เมื่อมนต์เสน่ห์และวัฒนธรรมอันหลากหลาย

ชักชวนให้อยากไปลองใช้ชีวิตและสัมผัสกับวัฒนธรรม

อันที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว

กับอำเภอ อำเภอหนึ่งที่ติดกับประเทศพม่า

ก็คงเป็นที่ไหนไม่ไม่ได้ นอกจาก "สังขละบุรี"

อำเภอที่อยู่ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรี 200 กว่ากิโล

และห่างจากกรุงเทพฯ 300 กว่ากิโล

กับเวลาเดินทาง 5-6 ชั่วโมงจากรุงเทพฯ

ด้วยความที่อยากไปสังขละบุรีมานานแล้ว

แต่ยังไม่มีโอกาสไปสักที

ครั้งนี้ลองดูกันว่าถ้าเรามีเวลาแค่ 2 วัน 1 คืน

จะเที่ยวอะไรที่สังขละได้บ้าง


การเดินทาง

นั่งรถตู้ หมอชิต-กาญจนบุรี

แล้วต่อรถตู้จากกาญจนบุรี-สังขละบุรี

เราออกรอบแรกตอนเช้า 5.30 น. ถึงกาญประมาณ 7 โมงกว่าเกือบ 8 โมง

แล้วต่อรถจากกาญฯ -สังขละบุรี ถึงสังขละบุรีประมาณ เที่ยงกว่าๆ

หลังจากนั้นไปที่พักเก็บของแล้วออกมาหาอะไนทานแถวสะพานมอญ


สะพานอุตตมานุสรณ์ หรือที่เรียกกันว่า สะพานมอญ

เป็นสะพานไม้ยาวที่สุดในประเทศไทยที่มีความยาว 850 เมตร

สะพานมอญ ถือเป็นไฮไลท์และมนต์เสน่ห์ของอำเภอสังขละบุรี

เป็นสะพานที่ใช้ข้าม แม่น้ำซองกาเลีย ระหว่างสังขละ-หมู่บ้านมอญ

ถ้าอยากทราบประวัติสะพานมอญ ไปที่สะพานมอญรับรองว่ารู้แท้ของจริงแน่

เพราะจะมีน้องๆมาอธิบายความเป็นมาของสะพานมอญให้ฟัวตลอดทาง

ก่อนที่เราจะลุยได้ก็ต้องเติมพลังกันก่อน

เรานั่งวินมาจากที่พักมาที่สะพานมอญแล้วเดินข้ามฝั่งมากินขนมจีนป้าหยิน

หลังจากนั้นก็เหมาวินมอเตอร์ไซต์ไปไหว้พระต่อ

วัดวังก์วิเวการาม หรือที่คนมอญเรียกกันว่า วัดหลวงพาออุตตมะ วัดนี้เดิมเป็นวัดเก่าที่ตั้งใหม่

เพราะวัดเก่าเดิมนั้นโดนน้ำท่วมเนื่องจากการผลของการสร้างเขื่อน

ชาวมอญจึงย้ายขึ้นมาสร้างใหม่ในพื้นที่ปัจจุบัน

วัดนี้เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะร่วมกับชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญร่วมกันสร้างขึ้น

ใกล้กับชายแดนไทย-พม่า ตั้งอยู่บนเนินสูงบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ

ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำทั้ง 3 สาย คือแม่น้ำซองกาเลีย แม้น้ำบีคลี และแม่น้ำรันตี ไหลมาบรรจบกัน

บรรยากาศรอบๆวัดจะมีภาพถ่ายต่างๆ

เกี่ยวกับชาวบ้าน เป็นความเป็นมาที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ของคนที่นี่

ต่อมา เจดีย์พุทธคยา เป็นเจดีย์สีทองอร่าม ด้านหน้าเจดีย์มีสิงห์ 2 ตัว แบบมอญตั้งอยู่ทางเข้า

ถือเป็นสถานที่หนึ่งที่มาสังขละบุรีต้องแวะมาสักการะ

บนยอดพระเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่หลวงพ่ออุตตมะอัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา

หลังจากนั้นฝนก็ปรอยๆลงมานิด ก็มานั่งเล่นรอฝนหยุดรินแล้วไปนั่งเรือชมวัดกันต่อ

เรามาเจอคนแชร์พอดีก็อาศัยแชร์กับคนอื่นเค้าเหมาเรือไปชมวัดใต้น้ำ

จะมีทั้งแบบ 1 วัด 300 บาท และ 3 วัด 500 บาท ลำนึงก็นั่งได้ไม่เกิน 6 คน

วัดแรก เป็น วัดบ้านเก่า หรือ วัดวังก์วิเวการาม เดิมเป็นวัดมอญ วัดแรกที่หลวงพ่ออุตตมะสร้างขึ้นกับชุมชนมอญ

ก่อนโดนน้ำท่วม วัดนี้จะลงไปเดินได้ แต่ถ้าหน้าฝนตกหนักๆก็จะถูกน้ำท่สมขึ้นมา

ภายในผนังโบสถ์ด้านใน

ต่อมาที่ วัดสมเด็จ เป็นวัดไทย วัดนี้ต้องเดินขึ้นมาเล็กน้อย เค้าบอกบันได มี 60 ขั้น แต่เราว่ามันได้ 65 ขั้นได้

เดินขึ้นเนินไปนิดหน่อยก็จะเจออุโบสถและพระพุทธรูปให้สักการะ

และวัดสุดท้ายคือ วัดศรีสุวรรณ เป็นวัดกระเหรี่ยงที่จมอยู่ในน้ำ

พี่คนขับเรือเล่าว่าถ้าน้ำลดหน่อยๆก็จะเป็นบานประตูโผล่และอาจเดินได้

หลังจากนั่งเรือชมเมืองบาดาลวัดใต้น้ำกันเสร็จแล้ว

ก็มาเดินดูสะพานมอญช่วงเย็นๆ

จะมีเด็กน้อยชอบมาว่ายน้ำกระโดดน้ำเล่นกัน

และมีมาให้ปะแป้ง

เด็กที่นี่เป็นมิตรกับทุกคนที่มาเที่ยว พร้อมให้คำแนะนำดีมาก

ใครเดินทางมาคนเดียวรับรองว่าไม่เหงาแน่ๆ

ระหว่างรอตลาดเย็นตั้งเราก็นั่งวินมาร้านกาแฟ Kaf Kafe ร้านเล็กๆน่ารัก

มีหนังสือทำเองน่ารักๆ ด้านหลังร้านจะเป็นที่พัก Haigu Guesthouse ที่พักสไตล์ญี่ปุ่นเรียบง่าย

ถึงเวลาเย็นตรงตลาดก็จะตั้งขายของซึ่งเป็นที่เดียวกับถนนคนเดินสังขละ

ช่วงนี้ฝนตกของก็จะน้อยกว่าช่วงหน้าหนาว

มาสงัขละแล้วไม่ได้ลองชิมหมูจุ่มพม่า แล้วเหมือนมาไม่ถึง

ราคาก็ไม้ละบาทเดียวเท่านั้น หยิบเพลินเลย ได้มาจะมีชามให้ตักน้ำซุป และน้ำจิ้มอีก 2 อย่าง

จะบอกว่าน้ำจิ้มเด็ดมาก อร่อยจนหยดสุดท้าย

ส่วนอันนี้เป็นหมูจุ่มฝั่งพม่าค่ะ ตอนที่ข้ามไปเที่ยววันต่อมา

วันนี้วันที่สอง เราตื่นเช้าออกมาตักบาตรฝั่งมอญ

ทางที่พักจะมาส่งเราและรับกลับที่พัก

ถ้าใครอยากออกมาก่อนก็ได้นะคะ ช่วงเช้าๆอากาศเย็นสบาย

มาอาหารฝั่งมอญหลายร้านตอนเช้า ทั้งโจ๊ก ขนมจีน ชา กาแฟ หรือจะทานจากที่พักมาก็ได้ค่ะ


พระจะเป็นพระมาจากวัดแถวนี้ ช่วงเช้าๆจะมีนักท่องเที่ยวมารอใส่บาตรกันเยอะพอสมควร

ของใส่บาตรเราซื้อมาจากที่พักจะมีเตรียมไว้ให้ ชุดละ 100 บาท พร้อมมีชุดมอญให้ยืม

ถ้าไม่ยืมชุดก็จะชุดละ 59 บาท

ส่วนที่สะพานมอญจะก็มีขายเต็มเลย ใครสะดวกแบบไหนก็ลองดูนะคะ ราคาพอๆกันหมดเลยค่ะ

พี่คนสวยย ที่คอยแนะนำการใส่บาตรของพระที่นี่

ระหว่างใส่บาตรเสร็จหรือรอใส่บาตรก็มาหาอะไรลองท้องกันตอนเช้าก่อน

ร้านโจ๊กนั่งยอง อยู่ฝั่งหัวสะพานฝั่งมอญ โจ๊กที่เราชอบมากมีหมูเน้นๆ ขนาดสั่งธรรมดายังจัดเต็มขนาดนี้

กินคู่กับโอวันตินร้อนๆ หมี่กรอบหน่อยๆมีจัดเต็มให้กินไม่อั้น

ทั้งตอนเช้าและตอนเย็นก็จะมีน้องๆมาคอยปะแป้งให้

เป็นรายได้อย่างหนึ่งของน้องๆที่เอาไว้เป็นค่าขนมและทุนการศึกษาหลังเวลาเลิกเรียน







หลังจากนนั้นก็กลับที่พักแล้วเตรียมตัวไปทัวร์พม่ากัน

เราพักที่ B.homestay เป็นที่พักที่มีทั้งห้องน้ำในตัวและแบบแยกห้องน้ำ

ส่วนแบบแยกห้องน้ำด้านนอกก็จะของห้องไหนห้องนั้น เพียงแค่อยู่ด้านนอก

เป็นห้องพัดลม ราคาก็ 300 บาทขึ้นไป

เราไปคนเดียวก็ห้องเดี่ยว 300 บาท ห้องมีหลายแบบ มีของว่างให้ทานตลอด 24 ชม.

ทั้งขนม น้ำ คุ๊กกี้ และผลไม้สดๆจากสวน wifi free

ทัวร์ไปพม่าของที่พักจะมี 2 รอบ รอบเช้าและรอบบ่าย

เราเลือกไปรอบเช้าเพราะว่าตอนบ่ายกลับมาจะได้เดินทางกลับกรุงเทพฯเลย

รอบเช้า 8.00 - 12.30 น.


ส่วนเอกสารทั้งหมดคุณลุงที่พักเราจะจัดการให้ทุกอย่าง ค่าทัวร์พม่าอยู่ที่ 350 บาท

รวมทั้งหมดแล้ว

ที่เราจะได้ไปก็คือ ตลาดพม่า ,วัดเสาร้อยต้น ,รูปปั้นพระบิณฑบาต ,วัดเจดีย์ทอง ,วัดพระนอน,

วัดดองไว (พระพุทธรูปหินอ่อน/เทพทันใจ จำลอง/พระธาตุอินแขวนจำลอง),

Duty free เป็นร้านค้าฝั่งพม่า ขายของฝาก ขนม

ส่วนถ้าระหว่างทางฝั่งไทย ก็ factory outlet ,

ถ้าหน้าช่วงที่มีน้ำหน่อยก็อาจจะได้แวะน้ำตกนพพิบูลย์,ห้วยซองกาเรีย

ตอนไปนั้นคุณลุงได้พาแวะทานก๋วยเตี๋ยวเป็ดก่อนไปร้านนึงเราว่าอร่อยดี

น้ำซุปเข้มข้นใช้ได้


มาถึงด่านเจดีย์สามองค์


หน้าด่านก็จะมีทัวร์ขายพาเที่ยวด้วยเหมือนกัน


แตงโมที่นี่ลูกใหญ่มากกกก นึกไม่ออกลองมองเทียบกับลังข้างๆดู




ตลาดพญาตองซู ตลาดเช้าฝั่งพม่า ก็จะเหมือนกับตลาดไทยทั่วไป มีมั้งของกิน ของสด ของใช้ทั่วไป

ร้านขายของที่ระลึก สร้อย แหวน เงิน ทอง เสื้อผ้า โสร่งหม่า เครื่องประดับ ครีม

ทานาคา ดอกไม้สด เรียกว่าเกือบทุกอย่างเลยที่ตลาดนี้




วัดเสาร้อยต้น เมืองพญาตองซู ประเทศพม่า

ที่อยู่ห่างจากด่านเจดีย์สามองค์ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ประมาณ 5 กม.

ด้านบนชั้นสองสามารถขึ้นไปไหว้สักการะพระพุทธรูปได้

ถัดออกมาด้านหลังวัด เราจะเจอกับพระพุทธรูปบิณบาตรยืนยาวยันภูเขา

ตอนนี้มีทั้งหมดประมาณ 128 รูป แต่เจ้าอาวาสตั้งใจว่าจะสร้างทั้งหมด 500 รูป



จากนั้นห่างจากวัดไปประมาณ 2กิโลเมตรก็มาต่อกันที่วันเจดีย์ทอง หรือ วัดทองคำ

เป็นวัดเจดีย์ทอง ตั้งอยู่บนเนินเขาไม่ห่างจากวัดเสาร้อยต้นมาก ด้านหน้าเมื่อมองลงมาก็จะเห็นวิวเมืองพญาตองซู

ภูเขาสวยงาม รูปทรงเจดีย์คล้ายกับเจดีย์ชเวดากองในเมืองย่างกุ้ง

รอบๆเจดีย์มีซุ้มประดิษฐานพระให้ไหว้จตามวันเกิด



วัดพระนอน พญาตองซู



วัดตองไว


ไหว้หลวงพ่อทันใจ (จำลอง) เพื่อขอพร

จบแล้วกับทริปฝั่งพม่ามาต่อกันที่ฝั่งไทยก่อนกลับที่พัก


คุณลุงก็ได้พาแวะร้าน factory outlet ซึ่่งเป็นโรงงานตัดรองเท้าหนังคุณภาพดี

แต่เราไม่ได้ไปอยู่ที่รองเท้าหนังเลย

เจอทุเรียนอยู่หน้าร้านก็จอดที่นี่ก่อน ทุเรียนพวงมณีที่ตัดมาจากสวนสดๆ

มันน่าซื้อกลับบ้านยิ่งนัก แต่ด้สยเดินทางรถประจำทางเลยทำได้แต่กินตรงนั้นให้หมด



ปิดท้ายด้วยที่ห้วยซองกาเรีย ลำธารน้ำไหลเย็น มีร้านค้ามากมายแถวนี้

มีซุ้มให้นั่งทานอาหาร แต่เราไม่มีเวลาแล้วคงต้องเป็นโอกาสหน้า

ถ้าใครมีรถมาก็สามารถแวะมาที่นี่ได้

สุดท้ายแล้วกลับที่พักเก็บของกลับกรุงเทพฯ เพราะเดี๋ยวจะไม่ทันรถเอา

เพื่อนๆคนไหนเดินทางด้วยรถตู้โดยสาร

เช็ครอบให้ดีๆนะคะ และเผื่อเวลาด้วย เพราะไม่อย่างนั้นได้นอนค้างคืนที่สังขละต่อแน่นอน :)


ขอบคุณที่อ่านมากันจนจบนะคะ

-----------------


ติดตามกันต่อที่ www.facebook.com/t.aroundtogether นะคะ




t.aroundtogether

 วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 14.51 น.

ความคิดเห็น