เดิมทีหากใครวางแผนจะมาท่องเที่ยวภาคเหนือ อาจมองข้ามจังหวัดน่านซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ แห่งนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป วิถีชีวิตและแนวคิดการท่องเที่ยวได้มีการเปลี่ยนแปลง หลายคนเริ่มเบื่อกับชีวิตเร่งด่วนในเมืองใหญ่ ออกเดินทางเพื่อค้นหาช่วงเวลาพักผ่อนที่เรียบง่ายแบบธรรมดา จนปัจจุบันเมืองน่านได้กลายเป็นปลายทางในฝันของนักเดินทาง ตัวเมืองที่ไม่พลุกพล่านแต่เต็มไปด้วยกลิ่นอายประวัติศาสตร์และเรื่องราวมากมาย แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ หุบเขา ไอหมอก สายน้ำ และผู้คนซึ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้มแสนจริงใจ กำลังรอคอยนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน

ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะออกไปกระซิบรักที่ดอยเสมอดาว สูดอากาศบนยอดเขาแสนสดชื่นบนยอดเขา เหนือทะเลหมอกที่เคลื่อนผ่านไปช้าๆ ขอชวนเพื่อนๆ เก็บกระเป๋าพร้อมก้าวออกไปสู่เมืองต้องห้ามพลาด "น่าน" เมืองน่าฮักแห่งนี้ด้วยกัน

เมื่อพูดถึงจังหวัดน่าน ผมคิดว่าหลายคนคงรู้จักกันดี แต่พอตั้งคำถามว่าจังหวัดนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง นอกจากเป็นจังหวัดแห่งนึงในภาคเหนือซึ่งรายล้อมไปด้วยภูเขา สำหรับตัวผมเองก็ไม่รู้อะไรมากเช่นกันครับ ทราบแต่เพียงว่าเป็นเมืองที่มีธรรมชาติอันงดงาม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวสายถ่ายรูปอย่างผม น่าเที่ยวมากโดยเฉพาะฤดูฝนไปจนสุดฤดูหนาว เป็นอีกหนึ่งปลายทางในฝันที่ผมอยากออกเดินทางไปสำรวจมานานแล้ว จนกระทั่งในวันนี้ผมมีโอกาสไปเยือน จึงได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมและพบว่ามีอะไรน่าสนใจมากมายที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนครับ



จุดเริ่มต้นของทริปอยู่ที่การได้เข้าร่วมโครงการ "The Amazing Journey" หนึ่งในการรณรงค์ท่องเที่ยวเมืองไทยกับ "12 เมืองต้องห้ามพลาด" ที่ได้รับการสนับสนุนโดย "การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)" ซึ่งจะมี 12 ทีม ออกตามค้นหาพาเที่ยวไปตามจังหวัด 12 เมืองทางเลือกนอกเหนือจากเมืองท่องเที่ยวหลัก ซึ่งอาจถูกมองข้ามไป แต่อันที่จริงแล้วเมืองต่างๆ เหล่านี้มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วิถีชีวิตของชุมชนเมือง และศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นที่มาของ "เมืองต้องห้ามพลาด" นั่นเองครับ



และในคราวนี้ผมค่อนข้างจะมีดวงช่วยเล็กน้อย เพราะว่าทีมของผมจับฉลากได้ "เมืองน่าน" นั่นเอง ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางอันดับแรกที่ผมหมายตาเอาไว้เลยทีเดียวครับ เหตุผลหลักก็เพราะได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนี้มาพอสมควร และก็อารมณ์จะออกไปทางธรรมชาติมีลุยๆ ตามแนวของผมครับ ยังไงก็ตาม หากขาดหัวหน้าทีม "ลุงเด้งกับป้าไก่" ที่ชักชวนผมมาเป็นสมาชิกของทริปนี้ ผมก็คงจะไม่มีประสบการณ์ดีๆ กลับมาเล่าสู่กันฟังอย่างแน่นอน



Facebook : http://www.facebook.com/oatenroute



"เตรียมตัวออกเดินทาง"



ก่อนออกเดินทาง Road Trip รอบนี้ต้องเตรียมของเยอะพอควร ตอนแรกได้ข่าวว่าช่วงนี้ฝนตก บนดอยอากาศเย็นจึงเตรียมถุงนอนไป -- แต่สุดท้ายไม่ได้ใช้เพราะไม่เย็นอย่างที่คิด -- อุปกรณ์นำทางต่างๆ ได้แก่ GPS และมือถือที่มีโปรแกรมแผนที่ / กล้องถ่ายรูปพร้อมหน่วยความจำ / คอมพิวเตอร์และ External Harddisk / รองเท้าสำหรับลุยหน้าฝน / เสื้อผ้า เสื้อกันฝน แว่นกันแดด และข้าวของเครื่องใช้ประจำวัน เช่น ยาสีฟัน แปรงสีฟัน สบู่ แชมพู ชุดโกนหนวด / สาย charge สำหรับอุปกรณ์ รวมไปถึง plug พ่วง (หากจำเป็น) / ไฟฉาย / เอกสารที่จำเป็น เช่น ใบจองโรงแรม ซึ่งอาจเตรียมไว้ในพวกมือถือหรือ iPad ก็ได้ หลักๆ ก็คงประมาณนี้ ส่วนใหญ่ผมก็ทำเป็น Checklist ไว้อยู่แล้ว สามารถใช้ได้ทุกทริปเลยครับ


สำหรับทริปนี้รองเท้า Keen เป็นสปอนเซอร์ -- http://www.keenthailand.com #keenthailand #newporth2 -- ชอบยี่ห้อนี้มานานแล้วครับ รู้จักครั้งแรกตอนลูกพี่ลูกน้องภรรยาซื้อจากเมกามาฝากลูกชาย ใช้เป็นรองเท้าสารพัดสะดวกใส่ได้ทุกวัน สกปรกมาทีก็โยนเข้าเครื่อง บ้านผมนี่ซักบ่อยมาก เนื่องจากลูกชายชอบทำเลอะเทอะ แล้วก็กลัวมันอับและจะเหม็น ก็เลยซักแทบจะอาทิตย์ละครั้งมาเป็นปีแล้วยังสภาพดีอยู่เลย มาตอนนี้ได้มาใส่คู่กับลูกบ้างล่ะ ไปเลือกมาจากร้านบนห้าง CentralFestival ChiangMai ชั้นสองครับ ปกติชอบไปเดินดูแว่น Oakley ไม่รู้มาก่อนว่าขาย Keen อยู่ด้านในด้วย


นอกจากนี้ ในหน้าฝนอันเฉอะแฉะ ได้อีกหนึ่งสปอนเซอร์ Outdoor Innovation -- http://www.outdoor.co.th #‎outdoor‬ ‪#‎equinox‬ ‪#‎lowealpine‬ -- ที่มอบเสื้อกันฝนสีสันสดใสและเสื้อขาลุยสำหรับเอาท์ดอร์ Equinox และเป้กันฝนจาก Lowe Alpine โดยเฉพาะเลย

"การเดินทาง"



เอาล่ะครับ เพื่อไม่ให้เสียเวลาเรากลับมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ เมื่อรับงานที่มอบหมายมาก็มีการพูดคุยกับหัวหน้าทีม "ลุงเด้งและป้าไก่" เรื่องการเดินทางและแผนการเดินทางต่างๆ โดยตัวผมมีฐานอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวหลัก จึงตั้งใจว่าจะเดินทางไปน่านทางรถยนต์ ส่วนใครที่มาจากกรุงเทพก็อาจเลือกขับรถมายาวเลย หรือว่าจะบินตรงมาลงน่านก็เป็นทางเลือกที่สะดวกสุดครับ โดยทริปนี้ผมได้รับการอำนวยความสะดวกเป็นอย่างมากจาก "Thai Rent A Car" -- http://www.thairentacar.com -- บริษัทรถเช่าที่สนับสนุนการเดินทางอย่างเต็มที่ พร้อมอัพรถให้เป็น Mitsubishi Pajero ซึ่งสะดวกอย่างมากสำหรับเส้นทางคดเคี้ยวและสูงชัน รวมถึงเป็นรถเครื่องดีเซลช่วยประหยัดค่าน้ำมันไปอีกพอสมควร รถที่มีเครื่องกำลังดีอย่างนี้ช่วยให้เหนื่อยน้อยลงไปเยอะเวลาช่วงขึ้นเขา ไม่มีอืดแม้แต่น้อยในช่วงที่เจอทางชันครับ



กรณีที่ใครเดินทางมาจากกรุงเทพ สายการบิน "นกแอร์" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสปอนเซอร์หลักของโครงการนี้ ก็มีให้บริการบินตรงจากกรุงเทพลงน่านได้เลยเช่นกันครับ สะดวกสบายขึ้นจากสนามบินดอนเมืองสบายจิบๆ แอบเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้ลองใช้บริการในทริปนี้ เนื่องจากไม่มีเส้นทางบินตรงจากเชียงใหม่ หากจะเลือกบินไปต้องนั่งย้อนไปเริ่มต้นจากกรุงเทพเลยทีเดียว

"เส้นทางสู่เมืองน่าน"



ทันทีเมื่อทราบว่าน่านเป็นจุดหมายปลายทาง "12 เมืองต้องห้ามพลาด" ของพวกเรา ผมก็เริ่มหาข้อมูลและสอบถามเพื่อนๆ ว่าไปเส้นทางไหนดี เนื่องจากว่าเป็นครั้งแรกเหมือนกันทั้งที่ตัวผมเองก็เป็นคนเหนือ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ลงมติว่าขับไปลำปางแล้วค่อยผ่านแพร่ เหมือนกับที่ผมแอบมโนไว้ตอนแรกเช่นกัน แต่ว่าผมมีอีกหนึ่งเป้าหมายของการเดินทางในครั้งนี้ นั่นก็คือ อีกหนึ่งปลายทางในฝันที่จังหวัดพะเยาบริเวณติดชายแดนจังหวัดน่าน ซึ่งมีจุดชมวิวในตำนานของ "ภูลังกา รีสอร์ท" รวมไปถึง "ทางหลวง 1148" ซึ่งได้ยินมาว่างดงามมาก ดังนั้นผมจึงสรุปว่าจะขับเป็นวงกลมเพื่อที่จะได้เก็บเส้นทางได้ครบที่สุดในระยะเวลาอันจำกัดครับ



โดยการค้นหาข้อมูลเส้นทางผมก็ใช้หลายอย่างปนกัน ไม่ว่าจะเป็น Google Maps ซึ่งส่วนตัวผมว่าอากู๋ทำได้ค่อนข้างดีที่สุดในบรรดาแผนที่ออนไลน์ด้วยกัน ไม่ว่าจุดหมายที่แม่นยำและระยะเวลาการเดินทางครับ รวมถึงสามารถค้นหาเป็นภาษาไทยและมีฐานข้อมูลกว้างครอบคลุมกว่า ในขณะที่สาวก Apple อย่างผมลองเปิดแผนที่บนไอโฟนเสิร์ชหาปลายทางเป็นภาษาไทยบางทีก็ไม่เจอ รวมไปถึงระหว่างเดินทางก็พก GPS ของ Garmin ซึ่งปกติผมก็อัพเดทมาตลอด แต่ยังไม่แม่นยำเท่ากับขออากู๋ครับ ซึ่งตัว GPS ติดรถนี่บางทีมันชอบพาอ้อมและข้อมูลอาจอัพเดทไม่ทันสมัยเท่ากับของ Google อยู่ดี ยังไงก็ตามทั้งหมดนี้ผมก็ใช้ควบคู่กับแผนที่ทางหลวงแบบดั้งเดิมอยู่ดีครับ ซื้อใหม่แบบอัพเดทมาหนึ่งเล่ม เห็นภาพรวมเส้นทางลัดหรือถนนย่อยได้ดีสุดครับ



ตามรอยทริป :



วันที่ 1 -- จากตัวเมืองเชียงใหม่ / มุ่งหน้าสู่ "ทางหลวง 118" / เลี้ยวขวา "ทางหลวง 120" - อำเภอแม่ขะจาน จังหวัดเชียงราย / เลี้ยวซ้าย "ทางหลวงเอเซีย AH2 - ถนนพหลโยธิน" / เลี้ยวขวา "ทางหลวง 1021" / เลี้ยวขวา "ทางหลวง 1186" / เลี้ยวซ้าย "ทางหลวง 1179" / เลี้ยวขวา "ทางหลวง 1148" / ถึงจุดหมาย "ภูลังกา รีสอร์ท" - อำเภอปง จังหวัดพะเยา



วันที่ 2 -- มุ่งหน้าลงใต้ "ทางหลวง 1148" / เลี้ยวซ้าย "ทางหลวง 1080" / เลี้ยวขวา "ทางหลวง 1256" / ถึงจุดหมาย "บ่อเกลือวิว รีสอร์ท" - อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน



วันที่ 3 -- มุ่งหน้าไปทางตะวันออก "ทางหลวง 1256" / เลี้ยวขวา "ทางหลวง 1081" / เลี้ยวซ้าย "ทางหลวง 1169" / ถึงจุดหมาย "โรงแรมภูคาน่านฟ้า" - อำเภอเมือง จังหวัดน่าน



วันที่ 4 -- มุ่งหน้าลงใต้ "ทางหลวง 101" / เลี้ยวขวา "ทางหลวง 11" - อำเภอเด่นชัย จังหวัดลำปาง / สิ้นสุดการเดินทาง - จังหวัดเชียงใหม่

จุดชมทิวทัศน์กว๊านพะเยา - อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา



-- วันที่ 1 : ปลายทางในฝัน "ภูลังกา รีสอร์ท" --



เนื่องจากวันแรกนี้เป็นการเดินทางค่อนข้างไกล จากตัวเมืองเชียงใหม่สู่จุดหมาย "ภูลังกา รีสอร์ท" ซึ่งตั้งอยู่แถวบริเวณวนอุทยานภูลังกา - อำเภอปง จังหวัดพะเยา - จะใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงกว่า ผมจึงเริ่มล้อหมุนแต่เช้าเพื่อไม่ให้ถึงที่หมายช้าจนเกินไป โดยได้ทำการยืมรถเช่าจาก "Thai Rent A Car" ตั้งแต่ช่วงเย็นล่วงหน้าหนึ่งวันเพื่อสะดวกในการเดินทางวันรุ่งขึ้น โดยเลือก "ทางหลวง 118" เส้นทางที่คุ้นเคยเป็นประจำเวลาเดินทางไปจังหวัดเชียงราย ผ่านไปทางอำเภอดอยสะเก็ด จนเข้าเขตตัวเมืองเชียงราย และแยกออก "ทางหลวง 120" บริเวณอำเภอแม่ขะจานเพื่อมุ่งหน้าต่อไปสู่จังหวัดพะเยา วันนี้สภาพอากาศดูไม่ค่อยเป็นใจ และจากการดูพยากรณ์ล่วงหน้าพบว่าเจอแต่สัญลักษณ์สายฟ้าฟาด คาดว่าฝนตกฟ้าคะนองตลอดทริปอย่างแน่นอน ช่วงเช้าที่ผ่านมาก็เจอฝนปรอยๆ เป็นระยะ ตรงนี้ผมแนะนำว่าให้แวะพักเติมน้ำมันแถวอำเภอแม่ขะจาน เนื่องจากมีร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ และร้านกาแฟมากมายครบครัน โดยที่นี่เป็น "Black Canyon" สุดโปรดตามมาเปิดถึงตรงนี้ทีเดียว รวมไปถึงห้องน้ำที่สะอาด พอพ้นตรงนี้ไปจะเริ่มเข้าถนนสายย่อยแล้วจะลำบาก



ก่อนถึงเมืองพะเยาไม่นาน จะมีจุดชมวิวกว๊านพะเยาจากบนดอยมองลงมา เห็นทัศนียภาพทะเลสาบกว้างไกลมาก แต่เห็นเมฆทะมึนดำที่ลอยสูงอยู่แล้วอดลุ้นไม่ได้ว่าทริปนี้จะได้ภาพสวยๆ กลับมาบ้างรึเปล่า บริเวณนี้เป็นอีกจุดที่มีห้องน้ำสะอาดครับ ขนาดผมพึ่งเข้ามาจากแวะปั๊มน้ำมันไม่นาน มาถึงตรงนี้ก็จัดเบาไปอีกรอบ สงสัยเพราะเปิดแอร์เย็นแล้วก็ซัดกาแฟเย็นไปซะหมดแก้ว แต่ว่ามีเวลาพักชมวิวได้ไม่นานก็โดนฝนลงเม็ดมาไล่กันซะแล้ว



กว๊านพะเยา : คำว่า "กว๊าน" หมายถึง หนองน้ำหรือบึงขนาดใหญ่ เป็นคำภาษาล้านนาท้องถิ่นที่ใช้เฉพาะจังหวัดพะเยาแห่งเดียว เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกเมื่อประมาณ 70 ล้านปีมาแล้ว เป็นแหล่งน้ำที่เกิดจากการรวมตัวของลำห้วยกว่า 18 สาย ภายหลังกรมประมงได้มาตั้งสถานีประมงน้ำจืด มีการสร้างฝายกั้นทำให้เกิดเป็นบึงขนาดใหญ่ กลายเป็นแหล่งน้ำและสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดพะเยา รวมไปถึงเป็นแหล่งประมงน้ำจืดที่สำคัญที่สุดของภาคเหนือตอนบน

ตลอดเส้นทางจากเชียงรายเรื่อยมาถึงพะเยา จะเห็นทุ่งหน้าเขียวขจีเรื่อยมา แต่บางส่วนก็พึ่งจะเริ่มปักดำเพราะฝนปีนี้มาผิดนัด กว่าจะเริ่มตกจริงจังก็เข้าสู่กลางฤดูฝนปลายกรกฎาคมแล้วครับ บางทีเห็นทุ่งนาสวยๆ ก็อดใจไม่ไหวที่จะแวะจอดถ่ายรูปเป็นระยะ ทำให้ใช้เวลาในการเดินทางยาวนานกว่าที่คิดพอสมควร สำหรับมื้อเที่ยงนี่ผมแวะพักทานข้าวกันแถวอำเภอจุน ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดพะเยาครับ ในตัวเมืองก็ไม่เล็กเกินไป สามารถพอหาซื้อของหรือแวะทานอาหารได้ครับ

รถเช่าสำหรับทริปนี้จาก "Thai Rent A Car" -- เครื่องแรงเร้าใจคนขับหน้าตาดีมาก / "ง่ออออ...อว์"



จากเมืองที่เราแวะทานข้าว ขับรถต่ออีกราวชั่วโมงนึงก็ถึงปลายทางวันนี้แล้วครับ แต่ก่อนถึงที่พักเจ้า GPS ที่ติดรถก็งงเส้นทางซะงั้น จึงต้องหักรถออกจุดชมวิวควักอากู๋มาเปิดช่วยครับ คาดว่าพิกัดในเครื่องตอนค้นหาไม่แม่นยำเท่าไหร่ เครื่องบอกว่าถึงแล้วแต่มองไปทางไหนก็ไม่เจอทางเข้ารีสอร์ท ยังดีมีอากู๋มาช่วยยืนยันว่าให้ขับตรงไปอีกนิดนึงครับ



สำหรับอุปกรณ์นำทางประจำทริปนี้ สรุปว่า Garmin GPS นี่ใช้งานได้ดีระดับนึงครับ มีความสะดวกสูงใช้งานง่าย สามารถค้นหาสถานที่เป็นภาษาไทยได้ค่อนข้างทั่วประเทศ อาจมีข้อเสียตรงพาอ้อมเป็นบางครั้ง และพิกัดยังไม่แม่นยำเท่ากับ Google Maps ซึ่งผมยกให้เป็นพระเอกตลอดงาน เพียงแต่ผมใช้เป็นตัวเสริมเท่านั้น เนื่องจากไม่สะดวกเท่าแบบติดรถ ถึงแม้มีความแม่นยำสูงสุดในตอนนี้ ส่วนแผนที่ทางหลวงเป็นเล่มก็พกติดตัวไว้อุ่นใจครับ ถ้าใครดูแผนที่เป็นก็ค่อยๆ ไล่หาได้ไม่ยากนัก



ป.ล. งานนี้แผนที่ของ Apple's Application ที่มาพร้อมไอโฟนไม่ค่อยได้ใช้งาน โดยเฉพาะชื่อสถานที่ภาษาไทยบางแห่งที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมาก เช่น "ภูลังกา รีสอร์ท" พิมพ์ไทยนี่หาไม่เจอเลย หรือแม้กระทั่งภาษาอังกฤษก็ไม่รอดเช่นกัน

Canon EF 8-15 F/4L Fisheye USM -- Canon Image Square - Chiang Mai



-- ภูลังการีสอร์ท --



พวกเรามาถึงที่พักกันประมาณบ่ายโมงแก่ๆ ลืมเล่าไปเลยว่า ทริปนี้ได้คุณพ่อมาเป็นเพื่อนครับ เป็นอีกอารมณ์นึงที่ทำให้นึกถึงสมัยเด็ก ที่พ่อผมจะชอบพาผมไปโน่นนี่เสมอเลย ดีใจที่ได้กลับมาพาพ่อเที่ยวบ้างอีกครั้ง หลังจากที่สองปีก่อนพาพ่อไปผจญภัยล่องแม่น้ำโขงเที่ยวลาวจรดเหนือใต้ครับ - หากมีโอกาสจะขุดภาพทริปนั้นมาลงที่นี่แน่นอน - คราวนี้เปลี่ยนบรรยากาศมาเป็นอารมณ์ Road Trip ในเมืองไทยก็สนุกไปอีกแบบ ความจริงแต่เดิมคิดว่าจะเป็นลูกกับภรรยา แต่เผอิญเกรงว่าลูกอาจต้องลาเรียนหลายวันก็เลยมีการเปลี่ยนแผนสักเล็กน้อยครับ



ในส่วนของที่พักจะมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักร้อย (ในช่วงหน้าโลว์) ซึ่งราคาต่างๆ ก็จะปรับไปตามขนาดห้องและวิว รวมไปถึงฤดูกาลอีกด้วย ซึ่งพอเริ่มหมดฝนปลายตุลาคมก็จะอัพราคาขึ้นมาครับ ห้องพักที่นักท่องเที่ยวนิยมสุดเป็นห้อง "ภู 1" ซึ่งมีชื่อมากเรื่องวิวจากระเบียงครับ มองออกไปแล้วเห็นทัศนียภาพในตำนานแบบพาโนไม่มีต้นไม้บังครับ หากห้องยอดมหานิยมเต็มทางรีสอร์ทแนะนำ "ภู 3" เข้าประกวด ก่อนผมไปก็ว่างทั้งสองห้องครับ ทำเอาลังเลอยู่นานว่าจะเลือกห้องที่ทางรีสอร์ทเชียร์หรือห้องสุดฮิตดี แต่ท้ายสุดก็จบที่อันแรกล่ะครับ สามารถเข้าพักได้สี่คนในราคา 1,200 บาท รวมกับอาหารเช้า (ข้าวต้ม กาแฟและโอวัลติน)

ทางเดินจากรีสอร์ทเลียบถนนไปจุดชมวิวและลานกางเต็นท์



จากบริเวณห้องพักหรือห้องอาหารสามารถเห็นวิวได้เต็มที่ แต่ว่ามุมสุดยอดที่เปิดหมดไม่มีต้นไม้บังจะอยู่บริเวณลานกางเต็นท์ ซึ่งอยู่ถัดจากประตูทางเข้ารีสอร์ท (เดินเลียบถนนไปประมาณ 50 เมตร) หากใครพกเต็นท์มาเองจะมีค่ากระชับพื้นที่ 120 บาท ส่วนใครเน้นสะดวก ทางรีสอร์ทจัดให้ในราคาคบหาได้พร้อมชมดาวแบบ surround รอบทิศทาง (รวมอาหารเช้า) -- เต็นท์คนโสดขี้เหงาขนาดนอนคนเดียว 300 บาท / เต็นท์ขนาดสองคนสำหรับคู่รักนอนกอดอบอุ่นตลอดทั้งคืน 450 บาท

ช่วงที่ผมเดินทางมาที่ "ภูลังกา รีสอร์ท" จัดว่าเป็นช่วงที่โลว์ซึ่งลากยาวมาตั้งแต่ฤดูร้อนแล้วครับ แต่กำลังเริ่มดีหลังจากฝนตก ทำให้ทิวทัศน์โดยรอบกลายเป็นสีเขียว และก็จะกลับมาพีคอีกรอบราวปลายฝนต้นหนาวสิ้นเดือนตุลาคม วันที่ผมไปฟ้าเน่าตลอด แต่ก็แอบมีแสงส่องลงมากลางพื้นที่ราบเพียง 10 นาที เหมือนแอบให้ความหวังว่าช่วงเย็นผมจะมีโอกาสได้เจอแสงสวยๆ บ้าง

ตอนช่วงหลังทานอาหารเย็นเสร็จ ผมเดินย้อนกลับมายังลานกางเต็นท์เพื่อหวังว่าจะได้เก็บแสงสุดท้ายในช่วงเวลา Twilight เป็นการส่งท้ายวันแรก แต่แล้วธรรมชาติซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็ไม่เมตตาผมสักเท่าไหร่ ทุกอย่างเป็นไปตามพยากรณ์อากาศ เมฆครึ้มเต็มท้องฟ้า ยืนถ่ายคนเดียวตามลำพังได้ไม่นาน จู่ๆ ฝนก็เทลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัวเลย ขากลับวิ่งอย่างทุลักทุเลเพราะต้องย้อนขึ้นเนิน กว่าจะถึงห้องรวมระยะเกือบ 100 เมตร ทำเอาขาสั่นและตัวเปียกโชกไปหมด ค่ำคืนนี้จึงต้องจบด้วยประการละเช่นนี้ มองออกไปนอกระเบียงแทบมองไม่เห็นอะไร เนื่องจากฝนลงเม็ดเทลงมาหนักมาก มีฟ้าผ่าให้พอตื่นเต้นเป็นระยะ แผนที่ผมตั้งใจจะลุกมาตอนกลางดึกหลังอาบน้ำเพื่อถ่ายทะเลดาวและล่าทางช้างเผือกก็ต้องล้มเลิกไปตามระเบียบครับ อุตส่าห์ไปยืมเลนส์ Fisheye มาจาก "Canon Image Square - Chiang Mai" เพื่อการนี้โดยเฉพาะก็คงไม่ได้ใช้ในภารกิจล่าดาวเสียแล้ว



ก่อนเข้านอน พยายามมองโลกในแง่ดีว่า ปกติหากฝนลงมาหนักช่วงกลางคืน ฟ้าหลังฝนมักจะสดใสเสมอ พรุ่งนี้เช้าหวังว่าจะมีอะไรดีๆ ตามมา หวังว่าฝนที่เทมาจะทำให้พรุ่งนี้เช้ามีโอกาสจะได้เจอทะเลหมอกสวยๆ บ้าง



สรุปเส้นทาง : จากตัวเมืองเชียงใหม่ / มุ่งหน้าสู่ "ทางหลวง 118" / เลี้ยวขวา "ทางหลวง 120" - อำเภอแม่ขะจาน จังหวัดเชียงราย / เลี้ยวซ้าย "ทางหลวงเอเซีย AH2 - ถนนพหลโยธิน" / เลี้ยวขวา "ทางหลวง 1021" / เลี้ยวขวา "ทางหลวง 1186" / เลี้ยวซ้าย "ทางหลวง 1179" / เลี้ยวขวา "ทางหลวง 1148" / ถึงจุดหมาย "ภูลังกา รีสอร์ท" - อำเภอปง จังหวัดพะเยา

-- วันที่ 2 : เส้นทางถนนลอยฟ้าสู่ "บ้านบ่อเกลือ" --



เช้าวันใหม่ได้เริ่มขึ้นพร้อมกับเสียงไก่ขันยามเช้า รวมไปถึงมือถือที่ตั้งปลุกไว้ตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ ผมพยายามตื่นทั้งที่ตายังลืมไม่ค่อยขึ้น รีบเปลี่ยนชุดแล้วเดินกลับมาลุ้นท่ามกลางความมืด โดยมีเพียงไฟฉายเดินอยู่ท่ามกลางความมืดเพียงลำพัง หวังว่าจะมีโอกาสเจอทะเลหมอกงามๆ เนื่องจากก่อนผมมาเพียงหนึ่งวัน ทางรีสอร์ทบอกว่าหมอกลงสวยไม่แพ้ฤดูหนาวเลยครับ แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างก็ต้องบอกว่า "จบข่าว"

ระหว่างรออย่างไร้ความหวัง ในส่วนลึกก็ได้ภาวนานให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นที รอแล้วรอเล่าอยู่นานกว่าเกือบชั่วโมง แสงแดดก็ไม่โผล่ทะลุเมฆมาให้เห็น รวมไปถึงหมอกที่หงอยสุดๆ ในช่วงฤดูหนาวที่ธรรมชาติเป็นใจ เมื่อมองลงไปด้านล่างจะเห็นหมอกปกคลุมและไหลผ่านภูเขาหินปูนเบื้องล่างอย่างงดงาม ซึ่งเป็นเหตุผลให้สถานที่แห่งนี้เป็น "Dream Destination" ของผมที่เฝ้ารอการมาเยือนอยู่หลายปีแล้วครับ เมื่อเป็นแบบนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจ พร้อมกับบอกตัวเองว่าจะต้องกลับมาอีกครั้งเพื่อให้ได้ภาพในฝันมาเก็บไว้อย่างแน่นอน

-- เส้นทางชมวิว "ทางหลวง 1148" --

หลังทานข้าวเช้าเสร็จ เมื่อเห็นว่าไม่น่าจะมีหมอกออกมาให้เชยชมแล้ว ผมก็รีบเก็บของเพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดน่านซึ่งห่างออกไปจากที่พักเราเพียงนิดเดียว เนื่องจากรีสอร์ทที่ผมพักอยู่บริเวณแนวตะเข็บชายแดนระหว่างจังหวัดน่านและพะเยา

หนึ่งในไฮไลท์ที่ผมตั้งใจสำหรับทริปน่าน ก็คือ ขับรถชมวิวบน "ทางหลวง 1148" ซึ่งเป็นถนนที่เชื่อมต่อระหว่าง "อำเภอเชียงคำ - จังหวัดพะเยา" และ "อำเภอท่าวังผา - จังหวัดน่าน" ระยะทางประมาณ 115 กิโลเมตร ถนนสายนี้ได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางสายทิวทัศน์ที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย จนหลายคนขนานนามว่าเป็นถนนลอยฟ้าที่ต้องมาลองผ่านกันสักครั้ง หากใครชอบขับรถชมวิวเส้นทางสวยๆ ที่นี่มีคำตอบให้คุณแน่นอนครับ ถนนคดเคี้ยวลัดเลาะขึ้นลงไปแนวเขา ระหว่างทางเมื่อเข้าสู่จังหวัดน่านก็เริ่มมีหมอกออกมาประปราย จนยิ่งขับขึ้นที่สูงก็เห็นหมอกหนาขึ้นเรื่อยๆ แอบน้อยใจว่าทำไมเมื่อเช้าไม่แบ่งหมอกไปแถวรีสอร์ทผมบ้าง



อันนี้หน้าฝนบรรยากาศก็จะมีหมอกสวยงาม วิวรอบข้างเป็นสีเขียว แต่อาจมีอุปสรรคเวลาเจอฝนบ้าง แต่ถ้าเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวเลยไปจนหน้าหนาว วิวสองข้างทางคงสุดยอดไปเลยครับ เคยเห็นในรูปต้นไม้สองข้างทางจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง แล้วยิ่งเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นหรือตก แสงสีทองจากดวงอาทิตย์ในฤดูนี้ก็จะสาดลงมาเติมสีสันให้สวยยิ่งขึ้นไปอีก



เห็นป้ายบอกทางสีเหลืองรัวๆ อย่างนี้ คนขับรถเก๋งอาจต้องชะลอ รวมไปถึงคนที่นั่งในรถอาจต้องเตรียมยาดมไว้บ้าง แต่ผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่าต้องเป็นที่ถูกใจชาว "วิถีไบค์เกอร์" เป็นอย่างมาก เนื่องจากถนนโค้งไปมานี่ หากได้มาลองเทโค้งพร้อมรถคู่ใจคงเพลินกันไปข้างนึง ยิ่งตอนหน้าหนาวมีลมเย็นๆ ตีเข้ามา พร้อมกับสายหมอกที่พัดผ่านไปเป็นช่วง ขนาดผมขี่มอไซค์ไม่เป็น แค่นึกตามก็สูดปากแทนเลยครับ #นักร้องปากกว้างไม่ได้กล่าวไว้

เมื่อถนนผ่านพ้นช่วงที่คดเคี้ยวจากภูเขา ก็เริ่มสู่ทางราบและเรียบตรง ถนนก็จะมาพบกับ "ทางหลวง 1080" หากลงใต้ก็จะเข้าตัวเมืองน่าน แต่ผมจะขึ้นเหนือเพื่อไปยังอำเภอบ่อเกลือ ตรงนี้จึงได้โอกาสกลับมาเจอถนนเส้นหลักอีกครั้ง จึงถือโอกาสแวะพักเติมน้ำมันพร้อมทำธุระกันอีกรอบเพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องกังวลเวลาขับไปตามเส้นทางขึ้นเขาอีกครั้ง ตามสองข้างทางก็เป็นทุ่งนาที่บางส่วนที่ได้รับน้ำก่อนก็จะเริ่มเขียวขจี แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเริ่มปักดำเสียมากกว่า



ผมจึงอดไม่ได้ที่จะลงไปเก็บภาพอีกตามเคย ตอนแรกก็ไม่ได้หวังอะไรมาก นอกจากเก็บภาพต้นกล้าที่พึ่งลงปักดำใหม่ๆ เห็นแดดออกจึงไม่รีรอครับ เพราะไม่รู้ว่าที่เหลือในวันนี้จะเป็นยังไงบ้าง เพราะพยากรณ์บอกว่าเจอฝนตกฟ้าคะนองประมาณ 80% ของพื้นที่ อย่างเมื่อเช้าก็มีฝนหนักสลับไปมาตลอดทาง



ระหว่างที่ผมปาดเหงื่อ เนื่องจากร้อนอากาศร้อนมาก ก็ได้ยินเสียงคนเรียก เมื่อผมหันหน้าตามเสียงไปก็พบกับน้าคนนึงยืนยิ้มพร้อมตั้งท่าเตรียมพร้อม บอกผมว่าถ่ายรูปพี่ดีกว่า อย่าพึ่งมัวแต่ถ่ายต้นข้าวเลย ได้ยินอย่างนั้นผมจึงไม่รีรอที่จะกดชัตเตอร์ตามคำเรียกร้อง

เป็นมิตรภาพเล็กๆ น้อยๆ กลางทางระหว่างสัมผัสวิถีชาวบ้าน ได้ยินเสียงหัวเราะและชาวบ้านคุยกันอย่างสนุกสนานตอนลงแขกเกี่ยวข้าว เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ อยากขอบคุณเพื่อนใหม่ต่างวัยที่มีรอยยิ้มให้กัน รวมถึงน้ำเย็นเจี๊ยบที่ช่วยให้ผมดับกระหายก่อนออกเดินทางต่อด้วยครับ



ขับรถต่อไปอีกไม่ไกลบน "ทางหลวง 1080" ก็มาถึงอำเภอปัว ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ น่ารักครับ หากมีเวลาผมแนะนำให้ลองค้างคืนที่นี่สักคืนนึงกำลังดี แต่เสียดายผมมีเวลาจำกัดเพียงสามคืนในทริปนี้จึงต้องเลือกไปนอนที่บ่อเกลือแทน จึงได้แต่ใช้เป็นทางผ่านในทริปนี้เท่านั้นเอง



อำเภอปัว : ส่วนตัวเมืองจะเล็กๆ ไม่ใหญ่มากนักอยู่ท่ามกลางขุนเขา จากที่เห็นตอนขับรถผ่าน ผมว่าเหมาะสำหรับมานอนพักผ่อนแบบโฮมสเตย์ครับ ตอนที่วางแผนเดินทางมาน่าน เห็นในหนังสือท่องเที่ยวมีสถานที่น่าสนใจอยู่พอสมควร เปิดจากหนังสือก็มีร้านอาหารน่าทานอยู่หลายแห่ง ที่พักโฮมสเตย์มองออกไปด้านนอกก็จะเห็นเป็นทุ่งนากว้างสุดลูกหูลูกตาเลยครับ น่ามาลองใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบแนว "Slow Life" ดูสักหน่อยครับ ส่วนตัวเห็นแล้วบางอารมณ์คล้ายๆ กับแม่ฮ่องสอนเหมือนกัน



จากเมืองปัว เราจะวิ่งไปตาม "ทางหลวง 1256" ซึ่งค่อนข้างแคบทีเดียว เส้นทางพอพ้นตัวเมืองไปก็จะเริ่มขึ้นเขาคดเคี้ยว จัดว่าเป็นถนนลอยฟ้าที่สวยอีกแห่งหนึ่ง แต่เสียดายตรงที่ทางแคบจนรถยนต์แทบจะหาที่จอดชมทิวทัศน์ลำบาก หากมีมอไซค์คงได้จอดถ่ายรูปทุกกิโลเลย บางช่วงเหมือนเราขับรถตามถนนอยู่บนสันเขา เห็นถนนขึ้นๆ ลงๆ อยู่ด้านหน้าลิบๆ เป็นอีกวันที่ธรรมชาติโหดร้ายกับผมมากครับ พอเริ่มเข้าจุดที่ทิวทัศน์สวยๆ ฝนก็เริ่มกระหน่ำลงมาอย่างหนัก จนทำให้แผนที่เดิมทีจะแวะ "อุทยานแห่งชาติดอยภูคา" ก็มีอันต้องล้มโต๊ะไป เนื่องจาก ตกหนักปนหมอกเห็นทัศนวิสัยข้างหน้าไม่ถึง 10 เมตร แค่ถนนช่วงสั้นๆ จากแถวเมืองปัวกลับใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะถืงบ่อเกลือ สำหรับเส้นทางนี้ตอนช่วงหน้าฝนต้องคอยระวัง เนื่องจากจะมีดินถล่มอยู่บ่อยครั้งเลยครับ ล่าสุดก็หลังจากผมกลับมาได้ไม่ถึงอาทิตย์ ถล่มลงมาจนถนนใช้การไม่ได้ไปสักพักทีเดียว



อุทยานแห่งชาติดอยภูคา : เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของจังหวัดน่าน อยู่กลางทางระหว่างบ่อเกลือและปัว ไฮไลท์จะอยู่ที่ต้นชมพูภูคาซึ่งเป็นพรรณไม้หายาก จะเบ่งบานเป็นสีชมพูหวานไปหมดในช่วงเดือนแห่งความรัก สามารถพบได้เพียงที่นี่แห่งเดียวเท่านั้น

-- บ้านบ่อเกลือ --

แล้วในที่สุดก็มาถึงอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองน่าน นั่นก็คือ "บ้านบ่อเกลือ" ซึ่งตั้งอยู่บนอำเภอบ่อเกลือนั่นเอง สำหรับคืนนี้ผมจะนอนพักค้างแรมอยู่ที่ "บ่อเกลือ วิว รีสอร์ท" ซึ่งเป็นที่พักที่อยู่สบายมากๆ แต่ที่เจ๋งเห็นจะเป็นห้องอาหารที่ผมจะฝากท้องไว้ ก่อนมาน้องที่สนิทคนนึงได้ย้ำว่าต้องมาทานให้ได้ครับ แล้วผมก็ขอยืนยันอีกเสียงว่าอาหารและขนมที่นี่ดีจริงๆ

มาถึงที่รีสอร์ทเลทพอสมควรครับ เนื่องจากฝนตกหนักทำให้ใช้เวลามากกว่าที่คิด พอมาถึงก็ทัวร์ลงร้านอาหารพอดี กว่าจะได้โต๊ะนั่งผมก็หน้าบูดเป็นตูดหมึกเพราะว่าเดินทางมาไกลแล้วหิวมากครับ มื้อนี้ด้วยความหิวหน้ามืดตามัวจึงสั่งมาเต็มพิกัด จากที่ได้คุยกับเพื่อนที่เคยไปมา ส่วนใหญ่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอาหารอร่อย ดังนั้นอาหารแนะนำก็ลองไว้ใจได้ครับ ส่วนตัวผมเชียร์ "ขาหมูทอด" ซึ่งไม่ใช่เมนูเอกเท่ากับ "ไก่ทอดมะแขว่น" แต่ผมว่ามันทั้งกรอบและอร่อยหอมมัน ทานกับน้ำจิ้มสามรสแล้วฟินสุดๆ แต่เห็นโต๊ะอื่นสั่งเมนูไก่ทอดก็น่าทานใช้ได้เหมือนกัน แอบเสียดายว่าน่าจะมากันหลายคนจะได้เลือกสั่งอาหารมาลองเยอะๆ



ป.ล. อาหารภายในรีสอร์ทจะแพงนิดนึงนะครับ

ทานข้าวเสร็จก็พักแป๊บนึงครับพอหายเหนื่อย จากนั้นก็ออกไปลุยต่อเลย เป้าหมายก็ต้องมาแวะชมบ่อเกลือสินเธาว์อันเลื่องชื่อ ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงสองบ่อเท่านั้น ขับรถจากรีสอร์ทที่พักเพียงไม่ถึง 5 นาที เท่านั้นเอง จะอยู่ที่ "บ้านบ่อหลวง (บ่อเกลือโบราณ)" สำหรับบ่อเกลือที่นี่เป็นเพียงบ่อเกลือสินเธาว์เพียงแห่งเดียวในโลกที่ตั้งอยู่บนภูเขา ทั้งนี้บริเวณนี้เมื่อหลายล้านปีก่อนเป็นทะเลนั่นเองครับ แต่โบราณเมืองน่านแห่งนี้จึงเป็นแหล่งส่งออกเกลือที่สำคัญ



สำหรับที่บ่อเกลือนี้ เป็นการอนุรักษ์แบบโบราณดั้งเดิมครับ โดยนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมได้อย่างใกล้ชิด ดูแล้วเหมือนเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน เพราะไม่ได้มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ อย่างเตาไฟก็ใช้ถ่านและฟืนเป็นเชื้อเพลิง



ระหว่างที่เที่ยวชมบ่อเกลือฝนก็หนักมากครับ แต่เราบ่ยั่นเพราะว่าเน้นทัวร์ในร่มอย่างเดียว เนื่องจากระหว่างถ่ายรูปในโรงต้มเกลือก็รวดผิงไฟจนหายหนาวครับ ช่วงนี้เป็นหน้าโลว์ นักท่องเที่ยวมีไม่มากนัก ยังไงก็ตามในช่วงหน้าฝนบ่อเกลือเหล่านี้จะปิดเป็นเวลา 3 เดือน โชคดีผมไปทันเวลาแบบเฉียดฉิว

อยากบอกว่าในบางครั้งการที่เราได้หลงทางก็อาจจะไม่ได้แย่เสมอไปนะครับ อันนี้เมื่อเช้าตอนมาถึงบ้านบ่อเกลือใหม่ๆ โดน GPS พาหลงอ้อมโลกอีกแล้วก็เลยหลุดไปโผล่แถวทุ่งนาน้อยๆ ที่เป็นขั้นบันไดต่ำๆ จะอยู่ลึกเข้าไปในหมู่บ้านชุมชนบ่อเกลือน่ะครับ วนหาที่พักไม่เจอก็หลงไปไกล ช่วงบ่ายหลังจากชมบ่อเกลือโบราณเสร็จผมก็เลยมาแวะถ่ายรูปซะเลยครับ



แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว : จากการที่ได้คุยกับทางเจ้าของรีสอร์ท "คุณแทน" แป๊บๆ เนื่องจากเห็นผมขนของขึ้นห้องพักก็เลยเดินมาถามพร้อมกับให้พนักงานมาช่วย จึงมีโอกาสได้สนทนากันเล็กน้อย ซึ่งได้รับคำแนะนำว่าในช่วงที่บ่อเกลือโบราณปิด จะเป็นปัญหาเวลานักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวต่างชาติมาแล้วไม่มีอะไรทำ จึงได้บอกผมว่าหากมีเวลาขากลับเข้าเมืองน่านให้ลองวิ่งเส้นอ้อมโลกไปทางอำเภอเฉลิมพระเกียรติครับ ซึ่งจะมีนาขั้นบันไดให้ชมในช่วงหน้าฝน ตอนนี้ผมก็พูดอะไรมากไม่ได้เพราะไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ยังคงเป็นแบบ Unseen และยังไม่ได้โปรโมทมาก แต่จากการพูดคุยแล้วสวยอารมณ์ไม่น่าจะใหญ่กว่าที่ "บ้านแม่กลางหลวง - เชียงใหม่"

อันนี้เป็นถนนเส้นที่ขับผ่านเมื่อเช้า ที่มองเห็นตรงเป็นท่อแบบนี้ก็มีเท่าที่เห็นล่ะครับ ที่เหลือก็คดเคี้ยวพับหักศอกไปมาจนบางช่วงที่ฝนตกหมอกหนาขับได้ไม่เกิน 25-30 กิโลเมตร/ชั่วโมง คลานเป็นเต่าเลยทีเดียว

-- บ่อเกลือ วิว รีสอร์ท --

หลังจากถ่ายรูปเปียกโชกกลับมาแทบหมดแรง จึงขอแวะเติมน้ำตาลเข้าเส้นเลือดเล็กน้อย สำหรับอาหารที่ร้านนี้ส่วนใหญ่จะเน้นตกแต่งรูปร่างหน้าตาให้สวยไว้ก่อน ดังนั้น จึงใช้เวลาในการจัดอยู่นานกว่าจะได้ทาน ซึ่งบางทีผมรอนานจนแทบลืมเมนูไปเลย หากแขกท่านไหนใจร้อนอาจมีบ่นอุบกันบ้างครับ แต่รับรองว่าพออาหารลงล่ะก็จะหายโกรธในทันใด ส่วนเครปของผมก็เช่นกันครับ เป็น "เครปเกลือ" แปลกดีแต่ก็อร่อยครับ ข้างบนจะโรยด้วยเกลือซึ่งมีชื่อของที่นี่อยู่แล้ว เมนูของหวานที่แนะนำเป็น "ครีมคาราเมล" หรือคัสตาร์ดนี่ล่ะ วันนี้ทัวร์ลงเลยเกลี้ยงหมดไม่เหลือมาตกถึงท้องผม

กินอิ่มแล้วก็ขอกลับมาโจกตัวพักผ่อนที่ห้องก่อนครับ เปียกแฉะเหงื่อไหลจนแยกไม่ออกว่าอันไหนน้ำอันไหนเหงื่อ ห้องพักที่ "บ่อเกลือ วิว รีสอร์ท" ในคืนนี้พักอยู่สบายกว้างขวางมากครับ ห้องผมจะมีระเบียงให้ชิวตากอากาศด้วย เสียดายถ้าเป็นหน้าหนาวคงดีกว่านี้ พ่อผมค่อนข้างชอบครับ บอกว่ารอบหน้าจะพาแม่มาด้วยกันดีกว่า



ห้องอาหารค่ำคืนนี้ก็บรรยากาศดีมาก เราจะทานกันที่ "ห้องอาหารปองซา" หลังจากพึ่งซัดของหวานไปก็เลยไม่กล้าจัดหนัก ไม่อย่างนั้นได้กลิ้งกลับเชียงใหม่แน่ครับ ว่าแล้วมื้อค่ำเลยจัดเมนูสิ้นคิด "ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวไม่สุก" เป็นอันเสร็จพิธี



อย่างที่บอกครับว่าอาหารที่นี่ช้านิดหน่อย ดังนั้นจึงแนะนำว่ามากันก่อนเวลามื้อเย็นสักนิดจะดีมาก แต่ถ้าช่วงไฮก็คงต้องอดทนกันนิดนึงครับ สำหรับผมไม่ค่อยมีปัญหา เพราะว่ามัวแต่เดินเล่นถ่ายรูปก็เลยลืมหิวไปเลย



สรุปเส้นทาง : จาก "ภูลังกา รีสอร์ท" / มุ่งหน้าลงใต้ "ทางหลวง 1148" / เลี้ยวซ้าย "ทางหลวง 1080" / เลี้ยวขวา "ทางหลวง 1256" / ถึงจุดหมาย "บ่อเกลือวิว รีสอร์ท" - อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน

-- วันที่ 3 : เก็บตกเมืองน่าน --

เช้าวันใหม่ที่บ่อเกลืออากาศดีมากครับ ฝนตกมาตลอดทั้งคืนอากาศเลยเย็นสบายกำลังดี พวกเราก็มาทานอาหารเช้ากันที่เดิม "ห้องอาหารปองซา" ในส่วนของไลน์อาหารก็มีให้เยอะอยู่พออิ่ม ได้แก่ สลัดผักสดๆ ผลไม้ ไข่ดาว และข้าวต้ม เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะรวมอยู่ในราคาห้องพักอยู่แล้วครับ

โดยมีทีเด็ดอยู่ที่ชุดปิ้งขนมปังนี่ล่ะครับ ให้อารมณ์เข้ากับอยู่ชนบทมากๆ เป็นเตาปิ้งรุ่น "Unglo" หรือเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า "อั้งโล่" สั่งพิเศษตรงมาจาก OTOP ประหยัดไฟฟ้าครับ ที่สำคัญไฟแรงมาก ไม่ต้องเสียเวลารอนาน บางคนเผลอนิดเดียวกลับมาดูไหม้เกรียมเลย ตัวคีมคีบขนมปังก็ดีไซน์ได้อย่างลงตัวทำจากไม้ไผ่ เนยและแยมทำเองก็จัดใส่บนเครื่องสานหวายเข้ากันมากๆ ในส่วนการนำเสนอไม่เหมือนใครนี่ผมให้ห้าดาวเลยครับ

-- เส้นทางชมวิวทุ่งข้าวโพด / ถนนลอยฟ้า "ทางหลวง 1256" --

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พอทานอาหารเช้าเสร็จก็รีบเก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทางเลย วันนี้ดูอากาศแล้วคงขมุกขมัวเหมือนเดิมแน่นอน เส้นทางที่ผมจะกลับที่คนนิยมมากสุดจะเป็น "ทางหลวง 1081" ซึ่งเป็นเส้นทางคดเคี้ยวเช่นเคยแต่ถนนจะกว้างกว่าเมื่อวาน ตอนแรกถ้าผมไม่รีบมาก ทางรีสอร์ทแนะนำให้วิ่งอ้อมไปชมทุ่งนาขั้นบันไดผ่านทาง "เฉลิมพระเกียรติ" ช่วงหน้าฝนนี่ถ้าใครสนใจผมว่าลองดูแล้วมาเล่าสู่กันฟังด้วยครับ

สำหรับเส้นทางที่ขับวันนี้จะคดเคี้ยวประมาณ 70 กิโลเมตร แต่จะไม่โหดสาหัสเท่ากับเมื่อวาน ซึ่งส่วนที่คดเคี้ยวมีเพียง 40-50 กิโลเมตร แต่ว่าทั้งหักศอกและสูงชันจนแทบทำเวลาไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าคนจึงนิยมวิ่งเส้น "ทางหลวง 1081" หรือที่รู้จักกันว่าเส้นทาง "อำเภอสันติสุข" มากกว่า



สองข้างทางจะมีทัศนียภาพงดงามมาก ในฤดูฝนชาวบ้านจะเริ่มกันปลูกข้าวโพดบนภูเขาแทบทุกตารางวา ทุกครั้งที่เห็นช่องข้างทางหรือไหล่ทางกว้างๆ สามารถจอดรถได้ ผมจะรีบหักออกไหล่ทางเพื่อดูว่ามีวิวสวยๆ รึเปล่า ซึ่งบางช่วงถ่ายไปได้นิดเดียวก็มีฝนตก แต่ก็มีหมอกจางๆ ลอยผ่านไป บางช่วงเจอต้นไม้ล้มมาขวางถนนจนขับได้เพียงเลนเดียว หากมีโอกาสขับรถขึ้นดอยช่วงหน้าฝนคงต้องคอยระวังดินถล่มหรืออะไรมาขวางถนนครับ



พอฝนหยุดสายหมอกก็หายครับ แต่ฟ้าก็ยังเน่าตลอดเส้นทาง ทุกครั้งที่จอดก็จะเจอแต่วิวข้าวโพดที่ต่างกันไปครับ เวลาเจอจุดที่วิวสวยๆ ก็อยู่นานหน่อย โดยเฉพาะอันหลังเดินถนนบนสันเขาทางดินลูกรังอยู่ครึ่งชั่วโมงครับ อากาศก็สดชื่นจริงๆ เห็นแล้วก็อยากกลับมาอีกทีตอนหน้าหนาว ซึ่งเป็นช่วงหลังเก็บเกี่ยวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองไปหมด ความจริงก็อยากอยู่นานและเดินเข้าไปลึกกว่านี้ แต่ก็แอบเกรงใจคุณพ่อที่นอนรออยู่ในรถครับ



แต่พอมองในอีกมุมนึงก็อดคิดไม่ได้ว่าป่าไม้มันหายหมด กลายเป็นเขาหัวโล้นเสียแทบทุกลูก พอเข้าหน้าร้อนก็ต้องเผาป่าเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปลูกข้าวโพดในรอบต่อไป กลายเป็นมลพิษทางควันอย่างรุนแรงทั่วภาคเหนือทุกปีครับ

เสร็จจากตรงนี้ผมก็เต็มอิ่มแล้วครับ ขับยาวเข้าเมืองไปเชื่อม "ทางหลวง 1169" อันนี้ก็ปล่อย GPS นำทางอย่างเดียวล่ะครับ พอถึงโรงแรมก็ยังไม่ได้เวลาเข้าพัก จึงถามร้านอาหารแนะนำ ได้เรื่องว่าเป็นร้าน "เฮือนฮอม" ซึ่งมีในหนังสือท่องเที่ยวที่ผมพกติดตัวมาด้วย เห็นอย่างนี้ก็เลยตามไปลองครับ ร้านจะเป็นเรือนไม้ขายอาหารพื้นเมืองครับ คาดว่าคงเป็นร้านดังและนักท่องเที่ยวรู้จักกันเยอะ รวมถึงก็เห็นมีหนังสือแนะนำ ที่สำคัญลูกค้าที่มานั่งทานสองกลุ่มนี่พึ่งเห็นทานข้าวเช้าด้วยกันก็พักรีสอร์ทบ่อเกลือเหมือนเรา โลกกลมมากเหมือนนัดกันมาเจอ ไม่ก็ตามจากลายแทงเดียวกันครับ



พอมาถึงบางทีผมก็ไม่รู้สั่งอะไรเหมือนกัน เพราะอาหารเหนือผมก็ทานประจำอยู่แล้วจึงอยากเปลี่ยนบรรยากาศสั่งอาหารทั่วไป แต่ก็ขอลองฮังเลดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง และก็อีกเมนู "ไก่ทอดมะแขว่น" ซึ่งผมพลาดจากเจ้าต้นตำรับเจ้าแรกที่ "ร้านปองซา / บ่อเกลือ วิว รีสอร์ท" สรุปว่าชอบไก่ทอดสุดครับ เพราะหอมและก็กรอบมาก แอบเสียดายที่ไม่ได้สั่งตอนอยู่บ่อเกลือเพราะทานไม่ไหวครับ ส่วนฮังเลนี่ถ้าบอกตามความรู้สึกส่วนตัวที่เป็นคนเหนืออยู่แล้ว ผมว่าติดหวานไปนิด แต่คงเป็นรสชาติถูกปากนักท่องเที่ยวมากกว่าก็เลยไม่ฟินนัก ว่าไปแล้วผมชอบเวลาคุณแม่ผมทำหรือแม่ครัวที่บ้าน (สูตรเดียวกัน) จะเป็นอะไรที่กลมกล่อมมากกว่า

-- กระซิบรักที่ "วัดภูมินทร์" --

แอบส่อง "กระซิบรัก" -- ภาพสะท้อนกับกระจกสีที่ตกแต่งเสา



พอทานข้าวเสร็จเห็นมีเวลาอีกนิด และวัดอยู่ไม่ไกลนักจึงขอแวะ "วัดภูมินทร์" อีกที่นึงก่อนเอากระเป๋าเข้าโรงแรม สำหรับวัดนี้ถือเป็นไฮไลท์ที่โด่งดังของจังหวัดน่านเลย นอกจากนี้ ยังมีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังอันเลื่องชื่อของ "ปู่ม่าน ย่าม่าน" กลายเป็นที่มาของ "กระซิบรัก (The Whispering)" ครั้งหนึ่งภาพนี้เคยไปเป็นลวดลายตกแต่งบนธนบัตรใบละ 1 บาท ในช่วงสงครามโลกครั้งแรกด้วย



ผมใช้เวลาเดินถ่ายรูปอยู่นานจนท่าทางพ่อเริ่มเบื่อครับ เลยหนีไปรอที่รถก่อน กว่าจะเสร็จและก็ไหว้พระทำบุญไปพร้อมกันก็เกินครึ่งชั่วโมงเลย กลับมาที่รถดูท่าทางคุณพ่ออยากไปนอนพักที่โรงแรมเต็มแก่ครับ



วัดภูมินทร์ : เดิมชื่อว่า "วัดพรหมมินทร์" เป็นวัดที่สำคัญและมีชื่อเสียงมากที่สุดในจังหวัดน่าน ในพงศาวดารเมืองน่านได้เขียนว่า สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2139 โดยผู้ครองนครน่าน "พระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์" และตั้งชื่อตามผู้สร้าง และต่อมาจึงเพี้ยนเป็น "วัดภูมินทร์" ตัวพระอุโบสถเป็นทรงจตุรมุข ซึ่งมีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ปางมารวิชัย 4 องค์ หันพระพักตร์ออกประตูทั้ง 4 ทิศ หันเบื้องพระปฤษฏางค์ชนกัน จึงสามารถเห็นพระพักตร์พระพุทธรูปได้ทุกทิศทางเมื่ออยู่ในพระอุโบสถ นอกจากนี้ ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณอันมีค่าแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ ชาดก ชีวิต และนิทานพื้นบ้าน โดยอันที่มีชื่อเสียงสุด คือ ภาพ "ปู่ม่าน ย่าม่าน" อันเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ภาพจะมีชายหนุ่มแววตาเจ้าชู้กำลังกระซิบข้างรูหูหญิงสาว จนรู้จักกันว่า "กระซิบรัก" และเป็นอีกหนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองน่านด้วย

หลังจากเช็คอินที่โรงแรม พ่อจึงขอตัวนอนเล่นตากแอร์ดูทีวีครับ วันนี้ดูโปรแกรมก็เหลืออีกที่ซึ่งอยากไปก็เลยเน้นสบาย Slow Life ปล่อยเวลาไหลไปเรื่อยๆ ดีกว่า ก็เลยนึกอยากทานกาแฟจึงเปิดหนังสือท่องเที่ยวที่ซื้อมา และขอคำแนะนำทางโรงแรมเพิ่มเติมว่าไม่ต้องไกลมาก ก็ได้ร้านนึงห่างจากโรงแรมไปแค่ช่วงตึกเดียว จึงขอเดินไปดีกว่า แต่พอไปถึงร้านก็ปิดเพราะเป็นวันอาทิตย์ จึงกลับมาถามโรงแรมอีกทีครับ รอบนี้ทางโรงแรมให้ยืมจักรยานไปปั่นเล่นด้วย เพราะเห็นผมเดินกลับมาเหงื่อโซก สีหวานฟรุ้งฟริ้งปาจิงโกะน่ารักทีเดียว (มีตะกร้าจ่ายตลาดให้ด้วย) ความจริงปกติทางโรงแรมมีให้ยืมอยู่แล้วล่ะครับ เผอิญผมไม่รู้แต่แรกจึงไม่ทันได้ถาม



มารอบนี้เลยปั่นจักรยานโรงแรมออกมาชิวให้เข้ากับบรรยากาศเมืองน่านเสียหน่อย ขับรถไปก็เสียเวลาหาที่จอดรถ แถมแต่ละที่ก็ไม่ไกลเกินจะขับจักรยานเท่าไหร่ ซึ่งทางโรงแรมแนะนำที่ "Coffee Sound" ซึ่งไม่ปิดวันอาทิตย์ และห่างจากที่พักเพียงแยกไฟแดงเดียว ชื่อร้านมีที่มาจากเจ้าของเป็นร้านติดเครื่องเสียงรถยนต์ด้วยครับ ต่อมาได้แบ่งพื้นที่ทำร้านกาแฟ ส่วนตัวผมว่ารสชาติเครปรสชาติใช้ได้เลย ผมก็เลยสั่ง Iced Mocca มาทานด้วย ทำตัวเป็นฮิปสเตอร์หนึ่งวันก็แล้วกัน สโลว์ไลฟ์คว้าหนังสือ "Hi น่าน" -- http://www.hinanmagazine.com -- หนังสือแจกฟรียอดนิยมของเมืองน่าน รูปเล่มสวยข้างในมีเรื่องราวน่าสนใจหลายอย่าง เช่น พวกร้านอาหาร ที่พัก สถานที่เที่ยว รถเช่า แผนที่คร่าวๆ เอาไว้ดูเล่นระหว่างรอเวลาไปถ่ายรูปเล่นช่วงบ่ายแก่ๆ ส่วนใหญ่ก็เจอวางตามร้านกาแฟ ส่วนเล่มนี้แอบหยิบมาจากโรงแรมที่พักเลยครับ

-- วัดพระธาตุแช่แห้ง --

พักผ่อนจิบกาแฟได้ที่ เห็นแดดออกมาเล็กน้อยจึงรีบปั่นจักรยานกลับไปเอารถที่โรงแรมเพื่อเดินทางไปสักการะพระธาตุแช่แห้ง ซึ่งเป็นวัดพระธาตุประจำจังหวัดน่าน

ก่อนที่จะเดินถ่ายรูป เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย อันดับแรกผมจึงนั่งไหว้พระสวดมนต์อาราธนาบูชาองค์พระธาตุก่อนเป็นอันดับแรก ทำบุญเข้าวัด ขอพรให้เป็นศิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัวก่อนครับ จากนั้นถึงค่อยเริ่มเดินเก็บภาพทีหลัง



ช่วงที่ผมไปเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ คนไม่ค่อยมากสักเท่าไหร่ครับ โชคดีมากเจอท้องฟ้าสดใสกว่าช่วงเช้า ตอนแรกนึกว่าวันนี้ฝนจะตกทั้งวันเสียแล้วครับ



วัดพระธาตุแช่แห้ง : เป็นปูชณียสถานและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองน่านมาแต่สมัยโบราณ ซึ่งมีอายุกว่า 600 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ บนฝั่งด้านตะวันตกของแม่น้ำน่าน องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ทรงระฆัง คาดว่าได้รับอิทธิพลมาจาก "พระธาตุหริภุญชัย - จังหวัดลำพูน" พระธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุประจำปีเถาะ ชาวล้านนามีความเชื่อมาแต่โบราณว่า หากใครเกิดในปีนี้แล้วได้เดินทางไปนมัสการพระธาตุประจำปีเกิดจะได้รับบุญกุศลอย่างมาก

-- วัดพระธาตุเขาน้อย --

แล้วก็ได้เวลาปิดเคสประจำวันนี้ครับ โดยผมตั้งใจขึ้นไปเก็บแสงเย็นข้างบน "วัดพระธาตุเขาน้อย" ซึ่งอยู่บนยอดดอย เมื่อมองลงมาที่ตัวเมืองน่านจะเห็นทัศนียภาพงดงามมาก 180 องศา

จากข้างบนลงมาจะเห็น "วัดพระธาตุแช่แห้ง" อยู่ไกลๆ บริเวณนี้จะเหมาะสุดในการชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นครับ แต่ช่วงเย็นก็สวยไม่แพ้กัน สามารถชมทิวทัศน์เมืองน่านยามเปิดไฟช่วงค่ำคืน



ช่วงที่ผมไปเที่ยวจะมีนักท่องเที่ยวประปรายไม่มาก มีที่ตั้งกล้องตรงกลางไม่ต้องไปเบียดแย่งกับใคร แต่ว่าบอกตามตรงก็แอบเปลี่ยวๆ เหมือนกันครับ พอฟ้ามืดจากคนไม่ถึงสิบคนก็เหลือผมเท่านั้น บรรดาสิงห์นักปั่นทั้งหลายก็ขึ้นมาพักแป๊บเดียวก็ลงไปต่อ เส้นทางลงขากลับค่อนข้างมืด เวลาลงก็สวดมนต์ลงมาตลอดทางครับ เดิมทีตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะกลับมาซ้ำตอนตีห้าแล้วมุดประตูเล็กของวัดเข้าไป ก็เลยเปลี่ยนใจขอฟินแค่วันนี้ก็พอแล้วครับ

-- โรงแรมพูคาน่านฟ้า --

เสร็จภารกิจถ่ายภาพก็กลับโรงแรมครับ วันนี้เจอแดดและฝนจนกรอบไปหมด แบบว่าหมดแรงจนแทบไม่อยากออกไปไหน แถมฝนก็ตกลงมาอีกรอบ สรุปว่าไม่ไปไหนกินแถวที่พักเลยครับ

ป้ายชื่อดั้งเดิมของโรงแรมที่เราพัก



"พูคาน่านฟ้า" ที่พักคืนนี้ เป็นโรงแรมที่มีประวัติยาวนานพอสมควร ภายนอกเป็นโครงสร้างไม้ที่สวยงามและมีอายุยาวนาน แต่หลังจากได้มีการเปลี่ยนเจ้าของ โรงแรมได้ปรับปรุงใหม่หมดในเชิงอนุรักษ์ คือ ยังคงกลิ่นอายแบบเดิมๆ แต่ปรับให้ใหม่ทั้งการตกแต่งและดีไซน์ภายใน รวมไปถึงเปลี่ยนแปลงวัสดุที่มีคุณภาพเพื่ออำนวยความสะดวกให้แขกที่มาพัก เช่น ชุดเครื่องนอน สบู่มาดามเฮง



โดยผมได้ยินชื่อเสียงเรียงนามโรงแรมแห่งนี้เป็นครั้งแรกเมื่อประมาณปี 2554 สมัยนั้นเห็นข่าวตอนพระเทพฯ ทรงเสด็จมาเปิดพอดีครับ จึงคิดไว้นานแล้วว่าหากมีโอกาสมาเที่ยวนานคงจะลองมาพักดูครับ แล้วก็ไม่ผิดหวังถึงแม้ว่าราคาจะค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับโรงแรมอื่นในจังหวัดน่าน



วันที่ 3 -- มุ่งหน้าไปทางตะวันออก "ทางหลวง 1256" / เลี้ยวขวา "ทางหลวง 1081" / เลี้ยวซ้าย "ทางหลวง 1169" / ถึงจุดหมาย "โรงแรมภูคาน่านฟ้า" - อำเภอเมือง จังหวัดน่าน

-- วันที่ 4 : ฝนตกส่งท้ายการเดินทาง --

ในที่สุดก็เดินทางมาถึงวันสุดท้าย เผลอนิดเดียว 3 คืน ก็ได้เวลากลับเชียงใหม่ ความจริงถ้ามีเวลาผมว่าอย่างน้อยต้อง 5 วัน ถึงจะเที่ยวได้ค่อนข้างคลุมกว่านี้ อย่างวันนี้เดินทางกลับ ผมตั้งใจไว้ว่าจะแวะอุทยานแห่งชาติขุนสถาน และอุทยานแห่งชาติศรีน่านแวะดอยเสมอดาว คิดว่าน่าจะถึงเชียงใหม่ตอนเย็นพอดี แต่เจอฝนหนักประมาณว่าเที่ยวไม่ไหว ขับรถไปก็มองไม่เห็นอะไรจึงยกเลิกแพลนทั้งหมด ขับไปก็จะเสียเวลาอ้อมหลายชั่วโมงเปล่าๆ

บทสรุปคือ หากมีโอกาสผมแนะนำให้นอนค้างแรมอีกหนึ่งหรือสองคืนเพิ่มที่อุทยานแห่งชาติขุนสถานกับอุทยานแห่งชาติศรีน่านครับ เพราะว่าหากธรรมชาติเป็นใจ อาจได้พบเจอทะเลหมอกยามเช้า นอนนับดาวกับคนที่รู้ใจ มองหาทางช้างเผือกที่พาดผ่านกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน รวมไปถึงชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยงาม ก่อนเดินทางมา ผมก็จัดอุทยานแห่งชาติศรีน่านไว้ในโปรแกรม แถมได้จองห้องพักเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ แต่เผอิญได้สอบถามไปทางอุทยาน พบว่าช่วงโลว์จะไม่มีร้านอาหารเปิดให้บริการ ต้องเตรียมอะไรไปเองทั้งหมด ประกอบกับสภาพอากาศอันเลวร้ายที่เห็นเป็นสัญลักษณ์ฟ้าผ่าในพยากรณ์อากาศ ผมจึงจัดทริปใหม่แล้วตัดสินใจเลือกไปนอนที่บ่อเกลือแทน

เมื่อเช้าวันสุดท้ายเจอฝนจนเงิบแบบนี้ ผมจึงขออนุญาตจบและอำลากัน ณ ตรงนี้เลยครับ อยากขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่านจนถึงบรรทัดนี้ และผมหวังว่าข้อมูลและเรื่องราวที่เขียนคงพอจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย รวมไปถึงรูปภาพที่ถ่ายมา หากมีใครชอบและตามรอยไปเที่ยวจะดีใจมาก อยากชวนกันให้มาเที่ยวเมืองไทยเยอะๆ โดยเฉพาะเมืองน่านที่มีอะไรน่าสนใจอีกมากมายเลยครับ

วันที่ 4 -- มุ่งหน้าลงใต้ "ทางหลวง 101" / เลี้ยวขวา "ทางหลวง 11" - อำเภอเด่นชัย จังหวัดลำปาง / สิ้นสุดการเดินทาง - จังหวัดเชียงใหม่

ก่อนอำลากัน หากเป็นไปได้อยากรบกวนขอแรงกันคนละไม้ละมือ ช่วยโหวตให้กับทีม T07 ซึ่งผมมีโอกาสได้ร่วมงานและเป็นส่วนหนึ่งของทีมนี้ครับ เพียงมี Facebook ก็ตามลิงค์ด้านล่างแล้วก็สามารถกดโหวตได้เลย เพื่อที่ทีมพวกเราจะได้ไปต่อ ไม่โดนโหวตออกจากบ้าน AF หลังนี้

http://www.thethailandbloggernetwork.com/teams/detail/T07

ในฐานะสมาชิกทีม "ลุงเด้งและป้าไก่ - T07" ขอขอบพระคุณทุกคนที่ช่วยสละเวลาไปโหวตมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ก่อนอำลากัน ขอขอบคุณที่ผ่ามาอ่านกันจนถึงตรงนี้ครับ
หวังว่าเนื้อหาคงพอมีประโยชน์สำหรับคนที่จะไปน่าน

มีอะไรติชมก็ฝากไว้ได้นะครับ

หรือสามารถคุยกันที่

Facebook : http://www.facebook.com/warodomphotography
Instagram : http://www.instagram.com/warodomphotography

หรือติดตามผลงานถ่ายรูปและ Blog ส่วนตัว :

Website : http://www.warodomphotography.com
Travel Blog : http://www.oatenroute.com

อยากขอบคุณพื้นที่พันทิปสำหรับลงเรื่องบันทึกการเดินทางครั้งนี้



ขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่สนับสนุนกิจกรรมดีๆ

ขอบคุณ TTBN & One22

ขอบคุณ นกแอร์ แม้ว่าผมยังไม่มีโอกาสใช้บริการรอบนี้

ขอบคุณ Thai Rent A Car สำหรับรถแรงแซงทุกโค้งขึ้นดอยสบายมากครับ

ขอบคุณ Keen รองเท้าเอาท์ดอร์ขาลุยที่แอบชอบมานาน คราวนี้จะได้ใส่คู่กับลูกซะทีครับ

ขอบคุณ Outdoor Innovation ด้วยครับ



และที่ขาดไม่ได้เลย ขอบคุณ "ลุงเด้งกับป้าไก่" ที่นึกถึงกันและให้โอกาสชวนมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมครับ



สุดท้ายจริงๆ หากมีเวลาแล้วไม่รบกวนจนเกินไป ช่วยโหวตให้ "T07" ด้วยนะครับ



http://www.thethailandbloggernetwork.com/teams/detail/T07



Oat en route

 วันพฤหัสที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 14.35 น.

ความคิดเห็น