โดยแพลนในครั้งนี้ของหมีหมู เป็นดังนี้



Day1 :: กรุงเทพ-เอราวัณ-เมืองบาดาล-สะพานมอญ-ป้อมปี่-ปิล็อก



05:00 - ออกจาก กทม.

08:00 - เดินขึ้นน้ำตกเอราวัณ

12:00 - ออกเดินทางไป สังขละบุรี

15:00 - เมืองบาดาล :: วัดจมน้ำ

16:30 - สะพานมอญ

18:00 - จุดชมวิว ป้อมปี่

21:00 - หมู่บ้านปิล็อก



Day2 :: เนินช้างศึก (ขึ้นไม่ได้) - กรุงเทพ



05:00 - ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เนินช้างศึก

11:00 - เดินทางกลับ กทม.



ดูเผินๆจากรูทที่เซ็ทไว้ น่าจะเหนื่อยใช่มั้ยครับ........



ใช่ครับ โคตร เหนื่อย 5555555+

ขับรถจนนึกว่าตัวเองเป็น โดมินิก ทอร์เล็ตโต้



เพราะจริงๆมีพี่ท่านนึงเตือนมาแล้ว ว่ารูทโหดไปนะ ขับรถโหดมาก และที่สำคัญการขึ้นไปปิล็อกตอนมืดแล้ว มันไม่ใช่เรื่องเลย ทางโหดมาก (หมีไม่เคยรู้ และดันไม่เชื่อ) มืดด้วย สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี T^T



ลองมาดูรายละเอียดข้างในกันครับ



=============================================================================



เริ่มต้นวันแรกที่เช้าวันเสาร์

เราสองคนตื่นกันตั้งแต่ 04:30 เพื่อแต่งตัวแบบสารภาพว่าไม่ได้อาบน้ำ (อย่า อย่าเพิ่งอี๋ไป เพราะเดี๋ยวเราจะไปอาบน้ำที่น้ำตกกัน!!!)



และออกเดินทางจาก กทม. ในเวลา 05:00 น. ครับ



ขับรถมาได้ประมาณ 3 ชั่วโมง เพราะเรามีแวะพักหม่ำข้าวเช้ากันนิดหน่อยที่จุดพักรถ ทำให้ถึงทางขึ้น อุทยานแห่งชาติน้ำตกเอราวัณ ทัน 08:00 น. พอดี



เดินเข้ามาได้ประมาณ 20 นาที

เจ้าหมูก็ทักมาว่า "เห้ย ถึงน้ำตกชั้นแรกแล้ว"



ด้วยความเฮฮา เราก็ถ่ายรูปกันรัวๆ แล้วก็คิดในใจว่า 'ทำไมชั้นแรกน้ำมันน้อยจังวะ หรือเราต้องขึ้นไปสูงๆ แต่ไหนๆก็มาแล้ว ยังไม่มีคนเท่าไร ถ่ายไปก่อนละกัน'



**รูปบังคับลงจากแฟน** = =



นางบอกว่าแกล้งนางเยอะแล้ว เอารูปตัวเองลงมั่ง



หลังจากเราเดินเลยน้ำตกชั้นแรกมานิดนึง

(นิดจริงๆ ประมาณ 20 ก้าว)

เราก็พบกับ!!!



น้ำตกชั้นที่ 1!!!........... "ไหลคืนรัง"



ใช่ครับ! อีเมื่อกี้นี้มันไม่ใช่น้ำตกชั้นที่ 1 ด้วยซ้ำ!!!

หลงถ่ายรูปอยู่ซะนาน



ปล. ข้อดีของการมาเช้า คือเราจะไม่ต้องแย่งวิวกับใครในการถ่ายรูปครับ ทำให้เก็บบรรยากาศพร้อมกับธรรมชาติได้เต็มๆ



น้ำตกชั้นที่ 2 "วังมัจฉา"



เป็น 1 ชั้นที่คนนิยมมาถ่ายรูปกับมากพอสมควร



พ้นจากจุดนี้ไป จะห้ามนำอาหารขึ้นนะครับ

สำหรับขวดน้ำ ใครต้องการเอาขึ้นไป จะมีค่ามัดจำขวด ขวดละ 20 บาท ขากลับให้นำลงมาที่จุดลงทะเบียนเพื่อรับเงินคืน



เพื่อเป็นการร่วมด้วยช่วยกันรักษาความสะอาดครับ^^

ชั้นที่ 3 "ผาน้ำตก"



ก่อนถึงชั้นนี้ เมื่อเราหลุดจากชั้นที่ 2 มา จะเจอกับทางแยกที่ให้เลือกว่าเราจะไปน้ำตกชั้นที่ 3 หรือ 4



ให้เราเลือกมาชั้นที่ 3 ก่อน หากต้องการเก็บให้ครบทั้ง 7 ชั้นนะครับ เพราะทางไปชั้นที่ 4 จะเป็นทางทอดยาวไปถึงชั้นที่ 7 เลย

หลังจากจบชั้นที่ 3 เราก็กลับมาจุดแยกเมื่อครู่เพื่อไปต่อกันที่ชั้นที่ 4



ชั้นที่ 4 "อกนางผีเสื้อ"



หลังจากนี้ เส้นทางจะเริ่มโหดแล้วครับ จะไม่ได้เป็นทางเดินราบๆไปตลอดทางแล้ว อาจจะมีลุยน้ำและปีนป่ายบ้าง



ระหว่างทาง ด้วยความที่มาเช้า เราจะเจอแสงแบบนี้ลอดเงาพุ่มไม้มาเป็นระยะๆ นับเป็นมุมที่น่าประทับใจอีกเช่นกันครับ



น้ำตกชั้นที่ 5 "เบื่อไม่ลง"



จริงๆค่อนข้างคล้ายกับน้ำตกเล็กๆ มารวมกัน เพราะเป็นขั้นๆ ชั้นๆ แต่ถือว่าบรรยากาศชิลมาก หากใครอยากมา ปิกนิค นั่งเล่น ให้มาหยุดชั้นนี้เลยครับ



ชั้นที่ 6 "ดงพฤกษา"



จริงๆแล้วเอาตามจริง ชั้นนี้เป็นชั้นที่หมีหมูประทับใจน้อยที่สุด เพราะน้ำตกอยู่ค่อนข้างไกล และน้ำน้อยมาก เราเลยหยุดพักกันแปปเดียว เพราะอีกอึดใจ เราก็จะไปถึงชั้นสุดท้ายกันแล้ว รีบไปกันก่อนคนจะเยอะเถอะ!!!



.......ถึงแล้ววววววว



สวย



สวยยยยย



สวยมากกกกกกก



แม้จะเป็นบริเวณที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่น้ำสวยที่สุดจริงๆครับ หากใครจะไปจุดนี้ แนะนำให้รีบไปแต่เช้าเหมือนพวกเรา คนจะยังไม่เยอะ พอเริ่มถึง 11:00 คนจะเริ่มมาเหมือนตรงนี้มีของเซลล์แจกเลยครับ = =



เราเผลอแปปเดียว คนก็เยอะจริงๆด้วย มีทั้งชาวต่างชาติ และชาวไทย



น้ำสวยเนอะ "น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา"



หึหึหึ หมีบอกเลย ใครไม่เคยมาสัมผัส อีพวกปลาเนี่ย ร้ายนัก

ถ้าลงน้ำเมื่อไหร่มันจะนึกว่าพวกเราเป็นขนมปังปอนด์ครับ

มันจะเข้ามา ตอด ตอด แล้วก็ตอด!!!



หมีสัญญา ถ้าครั้งหน้าขึ้นไป จะเอาสวิงไปไล่ช้อนมันมาย่างทั้งครอบครัว



โคตรเจ็บเลยยยยยยย



หมีโดน Photo Bomb ณ ป้ายผู้พิชิต คือนางเป็นชาว เลบานอน ที่มาเที่ยวครับ แล้วก็เป็นนิสัยนักท่องเที่ยวต่างชาติ คือสนุกไปกับทุกคนที่ "มาเที่ยวเหมือนกัน" เห็นใครหันกล้องหน่อยก็ขอเข้าด้วย



แต่เข้าใจนะครับ เพราะเวลาเราไปเที่ยว เราก็สามารถทำอะไรที่เราอยากทำได้ ขอแค่เราไม่ได้ไปแกล้งใครก็พอ^^



*ได้เพื่อนใหม่เฉยยยย



เราใช้เวลาทั้ง ขึ้น และลง น้ำตกทั้ง 7 ชั้นประมาณ 3ชั่วโมงครึ่ง ครับ



ประมาณ 12:00 นิดๆ เราก็ออกเดินทางจากเอราวัณ ไปสู่สังขละบุรี เพื่อเป้าหมายต่อไป



15:00 น. เราก็มาถึงที่หมาย

โดยการจะไปที่วัดจมน้ำนั้น เราต้องนั่งเรือไป สามารถเลือกที่จะเหมาเรือส่วนตัวไปก็ได้นะครับ



เราสองคนมาถึงกันก็นับว่าเกือบเย็นแล้ว เลยเลือกเหมาไป

พี่คนขับเรือคิด 300 บาท (แต่มีแบบแพ็คเกจ 500 บาท สามารถไปได้ 3 วัดเลยครับ)



นี่คือหน้าตาเรือโดยสารของเรา

พี่สุดหล่อนี่คือ พี่โตโน่ พลขับเรือ (พันท้าย..... สักอย่างแหละ = = )



พอมาถึงจุดลงเรือ หมีบอกเลย



โคตร สวยยยยยยยยยยยยยยย



คือไม่นึกเลยว่าตอนนี้อยู่เมืองไทย

วิวเหมือนเราอยู่เมืองนอกมากๆเลยครับ

แล้วโชคดีด้วยที่วันที่เราไป ฟ้าไม่หม่นมากเท่าไหร่

ทำให้ได้ภาพสวยๆแบบนี้มาฝากเพื่อนๆ



ทาดาาาาาาา



วัดจมน้ำ



คือเท่าที่พี่โตโน่บอกมา วัดนี้เคยตั้งอยู่บริเวณกลางน้ำ และจมลง เขาต้องกู้ขึ้นมาตั้งไว้บนบกครับ ปัจจุบันยังมีบางช่วงที่น้ำขึ้นก็อาจจะท่วมๆปริ่มๆบ้าง



ภายในจะเป็นยังไง ไปดูกัน



เมื่อมาถึงภายใน ก็จะมีเด็กตัวเล็กๆ วิ่งมาขอเป็นไกด์ แนะนำประวัติให้เราครับ



**ได้ยินมาว่า จริงๆเมื่อก่อน น้องๆจะมาขอเงินอย่างเดียว แต่เกิดการ รณรงค์ หรือมีกฎเข้มงวดไม่แน่ใจ ให้น้องๆต้องทำงานแลกเงิน ไม่ว่าจะพาเดินเที่ยว พาชม เล่าประวัติ เพื่อแลกกับเงินของนักท่องเที่ยวครับ



วัดจมน้ำจะมีทั้งหมด 3 ส่วนให้เราได้เข้าชม ส่วนนี้เป็นส่วนที่สอง



แม้จะเหลือแต่ซาก ก็ยังนับว่าทำให้ลำรึกถึงประวัติศาสตร์ได้ดี



ส่วนสุดท้ายที่เหลืออยุ่ของวัดคือ "หอระฆัง"



และพอเราเดินเที่ยวกันอย่างหนำใจ พี่โตโน่ ก็วนมาส่งเราที่อีกฟากนึงของสะพานมอญ ให้เราได้เดินข้ามสะพานกลับไปเอารถที่ปลายสะพาน ซึ่งเป็นจุดขึ้นเรือของเรา



สะพามมอญนี้ น้องเล่าให้ฟังว่า คนมอญเป็นคนสร้างทั้งหมด ไม่ได้ใช้เครื่องมือใดๆในการสร้าง



**ข้อควรระวัง เนื่องจากเป็นสะพานเก่าแก่ ไม้ระหว่างขั้นจะมีร่องที่กว้างพอสมควร พยายามอย่าทำอะไรชิ้นเล็กๆหล่นลงไปเพราะหายากมาก



หมีทำฝากล้องหล่นลงไป T^T ดีนะมีน้องๆมาช่วยเก็บ เลยให้เงินค่าหาแก่น้องผู้เก่งกาจไป



จากนั้น ตามเป้าเดิม เราจะไปป้อมปี่กันครับ

แต่ฝนกำลังจะตก เจ้าหมูเลยลังเล ว่าเราควรไปปิล็อกเลยมั้ย



แต่ด้วยความเสียดายที่มาแล้วทั้งที เราสองคนเลยบึ่งไปก่อนที่ฟ้าจะมืด เพื่อให้ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน ณ จุดที่เราต้องการ



ถึงแล้ววววว ทัน 18:00 พอดี เจ้าหน้าที่เลยให้เข้ามาครับ



ซึ่งบอกเลย ว่าไม่ผิดหวังจริงๆครับ

เป็นวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยมากที่สุดแห่งหนึ่งในชีวิต ที่ไปมา



บรรยากาศยามเย็น ลมพัดเอื่อยๆ ทำให้เราอยากหยุดเวลาอยู่ที่นี่นานๆ



แต่ไม่ได้!!! เพราะเราจองที่พักไปแล้ว 55555+



ไปครับ ไปกันต่อ



วันแรกของเรายังไม่หมด



ก็ตามที่พี่ท่านนั้นได้เตือนมาครับ



สำหรับใครที่จะขึ้นปิล็อกตอนกลางคืน



มัน มืด มากกกกก

มืดจริงๆ ไม่มีไฟเลยสักดวง ไม่มีรถขับเป็นเพื่อน เอาง่ายๆ ไม่มีอะไรเลย!! แล้วทางนี่แบ่บ........ โอ้ยยยยย จะโค้งเยอะไปไหนพ่อคู๊ณณณณณณณณณณณณ นึกว่าขึ้นเชียงราย



โค้งไป โค้งมา จนเจ้าหมูเมารถ ที่สำคัญเลย ไม่มีสัญญาณมือถือครับ แต่ยังดีที่ทางเป็นทางเดียว ไม่ได้มีแยกอะไร ทำให้เราสามารถขับไปตามทางเรื่อยๆ ได้ครับ



วันที่เราไป พุทโธพุทถัง ฝนตกหนัก คลานเป็นเต่าเลยครับ

ขับได้ไม่เกิน 20 กม./ชั่วโมง เพราะกลัวอันตราย



กว่าจะถึงก็ปาไป 21:00กว่าๆได้



แล้วด้วยสภาพฝนตกไม่หยุด เราเลยไม่ได้เก็บภาพบรรยากาศของวันที่ 1 มาต่อ T^T ขออำภัยครับ



รุ่งเช้าของวันที่ 2 เราตื่นตามแพลน 05:00 ครับ
เพื่อขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ เนินช้างศึก

แต่!!!........... เมื่อวานฝนตกหนัก

วันนี้เลยมีแต่

หมอก หมอก และก็หมอกจ้าาาาาาาา

มองบ่เห็นอีหยังเลยเด้อออออ

อดครับ T^T เนินช้างศึกที่เราใฝ่ฝัน

แล้วหมอกลงขนาดนี้ เช้าๆแบบนี้ เราสองคนทำอะไรต่อ??

นอนสิครับ รออะไร กลับที่พัก!!

ตื่นมาอีกทีก็ 9โมงกว่าๆ ก็แพ็คกระเป๋า เช็คเอ้าท์ แล้วกะว่าจะไปเดินเล่นในหมู่บ้านปิล็อกกัน



เราลองไปดูบรรยากาศปิล็อกในม่านหมอกกันครับ



การพลาดเนินช้างศึกก็น่าเสียดายครับ



แต่อย่างนี้แหละเนอะ มันมีอะไรนอกเหนือจากแพลนที่เราวางไว้เกิดขึ้นได้เสมอๆ



มองให้เป็นโอกาสดีที่เราได้เห็นหมู่บ้านน่ารักๆอย่างปิล็อก ในบรรยากาศที่โดนหมอกปกคลุมแบบนี้ละกันครับ ^^



จากเมื่อกี้ที่เห็นคนเขียนป้ายห้อยไว้เยอะแยะ เจ้าหมูเลยเดินหาว่า เอ๊ เค้าเอามาจากไหนกันน้อ



ก็ไปเจอป้าคนนึง ขายอยู่ในตลาดครับ อันละ 20 บาท พร้อมมีปากกาสีให้เขียนด้วย



The Planners ของเราก็เลยขอถือโอกาส ทิ้งไว้เป็น Landmark ที่มาเยือนแล้วอีกที่นึงละกันเนอะ



ก่อนจะเดินทางไกลกลับ กทม. เราก็ไปเจอร้านที่มีกิมมิคร้านนึงเข้า อยู่ข้างในตลาด เป็นร้านขายกาแฟนี่แหละครับ



แต่ที่น่ารักคือ.....



ภาชนะที่ใช้เป็นกระป๋องนม



เจ้าหมูตกเป็นทาสการตลาดอีกแล้ววววว



ระหว่างขาขับกลับลงเขา เราก็ได้เจอกับจุดชมวิว กม19 ที่ถือเป็นภาพวิวทิ้งท้ายทริปที่สวยงาม ไกลสุดลูกหูลูกตาเลย



แม้วันนี้ฟ้าจะไม่เป็นใจเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าทริปนี้มีหลากหลายรสชาติให้เราได้ครบตลอดการเดินทาง



ก่อนจะจากกันไปสำหรับทริปกาญฯ



สรุป

1. 2 วัน 1 คืน ไม่เคยน้อยไปสำหรับคนที่รักจะเที่ยว

2. จัดเวลาให้ดีๆ และพร้อมรับมือสิ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะเกิดขึ้น

3. เมื่อยามเหนื่อย เราจะรู้ว่าคนข้างๆ ใส่ใจเรามากแค่ไหน

4. จุดหมายปลายทางสำคัญ แต่ระหว่างทางก็สำคัญไม่แพ้กัน



และสุดท้าย



5. ถ้าไม่จำเป็น อย่าขึ้นปิล็อกตอนมืด!!!



สวัสดีครับ//ค่ะ



ฝากติดตามเพจของเราได้ที่

https://www.facebook.com/theplannersbytsst/



#theplanners

#เที่ยวนอกแพลน



TurkTS

 วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 08.48 น.

ความคิดเห็น