“ เห้ยนัดกินข้าวกันหน่อยมั๊ย "

เสียงปลายสายคือไอ้ไก่ เพื่อนผมสมัยมหาลัย ชายหนุ่มวัยถามหาเลขสาม ดวงตาอบอุ่นอยู่หลังกรอบแว่นเลนส์ใสที่เขาสวมใส่ตลอดเวลา

“ เห้ย..กูว่าไปต่างจังหวัดกันเลยดีกว่า ไปกินกันไกลๆหน่อย "

และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไป(เที่ยว)กินข้าวในครั้งนี้

2 อาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนเร่งสปีดนาฬิกาในฉากหนัง



ผมตื่นตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ลืมตาเพราะเสียงนาฬิกาปลุก ของที่เก็บเข้ากระเป๋าไว้เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวานทำให้ไม่ต้องรีบร้อนหรือกังวลว่าจะลืมอะไร เวลา05.45 น.เพียงพอสำหรับผม อาบน้ำแปรงฟัน5นาที นั่งวินจากหอไปอู่รถที่ตลาดมีนบุรีอีก10นาที นั่งรอสาย96อีก15นาทีเพื่อไปหมอชิตใหม่ ลงซอยลาดพร้าว32หาปั้มเข้าห้องน้ำ(ดันมาปวดอะไรตอนนี้จะถึงอยู่แล้ว) จัดการธุระส่วนเสร็จนั่งวินไปลงลาดพร้าวซอย34 เพื่อรอเพื่อนซึ่งอยู่แถวนั้นพอดี และต่อแท็กซี่ไปหมอชิตจากตรงนั้น71บาท



นั่งกินข้าวอย่างพิรี้พิไรที่หมอชิต2ตอนเก้าโมงสิบห้าโดยไม่รู้เลยว่ารถทัวร์ที่ไปด่านเจดีย์สามองค์มันออกเก้าโมงครึ่ง จนเดินมาซื้อตั๋วนั่นแหละถึงรู้ พี่คนขายตั๋วเลยให้รีบวิ่งไปแล้วไปซื้อตั๋วบนรถเอา วิ่งสิครับ..



ณ ชานชาลา109 รถทัวร์คันสุดท้ายกำลังเคลื่อนตัวออกอย่างช้าๆ พวกเราวิ่งตามได้แค่สายตา ขาทั้งสองข้างหมดหวัง ข้าวของพะรุงพะรังถูกวางกองที่พื้น ผมถามไก่ “ เอาไงดีว่ะ " คือเราสองคนไม่ค่อยอยากนั่งรถตู้กันเท่าไหร่ช่วงนี้จนลุงที่ปล่อยรถเดินมาถามว่าจะไปไหนกัน “ ไปสังขละครับแต่จะลงแค่ป้อมปี่ " ลุงตวัดนิ้วชี้ไปทางวินรถตู้ โอเครู้เรื่อง จำยอมนั่งรถตู้อย่างหวาดระแวง ระแวดระวัง ระฆังดังโป๊ง..



: ค่ารถตู้ลงเมืองกาญ 120 บาท



ทันทีที่ก้าวเท้าลงขนส่งเมืองกาญ เดินไปอีกสิบก้าวก็ถึงรถแดงที่ไปสังขละ ดูนาฬิกาเที่ยงกว่าๆยังพอมีเวลากว่ารถแดงจะออก เดิ่มดุ่มๆไปร้านข้าวหลังขนส่ง ด้วยสภาพเก่าๆและเสน่ห์ของคราบน้ำมัน ทำให้ผมคิดว่าต้องเด็ดแน่นอนและก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ข้าวกระเพราะหมูสับธรรมดาๆมื้อนี้อร่อยเป็นพิเศษ ซดน้ำเกาเหลาร้อนๆตาม ให้อาหารเดินทางไปหาลำไส้สะดวกๆ หันกลับมาที่รถแดงอีกทีเริ่มไม่สะดวกแล้ว รถแดงหายไปมีรถแดงคันใหม่มาจอดแทนแต่เขียนว่าไปทองผาภูมิ อ้าว! กินเสร็จรีบเดินไปถามป้ากระเป๋ารถว่า “ ป้าๆผมจะไปสังขละแต่ลงป้อมปี่ " ป้าบอกไปได้ๆแต่ต้องต่อรถอีกทีเดี๋ยวป้าบอก สาวพม่าหรือมอญไม่รู้ช่วยพูดอีกแรง ปะด้าย ปะด้าย ขึเลย ขึเลย อ้อ “ ไปได้ ไปได้ ขึ้นเลย ขึ้นเลย " ขอบคุณป้าขอบคุณสาวอาเซียนเสร็จก็ขึ้นรถไปจับจองที่ด้านหลังสุดเพื่อหามุมกว้างๆวางสัมภาระ



หลับ ๆ ตื่น ๆมาตลอดทางจนถึงจุดต่อรถ แต่ตอนนี้หลับไม่ได้แล้วเพราะไม่มีที่นั่ง : (



ตัดภาพอีกทีมาที่หน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหันไปถามเพื่อน “ ใช่หรอว่ะ " จึงสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ป้อม พี่เขาบอกว่าต้องไปอีก2กิโล ตอนแรกเรากะจะเดินชิลๆไป แต่พี่ที่ป้อมอาสาจะไปส่งทีละคน เพราะกระเป๋าพวกเราเกะกะกลัวอัดกันไปไม่ไหว ผมจึงให้เพื่อนไปก่อน ไม่ถึง5นาทีก็เห็นพี่เจ้าหน้าที่เข็นรถกลับมาพร้อมไก่ สรุปน้ำมันหมด พี่เจ้าหน้าที่อีกคนจึงอาสาไปส่งแทนพร้อมประกาศกร้าวน้ำมันพี่เต็มถังขึ้นมาเลยทั้งคู่ อัดสามพร้อมสัมภาระ เบียดกันเป็นปลากระป๋อง แต่อึดใจเดียวก็ถึง แฉะ แฉะ เอ้ย! แชะ แชะ ยกมือไหว้พร้อมกล่าวคำขอบคุณและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก



: ใครจะลงป้อมปีถ้าเห็นป้ายอุทยานแห่งชาติเขาแหลมอย่าพึ่งลง ให้ไปอีก2กิโลเมตร จะเห็นป้ายป้อมปี่อยู่ซ้ายมือ จะให้ดีบอกกระเป๋ารถไว้



จ่ายค่าเข้า+ค่ากางเต้นท์ 70 บาทแลกบรรยากาศหลักล้าน พร้อมสั่งอาหารก่อนครัวปิด ระหว่างรออาหารก็เดินสำรวจทำเลทองของวันนี้ ได้ที่ก็ไม่รีรอกางเต้นทันที จุดชมวิวป้อมปี่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ก็อย่างที่เขาบอกกันมันเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยมากๆแห่งหนึ่ง รองรับเต้นท์นักท่องเที่ยวได้เยอะเลือกที่กางได้หลายจุด จุดที่เรากางคล้ายนาขั้นบันไดและกว้างพอสำหรับเต้นท์นอน2-3คน อยากเห็นวิวมุมสูงมุมต่ำจะนอนชั้นไหนก็เลือกตามใจชอบ บรรยายกาศโดยรอบเงียบสงบจนได้ยินสียงยุงบิน ห้องน้ำสะอาดไหลแรงดังฟู่ๆ มีบ้านพักมีเตาปิ้งย่างสำหรับคนที่เตรียมอาหารมาทำเอง



: คำว่าป้อมปี่มาจากภาษากะเหรี่ยงในคำว่า เปอปี่ หมายถึงต้นอ้อและออกเสียงเพี้ยนมาเป็นป้อมปี่



พระอาทิตย์วันนี้ค่อนข้างขี้อาย ยังไม่ทันหยิบกล้องเลยจะหนีกันไปซะแล้ว กางเต้นท์เสร็จรีบเดินกลับมาที่ร้านค้าสวัสดิการเพื่อจัดการกับอาหารที่สั่งไว้ สุดท้ายเลือกที่จะทานข้าวท่ามกลางพระอาทิตย์ตกเพื่อนไก่หัวเสียนิดหน่อยที่ไม่ได้ถ่ายรูป ด้วยความที่อยากได้ภาพที่ดีที่สุดในช่วงพระอาทิตย์ตก แต่อย่างน้อยผมคิดว่าเรายังเห็นพระอาทิตย์ตกผ่านสายตาเราจริงๆแทนที่จะเป็นหลังเลนส์



' เมมโมรี่ของกล้องบางครั้ง ก็ไม่สู้ความทรงจำของสมอง '



พระอาทิตย์หลบไปอยู่หลังภูเขาก่อนจมหายไปในน้ำ ไม่มีอะไรที่เราต้องรีบแล้ว กินข้าวพูดคุย ซึมซับบรรยากาศกันอย่างเต็มที่ ก่อนจ่ายค่าอาหาร(อาหารที่นี่ราคาถูกมากๆ)และเดินไปถ่ายรูปเท่าที่ละอองแสงที่เหลืออยู่จะเอื้อให้



เมื่อคืนเรานอนกันค่อนข้างเร็วเพราะคุยกันระหว่างเดินทางจนหมดเรื่องที่จะคุย อากาศหนาวเข้ามาทักทายเราบ้างเป็นบางครั้ง แต่ไม่ถึงกับหนาวมาก มันเป็นคืนที่ผมหลับสบายมากที่สุดมันเป็นคืนที่ถูกขับกล่อมไปด้วยเสียงนกร้อง เสียงเสียดสีของใบไม้และเสียงเครื่องยนต์ของเรือที่อยู่ไกลๆ



ผมกับเพื่อนตื่นกันประมาณเจ็ดโมงเช้าเพื่อเดินถ่ายรูปบริเวณจุดชมวิว มันเป็นเช้าที่ไร้หมอก ละอองแสงวับวาบจับอยู่ผิวน้ำ พระอาทิตย์ถูกดึงไปตามเวลา เช้านี้เราอยู่กับธรรมชาตินานเป็นชั่วโมง เพราะจบทริปนี้เราก็ต้องกลับไปอยู่กับความวุ่นวายในเมืองนานเป็นเดือนก่อนหาเรื่องเดือนทางอีกครั้ง เราบันทึกภาพด้วยความทรงจำของสมองไปพร้อมกับเมมโมรี่ของกล้อง : )



อาบน้ำแปรงฟันเก็บเต้นท์และออกไปทานข้าว ระหว่างรอข้าวก็เหลือบไปเห็นชาวร็อคที่กำลังคลั่งและอินในดนตรีไม่ต่างกับทรงผมพังร็อคของตัวเขาเอง โยกหัวกระแทกกับเปลือกไม้อย่างเมามัน เจ้าหน้าที่ผู้หญิงเดินมาบอกว่ามีตัวเดียวนะมาที่ต้นนี้ประจำ ' มันเป็นเช้าที่มีทั้งอาหารปากอาหารตาและอาหารเสริม(ทางใจ) '



ก่อนเดินทางไปสังขละเราถามเจ้าหน้าที่ว่ารถแดงที่ไปสังขละจะผ่านที่หน้าป้อมกี่โมง เจ้าหน้าที่บอกว่า 11.00น. ยกข้อมือขึ้นมามองนาฬิกา 09.30 น. เราจึงเดินไปปากทางเรื่อยๆประมาณ 1 กิโลเมตร เดินไปถ่ายรูปไป เล่นกับหมาไป บ่นร้อนไป พลัดกันถ่ายรูปตอนเดิน ตอนเก๊ก จนอีก 300 เมตรจะถึงก็มีรถกระบะจอดเทียบข้าง “ ขึ้นเลยๆ " ด้วยความตกกะใจจึงโดดขึ้นรถไปโดยไม่รู้ตัว ล้อหยุดหมุนที่ปากทางเราโดดลงทันทีพร้อมยกมื้อไหว้ขอบคุณ - - ขอบคุณค้าบพี่เจ้าหน้าที่



ผมยกนาฬิกาดูอีกครั้งยังไม่สิบโมงดี กว่ารถแดงจะมาพวกเราเลือกที่จะไม่ยอมปล่อยให้เวลาเสียไปเฉยๆ



“ ไก่กูแต่งตัวโอเคป่าวว่ะ "ผมถาม



“ เออ..ได้อยู่ๆ "



“ นั้นโบกเลยไก่ "



“ เอ้าและถามกูทำไม "



“ โบกดัก กูโบกซ้ำไง กูไม่ค่อยมั่นใจเบ้าหน้าตัวเอง ฮ่าๆ "



สุดท้ายกวัดแกว่งมือช่วยกันโบก



เห้ย..คุณเชื่อไหมจอดตั้งแต่คันแรกที่เราโบก โคตรโชคดีเลย รักคนไทยรักประเทศไทย แปปนะผมวิ่งไปถามเขาก่อนเดี๋ยวมาเขียนต่อ


.

.

.

.

“ พี่ครับไปสังขละไหมครับ "



“ ไปครับๆ " พี่คนขับตอบด้วยหน้าตายิ้มแย้ม



“ นั้นผมขออนุญาตติดรถไปด้วยนะครับ "



ทันใดนั้นพี่คนขับก็เคลียร์ของเพื่อที่จะให้เรานั่งเบาะหลัง ผมรีบบอกปฏิเสธทันทีว่าไม่เป็นไรครับ ขอนั่งกระบะหลังดีกว่า ผมยิ้มและรีบขนของขึ้นท้ายรถ ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก รถเคลื่อนตัวออกไปนานแล้วแต่พวกเราสองคนยังค้างอยู่ในความรู้สึกดีที่นานกว่า : )



มุ่งหน้าสู่สังขละทั้งตื่นเต้นและรู้สึกขอบคุณกับมิตรภาพและน้ำใจในการเดินทางสั้นๆครั้งนี้กับทุกๆคนที่นี่ประมาณชั่วโมงครึ่งเราก็ถึงตลาดสังขละบุรี พวกเราลงรถและเดินไปขอบคุณพร้อมยกมือไหว้เจ้าของรถกระบะสีขาวป้ายแดงซึ่งเป็นชายคนขับหน้าตาอบอุ่นกับรอยยิ้มจางๆที่เปี่ยมไปด้วยความสุขที่ได้รับหนุ่มสองคนขึ้นรถมา(เราก็สุขกับน้ำใจของพี่เช่นกันครับ) พวกเราวางสัมภาระเสร็จจึงวิ่งไปขอบคุณพี่คนขับพร้อมภรรยาอีกครั้ง



“ ขอบคุณมากๆครับ "



หาที่ร่มๆกลางแผนที่ที่ปริ๊นมาเพื่อดูทางไปสะพานมอญ มีที่นอนในใจแค่หนึ่งที่คือจุดกางเต้นท์ฝั่งมอญ แต่ ณ ตอนนี้เรากลับเห็นฟ้องกันมากที่สุดคือโฮมสเตย์ราคาถูก เพื่อที่เราจะได้ชาจแบตกล้องและมีห้องเก็บสัมภาระยามออกไปตระเวนเที่ยว เราเดินไปเรื่อยๆทางสะพานมอญเพื่อหาร้านกาแฟนั่งพักเหนื่อยและเล่นอินเทอร์เน็ตหาข้อมูลที่พัก



นั่งกันอยู่เกือบชั่วโมงเต็มเราก็ได้ที่พัก(แบบยังไม่ชัวร์)และร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ เราเดินไปเช่ามอเตอร์ไซค์ก่อนเพราะอยู่ไม่ไกลจากร้านกาแฟ coffee berry วางบัตรประชาชนและเงิน200บาทในการเช่าต่อวัน ขับตาม GPS ไปชื่นใจเฮ้าท์ที่พักที่ยังไม่ชัวร์ของเราเพราะที่นี่รับเฉพาะ walk in เท่านั้น ซึ่งอยู่ห่างห้านาทีจากร้านเช่ามอเตอร์ไซค์เท่านั้น สอบถามราคาพร้อมดูห้องเป็นอันตกลง เคลียร์ของ ชาจแบตกล้องอีก1ชั่วโมงเพื่อเตรียมตัวไปน้ำตกตะเคียนทอง



: ราคาที่พัก 550 บาท /คืน



แดดแรงๆยามบ่ายทำให้ไก่ออกอาการงอแงเล็กน้อยผมจึงต้องกระตุ้นหน่อย ออกเดินทางไปได้ซักพักก็หลงกันซะแล้ว หลงไกลไปถึงวัดวังก์วิเวการาม หันไปเห็นป้อมตำรวจขับพุ่งเข้าใส่ไปสอบถามทันที พี่ตำรวจให้ขับไปจนถึงสามแยกใหญ่จะเจอปั้มบางจากหรือปั้มปตท.เนี่ยแหละ จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวง323 สังขละบุรี-ด่านเจดีย์สามองค์ ตรงไปยาวๆ ยาวจนเราจอดถามพี่ทหารที่จุดตรวจ พี่ทหารบอก “ อีกกิโลเดียวก็ถึงแล้ว น้ำตกสวยแต่เดินไกลหน่อย " เราสองคนกล่าวขอบคุณพี่ทหารบิดคันเร่งกันต่อจนล้อหน้าเกือบลอยท่ามกลางแดดที่แผดเผาในวันเสาร์ที่สี่



: อย่าลืมสังเกตป้ายทางเข้าขวามือ



ในที่สุดเราก็มาถึงจนได้ ถึงตรงนี้เราต้องเดินกันต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมง บางช่วงก็ลัดเลาะลำธารน้ำ พอได้วักน้ำล้างหน้าล้างตา และหยิบกล้องมาถ่าย เราเดินในเส้นทางแคบๆที่สองข้างทางเป็นดงไผ่ และพืชพรรณธรรมชาติที่เราไม่รู้จักแต่ก็ทำให้เราไม่ร้อนแดด ได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เงียบจนบ้างครั้งรู้สึกหวั่นๆ แต่ก็มีความสุขโดยไม่ต้องปรุงแต่ง



' ความสวยงามแท้จริงไม่เรียกร้องความสนใจ '
The secret llife of walte mitty



ถ่ายรูปกันจนพอใจเราเพิ่งรู้สึกว่าท้องเราเริ่มร้องดังกว่าเสียงน้ำตกซะแล้ว น้ำก็ไม่ได้พกมา เราเดินออกมาอย่างเหนื่อยล้า ระหว่างขับกลับเราจึงแวะกินข้าวกันที่จุดเล่นน้ำซองกาเรีย นั่งมองเด็กๆปล่อยตัวเองลอยไปกับห่วงยาง ผู้คนในวันนี้มาพักผ่อนกับครอบครัวนั่งพูดคุยโดยมีเหล้าบางๆเพิ่มอรรถรสในการพูดคุย เพื่อลืมเรื่องราววุ่นวายต่างๆ ให้สมกับที่เป็นวันหยุด พวกเราเช็คบิลก่อนออกจากร้านสงวนราคาที่ 220 บาท มีทั้งน้ำตกหมู ส้มตำ คอหมูย่าง และน้ำแข็ง+น้ำอัดลม



ขับฝ่าแดดขากลับกันอีกรอบเพื่อไปถ่ายรูปที่สะพานซองกาเรียโชคดีที่แดดเริ่มเบาลง จากที่เพลียๆง่วงๆตอนนี้กลับมามีพลังอีกครั้งเพราะวิวที่อยู่ตรงหน้า พวกเราถ่ายรูปฆ่าเวลาอยู่นานที่สะพานซองกาเรียระหว่างรอพระอาทิตย์ตกเพื่อไปเก็บภาพที่สะพานมอญต่อ



ณ สะพานมอญผมแทบจะไม่ค่อยเห็นวีถีชีวิตของคนมอญ อาจเป็นเพราะผมไม่ได้มาในตอนเช้า ภาพในตอนนี้คือฝูงชนนักท่องเที่ยวที่อยู่ในมุมต่างๆของตนเอง ยกกล้องถ่ายรูปและเก็บความทรงจำของแต่ละคน มีเด็กมอญรอทาแป้งให้นักท่องเที่ยวยาวจนสุดสะพานของอีกด้าน บางครั้งผมก็หยิบกล้องมาถ่ายบางครั้งผมก็เลือกที่จะมองอย่างตั้งใจ บางครั้งก็ใช้ตา บางครั้งก็ใช้ใจมองดูผู้คนขวักไขว่ผู้ขับเคลื่อนโลกใบเล็กๆใบนี้ และมองดูพระอาทิตย์ใบใหญ่ผู้ขับเคลื่อนสิ่งมีชีวิตอีกต่อหนึ่ง



' ธุรกิจทำให้ชิวิตเปลี่ยนแปลงไป '

เราไม่อาจห้ามความเจริญได้ เราไม่อาจหยุดเวลาหรือห้ามคนมาเที่ยวได้ แต่เราหยุดทำลายได้ เราเลือกที่จะรักษาสิ่งต่างๆได้ แม้จะเริ่มแค่ความคิด แม้วิถีชาวมอญจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามสิ่งแวดล้อมใหม่ที่ถูกอุ้มมาด้วยความเจริญ แต่ก็ยังพอมีกลิ่นไอความเป็นมอญหลงเหลืออยู่บ้างจากเด็กๆและคนแก่



' ธุรกิจไม่ได้ทำให้ชีวิต Slow Life สำหรับคนหาเช้ากินค่ำ '



ผมวางกล้องปลดนาฬิกาและตีลังกาม้วนหน้าหนึ่งที ถึงท่าลงจะไม่ค่อยดีแต่โคตรรู้สึกดีเหมือนปลดโลกออกจากบ่า เหมือนทุกสิ่งที่อย่างที่แบกไว้กระเด็นกระดอนหายไป ขอทิ้งความเหนื่อยล้าความวุ่นวายที่พกมาจากเมืองกรุงไว้ที่นี่นะ



การกระโดดนั้นมีหลายท่วงท่า หนุมานก็มา ฤาษีก็มี กินรีมันยังมี๊..(เสียงสูง) อันนี้เด็กมอญเขาบอกมา



เดินตัวเปียกๆมาถ่ายรูปแสงสุดท้ายของวันนี้



แวะกินหมูจุ่มซุ้มสังขละไม้ละหนึ่งบาทรสชาติออกพะโล้จืดๆ ไหนลองซดน้ำสิ๊เออ..จืดจริงหว่ะ ไม่รู้มีอะไรบ้างคิดว่าน่าจะเป็นพวก ไส้ ปอด อยากกินอะไรก็หยิบตามใจฉัน “ พี่เช็คบิล " ไม้วางเรียงรายอุ๊ยตาย 20 บาท เก็บท้องไว้สนองอย่างอื่นต่อ



“ กินเบียร์ไหม " ไก่เปิดประเด็น



“ เอาสิ " ผมตอบรับ



แวะซื้อกับแกล้มปีกไก่ และบาร์บีคิวพร้อมเบียร์อีกสองขวด จิบเบียร์พูดคุยกันตามประสาวัยรุ่นเหลือน้อยก่อนเข้านอน



วันสุดท้ายเราเลือกที่จะตื่นสายๆ และช้าไปกับชีวิตให้ได้มากที่สุด เช็คเอ้าท์ ออกไปเล่นกับแมว พูดคุยกับเจ้าของที่พัก ขับรถไปกินข้าวเช้าที่ตลาด และขับหาร้านกาแฟ กราฟ คาเฟ่ ซึ่งเจ้าของเก่าย้ายไปเชียงใหม่ ส่วนเจ้าของใหม่เปลี่ยนชื่อเป็น คาฟ คาเฟ่ ปาท่องโก๋พม่าที่ซื้อมาจากตลาดกับกาแฟลาเต้เย็นๆ ซึมซับบรรยากาศของเช้าสายๆที่ไม่หนาวไม่ร้อน ปล่อยชีวิตช้าๆไปตามที่มันต้องการ



ก่อนเอารถมอเตอร์ไซค์ไปคืนเราแวะท่าเรือทางไปสะพานแดง แต่เราอยู่ถ่ายรูปตรงจุดชมวิวซึ่งจะมีศาลาเก่าๆถูกปล่อยรกร้าง วันสุดท้ายแล้ว วันสุดท้าย นี่จะเป็นภาพสุดท้ายก่อนเรากลับกรุงเทพฯ เราจะพยายามถ่ายรูปให้น้อยที่สุด และยืนมองมันให้นานที่สุด ผมกล่าวขอบคุณกับสามวันที่ผ่านมาในใจ



' ขอบคุณ '



' หัวใจของผมเบิกบานที่สุดอยู่ในช่วงระหว่างเดินทาง

มันเหมือนมีถุงโปร่งใสใบใหญ่แอบออกมารับลมของความสุขโดยที่เราไม่รู้ตัว

มันจะค่อยๆพอง นั่นเป็นช่วงที่ผมคิดว่าหัวใจขยายตัว

และมันจะค่อยๆแฟบลงก็วันสุดท้ายของการเดินทางนี่แหละ '



: สรุปงบเดินทางต่อคนไม่เกิน 2000 บาท



เดินทางโดย
ธนกฤต รวมตะคุ
สุพจน์ เที่ยงวงษ์


ROAD MOVIE

 วันพฤหัสที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 18.48 น.

ความคิดเห็น