Chiangmai Day1 : ดอนเมือง-สนามบินเชียงใหม่-โรงแรม B2 Nimman Santitham-Steak meet love-โจ๊กสมเพชร Chiangmai Day2 : ก๋วยจั๊บน้ำข้น(อุนเสาวรีย์สามกษัตริย์)-ไหว้ครูบาศรีวิชัย-พระธาตุดอยสุเทพ-เจดีย์เจ็ดยอด-กินข้าวในม.เชียงใหม่-ขันโตกดินเนอร์-วอร์มอัพ-ไก่ทอดเที่ยงคืน
Chiangmai Day3 : ข้าวซอยเสมอใจ-Flying Squirrels-คั่วไก่นิมมาน-กระหรี่หมี่เตี๋ยว-ถนนคนเดินวัวลาย-Myst (เมย่า) Chiangmai Day4 : บุฟเฟ่ต์ขนมจีนบ้านเจ็ดยอด-Chiangmai zoo aquarium-The Bistrorante-TCDC(เชียงใหม่)-Miyazaki(เมย่า)-สนามบินเชียงใหม่-ดอนเมือง


Chiangmai Day2 : ก๋วยจั๊บน้ำข้น(อุนเสาวรีย์สามกษัตริย์)-ไหว้ครูบาศรีวิชัย-พระธาตุดอยสุเทพ-เจดีย์เจ็ดยอด-กินข้าวในม.เชียงใหม่-ขันโตกดินเนอร์-วอร์มอัพ-ไก่ทอดเที่ยงคืน


ตื่นเช้าวันที่สอง ผมเลือกมาซ้ำจากที่เคยมาคราวที่แล้วที่ร้านหมูกรอบร้านโปรด "ก๋วยจั๊บน้ำข้น อนุเสาวรีย์สามกษัตริย์"

ร้านตั้งในบริเวณคูเมือง ที่เรียกชื่อนี้เพราะว่าที่ตั้งร้านอยู่ใกล้ๆ อนุเสาวรีย์สามกษัตริย์ ร้านนี้มีทั้งก๋วยจั๋บแล้วก็หมูกรอบ แต่ผมอยากกินหมูกรอบมากกว่า และที่สำคัญถ้ากินสองอย่างคงกินไม่หมดแน่ๆ เพราะอาหารที่นี่จานใหญ่มากๆ

ข้าวหมูกรอบที่นี่ราคา 60 บาท ส่วนก๋วยจั๊บราคา 50 บาท แนะนำว่าถ้ามามากกว่า 1 คนให้สั่งมาทั้งสองอย่างแล้วลองชิมมันทั้งคู่ เพราะส่วนตัวผมคิดว่ามันอร่อยทั้งสองเมนูเลย


หลังจากกินข้าวหมูกรอบเสร็จก็ข้ามถนนมาไหว้อนุเสาวรีย์สามกษัตริย์เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวเองทั้งในขณะที่เที่ยวอยู่ที่เชียงใหม่และหลังจากกลับไปกรุงเทพฯ

บริเวณติดกับอนุเสาวรีย์สามกษัตริย์มีหอศิลป์วัฒนธรรมเชียงใหม่อยู่ด้วย แต่ผมไม่ได้เข้าไป แค่เดินเข้าไปดูข้างหน้าแล้วก็ถามราคาตั๋วมาให้ ในหอศิลป์จะประกอบด้วย 3 อาคาร ถ้าเราต้องการดูแค่อาคารเดียวก็จะซื้อตั๋วในราคา 20 บาท แต่ถ้าต้องการดูทั้ง 3 อาคารก็จะจ่ายค่าตั๋วทั้งหมด 40 บาท


หลังจากนั้นเราก็ขึ้นรถแล้วมุ่งหน้าไปที่พระธาตุดอยสุเทพ วันที่เราไปคือวันศุกร์รถไม่เยอะเท่าไหร่ ขับได้สบายๆ ซึ่งถ้าใครสะดวกมาวันธรรมดาก็จะดี บริเวณด้านล่างของดอยสุเทพ เราจะเห็นที่สักการะบูชาอนุเสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ผู้เป็นคนริเริ่มสร้างถนนขึ้นไปยังพระธาตุดอยสุเทพ เราสามารถจอดรถแล้วลงไปไหว้ท่านเพื่อเป็นศิริมงคลได้ บริเวณนี้จะเป็นที่จอดของรถแดงที่จะพานัดท่องเที่ยวที่ไม่ได้เอารถส่วนตัวมาขึ้นไปยังดอยสุเทพด้วย


หลังจากไหว้ครูบาศรีวิชัยเรียบร้อยแล้วก็ขับรถขึ้นไปดอยสุเทพ ระหว่างทางจะมีจุดพักรถ บริเวณนี้จะมีศาลาให้เราลงไปนั่งพัก ซื้อน้ำซื้อขนมมากินได้ ที่สำคัญวิวที่มองลงไปก็สวยงาม ต้องดูในช่วงที่ควันไม่เยอะเราก็จะได้เห็นวิวเมืองเชียงใหม่แบบชัดๆ ไปเลย ใช้เวลาขับจากด้านล่างขึ้นมาถึงจุดพักรถก็ประมาณ 10 นาที และขับขึ้นไปยังดอยสุเทพก็อีกประมาณ 10 นาที

ที่จอดรถบริเวณดอยสุเทพคือข้างๆ ถนน หาที่ว่างๆ แล้วก็จอดได้เลย อย่าลืมหาไม้หรือก้อนหินมาวางตรงล้อด้วย เพราะบางครั้งเพียงเบรกมือก็เอาไม่อยู่ รถไหลลงมาชนคันข้างล่างได้

ทางเลือกในการขึ้นดอยสุเทพมี 2 ทางคือ เดินขึ้น หรือ ขึ้นลิฟท์ก็ได้ แต่ผมเลือกขึ้นลิฟท์ มีค่าใช้จ่าย 20 บาทต้องเก็บตั๋วไว้ด้วยถ้าใครอยากจะลงลิฟท์หลังจากไหว้เสร็จ

บันไดที่เดินขึ้นพระธาตุดอยสุเทพมีทั้งหมดประมาณ 300 กว่าขั้น ใครฟิตก็ลองดูครับ

หลังจากขึ้นไปแล้วบริเวณดอยสุเทพก็จะมีให้เราเดินวนขวาสามรอบรอบพระธาตุพร้อมกับท่องคาฐาบูชาไปด้วย ในใจก็อธิษฐานขอพรในสิ่งดีๆ ที่เราต้องการได้ด้วย ขาลงผมเดินลงบันไดก็จะเจอเด็กที่ใส่ชุดชาวเขายืนอยู่ ผ่านร้านขนมและร้านขายของที่ระลึก ผมไม่ได้ซื้ออะไรเลย เพราะหิวมากอยากลงไปทานมื้อกลางวันข้างล่างแล้ว


แต่พอออกจากพระธาตุดอยสุเทพมาแล้วก็ยังไม่ได้ไปหาร้านอาหาร เพราะเราต้องไปไหว้เจดีย์เจ็ดยอดก่อน ทั้งสามสถานที่ที่ผมจะไปนั้นอยู่ใกล้ๆ กันหมดเลย ทั้งพระธาตุดอยสุเทพ, วัดเจ็ดยอด, และม.เชียงใหม่ที่ผมจะเข้าไปหาอะไรทาน


เหตุผลที่เลือกมาไหว้พระที่วัดเจ็ดยอดก็เพราะว่า เค้าว่าเจดีย์นี้มีการสร้างเจดีย์ที่มีรูปแบบคล้ายๆ มหาโพธิเจดีย์พุทธคยาที่ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นเจดีย์ที่คนที่เกิดปีมะเส็งควรจะไปไหว้ ซึ่งผมเกิดปีมะเส็ง ก็เลยมาไหว้ที่นี่ด้วย


หลังจากนั้นก็ไปหาอะไรกินในม.เชียงใหม่ เข้ามาดูบรรกาศในม. เชียงใหม่กันหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง แล้วก็มากินข้าวที่โรงอาหารของที่นี่ด้วย ราคาข้าวที่นี่ถูกมากจริงๆ ข้าวมันไก่ต้มผสมไก่ทอด ขายในราคา 25 เท่านั้น คือถูกมาก หลังจากนั้นก็เดินเล่นต่อไปถึงคณะสังคมศาสตร์ก็มีเหมือนโรงอาหารแล้วก็ร้านน้ำแข็งใส ชื่อ "ไสนม" ให้นั่งเล่นอยู่อีกซักพักค่อยกลับเข้าเมือง


กลับมาตั้งหลักที่โรงแรมซักแปปนึงก่อนจะมีนัดไปกิน "ดินเนอร์ขันโตก ที่ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่" เป็นมื้อเย็น มาถึงเชียงใหม่ไม่กินอาหารพื้นเมืองไม่ได้หรอก เลยลองมาจัดซักมื้อ ดินเนอร์ขันโตกจริงๆ มีอยู่หลายที่ในเชียงใหม่ แต่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากที่สุดก็คือ ของที่ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่

ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ ตั้งอยู่บนถนนทิพย์เนตร ไม่ไกลจากถนนวัวลายและคูเมือง สามารถนั่งรถแดงมาถึงได้ไม่ไกลมากนัก ภายในก็จะมีพื้นที่ให้จอดรถ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาจะเป็นชาวต่างชาติขึ้นรถตู้มาลงกันหลายคันเลย



ก่อนเข้าห้องอาหารก็จะมีที่ฝากรองเท้า เราต้องถอดรองเท้าก่อนเข้า พอเข้ามาในห้องทานอาหารที่เรียกว่า "ศาลา" เราก็จะเจอเวทีอยู่ตรงกลาง ซึ่งหลังจากที่เราทานข้าวจนอิ่มแล้ว ก็จะมีการแสดงพื้นเมืองทั้งการรำในรูปแบบต่างๆ ให้เราดูบนเวทีนี้


อาหารที่นำมาเสิร์ฟก็จะเสิร์ฟมาบนขันโตก ที่เป็นรูปแบบเฉพาะของวัฒนธรรมทางภาคเหนือ มีอาหารทั้งหมด 9 อย่างคือ น้ำพริกหนุ่ม, น้ำพริกอ่อง, แคปหมู, ไก่ทอด, หมี่กรอบ, ผักทอด, ผัดผัก, แกงฮังเล, ผักสด ส่วนข้าวเราก็เลือกได้ไม่ว่าจะเป็นข้าวสวยหรือข้าวเหนียว

หลังจากทานอาหารหลักอิ่มแล้ว ทางร้านก็จะเสิร์ฟผลไม้กับขนม และเลือกได้ว่าจะรับชาหรือกาแฟเพื่อปิดท้าย อาหารทั้งหมดเป็นบุฟเฟ่ต์เราสามารถขอเติมได้จนกว่าจะอิ่ม ส่วนรสชาติไม่ได้จัดมากนักเพราะมีชาวต่างชาติมาทานเยอะ



สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่น่าจะเป็นการแสดงโชว์มากกว่า การแสดงโชว์ช่วงแรกจะเป็นการแสดงการรำในรูปแบบต่างๆ ซึ่งใช้พื้นที่บนเวทีที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งผมโชคดีมากได้นั่งตรงจุดนั่งชมที่ดีที่สุดเลย ตรงกลางเป๊ะหน้าเวทีซึ่งมีทั้งหมดแค่ 2 โต๊ะเท่านั้นทำให้ได้ชมการแสดงอย่างใกล้ชิดและรู้สึกได้ว่านักแสดงทุกคนตั้งใจมากจริงๆ

หลังจากการแสดงในช่วงแรกบนเวทีเสร็จก็ยังมีการแสดงช่วงที่สองต่อ เป็นการแสดงที่ลานด้านนอก รูปแบบการจัดลานแสดงจะมีเก้าอี้ล้อมรอบคล้ายๆ โรงละคร การแสดงในช่วงนี้ก็จะเป็นการแสดงวัฒนธรรมของชนเผากลุ่มต่างๆ ซึ่งนักแสดงคือคนในชนเผ่านั้นจริงๆ ทำให้การแสดงนั้นมีความน่าสนใจขึ้นไปอีก

ราคาตั๋วเข้าชมรวมทุกอย่างแล้วอยู่ที่คนละ 520 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่แพงเลยในการซื้อประสบการณ์ดีๆ ซักครั้ง โดยเฉพาะการได้ดูโชว์ดีๆ แบบนี้

ช่วงกลางคืนก็ไปเที่ยวผับยอดฮิตของเมืองเชียงใหม่อย่าง Warm-up แล้วต่อด้วยไก่ทอดเที่ยงคืนหลังผับปิดวันนี้ แล้วค่อยกลับโรงแรมนอนเพื่อเก็บแรงไว้เล่น Flying squirrels สำหรับวันพรุ่งนี้

Pongthorn Kaojai Laohavilai

 วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 08.43 น.

ความคิดเห็น