สวัสดีครับ วันนี้มาพาเที่ยวเขื่อนรัชชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลานครับ

จริงๆ อาจจะมีคนรีวิววิธีการเดินทาง หรือข้อมูลต่างๆ เยอะแล้ว แต่ผมก็จะเล่าให้ฟังแบบฉบับของผมอีกรอบละกัน ใครขี้เกียจอ่านก็ดูแต่รูปไปละกันนะ 555

ผมจองตั๋วเชียงใหม่-สุราษฎร์ ของแอร์เอเชียไว้เมื่อนานมาแล้ว นานจนเกือบจะลืมไปแล้ว

ตารางเที่ยวคร่าวๆ ของผม

27 ตุลาคม 2559 ออกจากเชียงใหม่ประมาณบ่ายโมง ถึงสุราษฎร์บ่ายสาม เช็คอินที่ รร.เดอะวัน ไปกินข้าวเย็นที่ร้านลำพู 2 เดินเล่นตลาดโต้รุ่ง กลับไปนอนอืดดดด

28 ตุลาคม 2559 ตื่นแต่เช้า กินบุฟเฟต์โรงแรม เดินไปคิวรถตู้ที่ตลาดเกษตร 2 ขึ้นรถไปสำนักงานแพภูตะวัน นั่งรถของแพไปท่าเรือ และขึ้นเรือไปเขื่อน กินอาหารเที่ยงที่เขื่อน นอนๆ กินๆ เล่นน้ำ ถ่ายรูป หมดไปหนึ่งวัน

29 ตุลาคม 2559 เขื่อนพาไปเที่ยวเดินป่า ล่องแพไม้ไผ่ เที่ยวถ้ำปะการัง ชมกุ้ยหลินเมืองไทย กลับมาแพกินๆ นอนๆ เล่นน้ำ ถ่ายรูป จนหมดไปอีกหนึ่งวัน

30 ตุลาคม 2559 ตื่นแต่เช้า กินอาหารเช้า ขึ้นเรือหางยาวกลับไปท่าเรือ แวะซื้อของฝาก ไปนั่งๆนอนๆ ที่สนามบินขึ้นเครื่องตอนบ่ายสามกลับสู่เชียงใหม่

เนื่องจากไม่ได้ตั้งใจจะมารีวิว เลยไม่ได้ถ่ายรูปทุกสิ่งอย่างไว้เลย แต่จะขอเล่าข้อมูลสำคัญๆ ให้ฟังครับ

จากสนามบิน ไป รร.เดอะวัน มีรถบัสจากสนามบิน คนละ 150 บาท ไปถึงตลาดเกษตร 1 ซึ่งข้ามถนนไปก็เป็นตลาดเกษตร 2 เดินเข้าไปประมาณ 15 นาทีก็ถึง รร.แล้ว ถ้าไปคนเดียวก็ประหยัดดีครับ แต่ผมไปสามคน เลยใช้บริการรถแทกซี่สนามบิน 500 บาท ถึงหน้า รร. เลยครับ (ตอนแรกไม่รู้ว่ามันใกล้กับตลาดเกษตร 1)

รร.เดอะวัน ดีงามตามคำล่ำลือจริงๆ ผมจองห้องที่นอนสามคนได้ (ประมาณคืนละ 1600 ใน agoda) มันคือสองห้องที่เจาะทะลุกันเลย มีเตียง 6 ฟุต 1 เตียง 5 ฟุต 1 เตียง ห้องสะอาด รร.ดูใหม่สวยงาม เดินจาก รร. ไปขึ้นรถตู้เพื่อไปท่าเรือได้ไม่ไกลเลยครับ (ดูรูปแผนที่ข้างล่าง)


หลังจากเช็คอิน ที่ รร. แล้ว เราก็หาร้านอาหารแนะนำกันใน pantip นี่แหละ ได้มาสองร้านให้เลือกกัน "ลำพู 3" กับ "เคียงเล"

ถามพนักงานที่ รร. เค้าแนะนำเคียงเล แต่ ... มันไกลมาก เราไม่ได้เช่ารถยนต์ ถ้าไปแทกซี่มิเตอร์ก็จะคูณสองเพราะมันไปนอกเมือง คิดๆ ดูแล้วเฉพาะค่าเดินทางนี่หลายร้อยเกือบพันบาทเลย เลยตัดสินใจไปลำพู 3 ก็พอ เพราะเสียงแนะนำใน pantip นี่พอๆ กันเลย

เราเลยจ้างรถสองแถวคันเล็กๆ เหมาไปเลย ไป-กลับ จาก รร. ตกลงกันได้ 250 บาท โดยขาไปผมจ่ายให้เขาก่อน 120 บาท พอเรากินเสร็จก็โทรหาเขาให้เขากลับมารับเราที่ร้านอาหาร ก็ค่อยจ่ายอีกที่เหลือ พอไปถึงร้านเข้าใจเลยว่าทำไมต้องทำแบบนี้ เพราะจากร้านอาหารตรงนั้นไม่น่ามีรถแบบนี้ผ่านเข้าไปเลย

พอไปถึงร้านลำพู 3 อ่าวววว ร้านปิด เลยกลับไปร้านลำพู 2 แทน ฟ้าระเบิดพอดี เลยขอพี่เขาแวะถ่ายรูปห้านาทีด้วย 555

ถึงร้านลำพู 2 ฟ้าสวยกว่าเดิมอีก ผมเป็นพวกบ้าฟ้าระเบิด และแสงทไวไลท์มาก เห็นทีไม่เป็นอันกินอันนอน

พรีเซนเตอร์น้ำจิ้ม 3 รส โคตรอร่อยยยยยย อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก (หมายถึงน้ำจิ้มนะ)

ผมเป็นคนบ้าน้ำจิ้ม 3 รสอีกอย่างนึงด้วย กินเปล่าๆ กับข้าวได้เลย (ถ้ามันอร่อย) สำหรับร้านนี้มันอร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก (กล้องฟูลเฟรม นี่ DOF มันแคบเนอะ ถ่ายอาหารนี่..บางทีใช้มือถือถ่ายสวยกว่า 555)

ใกล้เที่ยงละ มากินอาหารกันๆ (ตอนตั้งกระทู้) หอยนางรมตัวละ 45 บาท เสิร์ฟละ 5 ตัว


กุ้งเผา ครึ่งโล ได้มาแค่สามตัวนี่แหละ จำราคาไม่ได้ละ


กรรเชียงปูผัดผงกะหรี่ ฟินนนน ตรงที่ได้กินปูแบบไม่ต้องแกะนี่แหละ แต่รสชาติผงกะหรี่ไม่ค่อยเข้มข้นเท่าไหร่ แต่ถือว่าอร่อยดี


ปลากะพงทอดน้ำปลา ทุกคนโหวตให้อันนี้อร่อยที่สุดดดดดดดดด ผมชอบน้ำราดมันหวานๆ เค็มๆ อร่อยมากกกกกกก


ขากลับ ระหว่างรอพี่รถสองแถวกลับมารับ ถ่ายรูปเล่นกันซะหน่อย มีแสงออกหัวเชียว ฮิฮิ


ถ้ากลับไปที่ห้องตอนนี้ ต้องขึ้นอืดตายกันถ้วนหน้าแน่นอน เลยไปลงตลาดโต้รุ่งแถวศาลเจ้า โอววววว ของกินเยอะมากๆๆๆๆ น่ากินไปหมด


อยากอยู่ต่อที่นี่อีกซักคืน ตอนนี้กินอะไรไม่ไหวแล้วว (แต่ผมก็ซัดขนมจีนน้ำยาปูไปหนึ่งชาม)


หลังจากตลาด เราเดินไปชมศาลหลักเมืองครับ ไปถึงดึกเกิน เขาปิดแล้ว (ปิดตั้งแต่ทุ่มนึงแล้ว) เลยเกาะประตูถ่ายรูปเอาก็ได้



ทริปวันที่สองเริ่มด้วยการตื่นแต่เช้า เก็บกระเป๋า ลงไปกินบุฟเฟต์ (อาหารรสชาติดีครับ ตอนออกโรงแรมเพิ่งรู้ว่ามีติ่มซำข้างๆ รร.ด้วย)

ตามแผนที่ข้างล่าง เดินจาก รร.ไปถึงคิวรถที่ตลาดเกษตร 2 ใน google map ให้เสิร์ชว่า "คิวรู้ตู้ตลาดเกษตร 2" เดินไม่ถึง 15 นาทีก็ถึงละครับ แถวนั้นรถตู้จะเยอะมากๆ ไปหลายที่ ถามได้เลยครับว่าไปเขื่อนขึ้นรถที่ไหน ราคา 150 บาทครับ

เรื่องขึ้นรถตู้นี่มีเรื่องอยู่นิดหน่อย ขอแนะนำว่า ให้เดินหาคิวรถตู้ของ บริษัท พันทิพย์ ให้เจอครับ มันจะใกล้ๆ ออกถนนใหญ่.. เพราะระหว่างทางจะมีคนเรียกเราให้ไปกับของเค้า ผมก็คิดว่ามันเหมือนก็เหมือนๆกันหมดเลยไปกับเค้าก็ได้ แต่ที่ไหนได้ กักตัวเราไว้ให้นั่งที่ร้านของเค้า (มีแค่เราสามคน) เพื่อที่จะรอรถจาก บริษัท พันทิพย์ มารับไป ซึ่งเรามารอที่รอที่ร้านตั้งแต่ 7.30 แต่พอรถมารับตอน 9 โมง !!! กลับได้นั่งหลังสุด เบียดกันสี่คนกับแอร์ที่เหมือนจะท่อตัน ... ถ้าเราไปเจอคิวรถที่ของพันทิพย์ตั้งแต่ 7.30 เราคงได้ที่นั่งดีกว่านี้ จะกักตัวเราไว้ที่ร้านของเขาทำไม???


สำหรับคนที่พักแพภูตะวัน เจ้าหน้าที่จะโทรมาหาเรา นัดเวลากับเรา และบอกให้รถตู้ไปลงที่ "office แพภูตะวัน" นะ

ไปถึง office นี่เหมือนถึงสวรรค์เลย ตึกแถวสวยงาม แอร์เย็นสบาย มีน้ำมีกาแฟบริการ ชำระเงินส่วนที่เหลือให้เรียบร้อย ก่อนจะนั่งรถตู้ VIP 10 ที่นั่ง แวะให้เราซื้อขนมด้วย ก่อนจะไปส่งเราที่ท่าเรือ ... สำหรับส่วนนี้ ประทับใจบริการของแพมากครับ

เดิมนัดกับแพไว้ 10 โมง แต่นี่เรามาถึงเกือบ 11 โมง แพก็บอกว่าไม่เป็นไร เค้ามีเรือบริการส่งไปทีแพตลอดครับ... สำหรับแพภูตะวัน นั่งเรือจากท่าเรือไปประมาณ 30 นาที ก็จะถึงครับ ถือว่าเป็นแพที่ใกล้ น่าจะใกล้ที่สุดแล้วด้วย


ถึงแล้วครับ แพภูตะวัน ที่เห็นในรูปเป็นแบบห้องแคปซูล นอนได้ 3 คน ผมจองแพนี้เพราะหน้าตาห้องมันนี่แหละ

สำหรับข้อมูลการจองแพ เสิร์ชชื่อแพใน google ก็จะเจอเว๊บของเค้าเลยครับ ผมจอง 3 วัน 2 คืน ไปกัน 3 คน ตกคนละ 4000 บาท อาหาร 6 มื้อ (เที่ยงเย็นวันแรก เช้าเที่ยงเย็นวันทีสอง และเช้าวันทีสาม) รวมตั้งแต่ รถออกมาจากสำนักงานของแพ จนกลับไปส่งที่สำนักงานของแพ ระหว่างนั้นไม่ต้องเสียเงินอะไรเลยครับ

หน้าตาห้องแคปซูล เป็นห้องที่ถ่ายรูปมาดูดีทีเดียว แต่....
แพจะไม่เปิดไฟฟ้าตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ทำให้กลางวันจะไม่มีไฟฟ้าใช้นะครับ
นอนในห้องตอนกลางวัน อบอ้าวและร้อนมากกกกก แต่ก็ ไปเล่นน้ำสิ มาเที่ยวเขื่อนมานอนทำไม 555

หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จ กลับมาถึงห้อง ฝนตกจ้าาาาาาาาา
คือ ที่จองมาปลายตุลา เพราะคิดว่าน่าจะหมดช่วงฝนไปแล้วนะ ยังมาเจอฝนอีก โอยยยยยย...
...มันไม่มีอะไรแน่นอนซักอย่าง เรื่องที่มันไม่น่าเกิดขึ้นเกิดได้เสมอ... (อ๊อฟ ปองศักดิ์ ก็มา เพลงบ่งบอกอายุมาก 555)


แต่ก็ดีเหมือนกัน จะได้เย็นขึ้นหน่อย

พอฝนหยุด ก็เล่นน้ำกันได้ กิจกรรมกลางวันที่นี่มีแค่ กิน นอน อ่านหนังสือ (ที่เตรียมมา) เล่นน้ำ พายเรือ แค่นี้จริงๆ เพราะมันไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ !!!!

กระโดดมันเข้าไป เราก็ถ่ายรูปไป เดี๋ยวค่อยลงไปเล่นบ้าง

อีกกิจกรรม นอกจากโดดน้ำ ลอยคอเล่น คือ พายเรือคายัค โดยเราต้องเอาเงินมัดจำ 200 บาท ไปมัดจำไม้พายมา ตอนเอาไปคืนก็ได้เงินคืนเต็มครับ มีทั้งเรือที่นั่งได้สองคน และแบบนั่งได้คนเดียว (เรือสีเขียวเหลืองนี่สวยดีนะ ถ่ายรูปขึ้นดี แหะๆๆ)

เล่นไปๆ ฝนตกอีกละ

ถ่ายรูปไปๆๆๆๆ เก็บภาพให้คุ้มที่ได้มา

สำหรับห้องแคปซูล แพภูตะวัน ถ้าไปอีกครั้งผมอยากจะพักห้อง 30-29-28 แถวๆนั้น ดูตามรูป คือห้องซ้ายสุดอะครับ มันจะไกลจากส่วนกลางที่ไปนั่งกินข้าวพอสมควร

ด้านหน้าทุกห้องติดกับน้ำอยู่แล้ว แต่ด้านหลังของห้อง 30-29-28 มันจะไม่ติดส่วนที่เป็นพื้นดินที่มีต้นไม้ขึ้นเหมือนห้องอื่นๆ

ด้านหน้าก็เป็นน้ำ ด้านหลังก็เป็นน้ำและวิวไกลๆ ออกไป ลมน่าจะโกรกพัดเย็นกว่า และกลางคืนคงจะเห็นดาวสวยๆ ได้ทั้งด้านหน้าด้านหลังของห้องเลย


หลังจากเล่นน้ำพายเรือกันจนเหนื่อย ก็ไปอาบน้ำ

พูดถึงห้องน้ำ ที่นี่จะเป็นห้องน้ำรวม ไม่แบ่งชายหญิง และไม่มีห้องน้ำในห้องนอน (ซึ่งก็ดี ไม่เหม็น มีคนบ่นให้เพื่อนฟังว่า แพที่มีห้องน้ำในตัวมีกลิ่นด้วย ซึ่งผมว่าก็จริงนะ)

ห้องน้ำค่อนข้างสะอาด น้ำไหลแรงใช้ได้ ใครเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนบ่อยๆ ก็ได้เดินบ่อยๆ 555

อาบน้ำเสร็จ ออกมาเจอแสงแบบนี้ อ๊ากกกกกก วิ่งก็กลัวแพเค้าล่ม น้ำหนักเราเกือบร้อยโล เดินเร็วๆ รีบกลับห้องไปเอากล้องด่วน

นี่คือด้านหลังห้องแคปซูล จะเห็นว่าขวามือคือบนบกที่มีต้นไม้ขึ้น ถ้าเป็นห้อง 28-29-30 จะไม่มีแบบนี้

ถ่ายๆๆๆ มันเข้าไป แสงแบบนี้ แอร๊ยยยยยยยยยย

พอแสงอาทิตย์เริ่มหมดลงๆ ฟ้าก็เริ่มแดงๆ ชมพูๆ สวยมากๆๆๆ เลย เพื่อนพายเรือมาเก็บพอดี ได้จังหวะ โป๊ะ เชะ !!

แสงเย็นวันนั้น สวยมากๆๆๆๆ เลยครับ ดูรูปกันไปรัวๆ


หลังจากกินจนเดินไม่ไหว อาหารมันอร่อยจนถึงอร่อยมาก ดาวเต็มท้องฟ้าเลยยยยย สมใจละทริปนี้

ถ่ายเพื่อนที่กำลังถ่ายดาว ไปอยู่ทำไมบนโน้นนน โคตรสั่น 555

รูปนี้ถ่ายจากหน้าห้องเลข 18 ทิศตรงหน้าจะเป็นทิศตะวันตกเฉียงใต้พอดีเลย ถ้าไปเร็วกว่านี้คงได้ทางช้างเผือกมาสักเชือกแน่ๆ เลย ... แต่รูปนี้โชคดี ได้ดาวตกพอดี สวยมากๆ

ตื่นเช้าขึ้นมาอีกวัน ฝนตกปรอยๆ

จากในห้อง เปิดประตูมาตอนเช้า ก็เจอแบบนี้

วิวยามเช้า เสียดายฟ้าหม่นไปหน่อย

วันที่สามของทริป (วันที่สองที่อยู่ที่แพ) จริงๆ ตอนเช้ามีพาไปเดินป่า นั่งแพไม้ไผ่ ดูถ้ำปะการัง ชมกุ้ยหลินเมืองไทย แต่เช้านั้นฝนตก ผมไม่ได้ไป เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วย .. หลังจากนั้น กิจกรรมอื่นๆ ก็เหมือนวันแรก กินๆ นอนๆ เล่นน้ำ ถ่ายรูป

เช้าอีกวันก็กินข้าวและนั่งเรือกลับ


ขากลับก็เหมือนเดิมครับ มีรถของแพมารับที่ท่าเรือ ไปพักที่ office แพภูตะวัน จนท.เค้าโทรหารถตู้ให้มารับเราที่ office แล้วไปส่งสนามบิน ค่ารถ 150 บาทต่อคนเหมือนเดิม แต่พวกเราโชคดีตรงที่แพเค้าคุยกับรถตู้ ขอให้ไปส่งเราที่ร้านของฝาก "แม่จิตร" (ซึ่งปกติไม่ผ่าน) แล้วขอร้านของฝากไปส่งเราที่สนามบินให้ด้วย..

สรุปการเดินทางคร่าวๆให้อีกรอบครับ
- จากสนามบินไป รร.เดอะวัน รถแทกซี่ 500 บาท รถบัส 150 บาทต่อคน ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.
- จาก รร.เดอะวัน ไป คิวรถตู้ที่ตลาดเกษตร 2 เดินไปไม่เกิน 15 นาที
- จากคิวรถตู้ที่ตลาดเกษตร 2 ไป office แพภูตะวัน 150 บาทต่อคน ใช้เวลาประมาณ 1 - 1.30 ชั่วโมง
- จาก office แพภูตะวัน ไปยังท่าเรือ ประมาณ 15 นาที (บริการของแพ)
- จากท่าเรือ ไปถึงแพภูตะวัน ประมาณ 30 นาที (บริการของแพ)
- ขากลับ จาก office แพภูตะวัน ไปสนามบิน 150 บาท ประมาณ 1 ชั่วโมง

เขื่อนเชี่ยวหลานเป็นหนึ่งใน Destination ที่ผมอยากมามากๆ ที่นึงเลย เป็นการได้มาพักผ่อนจริงๆ เพราะมันไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ทำให้สมาร์ทโฟนกลายเป็นแค่นาฬิกาปลุกที่ไม่จำเป็นต้องใช้ ได้มีเวลาพูดคุยกับเพื่อนที่มาด้วยกัน ซึ่งเพื่อนกลุ่มนี้ของผมเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัย ม.ต้น ที่หลังจากทำงานต่างคนก็ต่างห่างกันไป ได้ลอยคอในน้ำ เล่าเรื่องแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตของกันและกัน น้ำที่นี่ก็เย็นมากๆ แม้จะเป็นตอนกลางวันแดดร้อนๆ ข้อดีของมันคือ มันไม่เค็ม 555

การมากินๆ นอนๆ เล่นน้ำ ถ่ายรูปอยู่ที่นี่ซัก 2 คืน ผมว่ากำลังดี มากกว่านี้อาจจะเบื่อได้ เพราะมันไม่มีอะไรทำเลยจริงๆ แต่จะให้มานอนแค่หนึ่งคืน วันแรกมาถึงเกือบเที่ยง อีกวันตื่นมาเก็บกระเป๋าบินกลับเชียงใหม่ ก็แลดูไม่คุ้มที่เดินทางมาเท่าไหร่เลยเนอะ...

หมดแล้วครับรูปที่เตรียมไว้ ขอจบกระทู้เพียงเท่านี้ ทุกรูปถ่ายด้วยกล้อง Nikon D610 (ยกเว้นรูปกรรเชียงปูกับปลากระพงทอดน้ำปลา ใช้กล้องมือถือ) ทุกรูปผ่านการแต่งก่อนโพสหมดครับ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาชมครับ ถ้าชอบก็แชร์กันหน่อยนะครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการท่องเที่ยวครับ สวัสดีครับ

ติดตามผลงานอื่นๆ ได้ที่ www.facebook.com/chanawinphoto

Chanawin Photography

 วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 23.23 น.

ความคิดเห็น