แค่พูดว่าไปเที่ยว หลายคนคงเป็นเหมือนเรา หัวใจมักจะพองโตทุกครั้ง ยิ่งได้เห็นรูปจากที่ต่างๆ สวย งดงามแตกต่างกันไป มันยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้อยากออกเดินทาง และเราก็ทำแบบนั้นมาหลายปี ออกเดินทางท่องเที่ยว เก็บความทรงจำผ่านภาพถ่ายเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็มีหลายต่อหลายครั้ง ที่เราเลือกไปกับกลุ่มคนที่ทำประโยชน์ต่อธรรมชาติ ในหลายๆ ด้าน ทำให้ทริปหลังๆ ของพวกเรามักจะมีกิจกรรมเข้ามาในระหว่างทริปด้วย ได้เที่ยวแถมได้ทำดี สนุกไปอีกแบบ



“เรา คิด ว่า เรา ค้น พบ แนว ทาง ของ เราแล้ว"

“อา สา เที่ยว แค่ อยาก ให้ คน ไป เที่ยว ได้ อะไร มาก กว่า แค่ ไป เที่ยว"

ทริปนี้น่าจะเป็นอีกทริปที่ค่อนข้างจะเร่งด่วน เพราะมันน่าสนใจทั้งกิจกรรมและธรรมชาติที่เราจะได้ไปเห็น หลังจากที่ได้วันเวลาที่แน่นอน ก็ชวนสมาชิกเหมือนเช่นเคย ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน อย่างที่ตั้งไว้ สมาชิกครบ การติดต่อทุกอย่างเรียบร้อย



แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อแกนนำคนจัดทริปมีงานด่วนกระทันหัน และก็ดูท่าทางจะไปไม่ได้แน่ๆ จึงต้องมีการพูดคุยกันใหม่ ช่วยกันหาทางออกว่าจะยังไงดี ซึ่งจบลงด้วยทริปยังคงดำเนินต่อไป แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกจนได้ สมาชิกอีก 2 คนติดธุระกระทันหัน ซึ่งเราก็เข้าใจ และคิดอยากจะยกเลิกทริปทันทีเช่นกัน แตไม่รู้ด้วยเพราะอะไร ที่ทำให้ทริปนี้ยังคงไม่ล่มไปตามสมาชิกที่ขาดไป

กางแผนที่



วันออกเดินทางก็มาถึงทั้งๆ ที่สมาชิกขาดไปตั้ง 3 คน แต่อีก 7 คนก็ยังคงปักหลักและพร้อมใจไปด้วยกัน สมาชิกที่เหลือแม้ว่าจะไม่รู้จักครบทุกคนแต่ส่วนใหญ่เป็นคนคุ้นเคยกันดี และไม่ได้เจอกันนานแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นมีวันเกิดตรงกับวันออกเดินทางพอดี เซอร์ไพรส์เล็กๆ กับเค้กก้อนน้อย ถูกมอบให้เจ้าของวันเกิดก่อนออกเดินทางไปเจอสมาชิกอีกส่วนที่บิ๊กซีสะพานควาย



เรานัดเจอกันช่วง 3 ทุ่ม แต่ละคนก็เริ่มทยอยมาและขาดอีก 1 คนจากจุดนี้ เราพยายามติดต่อยู่พักใหญ่ แล้วสุดท้ายเราก็เดินไปขึ้นรถตู้ด้วยจำนวนคนที่เท่าเดิมคือ 5 คน เซอร์ไพรส์ครั้งนี้มากระชั้นชิด และกระทันหันมาก คนที่เรารอติดงานด่วน!!! หลังจากที่อ่านข้อความที่ส่งมา และทุกคนก็หันมองหน้ากันหัวเราะเบาๆ จากตรงนี้เราต้องไปรับเพิ่มแถวรังสิตอีก 1 คน ก็เท่ากับว่าเรามีสมาชิกทั้งหมด 6 คน



1 คนนั่งข้างคนขับ อีก 5 คนที่เหลือสามารถตีตั๋วนอนกันได้สบายๆ และหลับกันแบบไม่รู้เรื่องเลย รู้ตัวอีกทีเราก็มาถึงภูเรือ พอสว่างเราก็หาข้าวเช้าที่ตลาดกินรองท้อง ก่อนที่ขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่ทำการชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนปลาบ่า

ทีละก้าว ทีละก้าว



ภูบักได อยู่อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนปลาบ่าเอง เราใช้เวลาในการหาทางจากตลาดไปที่ชุมชนนานพอสมควรเพราะเส้นทางเราก็ไม่คุ้ยเคย สัญญานโทรศัพท์ก็ขาดๆ หายๆ คุยกับลุงกำนันพอจับใจความได้พอสมควร



พี่คนขับก็ขับไปตามทางที่เราบอกตอนที่คุยโทรศัพท์ จนในที่สุดเราก็เห็นป้ายชี้ทางไปชุมชนปลาบ่า อาการลุ้นที่นั่งเกร็งกันมาตลอดทางก็หายไปทันที



เราไปถึงก็สายกว่าที่นัดไว้พอสมควร รถอิแต๊กและคนนำทางมาจอดรอพร้อมอยู่แล้ว เราก็เลยต้องทำเวลาในการจัดของและเตรียมตัวเองให้พร้อมในเวลาอันรวดเร็ว พอเรียบร้อยเราก็โดดขึ้นรถอิแต๊กคันละ 3 คน นั่งหน้า 1 หลัง 2 แบบสบายๆ



เราทุกคนแต่งตัวแบบพร้อมเดินป่า ปิดหน้าปิดตากันอย่างมิดชิด เพื่อป้องกันแดดและฝุ่น รถอิแต๊กค่อยๆ เคลื่อนขับตามกันไปเรื่อยๆ เรานั่งท่าเดียวกันคือยกเท้าเหยียดตรง มืออีกข้างจับกล้อง อีกข้างจับตัวรถที่มั่นใจว่าจะไม่หล่นระหว่างทาง



นี่แค่ทางในหมู่บ้านนะ บางช่วงฝุ่นยังเยอะเลย ยิ่งไกลไปเรื่อยๆ ทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น ทางเป็นดินสีแดงไปตลอด รถค่อยๆ ผ่านสวนต่างๆ ก็ทำให้เพลินไปอีกแบบ

รถค่อยๆ ขับไปเรื่อยๆ พวกเราก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เช่นกัน ซึ่งเป็นการถ่ายรูปที่ลุ้นมากว่าตอนกดหัวจะขาด แขนจะหาย จะสั่น จะเบลอมากน้อยแค่ไหน เพราะช่วงนี้บางช่วงเริ่มมีทางชันขึ้นบ้าง แดดก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน แต่เชื่อไหมรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะของพวกเรายังคงไม่เงียบหายไปตลอดเส้นทาง



ช่วงนี้เราเริ่มเห็นวิวภูเขาน้อยใหญ่ ไกลๆ สลับกับดอกหญ้าสองข้างทางที่พัดไปตามแรงลมเป็นระยะๆ และท้องก็เริ่มร้องเช่นกัน สงสัยโดนกระแทกมากไปหน่อย

และแล้วรถก็จอดหลังจากที่ขึ้นเนินมาได้สักพัก ลุงบอกว่าจะหยุดพักที่นี่เพื่อรอคันข้างหลังก่อน จุดนี้เย็นสบายมีห้องน้ำให้เข้าด้วย และเราได้ยืดเส้นยืดสายหายเมื่อยกันไปได้เล็กน้อย กินกล้วยและขนมรองท้องกันไปนิดหน่อย พออีกคันหนึ่งมาถึงและพักหายเหนื่อยแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ



ทางจากนี้ส่วนใหญ่เป็นทางค่อนข้างชัน เรานี่ต้องนั่งแบบยึดเกาะอย่างดี และทางบางช่วงก็แคบ เริ่มมีต้นไม้ใหญ่สองข้างทางมากขึ้น พอรถขับเข้าร่มไม้ก็อยากให้มีต้นไม้ไปเรื่อยๆ พราะมันเย็นมากจริงๆ พอออกมาโดนแดดก็แทบจะกรีดร้องกันเลย ก่อนจะถึงจุดจอดรถ ลุงก็เดินลงไปสำรวจเส้นทางก่อนนิดนึงด้วย ซึ่งถามว่าเรารู้ไหม ตอบเลยว่าไม่ได้สนใจอะไรกันเลย ถ่ายรูปเล่นกันซะอย่างงั้น

พอลุงเดินกลับมาขึ้นรถเราก็นั่งประจำการ เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน คนอยู่ข้างหน้าคงรู้ตัวแล้ว แต่เราอีก 2 คน ข้างหลังยังคงคุยกันอย่างสบายใจ รู้ตัวอีกทีมือนี่เกร็งจับยึดทุกสิ่งรอบตัวเราไว้อย่างแน่น เพราะทางขึ้นตรงนี้ชันพอสมควร



และแล้วช่วงเวลาที่ทรหดและโหดพอสมควร แม้ว่าจะนั่งรถก็ตาม แต่ก็ทำให้หลายคนปวดเนื้อปวดตัวกันไปหลายรอบ ก็ได้สิ้นสุดลงใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เรามาถึงคันแรกก็ยืดเส้นยืดสาย เตรียมรออีกคันท่ามกลางแดดที่ร้อนและแรงมาก ลมไม่มี เห็นจุดหมายที่จะต้องเดินอยู่ไกลๆ ซึ่งก็มีคนกำลังเดินลงมาเช่นกัน พอสมาชิกเราครบเราก็เริ่มทยอยเดินตามกันขึ้นไป

แม้ว่าระยะทางประมาณ 200 เมตร แต่เป็นทางชัน และเดินขึ้นตั้งแต่เริ่ม เจอแดดเข้าไปอีก ใครไม่เหนื่อยให้เตะเลย หลายคนออกกำลัง หลายคนวอร์มร่างกายก่อนขึ้นแล้ว สุดท้ายก็ค่อยๆ เดินตามกันไปทีละก้าว หยุด เดิน พัก ก้าวช้าแล้ว สั้นแล้ว ก็ยังเหนื่อย น้ำหมดไปจากจุดนี้เกือบหมดขวดแล้วสำหรับเมย์



แม้ว่าจะมองลงไปเห็นรถจอดอยู่ไกลและเล็กมากแล้วแต่เราก็ยังไม่ถึงจุดหมาย ลุงเดินนำหน้าเราไป 1 คนแล้ว บอกว่าเดี๋ยวกลับลงมาช่วยถือกระเป๋า เพราะหลายคนอาการเริ่มออก หน้าแดงก่ำจากที่โดนแดดเผา หายใจกันดังมากขึ้น และเสียงคุยเงียบลง จนได้ยินเสียงพี่ยุพูดออกมาว่าพี่จะงอแงละนะ ทุกคนถึงกลับหัวเราะออกมา



และแล้วลุงก็เดินกลับมาช่วยถือกระเป๋า แต่เรารู้ว่ายังไหวก็เลยให้ลงไปช่วยคนข้างหลังแทน เรารวบรวมแรงฮึดน่าจะสุดท้ายแข็งใจก้มหน้าเดินขึ้นจนมาถึงข้างบนสำเร็จ พอเจอทางราบก็ถึงกับทิ้งตัวกันเลย แต่ก็ไม่ถึงนาที น้องที่นั่งลงไปก่อนถึงกลับกระโดดลุกขึ้นอย่างไว ทุกคนหันไปมอง แต่พอได้ยินคำว่าทากเท่านั้นแหละ ทุกคนเด้งลุกขึ้นอย่างไว และเดินอย่างเร็ว

ทางตรงจุดนี้แม้จะเป็นทางราบแล้วแต่ยังมีส่วนที่เป็นหลุมเป็นบ่อตามรอยเท้าวัวอยู่เยอะพอสมควร แต่ก็เดินง่ายขึ้นกว่าการเดินขึ้นทางชันใสก ทำให้เสียงคุยก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง เริ่มถามชื่อลุงนำทาง คือพ่อแพทกับพ่อโลมา เราก็ชวนคุยไปเรื่อย สุดท้ายเราก็รู้ว่าชื่อนั้นคือไม่ใช่ชื่อของพ่อนะ แต่พอถามพ่อชื่อไร ก็ตอบมาแบบเดิม เอ่ออ พ่อก็ฮาเหมือนกันนะ แม้ว่าตอนนี้แดดจะยังแรงอยู่ แต่การเดินริมผาที่มองเห็นวิวกว้างขนาดนี้บอกเลยว่าเพลินมาก เราแทบจะไม่หยุดพักกันเลย มีแค่หยุดรอให้เดินไปพร้อมๆ กันเท่านั้นเอง และตอนนี้ที่พวกเราถึงกับตาลุกวาว เมื่อพ่อหยิบน้ำหวานขึ้นมากิน ซึ่งในขวดยังคงมีน้ำแข็งอยู่ด้วย พ่อบอกว่าแช่ช่องฟรีซไว้ พอมันละลายก็ค่อยๆ จิบไปเรื่อยๆ โห เหนือเมฆมากอะ เดินป่ามาตั้งนานไม่เคยทำแบบนี้เลย ทริปต่อไปน่าทำมากๆ



ตอนนี้หลายคนที่บอกว่าไม่ไหวๆ เดินแซงหน้าไปกันหมดละ สิงห์ทางเรียบกันจริงๆ เลย ซึ่งพอเดินไปได้อีกสักพัก ก็เริ่มเป็นทางขึ้นเนินแต่ไม่ได้ชันมาก เราก็ค่อยๆ เดินตามกันขึ้นไป

เราทยอยเดินผ่านเนินนี้ไปและนั่งพัก เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าไม่น่าจะมีทาก แต่ก็ยังเลือกนั่งบนก้อนหินเพื่อความปลอดภัยจะดีกว่า แม้ตรงนี้แดดจะยังแรง แต่ก็มีลมพัดมาเป็นระยะๆ ให้พอชื่นใจ มีมุมให้ได้ถ่ายรูปกันอยู่พักใหญ่ สนุกกันจนลืมว่ามันยังไม่ถึงที่กางเต้นท์ แต่ก็พอจะเห็นจุดหมายข้างหน้าแล้ว และพ่อก็บอกว่าเดินกันเร็วพอสมควร ก็เลยยิ่งชิว แวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เสียงสนทนาเริ่มกลับมาและดังตลอดทางอีกครั้ง

เราต้องเดินผ่านจุดที่เป็นไฮไลท์ ที่ทุกคนเห็นรูปแล้วอยากมาที่แห่งนี้ให้ได้สักครั้ง ผาหลอกลวง หรือ ผาห้อยขา ที่ใครหลายคนเรียก ตอนนี้มันได้อยู่ตรงหน้าเราเรียบร้อยแล้ว เราได้แค่มองแล้วเดินผ่านไปหาจุดกางเต้นท์กันก่อน ซึ่งพ่อก็เลือกให้แล้วอยู่ใกล้ๆ บ้านต้นไม้ ที่ตั้งโดดเด่นพอสมควร ซึ่งเราก็อดไม่ได้ที่จะต้องขอปีนขึ้นไปดูว่ามันเป็นยังไง พอขึ้นไปเห็นแล้วบอกเลย เอาไว้เก็บของอะดีแล้ว เพราะถ้าให้นอนบนนี้ก็คงไม่กล้า มันโยกเยกโอนเอน และดูไม่แข็งแรงเลย



เรามาถึงก็ทิ้งเป้และตัวลงนอนกันทันที หลังจากหายเหนื่อยเราก็กินข้าวเที่ยงที่เลยเวลาเที่ยงมานานมากแล้ว กินไปคุยไปจนอิ่ม ทุกคนเริ่มหามุมนอนเอนหลังกันสักพัก บางคนหลับไปละ ส่วนที่เหลือที่ยังไม่หลับก็ออกไปสำรวจเพื่อหาที่ทำธุระส่วนตัว เราก็พยายามเดินไปในทางที่ไม่มีคนกางเต็นท์ เดินไปไกลพอสมควร พอกลับมาถึงตรงที่พัก ก็ทิ้งตัวลงนอนบนกราวชีททันที อยู่ดีๆ ก็รู้สึกคันขา พอยกขาขึ้น เห็นแวบแรกก็เกือบกรี๊ดละ ก็มันคันๆ เจ็บๆ คิดว่าทากดูดเลือดซะละ แต่พอดูดีๆ มันไม่ใช่นี่นา ไม่แน่ใจว่ามันคือหญ้าเจ้าชู้รึเปล่า เสียเวลาดึงออกจากถุงเท้าจนไม่ได้นอนเลย



เราช่วยกันกางเต็นท์จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างคนต่างก็หิบกล้องของใครของมัน ติดตัวเพื่อมาถ่ายรูปตรงหน้าผาหลอกลวง หรือ ผาห้อยขา ตอนนี้แดดยังคงแรงพอสมควร และที่สำคัญไม่มีคนอื่นเลย

ช่วงยามเย็นแบบนี้เป็นช่วงที่ถ่ายรูปตรงผาหลอกลวง หรือ ผาห้อยขา จะออกแนวย้อนแสง ได้อรรถรสไปอีกแบบ ซึ่งแต่ละคนก็โพสท่ากันไม่ยั้ง ไม่มีใครยอมใคร แม้ว่าจะเห็นหน้าไม่ชัด แสงส่อง ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเราแต่อย่างใด ยิ่งไม่มีคนมารอคิวแบบนี้บอกเลยว่าคงจะจบยากกับมุมนี้ มีทั้งแบบคิดท่าเอง เลียนแบบท่าคนอื่น และให้เพื่อนคิดท่าให้ คนถ่ายก็กดชัตเตอร์กันสนุกเลย

หลายคนที่ไม่กลัวก็โพสกันพลิ้วเลย แต่บางคนก็ดูท่าจะเกร็งๆ กับผาตรงนี้ จนต้องหาแลนด์มาร์คให้ตัวเอง ไม่หวาดเสียวเท่าแต่ทำให้พวกเราสนุกก็โอเคแล้ว เราอยู่กันตรงนี้นานมาก กดรูปจะเป็นร้อยรูปได้ละ จนมีกลุ่มอื่นทยอยมาถ่ายรูปกันเรื่อยๆ เราก็ค่อยๆ ถอยออกมาจากผาตรงนั้น

เราเดินลัดเลาะตามหน้าผามาเรื่อยๆ แวะถ่ายรูปตลอดทาง เดินสามก้าวหยุด หามุมเหมาะๆ หลากหลายมุมแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน ตอนนี้แสงเริ่มอ่อนแรงลง บรรยากาศเริ่มดี มีลมเย็นๆ พัดมาเป็นระยะๆ แต่พวกเราก็ยังคงเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ

จนมาถึงต้นไม้ต้นหนึ่งที่ตั้งโดดเด่นอยู่ต้นเดียว กิ่งก้านของต้นไม้ต้นนี้สวยงามอยู่แล้ว แม้ว่าจะเห็นแค่เป็นเงาดำ ฉากหลังเป็นภูเขามีแสงพระอาทิตย์สาดส่อง มีเหรอที่พวกเราจะอดใจไหว ต่างคนต่างสรรหาท่าทางโพสต่างๆ ทั้งท่าหวานๆ เท่ๆ เก๋ไก๋แค่ไหน พวกเราก็เต็มที่ นี่ขนาดเห็นแค่เงานะ ยังไม่มีใครยอมใครเลย

หลายคนได้มุมเหมาะที่จะนั่งดูแสงพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าแล้ว ซึ่งหลายๆ มุมที่เราเห็นดูเหงาเหลือเกิน ไม่รู้ว่าบรรยากาศพาไปหรือรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ตอนนี้เสียงสนทนาของพวกเราเงียบลง หลายคนจับจ้องที่พระอาทิตย์ หลายคนจับจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ และแล้วแสงสุดท้ายก็ลับขอบฟ้าไป เราเดินมารวมกลุ่มกันจนครบเพื่อเดินกลับเต็นท์

แต่ช่วงที่สวยที่สุดคือหลังจากที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ซึ่งยังคงส่องแสงทไวไลท์สีจี๊ดให้เราได้สนุกกับการเก็บภาพไปอีกสักพัก แรกๆ ก็ดูเหมือนจะโพสไปคนละทิศ คนละทาง แต่สุดท้าย พอจับทางกันได้เท่านั้นแหละ ตากล้องนี่นิ้วแทบล็อคเลยทีเดียว มันเป็นช่วงเวลาที่สวยมากนะหากใครไม่เคยเห็นอยากให้ลองสังเกตดู แล้วคุณจะหลงรักช่วงเวลานี้เหมือนพวกเรา



คืนนั้นเราล้อมวงนั่งกินข้าวกันอยู่ข้างๆ เต็นท์ด้วยเมนูที่เรียบและง่ายสำหรับเราที่เน้นไปทางของแห้งอย่างหมูแดดเดียว กุนเชียงและน้ำพริก บทสนทนาเราเริ่มต้นอีกครั้งท่ามกลางอากาศที่เย็นจากน้ำค้างและหนาวจากลมที่พัดตลอด ตอนนี้ดาวเต็มท้องฟ้าระยิบระยับจนนับไม่ไหเราแค่ได้แต่แหงนหน้ามองเพราะไม่มีใครกล้าออกไปยืนดูบนพื้นหญ้า ไม่ได้กลัวเปียกแต่กลัวทากเกาะมากกว่า ขนาดแค่เดินไปทำธุระส่วนตัวเพียงไม่นานและก็ส่องไฟดูดีแล้วเชียวพอกลับเข้าเต็นท์ ก็เกาะติดมาตามง่ามเท้าเพียบ กรี๊ดกันเต็นท์แทบพัง

คืนนั้นเราหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืน เพราะยิ่งดึกก็ยิ่งหนาว พื้นก็เย็นเกินคำบรรยาย แม้จะอยู่ในถุงนอน ที่อัดแน่นไปด้วยสื้อหลายตัว กางเกงหลายชั้น ถุงเท้าหลายคู่ พวกเราก็ยังนอนคดและอยู่กันนิ่งมากจนถึงเช้า



อากาศยังคงเย็นและหนาวจากลมอยู่พอสมควร ทำให้มีคนงอแงไม่ยอมตื่นหลายคน ส่วนเรา 3 สาวที่ไม่อยากนอนต่อก็ออกมาเดินไปยังริมหน้าผาตั้งแต่แสงยังไม่มา พอพระอาทิตย์เริ่มส่องแสง ผู้คนกลุ่มอื่นก็เริ่มตื่น เราเริ่มมองเห็นวิวและหมอกที่พัดมาเป็นระยะๆ แม้ว่าจะไม่มากแต่ก็พอทำให้รู้สึกว่าคุ้มค่านะที่ตื่นเช้ามาเห็นบรรยากาศแบบนี้

เรากลับมาที่เต็นท์สมาชิกคนอื่นๆ ก็ตื่นและพร้อมกินข้าวเช้ากันแล้ว ซึ่งเราใช้เวลาในการกิน และเก็บของเตรียมกลับในนเวลาเพียงไม่นาน แต่เสียเวลาไปกลับผาหลอกลวง หรือ ผาห้อยขา นานมากๆ ทั้งเดี่ยวทั้งกลุ่มคนถ่ายก็กดไม่ยั้ง คนถูกถ่ายก็เปลี่ยนท่าไปเรื่อย ถ้าไม่มีคนเบรคก็จะอยู่ตรงนั้นกันอีกนานแน่ๆ

เราเดินกลับทางเดิม ซึ่งช่วงแรกก็จะเป็นทางเรียบ เป็นทางที่พวกเราถนัดอยู่แล้ว ก็เดินไปคุยกันไปตลอดทาง จะหยุดก็ตอนที่จะถ่ายรูปเท่านั้น เราใช้เวลาเดินตรงนี้โดยที่ยังไม่รู้สึกเหนื่อยกันเท่าไร ก็มาถึงจุดที่จะต้องเดินลง หลายคนหยุดพัก มีเพียงเรา 2 คน เดินนำลงมาก่อน โดยมีเมย์นำมาก่อน หยกก็เดินตามมาติดๆ เรามองเห็นรถอิแต๊กที่จอดอยู่ แต่ทำไมทางที่เราเดินกลับค่อยๆ แคบลงๆ มีต้นไม้บังทางตลอด ผู้ชายที่เดินนำหน้าเราไม่ไกลก็หายไปแบบไร้วี่แวว

และแล้วก็เริ่มเอะใจ หยุดยืนรอจนหยกเดินมาใกล้ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น อยู่ดีดีเมย์ก็ยกมือตลัดไปข้างหน้าโดนใบไม้พุ่มหนึ่ง ไม่ถึงนาที หลังมือบวมเป็นจุดๆ หลายจุด ความรู้สึกเหมือนมีเข็มเล็กๆ จิ้มเข้าไป ปวดมาก ทำให้กรี๊ดออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว หรือว่าฉันโดนต้นช้างร้องเข้าให้แล้ว ก็เลยทำให้เราเดินย้ินกลับไปทางเดิมที่มีทางแยกก่ินหน้านี้ เพราะเราคิดว่าเราเดินมาผิดทาง



เราสองคนพยายามตะโกนเรียกชื่อสมาชิก คนอื่นๆ เป็นระยะๆ แต่ก็ไร้วี่แวไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เลย เราทำได้เพียงเรงสปีดเดินให้เร็วขึ้น จนเราเริ่มมองเห็นคนื่นๆ แล้ว เรากผ็ยังพยายามตะโกนเรียก แต่ก็ยังคงไม่มีใครตอบรึสนใจเราสองคนเลยจนเราเดินมาถึงแล้วและพยายามบอกทุกคนว่าหลงทาง



ทุกคนหันมาแล้วก็บอกว่าคิดว่าเราสองคนนั่งรถอิแต๊กคนอืนไปแล้ว ในขณะที่เรากลังจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง ทุกคนกลับวิ่งไปรุมล้อมที่แอมที่ดดนทากกัดและดูดเลือดแบบ 3 ตัวในรูเดียวกันและอีกเท้าก็โโนอีกตัวน่าจะโดนทากกัดเยอะที่สุดในกลุ่มละ แล้วพ่อก็บอกให้ทุกคนเช็คโดยการถอดรองเท้าออกดู แหมบอกเลยว่าไม่เคยเห็นทากเต็มเท้าเยอะขนาดนี้ แต่จีก็ดูท่าจะชิวเกินไปกับการเดินกินขนมแบบไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับใครเลย

หลังจากนั้นเราก็นั่งรถอิแต๊กคันเดิมประจำตำแหน่งเดิม เพื่อไปยังแปลงผักที่ทำเพื่อเป็นแนวกันไฟ บอกเลยว่าระหว่างกลับก็ไม่ต่างจากตอนมา เพราะเป็นเส้นทางเดียวกัน เราต้องนั่งโยกเยก เอนไปเอนมากันอีกสักพัก ทั้งแดดแรง และเมื่อยตัวจนในที่สุดเราก็มาถึง แต่ก่อนที่เราจะลงมือช่วย เรากินข้าวเที่ยงที่ห่อมาจนอิ่มแล้วก็พร้อมลุยกันละ



แปลงผักแนวกันไฟแห่งนี้เกิดขึ้นจากไอเดียของชาวบ้านว่า ไหนๆ ก็ต้องมาเพื่อเกลี่ยและถอนหญ้าที่แนวกันไฟอยู่แล้ว ทำไมไม่ทำให้เป็นแปลงปลูกผักไปเลยละ แค่นั้นที่นี่ก็เลยมีแปลงผักที่สลับเปลี่ยนหมุนเวียนผักชนิดต่างๆ มาปลูก ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถแวะมาซื้อผักปลอดสารพิษที่นี่ได้ด้วย



เรามาถึงก็ไม่รอช้า ลงมือช่วยทันที ใครถนัดขุดดินก็ไปจับจอบ ใครแรงน้อยก็ช่วยหยอดเมล็ดผักแทน ทุกคนช่วยกันโดยที่ไม่มีใครถามใครว่าต้องทำอะไร ลงแรงกันเต็มที่

ลงผักแปลงนั้นเสร็จก็มาขุดแปลงใหม่เพื่อลงต้นอ่อนของผักต่อในแปลงถัดไป ใครแรงยังเหลือก็ขุดต่อไป แต่ใครที่มือเบาหน่อยก็ช่วยกันค่อยๆ ประคองต้นกล้าต้นน้อยลงดิน ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องใช้เวลาเช่นกัน เราก็ทำไป คุยไป ปนเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ จนในที่สุดเราทำจนเสร็จ หลังจากรดน้ำแล้วเราก็เดินกลับไปยังรถอิแต๊ก

ข้างๆ มีลำธารเล็กๆ ที่เราเดินข้ามก็รู้สึกสดชื่นมาก และจีก็ไม่รีรอนำลงน้ำคนแรก ที่เหลือก็ลงตามแบบไม่ลังเล น้ำเย็นชื่นใจมาก แม้ว่าแดดจะแรง เราเล่นกันอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะนั่งรถอิแต๊กเข้ามาถึงหมู่บ้าน ซึ่งพ่อกลัวเรามีที่อาบน้ำไม่พอก็เลยพาเราไปอาบน้ำที่บ้าน สดชื่นไปตามๆ กัน หลังจากนั้นก็เก็บของขนขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ

มิใช่แค่ปลายทาง



แต่มันเป็นความงดงามของธรรมชาติที่เราได้พบเจอ คือมิตรภาพ ความสุขและความสนุกที่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร หากคนภายนอกมองเข้ามาก็คงคิดว่าเรา 6 คน ต้องเจอกันบ่อยและสนิทกันมาก เพราะเราคุยกันได้ตลอดเวลา และดูว่าจะทุกเรื่องด้วย คุยกันจริงจัง ว่าไงว่าตามกัน เฮกันไปจนทั่วทุกที่ แม้ว่าจะมีหนึ่งหนุ่มท่ามกลางสาวๆ 5 คน ก็ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด



เป็นทริปที่ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรคัดเลือกให้มาเจอกันจนได้ แม้ว่าเราจะต่างกันในหลายๆ ด้าน และหลายๆ อย่าง แต่ช่วงระยะเวลา 2 วัน 1 คืน สำหรับเราจะยังคงมีเรื่องให้เราได้พูดคุยกันไปอีกนาน

เก็บตก



เป็นครั้งแรกกับการเดินทางด้วยรถตู้ที่มีแค่ 6 คน ตีตั๋วนอนยาวตั้งแต่กรุงเทพฯ จนถึงเลย และแอมก็น่าจะเป็นคนเดียวที่ดูจะกลัวกับการถ่ายรูปที่ผาห้อยขามาก จนยอมเป็นตากล้องให้ในหลายๆ รูป ซึ่งพวกเราก็พยายามช่วยเพื่อให้น้องได้มีรูปสวยๆ เจ๋งๆ บ้าง พอเริ่มชินก็ดูท่าจะสนุกกับการโพสท่าเหมือนกันนะ



ระหว่างทางที่นั่งรถกลับแดดร้อนและแรงมาก รถคันเราไม่มีร่มเหมือนอีกคัน ก็เลยต้องหาสิ่งที่มีที่หาได้รอบตัวตอนนั้น และแล้วเราก็มองหน้ากันว่านี่แหละที่จะช่วยเราหลบจากแดดได้ สื่อที่ทำหน้าที่ปูให้นั่งถูเปลี่ยนหน้าที่กลางเป็นหลังคาไปทันที



และในระหว่างที่เราทยอยอาบน้ำอยู่นั้น ส้มตำที่จีบ่นมาตลอดทางว่าอยากกินก็มาวางอยู่ตรงหน้า พร้อมทั้งไข่เจียวและหมูแดดเดียวกับข้าวเหนียวอีกหนึ่งกระติ๊บก็ถูกพวกเราจัดการเรียบร้อยประหนึ่งว่าไม่มีสิ่งใดอยู่บนจานมาก่อน บอกเลยส้มตำเด็ดจริง

ทริปนี้อย่างที่บอกว่ามีชายหนุ่มคนเดียวท่ามกลางสาวๆ 5 คน แต่เชื่อไหมว่าท่าโพสของ 5 สาวยังสู้หนึ่งเดียวไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าสรรหาท่าโพสมาจากไหนนักหนา มุมเดียวก็สามารถถ่ายไปหลายแอคละ เปลี่ยนท่าตลอด จนตากล้องกดตามไม่ทัน แม้พี่ยุจะพยายามสู้แล้วแต่สุดท้ายก็ต้องถอยและยอมแพ้ เป็นแบบจนทุกคนแซวว่าใครรูปเยอะจ่ายค่าทริปเพิ่มด้วยนะ

หนุ่มหนึ่งเดียวคนนี้นอกจากเป็นแบบเองแล้วก็ยังเป็นสไตล์ลิสต์ให้คนอื่นๆ ด้วย จัดท่าและหาพร็อพให้ด้วยเลย แต่สาวๆ ก็ใช่ว่าจะไม่สู้เพราะหลายคนก็แสนจะซน พยายามจะโพสให้ถ่าย แต่ก็มีหลายท่าที่คนถ่ายจะโพสเจ๋งกว่านางแบบนะ แต่ก็ไม่มีอะไรดีเท่าที่พ่อยอมเชื่อและทำตามที่พวกเราบอกด้วย เอ้าโดดค่ะโดด



เป็น 6 คน ที่อัดแน่นไปด้วยความสุขสนุกตลอดการเดินทางจริงๆ หากมีเวลาตรงกันก็อยากจับกลุ่มนี้มาเจอกันอีกสักทริปนะ



ติดตามกิจกรรมสนุกๆ และเป็นประโยชน์ของพวกเราเพิ่มเติมที่


www.rsatieow.com

May Macro

 วันพฤหัสที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.25 น.

ความคิดเห็น