้แหละ

ด้วยความดีใจไม่รอช้า พี่คนโตกระโดดน้ำลงไปก่อนเพื่อน แต่ให้ตายเถอะ หัวฟาดหินเต็มๆ



เห้ย!!!



หลังจากที่กระโดดลงไปสิมิลัน พวกเราก็โดดลงไปตามกันทั้งหมด

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบ Free diving ( คือการดำน้ำโดยไม่ใส่ชูชีฟ ใส่แค่แว่นตากับตีนเป็ด)

ระหว่างที่ดำน้ำกันก็ลุ้นว่าจะได้เจอฉลามวาฬมั้ย แต่ก็น่าเสียดายที่โชคไม่เข้าข้าง

แต่ปะการังก็ยังดีกว่าตาชัยหน่อยครับ จริงๆ แล้วทั้งสิมิลันและตาชัยมันสวยนะครับ

ทั้งหาดทั้งปะการัง มันขึ้นอยู่กับว่าดวงใครจะเจอของเด็ดมากกว่า

บางกรุ๊ปมาเจอทั้งนีโม่ เจอทั้งปลาหลากหลายพันธุ์ หรือเด้ดกว่านั้นคือฉลามวาฬ

สำหรับผม ผมคิดว่าดำน้ำตื้นที่สิมิลันไม่เวิร์คเท่าไหร่

ปะการังน้ำตื่น หรือหมู่ปลาหลากพันธุ์ต่างๆ มันไม่ค่อยเยอะอะครับ

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่สนุกนะครับ ถึงสถานที่มันจะไม่สวยไม่อำนวย

แต่พวกเราก็สร้างความสะขึ้นมาเองกันซะเลย ๕๕๕



:: อาจจะเป็นเพราะว่าผมเคยเจออะไรที่สวยกว่านี้มาก่อน


ทะเลใต้ที่ผมคิดว่าสวยมากๆ สำหรับผมคือ "ห ลี เ ป๊ ะ"

ยังไงเพื่อนๆ ลองตามรีวิวข้างล่างดูนะครับ



::::::::::::: http://pantip.com/topic/31893502 :::::::::::::



:: เรามีเวลาอยู่บนเกาะนี้ราวๆ 30 นาทีครับ พี่ๆ เค้าบอกว่า ใครจะขึ้นไปหินเรือใบก็ได้


ไม่ขึ้นก็ได้ ให้นั่งรออยู่ข้างล่างนี้ แล้วเพื่อนๆ คิดว่าพวกเราจะไม่ขึ้นไปหรอครับ

มองจากข้างล่างขึ้นไปข้างบน หินเรือใบเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก

เอาหล่ะ เราคงต้องแก่งแย่งชิงดีกัน หึหึ



:: ทางขึ้นไปบนหินเรือใบไม่ลำบากเท่าไหร่สำหรับผม แต่สำหรับคนที่อายุมากว่า 40 ปี


คงจะเหนื่อยหรือหอบกันบ้างหละ ทางเดินบางช่วงจะมีไม้กระดานรองเป็นบันไดให้เดิน

และส่วนใหญ่จะเป็นพื้นหินเพียวๆ ถ้าเป็นไปได้ควรใส่รองเท้าผ้าใบขึ้นไป

แต่แหม่... เมิงไปทะเล เมิงคงไม่ใส่ผ้าใบไปกันหรอกมั้ง

ซึ่งก็เหมือนกับพวกเราครับ ตีนใครหนา ตีนใครด้าน ได้เปรียบ

ใช้เวลาประมาณ 5 - 7 นาที เราก็ขึ้นไปถึงหินเรือใบ และภาพนี้คือภาพแรกที่ผมถ่ายเก็บไว้



:: บนลานหินเรือใบร้อนมากครับเพื่อนๆ ไม่สิ ร้อนเหี้_ๆ ครับ ใครตีนบางหลบไป


คนตีนหนาตีนด้านจะเป็นพระเอกทันที พวกเราใช้เวลาต่อคิวถ่ายรูปตรงนี้กันนานพอสมควร

จนกระทั่งถึงคิวของเรา เราไม่รอช้าที่ใช้เวลาให้คุ้ม และมันคุ้มซะจนดูเหมือนว่า

พื้นที่ตรงนั้น เราได้ซื้อโฉนดที่ดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ๕๕๕



:: หลังจากที่เราลงมา เราก็มาถ่ายรุปเล่นกับหินเรือใบ และก็ลงเล่นน้ำกันนิดหน่อยครับ


ช่วงเวลาที่เราใช้ไปบนเกาะสิมิลัน ช่วงน้ำเป็นช่วงที่น้ำลงครับ เรือจะอยู่ห่างออกจากฝั่งค่อนข้างมาก

เราต้องเดินไกลกว่าตอนขามาเพื่อขึ้นไปบนเรือ เรื่องนี้อยากจะเตือนเพื่อนๆ นะครับ

หน้าหาดสิมิลันมีหินแหลมๆ เยอะมาก ระวังจะปาดเท้ากันด้วย เป็นห่วงมากครับ

พวกเราขึ้นเรือกันครบทุกคน มันถึงเวลาที่จะบอกลา Day Trip วันนี้แล้วครับ

สิมิลัน ตาชัย จะอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป และไม่ช้าไม่นาน เราจะกลับมาเจอกัน...



:: สำหรับ Package ที่เราใช้ในวันนั้นคือ Day Trip สิมิลัน - ตาชัย ราคา 3,000 บาท ครับ


เราใช้บริการของ เม็ดทรายทัวร์ สำหรับผมผมว่าพี่ๆ ไกด์เค้าโอเคเลย อาหารก็ถือว่าจัดได้

ถ้าเพื่อนๆ คนไหนสนใจยังลองเข้าไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.medsye.com

หรือจะเข้าไปพูดคุยแบบเป็นกันเองกับพี่ๆ ทางเฟสบุ๊คก็ได้ https://www.facebook.com/medsyetour

ถ้าจำไม่ผิด Package ของเม็ดทรายทัวร์มีหลายแบบให้เลือกมากๆ นะ

ยังไงลองถามพี่ๆ แกดู และก็ลองบอกว่ามาจาก palapilii review ดูครับ เผื่อพี่แกจะลดให้ ๕๕๕



คุระบุรี

:: หลังจากที่เรากลับมาถึงฝั่ง พี่ๆ ทีมงานเม็ดทรายทัวร์ก็ใช้รถสองแถวคันเดิมไปส่งเราทีที่พัก


ขากลับมันก็คนละอารมณ์กับตอนไปครับ ตอนไปแรงเหลือแหกปากร้องเพลงกัน

ขากลับนั่งหลับกันบานหทัย ๕๕ เมื่อเราไปถึงที่พัก ก็ขอทาง Seaweed hostel ชำระล้างรายกาย

ซึ่งพี่เค้าก็ไม่คิดค่าบริการอะไรนะครับ แถมยังหาสบู่และยาสระผมมาให้พวกเราอีกด้วย

ต้องขอบคุณพี่ๆ จริง เมื่อทุกคนพร้อม เราก็เดินทางไปที่ อ.คุระบุรี ซึ่งจะเป็นสถานที่ที่เราจะไปพักกันคืนนี้

จาก เขาหลัก ไปคุระบุรี ไม่นานเท่าไหร่ครับ เราไปถึงประมาณเกือบสามทุ่ม ก็เข้าไปติดต่อกับพีเจ้าของที่พัก



:: เราพักที่ "คุระบุรี รีสอร์ท" ผมจำราคาไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่เอาเป็นว่าถูกมากครับ


เจ้าของเป็นคุณลุงกับคุณป้าที่น่ารักมาก ดูแลเราอย่างดี หลังจากที่ทุกคนเอาของไปเก็บที่ห้อง

ก็นัดรวมตัวกันเพื่อไปทานข้าวเย็นครับ ที่ร้านหน้ารีสอร์ทเป็นร้านอาหารธรรมดาๆ แต่รสชาติเรียกได้ว่าถึง

แถมยังมีคาราโอเกะให้ร้องกันเพลินๆ อีกด้วย คืนนนั้นเราสนุกกันมาก บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

ก่อนที่จะเช็คบิล แล้วกลับเข้าที่พัก นอนรอ mission ต่อไปในวันพรุ่งนี้...



:: เราติดต่อซื้อเรือข้ามฟากไปกลับกับคุณลุงคุณป้าเลยครับ ผมจำได้ว่าราคาที่ได้ถูกมาก


พวกเราสอยมาได้ในราคา 1,500 บาท (รวมไปกลับ) เราตื่นแต่เช้าโดยการถูกปลุกจากเจ้าของรีสอร์ท

งงมั้ยหล่ะ คุณลุงกับคุณป้าเป็นห่วงกลัวเราจะไปไม่ทันเรือข้ามฟากครับ ก็เลยรีบมาปลุกเราที่หน้าบ้านเลย

อีกอย่าง คงเป็นเพราะ คนขับรถมารอรับเราด้วย พวกเราต้องรีบเก็บของและรีบกินข้าวเช้าให้เสร็จเร็วที่สุด

อาหารมื้อนั้นมันเต็มไปด้วยความรีบร้อน บางคนก็ไม่ได้กินเลยมั้ง เสียดายมากๆ

เหมือนกับว่าคุณป้าตั้งใจตื่นมาทำให้พวกเราจริงๆ ก่อนไปคุณป้ายังพยายามยัดขนมห่อใบตองใส่กระเป๋าพวกเรา

และบอกว่าเอาไปกินตอนนั่งรถ เผื่อหิวตอนไปเที่ยว พูดแล้วก็คิดถึงจริงๆ : )



:: จากรีสอร์ทไปท่าเรือไม่ไกลกันมากครับ ท่าเรือข้ามฟากไปหมู่เกาะสุรินทร์ ดูจะไม่สวยงามเท่าไหร่นัก


แต่มันก็ทำให้หัวใจเราเต้นรัวเหมือนทุกครั้ง เพราะเรากำลังลุ้นอยู่ว่า ทางข้างหน้า เราจะเจออะไรบ้าง

มองไปรอบๆ เห็นเป็นป่าชายเลน ที่มีแบ๊คกราวน์ใหญ่โตเป็นภูเขาหนึ่งลูก ผสมกับหมอกจางๆ อย่างลงตัว

นี่คงจะเป็นอีกเช้าหนึ่ง ที่แสนพิเศษ อีกเช้าหนึ่งที่เราจะต้องมาลุ้นว่าเราจะเจออะไรในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า



:: เรือลำนี้เป็น Speed boat นั่งได้ 30 กว่าคนครับ เราก็อัดกันไปอยู่โซนหลัง


ระหว่างทางที่ไปก็ไม่มีอะไรมาก ทะเล ทะเล ทะเล แล้วก็ทะเล จนมาถึงจุดๆ หนึ่งที่ทำให้เราต้องฮือฮา

นั่งก็คือบริเวณปากอ่าวเปิด (อ่าวช่องขาด) ที่ต้อนรับเข้าหมู่เกาะสุรินทร์นั่นเอง พอเราเข้าไปใกล้ๆ

ใกล้ ใกล้ และใกล้เข้าไปอีก จะพบว่า ที่เหมือนเหมือนสวรรค์ น้ำทะเลใสและสะอาดมาก

ที่สำคัญ ไม่มีใครเลยตอนที่เราไป ยังกะเกาะส่วนตัว เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่า

ช่วงที่เราไป คือคืนสุดท้ายก่อนที่เกาะจะปิด เย่ "แจ๊คพอทหล่ะทีนี้"



:: ไม่นานนักเรือก็จอดและทำการเปลี่ยนขนย้ายของและคนไปอยู่ในเรือหางยาว


พี่พนักงานจะถามว่า เราจะลงหาดไหน มันจะมีอยู่สองหาดนะครับเพื่อนๆ

อ่าวช่องขาด กับอ่าวไม้งาม พวกเราเลือกที่พักบริเวณอ่าวไม้งามครับ...



:: สำหรับผมมันเกินคำบรรยายจริงๆ ครับ มันใส มันสะอาด มันปราศจากผู้คน


คือมันเหมือนกับว่าเราซื้อเกาะแห่งนี้เป็นชื่อของเราไปแล้ว เรือหางยาวค่อยๆแล่นเข้าฝั่งอย่างช้าๆ

พวกเราก็ได้แต่ตื่นเต้นกับวิวที่เห็น บอกตามตรง ผมไม่เคยสัมผัสกับอารมณ์แบบนี้มาก่อน

ถึงแม้ว่าหลีเป๊ะจะฟินสุดๆ ก็จริง แต่ที่นี่ มันสงบ และสุดมากๆครับ...

หาดไม้งาม

:: เราขนของทั้งหมดลงจากเรือ ชีวิตอีก 2 วัน เราต้องติดเกาะอยู่บนเกาะแห่งนี้


เอาหล่ะ ก่อนที่จะเข้าไปที่หาดไม้งาม ซึ่งเป็นหาดที่เราจองที่พัก

เราจะต้องเดินผ่านทางเดินธรรมชาติความยาวกว่า 200 เมตร ซึ่งระยะทางนั่นไม่ได้ไกลมาก

แต่ระหว่างทางที่เดินไป เราพบอะไรต่างๆ มากมาย เลยทำให้การเดินทางช้าลง

ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ต่างๆ ที่ดูจะแปลกตาออกไป รวมไปถึงภาพที่เห็นข้างล่างนี้ด้วย



:: แว๊บแรกที่เห็น ผมก็คิดเหมือนหลายๆ คนครับ ประนามมนุษย์อย่างพวกเราเลย


เมิงมันเหี้_ เมิงมันไม่ดี ทำให้สัตว์ไมมีที่อยู่อาศัย เห็นมั้ย เพราะความเห็นแก่ตัวของเมิง

เลยทำให้ระบบนิเวศต้องเป็นแบบนี้ กุหละสงสา... พอเถอะครับ!

หลังจากที่ผมก็คิดแบบนั้นในแว๊บแรกเหมือนกัน แต่ระหว่างที่ถา่ยภาพไอ่เจ้าตัวนี้ไป

ผมก็เอะใจว่า จริงๆ แล้ว เจ้าปูเสฉวนตัวนี้ตัวมันใหญ่มากเลยนะ แล้วจะหาหากระดองหอยที่ไหน

มาสวมหละ มันคงเห็นว่าท่อพีวีซีนี่แหละ ที่เหมาะสมกับมัน นึกดูแล้ว

ท่อ PVC ก้ไม่ได้ เลวร้ายเลยนะ มันแข็งแรงกว่าเปลือกหอยหลายๆ ชนิดซะอีก

รวมถึงขนาดและรูปทรง สามารถสวมเข้าไปได้อย่างเหมาะสมลงตัว

พอคิดในทางกลับกันดูแล้ว บางที เราก็ไม่ควรจะไปตัดสินอะไรจากภายนอกก่อนเลย...



:: เราจองที่พักกับทางอุทยานไว้ 6 หลังครับ นอนหลังละ 2 - 3 คน


ราคาตอนนั้นน่าจะตกอยู่ที่หลังละ 250 บาท รวมค่าหมอน และเบาะรองนอน

ก็ตกคนละไม่กี่บาทเท่านั้น เต๊นท์ที่นี่ก็เหมือนกับเต็นอุทยานแห่งชาติทั่วไปครับ

ตอนแรกเราคิดว่าอยู่ทะเลจะร้อน แต่สำหรับหาดไม้งามแล้ว ไม่เลยแม้แต่น้อย

ลมพัดมาตลอด เราเย็นสบายมากครับ พวกเราไม่รอช้าที่จะติดต่อพี่เจ้าหน้าที่

เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับทริปดำน้ำที่เกาะสุรินทร์แห่งนี้ มาที่นี่พวกเราไม่มีแผนอะไรทั้งนั้นครับ

กะมานอนพักผ่อนก่อนกลับกรุงเทพฯ ก็ว่าได้ หลังจากที่สอบถามจากทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯ

ก็ได้ข้อมูลมาดังนี้ครับ ทางอุทยานฯ จะมีเรือหางยาวให้นักท่องเที่ยวสามารถดำน้ำตามจุดต่างๆ ได้

โดยจะเลือกได้ประมาณ 4 แบบ โดยแบ่งเป็นโซนเหนือกับโซนใต้อย่างละ 2 แบบ

ซึ่งแต่ละแบบราคาถูกมากๆ ทางอุทยานเก็บค่าใช้จ่ายเพียงหัวละ 100 บาทเท่านั้น



:: สำหรับวันแรกในหมู่เกาะสุรินทร์ พวกเราเลือกที่จะไปอ่าวสัปปะรด และวนไปบริเวณรอบๆ ครับ


เราทำการจ่ายตังค์และก็ทำการสั่งอาหารสำหรับมื้อแรกในหมู่เกาะสุรินทร์

อาหารที่นี่ราคาพอสมควรครับ อย่างเช่นกระเพราราดข้าว ก็ปาไปจานละ 120 บาท

แต่จะทำยังไงได้ครับ ทั้งเกาะมีอยู่ร้านเดียว ๕๕๕



:: เรือจะมี 2 รอบนะครับ คือรอบแรกตอน 9 โมงเช้า และรอบสองตอนบ่ายโมงตรง


เพื่อนๆ สามารถล่องเรือควบวันเลยก็ได้ แต่จะต้องจ่ายเพิ่มเป็น 200 บาท เพราะเวลา 1 วันเต็ม

สามารถพาเพื่อนๆ ทัวร์โซนเหนือ หรือโซนใต้ได้ทั้งหมด เพราะฉนั้น หากใครจะมาเที่ยวหมู่เกาะสุรินทร์

ผมขอแนะนำเลยว่า อย่างน้อย พวกคุณต้องมาซัก 3 วัน 2 คืน ครับ รับรองความฟิน



:: ระหว่างที่รอเราก็นั่งนอนเปล ปีนป่ายต้นไม้บริเวณหน้าหาดไม้งามครับ


ตอนนั้นรู้สึกว่าร่างกายต้องการทะเล ต้องการสัมผัสกับมันจริงๆ ครับ

ไม่ช้าไม่นาน พวกเราก็กระโดดโหยงๆ ลงไปเล่นทะเลกันหมดทุกคน

เพื่อฆ่าเวลาระหว่างที่รอให้เรือหางยาวลำน้อย มารับเราไปทัวร์หมู่เกาะสุรินทร์ในรอบแรก...



ดำน้ำ

:: เมื่อถึงเวลา พี่ๆ เจ้าหน้าที่อุทยานก็มาแจ้งพวกเรา พร้อมเน้นย้ำให้ใส่ชูชีพไปคนละหนึ่งตัว


กับหน้ากากดำน้ำคนละหนึ่งอัน ห้ามชำรุด ห้ามหาย และต้องดูแลยิ่งชีพ

เราเดินลัดเลาะกลับไปในทางเก่าที่เรือจอดมาส่ง แล้วก็ทยานสู่น่านน่านที่เรียกว่า "อันดามัน"



:: แดดยิ่งแรง น้ำทะเลยิ่งใส เคยเห็นมั้ยครับ เรือลอยอยู่ในอากาศได้


มันเหมือนกับว่าเงาของเรือนั้นหล่นไปยังพื้นดินทรายด้านล่าง

เหมือนกับว่า เรือเราสามารถลอยได้ในขณะนั้น

นั้ำมันใสจริงๆ ใสจนลืมสิมิลันตาชัยไปเลย เราหลังรักเกาะสุรินทร์เข้าอย่างจัง



:: เราตกลงกับพี่เจ้าหน้าที่ ว่าเราจะเริ่มต้นที่เกาะตอรินลา อ่าวผักกาด แล้วไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ


แต่เมื่อไปถึงบริเวณอ่าวผักกาด ก็ต้องยอมแพ้กับผูงแมงกระพรุนนับหมื่นตัวที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ

เราไม่สามารถลงไปได้จริงๆ เพื่อนบางคนโดนแล้วแสบไหม้ อาการมันแสบร้อนอะครับ

แล้วก็จะแดงเหมือนเดินอะไรล้อนๆ ล๊วกใส่ พวกเราเลยต้องเลื่อนเข้ามาอีกนิด

ไม่นิดสิ เยอะเลยแหละ เสียดายมาก แต่ก็ต้องยอมทำใจ อ่าวนั้นคือ อ่าวบอน ครับ



:: เราว่ายน้ำตามพี่เจ้าหน้าที่ไปเรื่อยๆ พอพี่เค้าเห็นอะไร ก็จะส่งสัญญาณให้เราดู


บริเวณนี้มีฝูงปลาไม่มาก เพราะน้ำค่อนข้างลึก และบริเวณนี้ที่เดียวกัน

ถ้าเราโชคดี เราจะได้เจอกับฉลามวาฬ ไม่ก็เก่าทะเลครับ

บริเวณนั้นมีปลาการ์ตูนอยู่บางจุด แต่ปะการังดูเหมือนจะถูกทำลายไปมากเลย

การดำน้ำมันก็คงเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรหล่ะมั้ง

ถ้าโชคดีก็คงจะได้เจอสัตว์ใหญ่น้อย รวมถึงปะการังสีแสนสวยงามอีกด้วย



:: ถ้าจะบอกว่าพวกเราโชคร้าย มันก็ใช่ บริเวณแถวนี้คนที่มากรุ๊ปที่แล้ว เห็นทั้งฉลามวาฬ


และสัตว์นาๆ พันธุ์ เห็นเต่าทะเล เห็นอะไรที่มากกว่าพวกเรา ตอนนั้นเราไม่สนอะไรแล้วครับ

ไหนๆ ก็มาเที่ยว ทำตัวให้สนุกที่สุดดีกว่า ทำให้ทุกอย่างมันดูสุดเหวียงไปเลย



:: ถัดจากอ่าวบอน เราก็ไปที่หินกอง บริเวณนี้แทบจะไม่มีปะการังครับ มีแต่ฝูงปลาเล็กๆ


แต่ก็ยังโชคดี ที่พี่เจ้าหน้าที่หยิบปลาดาวใต้ทะเลมาให้เราชม ปลาดาวตัวจริงมันไม่ได้นุ่มอย่างที่เราคิด

มันแข็งเหมือนหินครับ มันจะค่อยๆ เปลี่ยนรูปทรงการเกาะ กับวัตถุที่มันสัมผัสอยู่

จากภาพ เราไม่ได้หยิบขึ้นมาทำร้ายหรืออะไรทั้งนั้นนะครับ

เรารับช่วงต่อมาจากพี่เจ้าหน้าที่ ถ่ายรุปเป็นที่ละรึก แล้วก็ปล่อยกลับสู่ใต้ทะเลดังเดิม

ด้วยเวลาที่เหลือน้อย บวกกับบรรยากาศทะเลที่ไม่เหมาะแก่การดำน้ำเท่าไหร่

เราจึงรีบไปจุดสุดท้ายของวันนี้ นั่นคือบริเวณช่องขาด ของหมู่เกาะสุรินทร์



:: บริเวณนี้น้ำใสครับ มองเห็นปะการังได้ชัดเจน มีหมู่ปลาแหวกไหว้เต็มไปหมด


จริงๆ แล้วเราเห็นอะไรเยอะแยะกว่าในรูปที่เอามาโชว์นะครับ แต่ gopro ตัว hero2 ของผม

มันถ่ายใต้น้ำไม่ชัดเอาซะเลย เลยทำให้เพื่อนๆ เห็นภาพจากตาที่พวกเราเห็นน้อยมาก

เราใช้เวลาเล่นบริเวณนี้จนกระทั่งหมดแรง รวมถึงเจ้าฝูงกระพรุ่นก็ลอยมาใกล้เข้าเรื่อยๆ

ให้ตายสิ เพื่อนเราโดนกระพรุนเข้าให้แล้ว หลายๆ คนรีบขึ้นไปบนเรือ

จำได้ว่าตอนนั้นในน้ำ เหลือผมแค่คนเดียว เอาสิ ถ้าเมิงจะมารุมกุก็มาเลย

ผิวกุด้าน หนังหน้ากุหน้า เมิงคงจะทำอะไรกุไม่ได้มาก แต่เชื่อมั้ยว่า

ระหว่างที่ลอยตัวกลับเข้าหาเรือ ร่างกายผมไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับเจ้าแมงกระพรุนเลย

สงสัยหนังแม่มคงจะหนาจริง เมื่อพวกเราทุกคนพร้อมบนเรือ เราก็ทยานกลับเข้าฝั่ง...

ทั้งวันนี้เราอาจจะไม่เห็นปลาการ์ตูนแบบเต็มๆ

เห็นปลาดาวแบบสวยหรู เห็นฝูงปลาที่น่าชื่นชมว่ายมาโอบล้อมตัวเรา

แต่เชื่อมั้ยว่าโชคดีในความโชคร้ายมักมีอยู่จริง เราเชื่ออย่างนั้น...



หมู่เกาะสุรินทร์

:: หลังจากที่เรือจอด เราก็วิ่งเล่นกันอยู่หน้าหาด ให้ตายเถอะครับ


ปูเสฉวนเต็มหาดไปหมดเลย คืออารมณ์แบบ ไปตรงไหนก็เจอ

มันเยอะมากๆ ครับ เยอนจนเดินหลบไม่ได้ในบางที่ เรานึกสนุก

จับปูเสฉวนเอามาใส่ตัว แล้วถ่ายรูปเล่นกัน ผมจำเรื่องนี้ไม่หาย

หลังจากที่ผมเห็นเพื่อนถ่ายรูปคู่เสฉวน ผมก็อยากจะได้รุปบ้าง

ก็เลยให้เพื่อนจับเสฉวนมาใส่ตัว แต่คือด้วยความที่กวนตีนไง

เอาเสฉวนมาใส่ในกางเกง แล้วแม่มมันก็ไต่ๆ โอ้วยยย

จั๊กจี้ และเสียวมาก ผมนิลุกขึ้นวิ่ง ถอดกางเกงโยนทิ้งแล้วทิ้งตัวดิ่งลงน้ำเลย ๕๕๕



:: และก่อนที่เราจะเดินจากไป เราก็ได้ภาพๆ หนึ่งมาเก็บไว้เป็นที่ระลึก


ภาพนี้เป็นอีกภาพ ที่ผมรัก และชอบมากที่สุดในทริปๆ นี้ : )



:: อย่างที่เราบอกครับ มีโชคร้ายย่อมมีโชคดี บริเวณหาดไม้งามที่เราตั้งแคมป์


บรรยากาศสวยมาก ลมโชยตลอดเวลา แถมยังมีพี่ๆ มากระซิบบอกว่า

มีผูงปลาการ์ตูนอยู่ประมาณหกกอ ยังไงน้องลองเดินไปตรงนุ้นนะ

จะอยู่บริเวณซอกโขดหินใหญ่ เราตื่นเต้นมาก

ผมและเพื่อนๆ ไม่รีรอที่จะวิ่งกลับออกไปสู่ทะเลอีกครั้ง



:: เราใช้เวลาหานานมาก นานจนไม่ไหวแล้วครับ จนหลายคนเลิกหา

และบอกว่า พอเหอะเมิง ไปเล่นน้ำทะเลตรงนู้นกันดีกว่า

ผมก็ถอดใจ เดินไปเล่นน้ำทะเลเหมือนคนอื่นๆ แต่ระหว่างนั้น

เห้ยเมิงงงงงงง กุเจอแล้วววววววววววววว!!!!

เสียงดังจากพี่โชค ตะโกนมาหาพวกเราอย่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นทั้งหมดที่มี



:: ให้ตายเถอะครับ ผมไม่เคยเห็นปลาการ์ตูนตัวไหนอาศัยอยู่ในน้ำที่ตื้นขนาดนี้มาก่อน


แล้วเพื่อนๆ รู้มั้ยว่า พอเราหาเจอกอหนึ่ง เราก็จะเจออีกกอหนึ่งไปเองโดยปริยาย

แล้วให้ตายอีกรอบเถอะครับ น้ำตื้นแค่นี้ แต่ฝงปลาแม่มเต็มไปหมด

แล้วที่กุจ่ายค่าเรือไปหัวละร้อยออกไปกลางทะเลตั้งแต่บ่ายนั้นคืออะไร พุด!!! 555



:: ผมดีใจมากๆ ที่หน้าเต๊นท์เรา มีอะไรมาเติมสิ่งที่ขาดหายไปในทริปนี้อย่างหมดสิ้น


แค่ผมได้เห็นปลาการ์ตูน เห็นปูทะเล เห็นปลาไหลทะเล และอีกอื่นๆ หลายอย่างที่ผมไม่รู้

ถ่ายไม่ทัน รวมถึงไม่สามารถเก็บภาพมาให้เพื่อนๆ ชมได้ แต่ก็รู้สึกดี

ที่อย่างน้อย ภาพข้างบนนี้ เราได้เห็นเอง ถ่ายเอง และได้สัมผัสด้วยตัวเอง

เราใช้เวลาที่เหลือเล่นน้ำ และหยอกล้อกัน จนตะวันตกดิน



:: หลังจากที่เรากลับมาทานข้าว อาบน้ำ เรียบร้อย เราก็มีปาร์ตี้ปิดหาดกันตอนกลางคืนครับ


พวกพี่ๆ เจ้าหน้าที่และเพื่อนเดินทางต่างกลุ่มเชื้อเชิญเราให้เราไปร่วมจอย ร่วมสนุกด้วย ตอนแรกก็เกร็งๆ

แต่ตอนหลังๆ ก็ไปตามสไตล์สบายใจหลับไหลไปอีกคืน และคืนนี้ยังอีกยาวไกล ๕๕๕



วันสุดท้าย

:: เราตื่นนอนกันมาตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อมาสูดบรรยากาศยามเช้าของที่นี่
บรรยากาศช่างดีเหลือเกิน ดีจริงๆ ครับ ไม่เหมือนอยู่ทะเลเลย เราแบ่งหน้าที่กัน
บางคนไปเตรียมสั่งอาหาร บางคนก็ไป confirm เรือทัวร์รอบสุดท้ายก่อนปิดเกาะ
บางคนยังไม่ตื่น ส่วนตัวผมก็ถือโอกาสนี้ Jogging เบาๆ กับพี่ชายคนนี้แล้วกัน

:: หลังจากวิ่งเหนื่อยๆ เราสังเกตุว่าน้ำมันลดลงเยอะมาก เราก็เลยเดินไปดูว่า


เจ้านีโม่จะเป็นอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่เราเห็นก็ต้องทำให้เราตกใจนิดหน่อย

คือเราสงสัยว่า มันหายไปไหน แล้วดอกไม้ทะเลจะไม่ตายใช่มั้ย?



:: หลังจากที่ทุกคนเตรียมตัวกันเรียบร้อย เตรียมข้าวของ ทานอาหาร เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ


การเดินทางเที่ยวสุดท้ายของเราบนเกาะนี้ ก็ได้เริ่มต้น...



:: เราเดินทางไปยังเกาะที่เหลือ และภาวนาว่าจะได้เจอสัตว์ เจอฉลามวาฬ


แต่แล้วสิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ แมงกระพรุนเป็นหมื่นๆ ตัว

ผมรู้สึกว่าเราโชคร้ายซะเหลือเกิน แต่ก็ช่างมัน มันคงยังไม่ใช่วันของเรา

คราวหน้ามาใหม่ คงต้องเจอพี่น้องเพื่อนผองของเราซักวัน เราตีเรือกลับไปจุดหมายต่อไป



:: สถานที่สุดท้ายที่เราจะนำเสนอคือหมู่บ้านมอแกนครับ เป็นหมู่บ้านที่มีชาวมอแกนอยู่จำนวนหนึ่ง


ผู้คนที่นี่จะพูดไทยไม่ได้ แต่ก็มีส่วนน้อยมากๆ ที่พูดได้ ผู้คนที่นี่จะมีผิวสีดำ และว่ายน้ำดำน้ำเก่งมากๆ

อาศัยอยู่โดยการหาปลาและเก็บพืชผักผลไม้ในการอยู่ไปวันๆ ไม่มีการใช้เงิน ไม่มีค่าเงินส่วนตัว

แต่เมื่อมีนักท่องเที่ยว ก็ทำให้ชาวบ้านได้รายได้ โดยมีเงินไทยเป็นสื่อกลางนั่นเอง



:: ผมได้ฟังประวัติและเรื่องราวคร่าวๆ จากไกด์ของฝรั่งในทัวร์กรุ๊ปหนึ่ง ก็จับใจความได้ว่า


เวลาชาวบ้านที่ตาย เค้าจะไม่ฝั่ง เค้าถือว่าคนที่นี้เป็นคนของน้ำ คนของทะเล เค้าจะเอาศพ

ใส่เรือแล้วลอยน้ำไปเรื่อยๆ ลอยไปเรื่อยๆ ให้น้ำมันซัดพาไปในที่ๆ เค้ามา

ผมก็คิดในใจ มันจะซัดไปยังไงว่ะ ปล่อยไปแม่มก็ซัดเข้าฝั่งเดิมคืนนั่นแหละ

อ๋ออออ... เค้าเป็นคนของน้ำ คนของทะเล เด่วน้ำจะซัดไปในที่ๆ เค้ามา

พอมาทวนซ้ำอีกรอบก็เข้าใจครับ เข้าเกิดบนเกาะนี้ เด่วเค้าก็กลับมาบนเกาะเดิมคืน...



(ไม่ได้ลบหลู่นะครับ มันเป็นแค่ความคิดและหลักการที่ผมคิดว่ามันพิสูจน์ได้จริง)



:: เสร็จสิ้นจากตรงนี้ เราก็รู้แก่ใจแล้วหล่ะ ว่าเราต้องกลับบ้าน เราต้องจากลาเมืองใต้


เราใช้ชีวิตด้วยกัน อยู่ด้วยกว่า 5 วัน จากคนไม่รู้จักกลายเป็นสนิทซะงั้น

่ผมว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่จะคิดถึงเรื่องราวบนเกาะแห่งนี้ และสถานที่ที่พวกเราได้ไปมา

ผมว่าทุกคนคงคิดถึงมัน คิดถึงมันทุกครั้งเมื่อได้กลิ่นอายของทะเลและทุกภาพยังคงตราตรึงไว้ในหัวใจ

อย่างไรก็ตาม เราควรกลับไปเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้านก่อนที่จะตกเรือเที่ยวสุดท้าย...



ขอบคุณครับ



ภูวนาททานะ



Written by : PhuwanartTHANA
( https://www.facebook.com/PalapiliiThailand )


Mi Palapilii

 วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.26 น.

ความคิดเห็น