สังขละบุรี


เมื่อพี่ที่รู้จักบอกผมว่า "สะพานมอญ" ไม่เห็นมีอะไรเลย ผมคิดแล้วยิ้มในใจ...

สะพานมอญ สังขละบุรี | Unseen ,Mon Bridge ,Sangklaburi , Kanchanaburi Thailand


วันที่ 1


ขับรถออกจากกรุงเทพฯ เวลาประมาณ 8.00 น.

ถึง "ด่านเจดีย์สามองค์" ประมาณ 14.00 น.

ระยะทางจากกรุงเทพ - ด่านเจดีย์สามองค์ประมาณ 380 KM.



ด่านเจดีย์สามองค์

ด่านเจดีย์สามองค์ ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองลู เป็นเขตสิ้นสุดชายแดนตะวันตกของประเทศไทย กั้นพรมแดนไทย – พม่า ตอนเหนือของจังหวัดกาญจนบุรี - อำเภอพระยาตองซู ทางตอนใต้ของรัฐกะเหรี่ยงซึ่งเคยเป็นช่องทางเดินทัพที่สำคัญในการทำสงครามไทย – พม่า ในอดีต



ด่านตรวจคนเข้าเมืองสังขละบุรี


วันที่เดินทางไปฝนตกหนักมาก





ศาลาสันติภาพไทย-ญี่ปุ่น

( THE BORDER PEACE TEMPLE THAI - JAPAN )


วัดเจดีย์สามองค์


ตลาดชายแดนด่านเจดีย์สามองค์


ร้านขายต้นไม้ - กล้วยไม้ป่า


บริเวณรอบๆก็จะมีขายทั้งของฝากและเครื่องประดับต่างๆ




สุดแดนสยาม ช่องทางด่านพระเจดีย์สามองค์



เดินเล่นที่ "ด่านเจดีย์สามองค์" เสร็จแล้วมุ่งหน้าไปที่พักสำหรับคืนนี้



บุญเสริมเติมสุข

แอร์ + TV + เครื่องทำน้ำอุ่น ราคา 600 บาท / คืน (ไม่รวมอาหารเช้า)


บรรยากาศภายในห้อง




บรรยากาศด้านนอก








เก็บของเสร็จแล้ว เริ่มหิว แวะหาของกิน

ต้องนี่เลย "หมูกระทะ"



ร้านบารมีหมูกระทะ

ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆอยู่ใกล้กับกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 134 มีเมนูให้เลือกหลากหลาย รสชาติอาหารถือว่าอร่อยเลยทีเดียว






บรรยากาศได้เลย ฝนตกๆ หมูกระทะร้อนๆ


อิ่มท้องแล้ว เดินเล่นต่อในตลาด








แวะไปดูซักหน่อยทำไมคนเยอะจัง


หมูจุ่มพม่า


เค้าจะเอาหู เนื้อ เครื่องในหมู จุ่มในน้ำซุปร้อนหม้อใหญ่

มีถ้วยเปล่าแจกให้สำหรับตักซุป ราคาไม้ละ 1 บาทเท่านั้น


ปิดท้ายคืนนี้ กลับที่พัก




วันที่ 2

สวัสดีตอนเช้า! ฝนตกตั้งแต่เมื่อคืนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อดไปใส่บาตรที่ตลาดมอญเลย


ฝนหยุดตกแล้วมุ่งหน้าไปที่สะพานมอญ

เดินไปตามสะพานแดง ด้านขวามือก็คือ สามประสบรีสอร์ท




สะพานอุตตมานุสรณ์ ( สะพานมอญ )

เป็นสะพานไม้ข้ามแม่น้ำซองกาเลียไปยังหมู่บ้านมอญ ถือเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย

เป็นสะพานแห่งศรัทธา ที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของชุมชนที่อาศัยอยู่ในสังขละบุรี





แพลอยน้ำ



เดินมาเล่นใต้สะพาน





ระหว่างทางก็จะมีหนูน้อยเดินมาถามว่าประแป้งมั้ยครับ พร้อมทั้งหิ้วอุปกรณ์ แป้งทานาคา และที่ปั๊มเป็นรูปต่างๆ ประแป้งฟรีนะครับ ถ่ายรูปก็ได้ ส่วนเงินแล้วแต่จะให้






มองจากบนสะพานเห็นฝั่งมอญ


วิถีชิวิตคนแถวนี้







นักท่องเที่ยวกำลังนั่งเรือ


สะพานซองกาเลีย

ใช้สัญจรข้ามแม่น้ำซองกาเลีย การจะขับรถไปวัดวังก์วิเวกการามหรือเจดีย์พุทธคยาก็ต้องมาใช้สะพานนี้





ผมชอบแก๊งนี้มากครับ คุยด้วยแล้วฮาดี



ถ่ายรูปกับชาวแก๊ง



ถึงฝั่งตลาดมอญแล้ว








แวะทานอาหารเช้ากันก่อนครับ



Postcard 20฿ เท่านั้น



อิ่มแล้ว วันนี้ลุยครับ



บริการเรือนำเที่ยว

  • 1 วัด ราคา 300 บาท
  • 3 วัด ราคา 500 บาท
  • 5 จุด ราคา 1,600 บาท



ผมเลือก 3 วัด ราคา 500 บาท

วัดวังก์วิเวการาม (เก่า)

วัดสมเด็จ (เก่า)

วัดศรีสุวรรณ (เก่า)



เรือลำนี้ครับ มีหลังคากันแดดกันฝนได้


คนขับเรือใจดีมากครับ เป็นกันเองให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆได้ดีทีเดียว


ออกเดินทางแล้ว




มองจากในเรือขึ้นไปยังฝั่ง





ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็มาถึงที่แรก วัดวังก์วิเวการาม (เก่า)






วัดวังก์วิเวการาม (เก่า)

ในปี พ.ศ. 2527 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีโครงการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อเขื่อนเขาแหลม เพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งเมื่อเก็บกักน้ำหลังเขื่อนแล้ว ระดับน้ำเพิ่มขึ้นจนท่วมตัวอำเภอเก่า ในพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ หมู่บ้านชาวมอญอีกกว่า 1,000 หลังคาเรือน รวมถึงวัดวังก์วิเวการามเดิม ทางการจึงได้อพยพชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ออกจากบริเวณที่น้ำท่วม และย้ายวัดมาอยู่บนเนินเขาด้านฝั่งตะวันตกของลำน้ำแควน้อยในปัจจุบัน บริเวณวัดเดิม ถูกปล่อยให้จมอยู่ใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันในนามของ "วัดใต้น้ำ" หรือ เมืองบาดาล ซึ่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในแบบ Unseen Thailand









































ออกจากวัดแรกผมเดินเล่นนานไปหน่อยก็เลยบอกขอโทษพี่คนขับ พี่คนขับเรือบอกไม่เป็นไรนักท่องเที่ยวนานๆ มาที ไม่ได้มาทุกวัน พร้อมด้วยรอยยิ้ม


ออกเดินทางต่อสู่วัดที่ 2







นั่งเรือมาแปบนึงถึงแล้วครับ วัดสมเด็จ (เก่า)



หน้าทางขึ้นมีปลาจำหน่ายเพื่อปล่อย


ทางขึ้น


บริเวณด้านข้าง มี ธูป เทียน ดอกไม้ ไว้จำหน่าย



วัดสมเด็จ (เก่า)

ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ตรงข้ามเมืองบาดาล เป็นวัดที่ไม่ได้จมน้ำ แต่ถูกทิ้งร้างเมื่อครั้งย้ายอำเภอสังขละบุรี ตอนสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ (เขื่อนเขาแหลม)



มีพระประธานสภาพค่อนข้างสมบูรณ์





รอบๆตัวโบสถ์





ออกเดินทางต่อสู่วัดที่ 3






มองเห็นเจดีย์พุทธคยา



วัดศรีสุวรรณ(เก่า)

วัดที่เป็นดั่งตัวแทนของชาวกะเหรี่ยง มีชื่อพ้อง กันกับพระศรีสุวรรณคีรี ซึ่งเป็นชื่อตำแหน่งเจ้าเมืองสังขละบุรี โดยตัววัดตั้งอยู่ บริเวณปลายแม่น้ำรันตี



แนะนำใส่รองเท้าแตะมานะครับ เพราะต้องเดินลุยน้ำ


บรรยากาศภายใน















ครบ 3 จุดบอกคนขับเรือได้ครับว่าจะให้ไปจอดฝั่งไหน ฝั่งไทย - ฝั่งมอญ




ออกจากสะพานมอญ มุ่งหน้าสู่ วัดวังก์วิเวการาม



วัดวังก์วิเวการาม

วัดวังก์วิเวการาม หรือ วัดหลวงพ่ออุตตมะ เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะร่วมกับชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ ได้ร่วมกันสร้างขึ้น ในปี พ.ศ. 2496 ที่บ้านวังกะล่าง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ใกล้กับชายแดนไทย-พม่า


เป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ในอำเภอสังขละบุรี ทั้งชาวไทย กะเหรี่ยง และชาวไทยเชื้อสายมอญ





ปราสาทเก้ายอด

โลงบรรจุสังขารของหลวงพ่ออุตตมะ และรูปเหมือนของหลวงพ่ออุตตมะ


อุโบสถวัดวังก์วิเวการาม




อออกจาก "วัดวังก์วิเวการาม" มุ่งหน้าสู่ "เจดีย์พุทธคยา"

อยู่ห่างกันประมาณ 600 เมตร



เจดีย์พุทธคยา (จำลอง)

โดยจำลองมาจากเจดีย์พุทธคยาประเทศอินเดีย งบประมาณมาจากผู้มีจิตศรัทธา ร่วมกันบริจาคเป็นเงินสด ทองคำ และวัสดุ ใช้แรงงาน ชาย หญิง ในหมู่บ้าน



บนยอดพระเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่หลวงพ่ออุตตมะอัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา เป็นกระดูกนิ้วหัวแม่มือขวา สีขาวอมเหลืองใส ขนาดเท่าเม็ดข้าวสารจำนวน 2 องค์









ด้านหน้าใกล้กับลานจอดรถมีร้านขายของที่ระลึก ให้เลือกซื้อเป็นของขวัญของฝาก เช่นแป้งทานาคา ทั้งแบบตลับสำเร็จรูป และแบบท่อนไม้ เครื่องประดับ ผ้าพันคอ กระเป๋า ขนม ชา กาแฟ จากพม่า




มุ่งหน้ากลับ กทม.แล้วคร้าบ

ระหว่างทางก็แวะ "น้ำตกเกริงกระเวีย"



น้ำตกเกริงกระเวีย

เป็นน้ำตกขนาดเล็กตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 323 เส้นทางสายหลักจากทองผาภูมิไปยังสังขละบุรี เป็นที่ พักผ่อนหย่อนใจระหว่างทาง มีร้านค้า ร้านอาหารไว้คอยบริการ



กระแสน้ำไหลลงมาแบบม่านไม่สูงมาก







ขอบพระคุณทุกท่านสำหรับการรับชมครับ

เป็นเพื่อนกันได้ที่...

FACEBOOK : https://www.facebook.com/poom.evolution.9




Apisit Poom Sukpakdee

 วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 17.53 น.

ความคิดเห็น