หลังจากที่ผิดหวังกับการคาดหวัง ว่าการเดินทางสู่ภูกระดึงในครั้งนี้จะมีเพื่อนร่วมทางสักกลุ่มหนึ่ง แต่รอแล้วรอเล่ายังงั้ยยังงัยพวกเราก็ยังหาวันว่างที่ตรงกันไม่ได้ซักที ทริปนี้ก็เลยจำเป็นต้องเดินทางกันเพียงสองหนุ่มกะหนึ่งสาวผู้มีเวลางานไม่ค่อยตรงกับชาวบ้านเค้า ทริปนี้ 4 วัน 2 คืน เดินทางโดยรถประจำทางกรุงเทพฯ-เมืองเลย ของบริษัทเมืองเลยทัวร์ ค่าโดยสารต่อคนต่อเที่ยว รถปรับอากาศชั้น 1 ราคา 530 บาท รถออกจากขนส่งหมอชิตใหม่ 3 ทุ่มครึ่ง ถึงผานกเค้าเวลาตี 5 นิดๆ ระยะทาง 500 กิโลเมตรโดยประมาณ
มาถึงปุ๊บก็ต้องเตรียมความพร้อมก่อนเลย จุดที่รถจอดเป็นจุดที่จะต่อรถสองแถวไปยังที่ทำการอุทยานฯพอดี ตรงนี้จะมีร้านค้าที่ทุกคนที่เคยมารู้จักกันดี ร้านเจ๊กิมนั่นเอง ที่นี่มีทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้บนภู และที่พิเศษมากๆคือ มีห้องน้ำสำหรับชายและหญิงหลายห้องเลย ทั้งห้องอาบน้ำและสุขา ใครเพิ่งมาถึงก็จะอาบน้ำแปรงฟันกันให้เรียบร้อย จากนั้นก็เติมพลังก่อนการเดินทางด้วยข้าวราดแกง รสชาดอร่อยใช้ได้เลย ส่วนในเวลาบ่าย ใครที่เพิ่งเดินทางกลับลงจากภู ก็จะมาเตรียมตัวที่นี่เช่นกัน เพราะที่นี่ยังเป็นจุดจำหน่ายตั๋วรถปรับอากาศประจำทางอีกด้วย แนะนำว่าวางแผนจากกรุงเทพฯให้เรียบร้อยเลยครับ มากี่วัน กลับวันไหน ซื้อตั๋วจากกรุงเทพฯไว้ล่วงหน้าเลย เพื่อกันเหนียว เพราะบางทีรถอาจจะเต็มจนต้องพึ่งพารถปรับอากาศชั้น 2 หรือไม่ก็ต้องหาที่หลับที่นอนเพื่อรอรถในวันถัดไป
รถมาถึงตั้งแต่ยังไม่สว่างเลย ดีครับ จะได้มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น
ร้านเจ๊กิม จุดเริ่มต้นของพวกเรา
เบื้องหลังที่เห็นเป็นเงาทมึน คือผานกเค้านั่นเอง
รถสองแถวมาจอดรอผู้โดยสาร แต่ยังออกรถไม่ได้จนกว่าจะถึง 6 โมงเช้า
ทำโน่นนี่นั่นเสร็จก็มานั่งรอรถสองแถวครับ เที่ยวแรกจะออกจากท่าเวลา 6 นาฬิกา ค่าโดยสารคนละ 20 บาท เมื่อก่อนขึ้นเต็มคันแล้วจ่ายเงินกันบนรถเลย แต่เดี๋ยวนี้ต้องเดินไปซื้อตั๋วที่ซุ้มใกล้ก่อนขึ้นรถครับ จากที่นี่ไปยังที่ทำการอุทยานฯไม่ไกลกันมากครับ
เข้าคิวเพื่อชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ
เมื่อเดินทางมาถึงที่ทำการอุทยานฯ ก็ต้องเข้าคิวเพื่อแจ้งจำนวนสมาชิกที่จะขึ้นภู และจะอยู่กันกี่คืน รวมทั้งชำระค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯและค่าที่หลับที่นอน ใครจะเช่าเต๊นท์ก็จ่ายอัตรานึง ใครเอาเต๊นท์ไปเองก็อีกอัตรานึง ข้างบนภูมีเครื่องนอนให้เช่าพร้อมครับ เรียกว่างานนี้เอาแค่ตัวกับหัวใจและกระเป๋าตังส์ขึ้นไปให้ได้ก็สบายละครับ ;-)
พอเสร็จจากตรงจุดนี้แล้วก็ต้องรีบนำสัมภาระไปยังจุดบริการลูกหาบครับ หากช่วงไหนนักท่องเที่ยวเยอะก็ต้องแบ่งทีมแบ่งหน้าที่กันครับ ส่วนนึงเข้าคิวตรงนี้ อีกส่วนนึงก็นำสัมภาระไปเข้าคิวเพื่อชั่งน้ำหนัก สำหรับใครที่ยังไม่เคยขึ้นหรือเรียกง่ายๆว่ามาครั้งแรก แนะนำว่าควรจะออกเดินทางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ครับ เพราะระยะทางในแนวดิ่งนั้น อาจทำให้ไปถึงจุดกางเต๊นท์มืดค่ำ ลูกหาบก็ต้องรอเรานะครับ ไม่งั้นเค้าก็ไม่ได้ค่าจ้าง (ค่าจ้างเราต้องขึ้นไปจ่ายข้างบนตอนรับสัมภาระคืน) และถ้าเป็นอย่างนั้น จะทำให้ลูกหาบต้องเดินทางลงภูในเวลากลางคืน ซึ่งอันตรายมากหากไปเจอสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลากลางคืน โดยเฉพาะช้างป่า
จุดบริการชั่งน้ำหนักสัมภาระที่จะให้ลูกหาบแบกขึ้นไปให้
หลังจากชั่งน้ำหนักเสร็จแล้ว ลูกหาบก็จะรับสัมภาระเราไปมัดให้เรียบร้อย
ครั้งนี้นักท่องเที่ยวเบาบางมาก เนื่องจากเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงที่นักท่องเที่ยวค่อนข้างน้อย ทางขึ้นค่อนข้างจะแห้งแล้ง ต้นไม้ต่างๆ ผลัดใบและเริ่มผลิใบใหม่บ้างแล้ว
ถ่ายรูปกับป้ายเอาฤกษ์เอาชัยซะหน่อย
จุดเริ่มต้นที่แท้จริง ลงชื่อกันก่อนว่าคณะเรามีกี่คน มาจากไหนกันบ้าง เผื่อสูญหายไปจะได้ตามเช็คกันได้
เริ่มกันเลยครับ ระยะทางรวมแค่ 9.05 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ 5.5 กิโลแรกเป็นแนวดิ่งนะครับ :-)
1 กิโลเมตรแรกนี้เรียกว่า ช่วงวัดใจกันเลยทีเดียว จะถอดใจหรือจะสู้ต่อก็อยู่ที่ช่วงนี้แหละ
หลายคนอาจจะไม่คุ้นตากับภาพแบบนี้ ภาพที่แทบจะไม่มีคนเลย ซึ่งปรกติแล้ว นักท่องเที่ยวจะหาช่วงวันหยุดยาวมาเที่ยวกัน ต่างคนต่างก็มุ่งหน้ามาที่นี่ จึงทำให้บางครั้งเกิดปรากฏการณ์คนติดกันเลยทีเดียว คนติดก็เหมือนรถติดในกรุงเทพแหละครับ
Advertisement
บางช่วงบางตอนจะมีราวเหล็กให้ยึดเกาะ เพราะทางชันมาก
รู้สึกอ้างว้างบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง
คนน้อยๆแบบนี้ ทำให้กะปอมตัวนี้กล้าออกมาทักทายโดยไม่หวั่นเกรงว่าจะถูกจับไปผัดเผ็ด 5555
หลังจาก 1 กิโลเมตรแรกผ่านไป เราก็มาถึงซะที ซำแฮก ขอบอกว่า หอบแฮ่กๆจริงๆ ซำแฮก เป็นจุดแวะพักจุดแรก ซึ่งมีอาหารตามสั่ง ขนมหวาน เสื้อผ้า ของที่ระลึก เครื่องดื่ม ผลไม้พื้นเมือง ขอแนะนำว่าให้จิบน้ำแต่เพียงนิดเท่านั้นนะครับ แต่จิบบ่อยๆ หากดื่มน้ำไปเยอะ จะทำให้จุก จนเดินต่อไม่ไหวนะครับ ;-)
ใบไม้เริ่มผลิใบ สีสันสวยงาม สดมากๆ
ต้นไม้ใหญ่เริ่มผลิใบอ่อนแล้ว ดูสวยงามไปอีกแบบ
สเน่ห์อีกแบบของช่วงหน้าแล้ง
มีนักท่องเที่ยวเดินทางสวนลงมาบ้างประปราย
อย่าเข้าใจผิดคิดว่านี่คือหมาป่านะครับ มันเป็นหมาที่ถูกนำมาปล่อยไว้ มักจะชอบเดินขึ้นๆลงๆอยู่เป็นประจำ ที่ผมบอกว่าขึ้นๆลงๆเนี่ย คือบางทีก็ขึ้นไปถึงหลังแปเลยนะครับ เวลาลงก็ลงไปจนถึงที่ทำการอุทยานเลย ที่ผมทราบ เพราะลูกหาบคนนึงบอกครับ แต่มันเชื่องและน่ารักมากครับ เดินตามผมขึ้นไปจนเกือบถึงซำกกโดนโน่นแน่ะ
เห็นอย่างนี้อย่าเพิ่งตกใจนะครับ ผึ้งพวกนี้เป็นผึ้งน้ำหวาน มักจะอยู่แถวๆขนมหวานของแม่เค้าข้างทาง พอดีผมแวะนั่งพักในร้าน เจ้าพวกนี้ก็จะมาเกาะบ้าง มาตอมบ้าง แต่ไม่ต่อยนะครับ ถ้าเราไม่ทำอะไรกับมัน ขอบอกว่า ขึ้นภูกระดึงทุกครั้ง ต้องโดนผึ้งพวกนี้เกาะทุกครั้ง และไม่มีซักครั้งที่พวกนี้จะทำร้ายผม ;-)
ก่อนถึงซำกกโดน จะมีต้นไม้ที่น่าสนใจอยู่หน้าบ้านพักเจ้าหน้าที่ ยามที่ดอกมันสะท้อนกับแสงแดด มันช่างสวยงามซะจริงเชียว
ซำกกโดน เป็นจุดพักอีกจุดนึง ที่นี่มีห้องน้ำชายและหญิง สะอาด มีหลายห้องด้วยครับ เช่นเคยครับ อาหารตามสั่งก็มี ไข่ปิ้ง มันเผา เสื้อผ้า หมวกไหมพรม กาแฟโบราณก็มีนะครับ
ยิ่งขึ้นสูงก็จะยิ่งเจอป่าไม้ที่หนาแน่นขึ้น ลืมบอกไปครับ ภูกระดึงมีป่าไม้อยู่ 6 แบบด้วยกันตามลำดับความสูงจากระดับน้ำทะเลครับ 400 เมตรแรก เป็นป่าเต็ง-รัง และทุกๆ 200 เมตรจะมีลักษณะที่แตกต่างออกไป ถัดจากเต็ง-รังก็จะเป็นป่าเบญจพรรณ ตามด้วยป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา และบนยอดภูซึ่งสูงที่สุด จะเป็นป่าสนเขา-ก่อ-ทุ่งหญ้า ทำให้เกิดความหลากหลายของลักษณะพืชพรรณในระดับความสูงที่แตกต่างกัน
ผมแปลกใจคนไทยอย่างนึง คือชอบทำตามๆกันโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ทำนั้น สื่อถึงอะไร แต่ก็ดูเป็นสเน่ห์อีกแบบหนึ่ง ทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อ อย่างในภาพนี้ เป็นการนำหินมาเรียงซ้อนกันขึ้นไปเรื่อยๆ คนละก้อน
นี่ก็อีกอย่าง คือการนำกิ่งไม้มายันก้อนหิน หรืออะไรก็ตามที่มีลักษณะเหมือนจะล้ม อย่างในภาพเป็นท่อนซุงผุๆขนาดใหญ่ ก็มีไม้มายันไว้เหมือนกัน 5555
นอกจากต้นไม้ใหญ่ ก้อนหิน และสัตว์ป่าแล้ว สิ่งเล็กๆที่หลายๆคนอาจมองข้ามก็คือ ดอกไม้ป่าขนาดเล็ก ถ้าไม่รีบเดินขึ้นไปหรือมีเวลาเหลือเฟือ การแวะพักถ่ายภาพสิ่งเล็กๆเหล่านี้ก็เป็นการพักเหนื่อยที่ได้ผลดีเลยทีเดียว
นี่เป็นดอกไม้ที่มีลักษณะลำต้นเป็นเถา มีลักษณะดอกที่สวยงามไปอีกแบบครับ
เรื่องราวยังไม่ไปถึงไหนเลยครับ โปรดติดตามตอนต่อไปเร็วๆนี้ครับ ;-)
Wattanabhol McJames Uangsakul
วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 00.30 น.