Hate or Love india

สาธารณรัฐอินเดีย Republic of India

ดินแดนเก่าแก่ ที่ผ่านกาลเวลาแห่งหนึ่ง อินเดีย เป็นประเทศหนึ่งที่มีอดีต และอนาคต ที่เต็มไปด้วย ความขัดแย้ง และความแตกต่าง จึงเป็นที่มาของคำว่า " incredible india "

แต่ในหัวใจของความหลากหลายที่มากมายนี้ คือ แก่นแท้ของชีวิตคนอินเดีย ....

อินเดีย มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียใต้ และมีประชากรมากถึง 1,200 ล้านคน เป็นอันดับ 2 ของโลก และยังเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย ขึ้นชื่อในเรื่องการค้าและความมั่งคั่งทางวัฒนธรรม เป็นเขตเส้นทางการค้าแห่งประวัติศาสตร์ และอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ....

เอาล่ะ !! เราเกริ่นกันมาพอสมควรแล้วกับข้อมูลคร่าว ๆ ของอินเดีย ถ้าใครอยากรู้เพิ่มเติม ไปหาอ่านได้ใน วิกิพีเดีย หรือ ตามเว็บไซต์ประวัติและที่มาของประเทศอินเดียกันเอาเองนะคะ

และช่วงเวลาต่อจากนี้ไป เราจะพาท่านร่วมเดินทางไปกับเรา ณ ประเทศอินเดีย ประเทศที่เต็มไปด้วย มนต์เสน่ห์ ของความโกลาหลของผู้คน รถ สัตว์ และสถานที่ . . . จงเบิกตาให้กว้าง ทำจิตใจให้เพลิดเพลินไปกับทริปของเรา

ติดตามการเดินทางของเราได้ที่

FB : https://www.facebook.com/beautyjourney1990/

Instagram : a.sexy.journey : https://www.instagram.com/a.sexy.journey/

VDO Trip in India 09-10 April 2017

ถ้าพร้อมแล้ว ก็ เลท สะ โกววว ว ว กันเลย :D

วันแรก เราเริ่มต้นออกเดินทาง จาก สนามบินสุวรรณภูมิ ตอนตี 2 ของวันที่ 9 เมษายน 2560 ด้วยสายการบินของ IndiGo

เดินทางมาถึง สนามบิน Kolkata ตอนตี 3 กว่า ๆ เพื่อพักเปลี่ยนเครื่อง ประมาณ 3 ชม. และบินต่อ ตอน 7 โมงเช้า เราไปถึง สนามบิน อินทิรา คานธี อินเตอร์เนชั่นเเนล (นิวเดลี) ตอน 9 โมงกว่า ๆ

โอ้ โห โอ้ว โห โอ้ววว โห !! (ทำเสียงทิพย์เป็นต่อ)

สิ่งแรกที่ได้สัมผัส เมื่อลงจากเครื่อง คือ อากาศที่ร้อนอบอ้าว และผู้คนมากมาย เราออกมานอกอาคาร ไปยืนรอ Shuttle bus เพื่อไป T3 เพื่อต่อ Metro เข้าตัวเมือง New Delhi

ก่อนที่เราจะกล้าตัดสินใจ มาเที่ยว ประเทศอินเดีย คนเดียว เราก็ทำการบ้าน มาบ้างคร่าว ๆ อ่านรีวิว และข้อมูล เพื่อให้รู้ว่า เราต้องทำอะไร เอาตัวรอดยังไง กับคนที่นี่ .. ถึงขั้น ติดแฮกแท็ก ว่า #เที่ยวคนเดียวต้องอยู่ให้รอด

(อันนี่คือแพลนของเรา)

จริง ๆ แพลนนี้ เราก็ไม่ได้ทำตามทั้งหมดหรอกนะ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่า ทำอะไรไปบ้าง ....


เรา นั่ง shuttle bus มาลง Metro ซื้อตั๋ว เข้าตัวเมือง New Delhi ซึ่งเป็นสถานีสุดท้าย ...

ที่พัก ที่เราจอง ใช้เวลาเดินจาก สถานีรถไฟ นิวเดลี แค่ 5 นาที เท่านั้น แต่วันแรก เรายังไม่รู้จักทาง เลยใช้ บริการ พี่สามล้อ ที่จอดเรียงราย กันตรงหน้าสถานี เราขึ้นมาจากสถานีได้ปุ๊ป พวกพี่แก ก็ตรงดิ่ง เดินมารุมทึ่งเราอย่างกับ แมลงวันตอมอึ เลย !!!

" Hello My friend " คำนี้ได้ยินมาแต่ไกล

เราเลือกใช้ พี่สามล้อที่เราเล็งไว้เอง พูดคุยตกลงราคากันเป็นที่เรียบร้อย ก็ ขึ้นนั่งรถพี่แก ปั่นออกจากตรงนั้น ทันที ระหว่างนั่งไป Hostel ก็จะได้ยินเสียงแตร ปีบกัน สนั่นเมือง ได้เห็นวิถีชีวิตผู้คน ในระแวกนั้น ได้สัมผัสอากาศที่ร้อนอบอ้าว พลางคิดในใจ "นี่กรูมาเหยียบอินเดียแล้วจริงๆหรอหวะเนี่ย"


พี่สามล้อ ใช้เวลาปั่น จากสถานีรถไฟ มา ที่ถนน Ara Kashan Road. ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็มาถึง ZOSTEL DELHI ซึ่งคือที่ซุกหัวนอนของเราสำหรับ 2 คืน ใน เมือง นิวเดลี นั่นเอง ...


เวลา เที่ยง กว่า ๆ เราก็มาถึงที่พัก แต่ยังเช็คอิน เข้าไม่ได้ เนื่องจาก Booking ของเราน่าจะมีปัญหา กับระบบของ Hostel เลยต้องนั่งรอ เกือบ ๆ ชม. กว่าจะได้ Check in

พอพนักงานสาวแขก โทรไปเคลียกับ booking ให้เราเรียบร้อย แมร่งโครตรู้สึกโล่งใจ ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีที่ให้นอนซะและ เพราะที่พักนี้ คนพักเยอะมาก แถม ห้องเต็มอีกต่างหาก (เราคิดว่าที่ Booking เรามีปัญหา คงเป็นเพราะ ก่อนหน้านี้เราเมลล์ไปว่าจะขอยกเลิกการจอง แต่ทาง Hostel แจ้งว่าถ้ายกเลิกการจองเราจะโดนหักเงินเต็มจำนวน เราก็เลย ไม่ยกเลิก)

อยากจะบอกว่า มาเที่ยวต่างประเทศคนเดียว ใช่ว่าภาษาอังกฤษเราจะดีนะ แค่ฟังและพูดได้บ้าง เท่านั้น แล้วดันมาเจอ คนที่นี่ พูดอังกฤษสำเนียงแขกจ๋า นี่ไปไม่เป็นเลยนะ คนบ้าอะไร พูดอังกฤษเร็วชิป เกือบไม่รอด !!!!

ห้องพัก แบบนอนรวม 8 คน แต่ภายในห้องเรา มี ชาย 7 คน From Everywhere กันเลยทีเดียวจ๊ะ เนปาล อินเดีย จีน อังกฤษ เยอรมัน อาเจนติน่า มีเราหญิงไทย ใจงาม คนเดียว เลยจ้า ^_^ ตอนแรก มีสาวญี่ปุ่น หลงติดเข้ามา แต่ดันโดนย้ายไปอยู่อีกห้อง เราก็เลยได้แต่ทำใจ ว่าเป็น ผู้หญิง คนเดียว ที่ต้องนอนรวมกับ ผู้ชายทั้ง 7 คน แหะ ๆ แล้วผู้ชายพวกนี้ก็ไม่มีความเกรงอก เกรงใจ เลยนะ ว่ามีผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อาศัยอยู่ด้วย เดินแก้ผ้ากันสะ เราใจหวิว ๆ แอบยิ้มปริ่ม ๆ คิดในใจ มรึงกูนั่งอยู่นี่ :P ยังไม่ทันได้เริ่มทำอะไร หนุ่มจีน หน้าใส ก็เข้ามาทักทาย พูดคุย แปบเดียวเราก็สนิทกัน ... (เหยื่อรายแรกติดกับแล้ว)

เก็บกระเป๋า ล้างหน้า ล้างตา เรียบร้อย เราก็ถามเพื่อนหนุ่มอินเดีย ว่าถ้าจะไป Red Fort ใช้ Metro หรือ Tuk Tuk ดี นางก็เสนอให้เราเรียก Uber จะถูกกว่า เราก็เลยลองทำตามคำแนะนำของเพื่อนหนุ่มอินเดียสะเลย

เกือบเสียเงิน 50 ดอลล่า ให้ Uber

ใช้บริการ Uber จากที่พัก ไป Red Fort ใช้เวลา30 กว่านาที ค่าบริการ ประมาณ 49 รูปี แต่วันนั้นรู้สึก มึน ๆ สติไม่ค่อยอยู่กับตัวสักเท่าไหร่ ข้าวปลา ยังไม่ได้กิน ตั้งแต่ ออกจาก กทม. เลย วันนั้น กินแค่ ฟิชโช กับ ทิวลี่ ... เราจ่ายเงินแบงค์ 100 รูปี พี่แกบอก ไม่มีเงินทอน (เอาละ มุขนี้มาอีกแล้ว คล้าย ๆ พี่สามล้อ เมื่อเช้าเลย) เราก็หาแบงค์เล็กไม่เจอ ถ้ามีนะ จะให้เท่าที่มีและ จะบอกคล้าย ๆ มุขไม่มีเงินทอนเลย แต่ปรากฎว่า เราเจอแบงค์ 50 แต่ไม่ได้ดูหรอก ว่าแบงค์มันคือ เงินตรา ของอะไร ก็ จ่าย ๆ แกไป แล้วเปิดประตู กำลังจะลงจากรถ พี่คนขับ รีบตะโกนบอก " แหม่ม ๆ นี่มันเงินอะไรของยู เนี่ย มันไม่ใช่เงินรูปีนะ พอเราเห็นรีบ ดึงออกจากมือพี่แกอย่างไว แล้วบอกว่า I'm sorry นี่มันเงิน บ้านไอ เอง ค่ามันไม่ถึง 49 รูปีหรอก เดี๋ยวไอ ให้ 100 รูปี นะ ยู ทอนมาให้ไอ เท่าที่ยูมีแล้วกัน สรุปพี่แก ทอนมาให้ 40 รูปี" แหม้ โล่งอก เกือบจะเสีย เงิน 50 ดอล ไป สะและ !!!


Red Fort คนต่อแถวเป็นพัน !!!

วันที่เราไป มันตรงกับวันอาทิตย์ ก็เข้าใจว่าเป็นวันหยุด แต่ไม่คิดว่า คนอินเดีย จะสนใจ เข้าชม Red Fort กันเยอะขนาดนี้ คือนี่ยังไม่ใช่หางแถวนะ เราเห็น ช๊อตแรก แทบช็อก คิดว่า เฮี้ย กรูจะได้เข้าไหมเนี่ย !!!

ก็เลยลอง ๆ เดินขึ้นไป ที่ต้นแถว แล้วไปถามเจ้าหน้าที่ว่า ช่องสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ตรงไหน ไอหาไม่เจอ พาไอไปหน่อยได้ไหม ? พอได้ตั๋วเข้า Red Fort แล้วก็สบายใจ เดินยิ้ม กริ่ม ๆ แบบผู้มีชัย " ได้เข้าแล้วโว้ยย "

แพลนแรก สำเร็จ !!!

ใช้เวลา เดินอยู่ไม่นาน ประมาณ ครึ่งชั่วโมงได้มั้ง คือเราไม่ค่อยอินกับพวกสถาปัตยกรรม หรือประวัติศาสตร์ อะไรพวกนี้เท่าไหร่ ก็เลย เดิน ๆ หามุมหลบร้อน เพราะมันร้อนมาก แอบเห็นคนอินเดีย เขาไปนั่งใต้ต้นไม้ ก็เลยเนียน ๆ ไปนั่งด้วยได้สักพัก ก็เดินออกจาก Red Fort ระหว่างเดินออกมา ก็เจอ บรรดา หนุ่มแขก ส่งยิ้มให้ บางคนก็มาขอถ่ายรูปด้วย !! เอ๊ะ นี่เราคือซุปตาร์ ใช่ไหมเนี่ย ^_^


เดินออกมาจาก ป้อมแดง เราคิดว่า เราเดินกลับ ที่พักถูก แน่ ๆ ก็เดินตามทาง มา เรื่อย ๆ เพราะตอนนั่งรถ แอบมองเส้นทางอยู่ว่ามันมายังไง เดินไปได้สักประมาณ 2-3 กม. เริ่มงง เอ๊ะ มาถูกทางหรือเปล่า ทำไมตอนมาไม่เห็นทางนี้หว่า เอาไงดี ร้อนก็ร้อน สรุป ยืนอยู่ข้างทาง กำลังจะข้ามถนนไปอีกฝั่ง ดันมีตุ๊ก ๆ ขับมาพอดี ก็เลยถามลุงแกว่า

เรา : ลุง ๆ จะไป อะรา คาซาน โรด มันต้องเดินไปทางไหน ?

ตุ๊ก ๆ : ลุงบอก ขึ้นมา ๆ เดี๋ยวไปส่ง 80 รูปี เอง

เรา : ไม่ไป 80 รูปี แพง หนูนั่ง แท็กซี่ มาแค่ 40 รูปี เอง

ตุ๊ก ๆ : อะรา คาซาน โรด ไกล นะ ขึ้นมาเถอะ 80 รูปี ๆ

ระหว่างคุยกัน ก็มีตุ๊ก ๆ อีกคัน ขับมา แล้วบอก ขึ้น มาๆ 60 รูปี ๆ อีลุงสามล้อ กลัวโดนแย่งลูกค้า เลยบอกว่า 50 รูปี เร็ว ๆ ขึ้นมารถฉันเนี่ย (เราก็แอบหัวเราะ และคิดในใจนะ มึงจะฆ่ากันไหมเนี่ย)

สรุป เราขึ้น ตุ๊ก ๆ ของอีลุง เพราะเห็นมีเด็ก นั่งมากับลุงด้วย 2 คน ถามแกบอกเป็นลูกแก ... และอีตุ๊ก ๆอีกคัน ก็พูดไรไม่รู้ โวยวายใส่อีลุง ทันที (ถ้าให้เราแปล มันคงบอกว่า มึงตัดราคากูทำไม)

แต่ยังไปไม่ทันได้ไกลเท่าไหร่ อีลุง ก็ออกราย แมร่งจอดเรียกลูกค้า ตลอดทาง " สถานีรถไฟ ๆๆๆๆๆ "

อีลุง 50 รูปี คือ กูต้องนั่งไปคนเดียวนะ !!! สรุป อีลุงรับลูกค้าขึ้นมาบนรถเพิ่มอีก 3 คน แล้วให้ เด็กน้อย ไปนั่งกับแก ตรงที่ขับ !!! หัวหมอ จริง ๆ อีลุง ได้ 50 รูปี จากกรู แล้วยังรับเพิ่มอีก พอถึงที่พัก มีขอทิป ด้วยนะ แหม้ !! ใครจะให้

พอถึงที่พัก ไม่รอช้า รีบหาซื้อน้ำดื่ม แล้วขึ้นห้องทันที รื้อกระเป๋า หาของกินทันที นั่งกิน ทูน่ากับขนมปัง ได้แปบนึง หนุ่มจีน หน้าใส ก็เดินเข้ามาหา ชวนคุย ถามไถ่ ว่าเป็นไง ทริปวันนี้ บลา ๆ คุยกันสักพัก นางก็ชวนเราออกไปดินเนอร์ ตอนแรกอยากจะปฎิเสธ นะ เพราะเรากำลังกินอยู่ ซึ่งนางก็เห็น แต่นางก็ยังมีน้ำใจ มาชวน ก็เลย ตกลงไป ด้วย

นางพาเราเดินลัดเลาะไปตามซอกซอยเล็ก ๆ ซึ่งเราก็ไม่รู้จะพาไปไหน ใจก็กลัวนิด ๆ " นี่มรุงจะพากรูไปฆ่าเปล่าเนี่ย "

Jay Jay ยู จะพาไอไปดินเนอร์ ที่ไหน หรอ ทำไม ทางไป มันน่ากลัวจัง !!

ha ha ยูกลัวหรอ ไอไม่ทำอะไรยูหรอก ไอแค่พามาทางลัด เรากำลังจะเดินไป Main bazar กัน ยูเคยกินอาหารอินเดียหรือเปล่า ? ไม่เคยอะ ไอไม่ชอบเครื่องเทศ แต่จะลองก็ได้ ไอไม่ซี ...


ลองกินอาหารอินเดียครั้งแรก และ มื้อแรกของวัน

เราไม่เคยกินอาหารอินเดียมาก่อน เพราะปกติไม่ชอบเครื่องเทศ หรือแกงกระหรี่

พอมาถึง เราสั่ง Pizza แต่คนทำบอก มันรอนาน สั่งอย่างอื่นเถอะ เออมีงี้ด้วย กลัวลูกค้ารอนาน เราก็เลยให้ Jay สั่งแทน เพราะเราสั่งไม่เป็น นางก็นำเสนอ ปาณีย์ (Pani) ไม่รู้เรียกถูกหรือเปล่า

กินไปแค่ 2 -3 คำ เราก็เลยสั่ง ไข่เจียวมาหนุนแทน คือไม่รู้บอกไม่ถูก รสชาติมันไม่โดนอะ ก็ได้แต่บอก เพื่อนจีน ว่า ไอซอรี่นะ ไอกินไม่เป็น ขอกินไข่เจียวแทนแล้วกัน :D

ระหว่างเดินไป Main bazar เราก็แวะ เอาสมุด ดินสอ ยางลบ ที่เตรียมมา แจก เด็ก ๆ แถวนั้น บางส่วนเราก็เอาไปแจก ที่ Red Fort และ ก็ ที่ Agra กับ Leh ด้วย

ขอบคุณ Jay มากที่ถ่ายรูปให้เรา ^_^

ดินเนอร์กันเสร็จแล้ว เราก็ยังเดินเล่น ที่ Main Bazar ต่อ แวะซื้อขนมข้างทางกิน จริงๆ ไม่เคยคิดจะซื้อของข้างทางที่อินเดียเลยนะ เพราะอ่านรีวิว มาเยอะ เลยไม่กล้า แต่เพื่อนจีน ชวนลอง ก็เลย ลองดู จริงๆ มันก็ไม่ได้เลวร้ายนะ อาหารข้างทางอินเดียอะ เราลองกินไป 2-3 อย่าง อร่อยดี แถมตอนซื้อ เขาคิดราคา แบบ ใช้ตราชั่งสมัยก่อน ด้วย แปลกดี

ตอนเราเดินกลับที่พัก เผอิญ ได้เจอกับ พี่วิชกี้ สาวไทยสุดอเมซิ่ง ระหว่างทาง พี่แก กำลัง นั่ง เพนซ์ แฮนน่า อยู่ เราพูดคุย ทักทายกันนิดหน่อย พอประมาณ ตามประสา คนบ้านเดียวกัน มาเที่ยวต่างแดน ตัวคนเดียว เหมือนกัน รู้แค่ว่า พรุ่งนี้เรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ จะไปบุก ทัชมาฮาล เราไม่ได้ขอ คอนแทค พี่เขาไว้ ได้แค่พูดว่า พรุ่งนี้เจอกัน เท่านั้น แล้วเราก็กลับที่พัก อาบน้ำ นอนพักผ่อน เพราะต้องตื่นแต่เช้า ไปสถานีรถไฟ ...


เช้าวันที่ 10 เมษายน 2560 กับการนั่งรถไฟในอินเดียครั้งแรก

เราตื่น ตอน ตี 4 จัดการทำธุระ ให้เสร็จ แล้วลงมาชั้นล่าง ตรงจุดบริการ ลูกค้า เดินไปถามพนักงานหนุ่มหน้าเคาร์เตอร์ ว่า จะไปสถานีรถไฟ เพื่อไป อักรา เรียกรถให้หน่อยสิ นางบอก ทำไม ยู ตื่นมาไวจัง รถรอบ 6 โมงเช้าไม่ใช่หรอ ? ใช่รถรอบ 6 โมงเช้า แต่ไอกลัวไปไม่ทัน !! แล้วนางก็หัวเราะ บอกว่า สถานี ห่างจาก ที่พัก ไม่ถึง กม. ยูเดินไป 5 นาทีก็ถึงแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกรถหรอก ... เอ่อ คือ ไอรู้ แต่ไอ กลัวไปไม่ทัน เพราะไอไม่รู้ว่าต้องขึ้น ชานชาลาไหน ไออยากไปก่อนเวลา ยู อันเดอร์สะแตน ไอไหม? แล้วอีกอย่างมันยังเช้ามืด ไอไม่กล้าเดินไป คนเดียว เก๊ทปะ !! นางก็เลยบอกว่า ไปปลุก Jay สิ เห็น เมื่อวาน Jay บอก จะพายูไปนี่นา .. อ้าวเห้ย มรุงรู้ได้ไงว่ากรูคุยกัน หึหึ (ทุกคนในที่พัก รู้จัก Jay หมด เพราะนางมาอยู่ที่พักนี่ 10 กว่าวันได้และ)

คือไอ ไม่อยากรบกวน Jay ยูเรียกรถให้หน่อย เคนะ .. ได้ ๆ เดี๋ยว ไอเรียกสามล้อให้ แต่ มารับตอน ตี5ครี่งนะ ยูไปทันอยู่แล้วแหละ นั่งเล่นเน็ตไปก่อนแล้วกัน ไม่ต้องรีบหรอก :D เเต็งกิ้วว นะ


ตี 5 กว่า ๆ สามล้อ มารับ ไป สถานีรถไฟ ช่วงเช้ามืดในอินเดีย เป็นอะไร ที่สบายหู มาก ไม่ได้ยิน เสียงแตร แหม้แต่นิดเดียว นั่งไปได้ 5 นาที ก็ถึงสถานี เราลงจากสามล้อได้ไม่ทันไร ก็มีลุงแขก ตัวใหญ่ ๆ เดินตรงเข้ามาหา ตั๋วไปอักรา ใช่ไหม ?

เราไม่คุยด้วย เพราะรู้ว่ามึงจะมาหลอกขายตั๋วให้ตู ไม่ได้รับประทานตูหรอก ตูอ่านมาเยอะ 555+

เราเดินดุ่ม ๆ ไปหาทางเข้าชานชาลา ยืนงงในดงแขก ได้สักพัก ก็มีคุณลุงแขก ใจดี พาไป ชานชาลา แล้วพาไปขึ้น ตู้นั่งด้วย ลุงแกบอก ให้ดู ข้างตู้ มันจะมีกระดาษรายชื่อติดอยู่ ลองหาสิ มีชื่อยูไหม พอเราเห็น ลุงก็บอก นี่แหละ ตู้ยู ก็ไปนั่งตามเลขที่ นี่เลย !! โอ้ย ขอบคุณลุงมากเด้อจ้า ^_^ ถ้าไม่ได้ลุง นี่คงยืนงงในดงแขก ต่อไป

เรานั่งได้สักพัก ก็มีอีคุณลุง คนที่นั่งข้าง ๆ เรามา แต่จริง ๆ นางไม่ได้นั่งตรงนี้นะ นางนั่ง อีกฝั่งนึง พอดีข้างเราไม่มีคนนั่ง อีลุงเลยลุก มานั่งข้าง เราสะงั้น แล้วก็เปิดเพลง อิน ตะ ระ เดีย ดังลั่นเลย คือดีจริง ๆ :D

อาหารบนรถไฟ ขนม คุกกี้ และก็น้ำมะนาว อร่อย มาก แต่ในกล่องที่เหมือนมันบดหรืออะไรสักอย่าง กินไม่ได้เลย รสชาติไงไม่รู้ ทิ้งหมดเลย เห็นแล้วก็เสียดาย พอตอนขากลับเราก็เลย ไม่แกะอาหารเลย เก็บใส่กระเป๋า จน ป้า ๆ ข้าง ๆ แกมองเราแปลก ๆ ที่เราเก็บใส่กระเป๋า ไว้ ก็เพื่อเอามาให้ คนข้างนอก ที่เขานอนอยู่ในสถานี นั่นแหละ ดีกว่าเราเอาไปทิ้ง เสียดายของ


นั่งรถไฟ ใช้เวลา ประมาณ 2 ชม. เราก็มาถึง สถานี Agra ตั้งแต่ นั่งมาไม่เคยคุยกับตาลุง ข้าง ๆ เลยนะ พอเห็นรถไฟ จอด เทียบ ใกล้เวลาที่ระบุว่าจะถึง อักรา ตอนไหนนี่แหละ ถึงคุยกับแก คำเดียว Agra station ? แกพยักหน้า เป็นการจบสนทนา :D


เดินออกมาจากสถานี เราก็ได้เจอกับพี่วิชกี้ คนสวย นางกำลังช่วยเหลือ ฝรั่ง อยู่ เอาจริงๆ เราจำพี่แกไม่ได้หรอก แต่แกจำเราได้ เราต่างคน ต่างมาคนเดียว ก็เลย ร่วมทริปกัน พอดีเราข้อมูลปึก มาก ก็เลยบอกว่า เราต้องไปหาเจ้าหน้าที่ เขาจะมีราคาของ Taxi ให้ ถ้าเราบอกว่าเราจะไปไหนบ้าง สรุปเราเลือกรถ แบบ No air อยู่ที่ ราคา 1,000 รุปี ซึ่งพี่วิชกี้ เป็นเพื่อนร่วมทริป ที่ดีมาก ไม่มีการบ่นสักคำ เราเลือกอะไร พี่แกได้หมด จัดไปคะ

นี่คือโฉมหน้า ผู้ร่วมชะตากรรม ในทริปนี้

ตาลุงคนขับชื่อไร จำไม่ได้ แกพูดอังกฤษไม่ได้ ส่วนคนนั่งข้าง ๆ ชื่อ ไกด์ Bom และก็มีเรา กับพี่วิชกี้

Taxi ที่เจ้าหน้าที่หาให้ ก็ใช่ว่าจะไม่เจอดี นะจ๊ะ ตาลุงบอม นี่จะพาพวกเราแวะ ร้าน จิวเวอรี่ บ้าง โน่น นี่นั่น แต่เรากับพี่วิชกี้ บอกว่า ไอไม่แวะไหน ไอจะไปตามแพลนไอ โอเคนะ ....


Taj Mahal จ๋า ข้ามาแล้วจ๊ะ

ค่าเข้าทัชมาฮาล ถ้าเราโชว์ Passport Thai เราจะได้ส่วนลด เราจ่ายกันคนละ 530 รูปี

เอาตั๋วไปโชว์ จะได้น้ำเปล่า 1 ขวด และผ้ากันเปื้อนรองเท้า 1 คู่


เราเดินหามุมถ่ายรูป กันสักพัก และเข้าไปชมภายใน ทัชมาฮาล (แต่ข้างในห้ามถ่ายรูป) คนเยอะมาก แถมวันนั้นอากาศ อยู่ที่ 42 องศา ด้วย

ยอมรับว่า ทัชมาฮาล เป็นอะไร ที่สวย และงดงามมาก ดูยิ่งใหญ่ สมกับที่ติด 1ใน7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก จริง ๆ แต่แปลก เมื่อเราเข้าไปดูภายใน เราไม่เห็นรุ้สึกแบบเดียวกับที่เราเห็นตอนดูจากข้างนอกเลย คือเราจินตนาการ ไว้ว่า ภายในจะต้องสวย ประดับประดา ด้วยเพชร หรือ อะไรสักอย่าง แต่ จริงๆ กลับเป็นแค่ห้องโถงใหญ่ ๆ มีโลงศพ 2 โลง อยู่ตรงกลาง แล้ว มีหินอ่อน เป็นที่กั้น เท่านั้นเอง เราเดินดู ไปเรื่อย ๆ ได้สักพัก ก็เดินออกมาข้างนอก อีกฝั่ง ที่เราสามารถมองเห็น แม่น้ำ ยมุนา แต่วันที่เราไป คงเป็นหน้าแล้ง น้ำในแม่น้ำแทบจะไม่มี หลังจากนั้น พวกเราก็เดินออกจากทัชมาฮาล เพราะนัดกับตาไกด์บอมไว้ ว่าจะต้องมาเจอกันตรงที่จอดรถตอน 11.20 น. (แล้วก็ก็ให้นามบัตรโรงแรมที่ใกล้ ๆไว้) ตอนที่เราเดินเข้าก็ไม่ได้สังเกตทางหรอกว่ามีอะไรบ้าง พอขาออกพวกเราเดินผิดทาง คือวนหาที่นัดเจอกันเป็นชม. เลย ร้อนก็ร้อน เดินไปไหนก็ไม่รู้ ถามเจ้าหน้าที่ ว่าจะไป Maya Hostel ยังไง พวกเจ้าหน้าที่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เราเดินวนกันอยู่นาน จนพวกสามล้อ ตุ๊ก ๆ ขับมาเทียบข้าง ตื้อให้เราขึ้นรถ แต่พวกเราไม่ขึ้นเพราะคิดว่า มันอยู่ใกล้ เดินแปบเดียวก็ถึง ดีกว่าเสียเงิน 50 รูปี (คือมันก็ไม่ได้เยอะมากมายเท่าไหร่นะ เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ยอมจ่ายเงิน 50รูปี เพื่อแลกกับความสบาย ตอนนั้นก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน)

กว่าจะหาเงินได้แต่ละบาท มันไม่ใช่เรื่องง่าย

เดินไป เดินมา วนอยู่อย่างนั้น นานพอสมควร จนพี่วิชกี้ บอกไม่ไหวแล้ว ร้อน เรานั่งสามล้อไปกันเถอะ !! พอเห็นสามล้อเราก็ตกลงราคากัน ลุงบอก 50 รูปี แต่พวกเราดันไปต่อ 30 รูปี นะ มันใกล้ แค่นี้เอง !! ตาลุงสามล้อก็ได้แต่พยักหน้า พอเราขึ้นสามล้อได้สักพัก ตาลุงก็เข็นรถพาเราไป ตอนแรกก็แปลกใจ ทำไมลุงไม่ปั่น เข็นทำไม เราก็เลยขอลุงปั่น ถึงเข้าใจว่า มันเป็นเนินขึ้น ลุงแกเลยต้องเข็น เราลองปั่นแค่ 2-3 นาที ก็รู้และว่ามันเหนื่อย (ปกติเราปั่นจักรยานนะ) ต้องรับน้ำหนักคนถึง 2 คน แล้ว+กับปั่นขึ้นเนิน แถมอากาศวันนั้นตั้ง 42 องศา เข้าใจความรู้สึกลุงเลย กว่าจะได้เงินแต่ละบาท แล้วเราดันไปต่อราคาอีก สรุปพอถึงทางออก พวกเราก็จ่ายเงินให้แก 50 รูปี ตามที่แกขอตอนแรกเลย ...

(ถ้าใครไปอินเดีย อะไรที่สมควรจ่ายก็จ่ายเขาไปเถอะ บางคนเขาก็ทำมาหากินตามประสาของเขา อาจจะเรียกเงินเกินราคาไปบ้าง เราก็แค่ใช้วินิจของเรามองอีกมุม ว่ามันสมควรจ่ายไหม แต่ถ้าเรามองไปอีกมุม เวลาเราเข้าห้าง กินอาหารในร้านแพง ๆ เราไม่เคยต่อราคา กล้าที่จะจ่าย บางทีเอาความรู้สึกพวกนี้ มาหักลบกันก็ได้นะ ยกตัวเอย่างเช่นเรา ก่อนจะมาเราอ่านรีวิว มามากมาย ทำให้เรากลัวที่จะโดนโกง เลยไม่ยอมควักเงินจ่าย ตามราคาที่เขาเรียกร้อง ได้แต่ต่อราคาตลอดเวลา แต่พอมาเจอเคสลุงคนนี้ ที่เราได้ลองสัมผัสกับงานที่ลุงเขาทำ มันเลยทำให้รู้ว่า แค่ 50 รูปี (25บาท) กับการที่ลุง ต้องทนร้อน เข็นรับน้ำหนักคนถึง 2 คน ทำไมเราจ่ายให้ไม่ได้หวะ .... )


Finally we got it !!!!

ในที่สุดพวกเราก็ออกมาได้สำเร็จ แต่ยังหารถไม่เจอ เดินงง ๆ กำลังจะข้ามถนน ก็มีเสียงหนึ่ง ตะโกน ดังขึ้นมา Hey !!! ยวู ไปไหนกันมา ไอตกใจแทบแย่ นี่มันเที่ยงกว่าแล้วนะ ... เสียงนั้นไม่ใช่เสียงใครที่ไหน มันคือเสียงตาลุงบอม นั้นเอง

ลุงแก พูดไป พลางส่ายหน้า ด้วยอารมณ์ บูด ๆ เราก็ได้แต่ เซย์ ซอรี่ ๆๆ I'm Lost คือมันใหญ่มาก ไอหาทางออกไม่เจอ ไอไม่รู้ ไปออก ตรงไหน แต่เดินไปแล้ว มันมีที่จอดรถ พร้อมตลาด ไอเดินหาตั้งนาน ไอ ขอโทษ จริง ๆ !! ตาลุงบอม ได้แต่บอก ไม่เป็นไร ไอแค่ตกใจ เพราะถ้าไอหายูไม่เจอ ไอเดือดร้อน แต่ตอนนี้เจอกันแล้ว ก็ไม่เป็นไรแล้ว ไป ๆ ขึ้นรถ ไปที่อื่นต่อ

ด้วยความที่มัวแต่วนหาทางออก อยู่นาน ทำให้กินเวลาพอสมควร เราก็เลยขอให้ ตาลุงบอม พาไปหาอะไร รองท้องก่อน เพราะหิวมาก บวกกับ อากาศร้อน อยากจะเป็นลม ตาลุงบอมก็ไม่วายพาไปร้านอาหาร หรู ๆ (สงสัยแกมีคอนแทคกับที่นั่น) เราก็ไม่ได้ค้านอะไร เพราะตอนนั้น อารมณ์แบบว่า ที่ไหนก็ได้ หิวมาก

ในอินเดีย ถึงแหม้ ร้านอาหารจะดูหรู เหมือนระดับ 5 ดาว เหมือนภัทรตาคาร บ้านเรา ก็ใช่ว่า ราคาจะแพง นะ วันนั้น สั่ง Chicken biryani กันคนละจาน กาแฟ น้ำดื่ม ฯลฯ จ่ายไปไม่ถึง 300 บาทเลย

พอกินเสร็จ พวกเราก็ขึ้นรถ เพื่อไป ยังอีกสถานที่นึง ที่เราแพลนไว้ นั่นก็คือ Baby Taj แต่ก่อนจะไป ตาลุงบอม มีการมาจอดแวะร้าน จิวเวอรี่ อีกนะ แต่เราไม่ลงจากรถ เพราะบอกว่าไม่แวะ จะไป baby taj เลย แล้วต่อไปนี้ห้ามแวะที่ไหนด้วย เราไม่ซื้อ ไม่ดู มาเที่ยวตามแพลน ที่ให้ไว้เฉย ๆ ตาลุงบอม เซย์ โอเค ๆ .. อาร์ ยู แฮปปี้ (แต่หน้าไม่ยิ้มเหมือนแต่ก่อน) ^_^

Baby Taj

เราโชว์ Passport Thai พร้อมตั๋ว Taj Mahal ไป จะได้ Ticket ในราคา 20 รูปี ( แต่เสียค่า Parking 50 รูปี อันนี้เราต้องเสียเองทุกที่ ไม่ได้รวมในราคารถ ที่เราเหมามา)

หลังจากเราจ่ายค่าตั๋ว ก่อนเดินขึ้นไปชมความงามของ Baby Taj ก็จะมีเสียงตะโกนเรียก Hello hello อยู่ใต้ต้นไม้ เสียงนั่นเป็นเสียงของคุณลุงคนนึง ที่เรียกให้นักท่องเที่ยวไปเอาผ้ากันเปื้อนรองเท้า ให้ใส่ก่อนเดินขึ้นไป (คือตอนแรกเราไม่รู้ เพราะไม่เห็นลุง เราก็ถอดรองเท้าแล้วเดินขึ้นไป แต่แม่เจ้า พื้นหินอ่อน + กับ แสงแดด ในวันนั้น เท้าแทบไหม้ วิ่งกระโดด อยู่บนนั้นนาน เกือบ 10 กว่านาที ถึงรู้ว่า มีลุงอยู่ตรงนั้นคอยแจกผ้ากันเปื้อนรองเท้าไว้ใส่ขึ้นไปโดยที่เราไม่ต้องถอดรองเท้า ... ไว้อาลัยให้กับเท้าที่ไหม้ เมื่อ 10นาทีก่อน )

ช่วงเวลาที่ไป นักท่องเที่ยวยังไม่เยอะเท่าไหร่ ทำให้เราได้ถ่ายรูป สวย ๆ ไร้ผู้คน ไม่เหมือนกับ taj mahal ที่คนเดินกันพลุกพล่าน ถ่ายมุมไหนก็ติดคน

ด้านหลังของ baby taj เป็นวิวแม่น้ำ ยมุนา



เราใช้เวลาพอประมาณ กับ baby taj หลังจากนั้น พวกเราก็ขึ้นรถเพื่อที่จะไปต่อ ยัง Agra Fort พอขับมาถึง อารมณ์แบบ ร้อนมาก + กับตาลุงบอม บอกว่า ถ้าไม่อยากเสียเงิน ยืนถ่ายอยู่ข้างนอกก็ได้ ซึ่งตอนนั้น เราก็ไม่มีอารมณ์อยากจะเข้าหรือถ่ายรูปเลย ก็ได้แต่บอกแกว่า ยูไม่ต้องแวะนะ ไอไม่เข้าและ คงคล้าย ๆ กับ Red fort นั่นแหละ พูดจบ ตาลุงบอม ก็ขับรถออกไปทันที แล้วพาเราไปเเวะตรงสวนสาธารณะ Mohtab Bagh ตรง ที่เราแพลนไว้ว่า จะมานั่งเรือ ถ่ายรูปทัชมาฮาลกับพระอาทิตย์ตก แต่ตอนนั้นพึ่งแค่ บ่าย 2 โมงกว่า ๆ เราก็เลยบอกว่า เห้ย ไอยังไม่อยากมาตอนนี้ นะ มันร้อน ยูจะให้ไอ นั่งเรือตอนนี้หรอ จะบ้าหรือเปล่า ใครจะไปนั่ง ร้อนก็ร้อน แถมพระอาทิตย์ก็ยังไม่ตกด้วย ช่วยมาตอน 4 โมงเย็นได้ไหม ตอนนี้คือ ไปร้านกาแฟก็ได้ ไออยากพักมาก แต่ตาลุงบอม บอกว่า มันอยู่ใกล้ ๆ กัน ก็แวะเลย เพราะเดี๋ยวเพื่อนยูต้องกลับตอน 5 โมงเย็นนะ (พี่วิชกี้ก็เลยบอกว่า ก็ยูพาไอไปส่งสถานีรถไฟ ตอน 4 โมงเย็นก่อนแล้วค่อย พาเพื่อนไอ มาถ่ายรุปตรงนี้สิ) ตาลุงบอม ไม่ยอม พูดว่า ไอไปส่งที่สถานีรถไฟ รอบเดียว แล้วไอจะไม่ออกมาอีก มันหมดเวลาไอแล้ว !!!

เรา : อ้าว ตอนที่ตกลงไอก็บอกยูแล้วนิ ว่าไอ จะมาที่นี่ตอน 4 โมงเย็น แต่พาเพื่อนไอไปส่งสถานีรถไฟก่อน เพราะเพื่อนไอต้องกลับก่อน ส่วนไอกลับรอบ 3 ทุ่ม ยูก็ตกลงแล้วนิ แล้วทำไมตอนนี้มาพูดแบบนี้

ตาลุงบอมไม่ยอมท่าเดียว ได้แต่ เซย์ โนววว !!! เราก็โมโห ร้อน ก็ ร้อน หมดอารมณ์เที่ยว ไม่อยากทำไรเลย ก็เลยตัดบท พูดไปว่า งั้นตอนนี้ ยูพาไอไปหาร้านกาแฟ ระดับ 5 ดาวเลย ไอต้องการ Wifi ไอจะโทรหาเพื่อนไอ ที่อยู่มุมไบ ให้เปลี่ยนตั๋วให้ไอ จะกลับ รอบ 5 โมงเย็น รอบเดียวกับเพื่อนไอ ไอไม่เที่ยวแล้ว พอ จบทริป ไปหาร้านกาแฟ เดี๋ยวนี้เลย

แต่ตาลุงบอม มีหน้ามาเสนอ จะพาไปซื้อตั๋วใหม่อีกนะ เราก็ตอกกลับว่า โนว ๆ ไอต้องการ ร้านกาแฟ ที่มีเน็ต ไอจะโทรหาเพื่อนไอ ยูไม่ต้องนำเสนออะไรทั้งนั้น ... โอ เค ๆ อาร์ ยู แฮปปี้ :P ก่อนจะพาไปร้านกาแฟ ตาลุงบอม มีการจะจอดแวะ ร้านทำหินอ่อน อีกนะ แหม้ ลุง ตูบอก ไม่แวะ ๆ ก็จะแวะ สงสัยอยากจะโดนด่า !!!

แวะร้านแกแฟ ก็ไม่วายเป็นร้าน ที่ตาลุงบอมมีคอนแทค จริงๆ มันไม่ใช่ร้านกาแฟ มันคือร้านอาหาร ดี ๆ นี่เอง แต่พออนุโลมให้ได้ เนื่องจากมี Wifi พอต่อ Wifi ได้เราก็จัดการ ส่งข้อความ หาเพื่อน ที่มุมไบ เพื่อให้ เพื่อนเปลี่ยนเวลาตั๋วให้ แต่ตอนนั้น เพื่อนติดประชุม อยู่ ต้องรออีกประมาณ 2 ชม. ซึ่งมันไม่ทันรอบ 5 โมงเย็น แน่ ๆ เราเลยตัดสินใจทิ้งตั๋วที่จองไว้ แล้วให้ ตาลุงบอม พาไปสถานีรถไฟ ทันที เพื่อซื้อตั๋วใหม่ พอมาถึงสถานี เจ้าหน้าที่ ทำงานอย่างช้าเลย ในใจคิดว่าจะทันไหมเนี่ย รถไฟออก 5 โมงครึ่ง แต่นี่ 4 โมงและ ยังไม่ได้ตั๋วเลย กว่าจะได้ตั๋วก็ปาไป 5 โมง แถม รอบที่จะไป ไม่ได้ไปลง นิวเดลี ด้วย ดันไปลง Nizamuddin ซึ่งก็ไม่ไกล จาก นิวเดลี เท่าไหร่ เราก็เลยซื้อ ดีกว่า ไม่มีตั๋วกลับ เพราะถ้าให้รอถึง 3 ทุ่ม ที่สถานีรถไฟอักรา ก็คงไม่เอา ราคาตั๋ว อยู่ที่ 755 รูปี (แพงกว่าตั๋วที่เราซื้อไปลงนิวเดลีอีก) ได้ตั๋วปุ๊บ พวกเราก็เดินหาชานชาลา และนั่งรอ สักพัก รถไฟ ก็มาเทียบชานชาลา เราออกจาก สถานีรถไฟอักรา ตอน 5.30 น. ถึง สถานี Nizamuddin ทุ่ม กว่า ๆ ลงจากสถานีได้ ก็ไม่รู้ต้องไปทางไหน เดินงง ๆ อยู่สักพัก ก็เจอทางออก จัดการหา ตุ๊ก ๆ เพื่อไปส่งเราที่ อะรา คาซาน โรด ทันที่ แล้วไปส่ง พี่วิชกี้ เราตกลงราคา กันได้ที่ 350 รูปี (เวลาจะตกลงราคาอะไรกับพวกตุ๊ก ๆ ควรถามให้แน่ใจก่อนว่าต่อคนหรือเหมารวม)

ตุ๊ก ๆ ตีนผี มาก ขับเอาเป็นเอาตาย คือ แซงได้แซง แซกได้เป็นแซก ปีบแตร ตลอดเวลา เรานี่พูดกับพี่วิชกี้เลย จะมาตายที่อินเดียหรือเปล่าเนี่ย แต่ยอมใจคนขับจริง ๆ ขับเก่งมาก ตุ๊ก ๆ ขับผ่าน India Gate เราก็เลยให้นางแวะจอด เพื่อขอถ่ายรูป สักแปบ นางใจดี จอดให้ แล้วบอก 5 นาทีนะ ตรงนี้จอดไม่ได้ เดี๋ยวตำรวจมาไล่ เราก็เคร ๆ

India Gate คนเยอะมาก

เราเดินเล่น นานเกิน 5 นาทีพอสมควร คิดในใจ อีตุ๊ก ๆ ด่าตูแน่ ๆ คือ คนเยอะ อารมณ์คล้าย ๆ ลานกว้าง ๆ ใกล้ ๆ ตลาดเบนถัน ที่เวียดนาม มีทั้ง ขายขนม ปืนยิงลูกโป่งใส ๆ มีบริการ รถของเด็กให้ขับเล่น ประมาณนั้น

อยู่ได้พอประมาณ ก็เดินออกมา สรุป ตุ๊ก ๆ ก็ยังรออยู่ นึกว่านางไปแล้วนะเนี่ย !! แต่นางก็บอกว่า ไปนานเกินนะ ตำรวจมาไล่ ด้วย .. ซอรี่ ๆ คนเยอะ มาก ไอเลยเดินออกมาไม่ได้ (แก้ตัวนิดหน่อย)

ขับมาอีกสักประมาณ 15 นาที ได้ เราก็ผ่าน โซนที่เรียกว่า นิวเดลี จริง ๆ ซึ่งมันแตกต่างจาก โซน Old New Delhi ที่เราอยู่เลยนะ เหมือน สวรรค์ กับ นรก เลยอะ เขาก็แบ่งแยกกันได้ดีจริง ๆ แต่เราไม่ได้มีเวลาแวะโซน นิวเดลี หรอก ได้แค่มองผ่าน ๆ พอมาถึงโรงแรม เราก็ให้เงิน พี่วิชกี้ ไว้เพื่อจ่ายค่าตุ๊ก ๆ แล้วก็ ร่ำลา พี่วิชกี้ หวังว่าเราจะได้พบเจอกันอีก สักทริป


ถึงที่พัก เราเดินเข้ามา คนแรก ที่เจอ คือ Jay นางนั่งอยู่ที่ Lobby เราก็ส่งยิ้มทักทาย แล้วขึ้นไปห้องพักทันที จัดการ เก็บกระเป๋า แล้วไปอาบน้ำ สักพัก jay ก็เดินขึ้นมา เราพูดคุยกันนิดหน่อย พอเป็นกระสัย แล้ว หนุ่มอาเจนติน่า ก็เข้ามาชวนเรา ไปปาร์ตี้ แต่เราต้องขอปฎิเสธ เพราะต้องรีบเข้านอน ต้องตื่นตี 2 เพื่อไป สนามบิน เตรียมตัวบินไปเที่ยวต่อที่ Leh Ladakh จนเพื่อน ๆ ทุกคน ทักเป็นเสียงเดียวกันว่า YOU ARE ROCK !!! (เธอแมร่งเจ๋ง) ตั้งแต่เธอมา ยังไม่เห็นเธอหยุดพักเลย วันแรก มาถึงก็ไปตะลุยเที่ยว วันที่ 2 เธอก็ตื่นแต่เช้ามืดไปเที่ยว อักรา กลับมาจากอักรา เธอยังต้องไป Leh อีก นี่เธอเอาเวลาไหนพักผ่อนหรอ !!! เราได้เพียงแต่ยิ้ม และกล่าว ราตรีสวัสดิ์ เพื่อน ๆ เท่านั้น เป็นการจบบทสนทนา !!


ตี 2 เราตื่น จัดการเก็บข้าวของ แล้วรีบ ลงไป Lobby เพื่อ Check out ก็ยังไม่วายมีปัญหา พนักงานหาชื่อเราในระบบ ไม่เจอ แล้วมาถามเราว่า เราเข้ามาพักเมื่อไหร่ จ่ายเงินหรือยัง เราเลยต้องบอกว่า เรามีเซ็นชื่อ อยู่ในสมุดเล่ม ใหญ่ ๆ ที่วางข้าง ๆ ยู อะ นางก็เอามาหา แต่ก็ไม่เจอชื่อ เรา จนนางยื่นมาให้เราหาเอง สรุปเราก็หาชื่อตัวเองไม่เจอ จนหนุ่มอาเจนติน่า ที่เตรียมตัว Check out เหมือนกัน ช่วยหา ถึงเจอชื่อเรา กว่าจะได้ Check out ก็ล่อไป 20 กว่านาที

หลังจากนั้นเราก็เรียก Taxi ไปสนามบิน ทันที่ .... See you in Leh Ladakh .......

ผู้ชายเดินจับมือ กอดกัน ที่อินเดีย ไม่ใช่เรื่องแปลก

โครต Cute อะ ที่อินเดีย ผู้ชายเดินจับมือถือแขน กอดกัน หยอกล้อกัน แบบเป็นเรื่องธรรมดาของบ้านเขามากเลย ถ้ามาที่บ้านเรา คงโดนมองว่าเป็น... แน่ ๆ ^_^


มิตรภาพ ระหว่างการเดินทาง

ทริปนี้เราไปคนเดียวก็จริง แต่เราไม่รู้สึกเหงาเลย แม้แต่นิดเดียว ...

การเดินทาง มันสอนให้เรารู้จักกับอะไร หลายอย่าง ๆ 1 ใน นั้น ก็คือ มิตรภาพ นั่นเอง

ดีใจมาก ที่ได้รู้จัก กับ พี่วิชกี้ นางเป็นคนที่ อเมซิ่ง มาก ๆ พี่แกเดินทางมาแล้วกว่า 20 ประเทศ และทุกครั้งแกเดินทางคนเดียวตลอด เราได้อะไร หลายๆอย่าง จากพี่วิชกี้นะ เวลาที่พี่แกพูดหรือเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการเดินทางของแก มันทำให้เรารู้สึก มีใจอยากจะทำแบบแกบ้าง ยอมใจพี่แกมากเลย เดินทางมาจากเนปาล ต่อด้วยอินเดีย หลังจากอินเดีย พี่แกจะไป ดูไบ ต่ออีก ยังไง น้องคนนี้ขอให้พี่สนุกกับการเดินทาง และปลอดภัย พบเจอเพื่อนใหม่ ๆ ที่คูล ๆ นะคะ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกสักทริป ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ^_^

ต่อมาต้องขอบคุณ Jay (หนุ่มจีน) มาก ๆ ที่พาเราเดินเที่ยว ไปดินเนอร์ และเป็นเพื่อนคุย ตลอดเวลา ล่าสุดนางส่งข้อความมาว่า จะแพลนมาไทย เรายินดีต้อนรับ แกมาก ๆ เลย สัญญา ถ้ามาจริงๆ เราจะเป็นไกด์พาทัว และพาแกไปตะเวร กินอาหารไทย อย่างที่แก ต้องการ ...

จบทริป นิวเดลี - อักรา ไว้เจอกันใหม่ ที่ทริป Leh Ladakh ทริปนี้ไม่ได้เที่ยวคนเดียว ไม่เหงาแล้วจ้า ...

A Sexy Journey

 วันพฤหัสที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 13.26 น.

ความคิดเห็น