เรื่องน่าสนุกของการเดินทางอีกอย่างหนึ่ง ก็คือการไปในที่ที่ตัวเองไม่เคยไป ที่ที่ไม่รู้จัก และที่ที่ไม่มีข้อมูลมาก่อน อย่างเช่นประสบกรณ์การเดินทางครั้้งล่าสุดของผมทริปนี้ เปิดหัวเรื่องมาก็คงจะมีนักท่องเที่ยวบางคนที่ไม่รู้จักเมือง ลี้ มาก่อน และผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ แต่เมื่อมีโอกาสได้ไปเยือนเลยขอเอาประสบการณ์และสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองเล็กๆที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจของเมืองนี้มาแชร์ให้ได้อ่านกัน

เมืองลี้ หรือ อำเภอลี้ เป็นเมืองเล็กๆในจังหวัดลำพูน การเดินทางไปที่เมืองนี้ไปได้หลักๆ 2 ทาง คือ เข้าทางจังหวัดตาก และ ผ่านทางจังหวัดลำปาง สำหรับทริปนี้ เราเดินทางออกจากกรุงเทพฯ แล้วตั้ง GPS มุ่งหน้าที่ อ.ลี้ ผ่านทางจังหวัดตาก ใช้เวลาเดินทางราวๆ 8 ชั่วโมง ก็มาถึง อ.ลี้ แล้ว ก่อนอื่นขับรถมาเหนื่อยๆ วันแรกขอเข้าที่พักนอนชิลๆก่อนละกันครับ

ที่พักของเราทริปนี้ เราพักกันที่ บ้านไพลิน รีสอร์ท ที่พักบรรยากาศดีดี อยู่ทางเข้าตัวเมืองลี้ ไม่ไกลจากตัวเมืองครับ

เดี๋ยวพาไปชมบรรยากาศรอบที่พักกันซะหน่อย

ข้างนอกสร้างและตกแต่งสไตล์ผสมผสาน ดูเรียบง่าย เข้ากันกับบรรยากาศสงบสบาย ดูข้างนอกแล้ว เดี๋ยวเราพาเข้าไปดูห้องนอนบ้างดีกว่า

ภายในห้องนอนของบ้านไพลินรีสอร์ท ก็จัดเอาไว้อย่างเรียบง่าย ดูสะอาดและสบายตาแต่สิ่งที่ชอบมากๆของห้องนี้คือ ด้านหลังที่เปิดประตูออกไปก็เห็นวิวภูเขาสวยๆแบบนี้เลย จะนั่งรับลมชิลๆตอนเย็นก็ได้ หรือจะตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้นก็ดี

เรื่องดีดีของการเข้าพักที่นี่คือ เวลาหิวไม่ต้องไปไหนไกลเลยครับ เพราะมีอาหารและเครื่องดื่มคอยให้บริการที่ Cafe' De Lyn ที่อยู่ติดกันนี่เอง

ที่ Cafe' De Lyn @ Li มีทั้งโซน Indoor ให้นั่งตากแอร์เย็นๆ และ Outdoor ให้นั่งรับลมชิลๆ ที่สำคัญ อาหารที่นี่อร่่อยมากทั้งอาหารคาวและอาหารหวานเลยแแหละ เดี๋ยวจะให้ดูตัวอย่างยั่วน้ำลายสักเล็กน้อยละกัน เริ่มที่...บะหมี่ลูกชิ้นปลาต้มยำ อร่อย แซ่บ แทบไม่ต้องปรุงเลย

หรือจะเป็นอาหารทั่วไปอย่าง ข้าวกระเพากุ้งไข่ดาว ก็อร่อยไม่แพ้กัน

อิ่มกับอาหารจานหลักแล้ว ต้องตบท้ายด้วยของหวาน คู่กับกาแฟแก้ง่วงสักแก้ว

ก่อนหมดแสงของวันแรก เราก็ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆครับ ลองสอบถามที่รีสอร์ทว่ามีที่เที่ยวที่ไหนใกล้ๆบ้าง แล้วก็ได้มาหนึ่งสถานที่ คือที่ วัดพระพุทธบาทผาหนาม แต่ระหว่างทางที่เราไปวัดพระพุทธบาทผาหนามนั้น เราได้ผ่านสถานที่สำคัญอีกที่ นั่นคือ อนุสาวรีย์สามครูบา


ใครที่ยังไม่รู้ว่าครูบาคืออะไร ขอตอบสั้นๆไว้ตรงนี้คือ ครูบา เป็นคำที่ใช้เรียกขานพระเถระผู้เป็นที่เคารพนับถือ ส่วนคำตอบที่เหลือรบกวน search google นะครับ สำหรับอนุสาวรีย์สามครูบาที่เมืองลี้ สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสสถาปนาอำเภอลี้ครบ 100 ปี มีอนุสาวรีย์ 3 ครูบาตั้งตระหง่าน องค์กลาง คือ ครูบาเจ้าศรีวิชัย แห่งวัดบ้านปาง ต.ศรีวิชัย ด้านซ้าย คือ ครูบาเจ้าอภิชัย (ขาวปี) หรือครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม ต.ป่าไผ่ ด้านขวา คือครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ต.นาทราย ครูบาทั้งสามมีถิ่นกำเนิดอยู่ในอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นอริยสงฆ์ผู้เป็นที่เคารพนับถือของคนล้านนาและพุทธศาสนิกชนทั่วไป แวะไหว้สักการะครูบาทั้งสามแล้ว เราเดินทางไปต่อยัง วัดพระพุทธบาทผาหนาม ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองลี้

เมื่อมาถึงที่วัดพระพุทธบาทผาหนาม จะมองเห็นรูปปั้นปูนขนาดใหญ่ของครูบาอภิชัยขาวปีในเครื่องนุ่งห่มแบบชีปะขาวอยู่เชิงดอยผาหนาม ซึ่งเป็นตัววัดที่อยู่ด้านล่าง แต่จุดหมายของเราอยู่ ณ องค์พระธาตุที่อยู่ข้างบนไกลลิบๆนู่นนน

การขึ้นมายังวัดด้านบนของวัดพระพุทธบาทผาหนาม สามารถขึ้นมาได้ทั้งโดยการเดินขึ้นบันไดมา และขับรถขึ้นมา ซึ่งทางสำหรับการขับรถขึ้นมาก็ต้องใช้ความระมัดระวังพอสมควร

ยังไม่ถึงจุดหมายนะ เดินกันต่ออีกหน่อย ข้างบนคือองค์พระธาตุที่ตั้งอยู่บนยอดดอย 2 องค์ โดยมีสะพานเชื่อมถึงกันและเป็น จุดชมวิวซึ่งสามารมองเห็นเมืองลี้ได้ในมุมสูงแบบ 360 องศา เรียกได้ว่าขึ้นไปเห็นวิวข้างบนแล้วหายเหนื่อยเลย

เค้าบอกกันว่า ถ้ามาเที่ยวที่นี่ช่วงหน้าหนาว เห็นทะเลหมอกได้จากที่นี่เลย แต่เราดันมาฤดูนี้นี่สิ แถมยังมาตอนเช้าอีก แต่ไม่เป็นไรเนอะช่วงหน้าร้อนแบบนี้ก็จะสวยงามไปอีกแบบ

ช่วงเวลาดีครับ เราขึ้นไปช่วงพระอาทิตย์ตกพอดี เลยพอจะได้ยามเย็นภาพสวยๆกลับมาบ้าง

ขึ้นมาบนนี้แล้วอย่าพลาดชมวิวมุมสูงของเมืองลี้ แบบ 360 องศา

จบทริปวันแรกไปกับฉากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าและวิวมุมสูงสวยๆที่วัดพระพุทธบาทผาหนาม หลังจากนั้นเราก็กลับเข้าโรงแรมพักผ่อน เตรียมตัวผจญภัยในอุทยานแห่งชาติแม่ปิงในวันถัดไป ก่อนเข้านอนมาชมบรรยากาศเย็นๆยามค่ำที่ บ้านไพลิน รีสอร์ท กันอีกสักหน่อยพอดีว่าถ่ายมาเยอะก็อยากจะอวดๆมั่ง

หลังจากที่นอนหลับพักผ่อนกับค่ำคืนอันแสนสบาย ก็ได้เวลาตื่นมาเก็บพลังงานดีดียามเช้าเพื่อลุยในวันถัดไป

ที่เห็นนี่ไม่ได้ไปไหนไกล วิวหลังห้องพักนี่เอง ตื่นเช้ามาเจอบรรยากาศแบบนี้ฟินเลย

ชิลแค่ไหนถามใจดู

หลังจากดื่มด่ำบรรยากาศยามเช้าและทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาออกลุยล่ะครับ แต่กองทัพที่เดินด้วยเท้า เค้าว่าต้องอาศัยพลังจากท้อง เลยขออาหารเช้าเบาๆมาเติมพลังก่อน

ก่อนไปตบท้ายด้วยเค้กโฮมเมดอร่อยๆ ทั้งเค้กมะพร้าวหอมๆ และบลูเบอรี่ชีสเค้กนุ่มๆ จาก Cafe' De Lyn @ Li

เอาล่ะ ในเมื่ออิ่มจนเกินอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางสู่จุดหมายต่อไปของเรา นั่นก็คือ อุทยานแห่งชาติแม่ปิง


อันที่จริงแล้ว อุทยานแห่งชาติแม่ปิง มีพื้นที่ครอบคลุม อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ , อ.สามเงา จ.ตาก และ อ.ลี้ จ.ลำพูน ที่เราอยู่กันตอนนี้ .

เราขับรถมาจากป้ายทางเข้า ตามสัญญาณ GPS มาไม่นาน ก็ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งทางเราติดต่อกับทาง จนท. ไว้ก่อนแล้ว หากใครต้องการจะมาเที่ยวในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติแม่ปิง เราก็แนะนำให้ติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่ก่อนเช่นกันนะครับ ก่อนเดินทางไปจุดท่องเที่ยวต่างๆ แนะนำให้ศึกษาเส้นทางหรือปรึกษา จนท. เรื่องกรเดินทางด้วยนะครับ เพราะบางจุดไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ อาจจะหลง ขับงงๆวนไปวนมาได้ ถ้าพร้อมแล้ว จ่ายค่าธรรมเนียมคนละ 40 บาท พร้อมค่าพาหนะ แล้วลุยกันเลย

ที่อุทยานแห่งชาติแม่ปิงแห่งนี้ ควาามจริงแล้วมีจุดท่องเที่ยวมากมาย ทั้งทางบก และทางน้ำ ทั้งที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมทั่วไป และจุดที่ยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการ สำหรับทริปนี้เอาแค่ที่เราพอจะไปได้ก่อนแล้วกัน จุดหมายแรกที่เราไปกันคือ แก่งก้อ


แก่งก้อ เป็นทะเลสาบเที่เกิดขึ้นมาจากผลพวงจากการสร้างเขื่อนภูมิผลอยู่ทางตอนบนของเขื่อน ความจริงแล้วที่นี่ควรจะมีบรรยากาศสวยงามกว่านี้ ถ้ามาถูกฤดูอ่ะนะ

ที่นี่มีเรือนแพ อาหารและที่พักคอยบริการนักท่องเที่ยว แนะนำให้มาช่วง ต.ค.-ม.ค. บรรยากาศคงจะสวยงามกว่าและน่ามาเยือนกว่านี้แน่ๆ เพราะนอกจากจะมาเที่ยวที่นี่แล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถนั่งเรือเหมาลำ ล่องไปตามแม่น้ำเพื่อเที่ยวที่ต่างๆได้อีกด้วย

หลบแดดหน้าร้อนที่แก่งก้อ เราไปต่อกันที่เย็นๆอย่างที่ น้ำตกก้อหลวง กันดีกว่า

ถ้าขับมาเรื่อยๆแล้วเจอป้ายนี้ คือมาถูกทาง ขับเข้าไปอีกนิดแล้วเดินต่อไปอีกหน่อยก็จะถึงน้ำตกก้อหลวงแล้วล่ะครับ

ที่นี่ก็กำลังพัฒนาปรับปรุงพื้นที่เพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวชมน้ำตก ได้สะดวกยิ่งขึ้น เดินมาไม่ไกลเท่าไหร่ ถึงแล้วนะ น้ำตกก้อหลวง

สำหรับน้ำตกก้อหลวง เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอุทยานแห่งชาติแม่ปิง เป็นน้ำตกหินปูนที่เกิดจากห้วยแม่ก้อไหลผ่านหน้าผาหินปูนสูงประมาณ 20 เมตร ไหลลดหลั่นกันลงมามีทั้งหมด 7 ชั้น และตกลงมายังแอ่งน้ำขนาดใหญ่ แอ่งน้ำบริเวณน้ำตกจะใสสะอาด จนท. ที่ดูแลบอกว่าน้ำในแอ่งนี้จะมีสีฟ้สวยงามโดยเฉพาะในฤดูหนาว ที่นี่มีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี และยังมีความอุดมสบูรณ์ของธรรมชาติอย่างมาก

ก่อนถึงน้ำตกก้อหลวงนี้ บริเวณทางขึ้นจะมีทางให้ลงไปยังน้ำตกตาดสะดอ ซึ่งเป็นน้ำตกหินปูนเล็กๆที่สวยงามไม่แพ้กัน

เล่นน้ำให้สดชื่นเต็มที่กับน้ำตกก้อหลวงแล้ว เรารีบมุ่งหน้าไปที่จุหมายต่อไปของเรากันต่อดีกว่า ที่ที่เราจะไปปลายทางอยู่ที่จุดชมวิวผาแดงหลวง ระหว่างนั้นเราต้อวผ่านทาง ทุ่งกิ๊ก นี้ด้วย

ทุ่งกิ๊ก เป็นทุ่งหญ้าธรรมชาติที่อยู่ใจกลางป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณ แต่เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นหน้าแล้ง บวกกับเป็นช่วงฤดูไฟป่า ที่นี่ก็เลยดูจะแห้งแล้งไปซะหน่อย ที่นี่ก็มีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวให้สามารถพักค้างคืนโดยจองบ้านพักอุทยานหรือสามารถกางเต็นท์ก็ได้

พักเหนื่อยอยู่ได้ไม่นานเราก็ต้องรีบไปยังจุดหมายสุดท้ายของเราในวันนี้ นั่นคือ หน่วยพิทักษ์อุทยานถ้ำยางวี ที่ที่เราจะไปค้างคืนกันเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวผาแดงหลวงในยามเช้า เพราะฉนั้นเราต้องรีบไปถึงก่อนมืด

บุกป่าฝ่าดง หลงทางกันไปนิดหน่อย แต่ก็มาถึงจนได้ เส้นทางนี้ใครที่คิดจะนำรถยนต์มาเอง รถคุณต้องอึดพอสมควรนะครับ ต้องบอกก่อนว่าช่วงฤดูไฟป่าแหละหมอกควันแบบที่เราไปนี้ ปกติทางอุทยานจะไม่อนุญาติให้นักท่องเเที่ยวเข้าไปบริเวณจุดชมวิวผาแดงหลวง แต่ทางเราได้ติดต่อขออนุญาติจากทางหัวหน้าอุทยานมาก่อนแล้ว

ที่นี่ความจริงแล้วเป็นบ้านพักของ จนท. อุทยานที่ดูแลหน่วยนี้ แต่ก็กำลังปรับปรุงพื้นที่และสร้างบ้านพักไว้สำหรับรองรับนักท่องเที่ยวด้วย ส่วนพวกเรามาถึงแล้วก้จัดแจงหาที่นอน

อืม...มาเที่ยวกลุ่มเดียวก็ดีแบบนี้ละนะ ไม่ต้องแย่งที่ใครและไม่มีใครแย่งเลย ฮ่าๆๆ ได้ที่แล้วก็...

นั่นละครับ กิน และ นอน เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ เช้ามืดวันต่อมา เรานัดกับ จนท. ที่จะพาเราขึ้นไปยัง จุดชมวิวผาแดงหลวง ตอนตีสาม

ที่ต้องเผื่อเวลาขนาดนี้เพราะต้องขับรถตอนมืดๆอีกประมาณ 7 กม. ในป่า และยังต้องเดินเท้าต่ออีกประมาณ 3 กม. กับอาการที่ง่วงมากๆ แต่มาถึงขนาดนี้แล้วยังไงก็ต้องไปให้สุดล่ะครับ เดินไปก็มองดาวบนฟ้าไป ในป่ามืดๆแบบนี้ยิ่งเห็นดาวชัดเจนมาก

ขึ้นมาถึงมีเวลาให้เราได้พัก นั่งรับลม ดูดาวกันแป๊บนึงก็ได้เวลหาทำเลที่เหมาะสม กางขาตั้งกล้องรอแสงเช้ากันแล้ว

เริ่มมาแล้ว แสงเช้าที่เรารอคอย...

ถึงแม้จะมีควันจากไฟป่าฟุ้งมากไปสักนิด สภาพป่าช่วงนี้อาจจะแห้งไปสักหน่อย แต่ก็ยังคงความสวยงามไว้ได้ไม่น้อยเลยครับ คุ้มจริงที่ได้ขึ้นมาเห็นอะไรแบบนี้ด้วยตาตัวเอง

หลังจากบรรลุเป้าหมายในการขึ้นไปเก็บแสงเช้าที่จุดชมวิวผาแดงหลวงแล้ว เราก็กลับไปยังที่พักของเราเพื่อเก็บของเตรียมตัวกลับครับ แต่ก่อนที่เราจะกลับกรุงเทพฯกันนั้น เราก็ได้แวะเที่ยวกันอีกหลายที่ เพราะอย่างที่บอกครับ เมืองเล็กๆที่ชื่อว่า ลี้ ยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกเยอะ แต่ชุดสุดท้ายนี้ เราจะเที่ยวตามวัดต่างๆกันบ้าง เริ่มกันที่ วัดพระธาตุดวงเดียว

วัดพระะาตุดวงเดียว เป็นวัดขนาดเล็ก เป็นวัดเก่าที่สร้างตั้งแต่มีเมืองลี้มา เจดีย์พระธาตุดวงเดียวที่เห็น เป็นเจดีย์สร้างขึ้นใหม่ครอบองค์เจดีย์เดิม สูงประมาณ 30 ม.

เรามาต่อกันอีกวัดที่อยู่ไม่ไกลกัน นั่นคือที่ วัดพระธาตุห้าดวง



วัดนี้ถือเป็นวัดใหญ่ ที่มีประวัติเก่าแก่เหมือนกัน สิ่งที่เด่นๆของวัดนี้คือ หมู่เจดีย์ทั้งห้าองค์ โดยมีเรื่องเล่ากันมาว่า พระนางเจ้าจามเทวี กษัตริย์ครองเมืองหริภุญไชย ได้ทอดพระเนตรเห็นแสงสว่างจากดวงแก้วทั้ง 5 ดวง ลอยอยู่บนกองดิน 5 กองในยามค่ำ จึงได้สอบถามความเป็นมาจากชาวบ้านก็ทราบว่า คือพระเมโตธาตุ (น้ำไคลมือ) ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้าที่เคยล้างพระหัตถ์ และน้ำก็ไหลผ่านปลายนิ้วทั้ง 5 ลงพื้นดิน พระนางจึงเกิดศรัทธาสร้างพระธาตุเจดีย์ครอบกองดินทั้ง 5 กองไว้

ออกจากวัดพระธาตุห้าดวง เราขับรถมาตามเส้นทางที่จะกลับกรุงเทพฯ แต่เราขอเลี้ยวเข้าไปทางบ้านห้วยต้มเพื่อที่จะไปอีกสถานที่ที่เป็นวัดที่มีชื่อเสียงของเมืองลำพูน นั่นก็คือ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม

วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม เป็นวัดขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร วัดนี้เป็นวัดที่มีรอยพระพุทธบาทซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวกะเหรี่ยง ตามตำนานกล่าวว่า ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรดเวไนยสัตว์ ณ บริเวณนี้ แล้วได้ประทับรอยพระพุทธบาทเอาไว้ โดยทางวัดไปสร้างวิหารครอบรอยพระพุทธบทนี้ไว้ นับเป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองลี้และจังหวัดลำพูน

นอกจากในบริเวณวัดแล้ว วัดพระพุทธบาทห้วยต้มนี้ยังมีพุทธสถานที่อยู่ด้านนอกที่เป็นของวัดอีก นั่นคือ พระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย เป็นองค์เจดีย์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปจากตัววัด เป็นเจดีย์สร้างด้วยศิลาแลงทั้งองค์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยจำลองมาจากเจดีย์ชเวดากองของพม่า

หมดโปรแกรมทัวร์วัดของเราที่เมืองลี้ ก่อนกลับกรุงเทพฯ ผมสะดุดตกับป้ายบอกทางไปยังศูนย์วิจัยหัตถกรรมบ้านห้วยต้ม เลยแวะเข้าไปดูซะหน่อย

ศูนย์วิจัยหัตถกรรมบ้านห้วยต้ม เป็นศูนย์ส่งเสริมงานหัตถกรรมและวัฒนธรรมกะเหรี่ยงโบราณ ภายในศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่มอาชีพชุมชน ทั้งงานผ้าทอ และเครื่องเงิน และสินค้าแปรรูปอีกมากมาย ที่ชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยงทำขึ้นมาเอง

นอกจากเป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าแล้ว ที่นี่ยังเป็นศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรมกระเหรี่ยงและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวปากะญออีกด้วย มีทั้งบ้านกะเหรี่ยงโบราณ และการสาธิตวิธีทอผ้าแบบดั่งเดิมของชาวกะเหรี่ยง

หมดแล้วครับ ไม่ใช่หมดที่เที่ยวนะ แต่หมดแรงและหมดเวลาแล้ว ถึงเวลาต้อกลับไปทำงาานเก็บเงินเที่ยวอีกครั้ง

แต่ถือได้ว่าทริปเที่ยวเมืองลี้หน้าร้อนทริปนี้ ได้ครบทุกรูปแบบจริงๆ ทั้งพักผ่อนชิลๆ ชมวิวเมือง เข้าป่าชมความสวยงามของธรรมชาติ เข้าวัดไหว้พระ รวมทั้งได้เรียนรู้วิธีชุมชนชวพื้นเมืองอีกด้วย แถมยังมีอีกหายที่ที่เรายังไม่ได้ไปกัน ใครที่อยกจะลองเปิดประสบการณ์ใหม่ๆกับเมืองที่อาจจะไม่ได้อยู่ในแผนการท่องเที่ยว ขอแนะนำให้ปักหมุดเมืองลี้ไว้อีกที่นึงนะครับ ถ้าจะให้พีคจริงๆแนะนำให้มาช่วงปลายฝนต้นหนาว จะพบความสวยงามประทับใจไม่แพ้ที่เที่ยวที่อื่นๆเลย

สำหรับทริป เที่ยวเมืองลี้หน้าร้อน

ขอขอบคุณ บ้านไพลินรีสอร์ท ที่เอื้อเฟื้อที่พักและบริการเราเป็นอย่างดี ใครที่อ่านรีวิวนี้แล้วมีแผนเที่ยวเมืองลี้ อย่าลืมจองที่พักที่ บ้านไพลิน นะครับ ติดต่อจองที่พัก โทร 085-2197775 หรือ www.facebook.com/baanpailyn

ขอขอบคุณ Cafe' De Lyn สำหรับอาหาร เครื่องดื่ม และขนมอร่อยๆ

ขอขอบคุณ อุทยานแห่งชาติแม่ปิง ที่อนุญาติให้เราเข้าไปเที่ยวและเก็บภาพสวยๆในพื้นที่อุทยาน รวมทั้งท่านหัวหน้าอุทยานและเจ้าหน้าที่อุทยานทุกคนที่อำนวยความสะดวกเราเป็นอย่างดี ติดต่ออุทยานแห่งชาติแม่ปิงได้ที่ 061-3753500 , 098-8082827

สุดท้ายต้องขอขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ หรือจะดูภาพแล้วลัดมาตรงนี้เลยก็ไม่ว่ากัน ถ้าชอบหรือคิดว่ารีวิวนี้จะมีประโยชน์ในการเดินทางของคุณก็ช่วยกันกดแชร์ต่อไปเรื่อยๆนะครับ

ยังไงก็ขอฝาก เพจเล็กๆของเรา www.facebook.com/journeygallery ไว้ด้วยนะครับ ใครอยากจะพูดคุย แนะนำกระทู้ หรือสอบถามข้อมูลที่ท่องเที่ยว ก็กดไลค์เพจแล้ว inbox มาได้เลย

ไว้ถ้าเรามีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ไหนที่น่าสนใจ จะเก็บมาเขียนเล่าให้ได้อ่านกันใหม่นะครับ บายยยยยยยยยยย


Journey Gallery

 วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 14.55 น.

ความคิดเห็น