ซินจ่าววว ถ้าพูดถึงเวียดนาม...ทุกคนก็คงจะนึกถึงทะเลทราย ทุ่งดอกไม้ เมืองประวัติศาสตร์ เสียงแตร บลาๆๆ แต่ใครจะไปคิดว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นเว่ย วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์ไปเวียดนามครั้งแรกในชีวิต สถานที่ที่เราไปบอกเลยว่าถ้าทุกคนเห็นแล้วต้องร้อง เหยยย...มันใช่เวียดนามจริงหรอวะแก เออ...ใช่เวียดนามจริงๆเว่ย

ช่วงเวลาที่เราเลือกเดินทาง : 23-25 กุมภาพันธ์ 2019 (ส อา จ)

อุณหภูมิ : สูงสุด 29 ํ / ต่ำสุด 22 ํ

จุดหมายปลายทาง : ดานัง-ฮอยอัน

แหม่...จริงๆก็อยากไปช่วงวาเลนไทน์ให้มันรู้สึกโรแมนติกอยู่หรอกนะ แต่คนมันจะต้องเยอะมาก เที่ยวไม่สนุกแน่จ้า เหตุผลที่เราเลือกเมืองดานัง-ฮอยอันเพราะว่าเราคำนวณแล้วว่าใช้เวลาไม่นานในการเดินทาง แต่ละเมืองอยู่ห่างกันแค่ 40-60 Km จากสนามบินเท่านั้นเอง เราอยากเที่ยวให้เต็มที่ ก็ต้องวางแผนให้มันคุ้มค่าหน่อยเนอะ เริ่มกันเลย...

ขอฝาก Tips สรุปไว้สักหน่อย ก่อนไปเวียดนามเราต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง

  1. อินเตอร์เน็ต : ปัจจัย 5 ของชาวเรา เวียดนามค่อนข้างเจริญเด้อ เข้าคาเฟ่หรือที่พักไหนก็มี Wi-Fi ให้ใช้รัวๆ แต่ว่าซื้อซิมเปลี่ยนดีกว่า ชีวิตการเดินทางจะดีขึ้นเยอะ เราไปแลกซิมที่สนามบินดานัง ราคาเท่ากันทุกร้าน $8 unlimited internet สำหรับ 8 วัน แพ็คเกจนี้เป็นแพ็คเกจ minimum ของเขาแล้ว ซื้อเหมาๆไปเถอะจ้า เพราะมันคุ้มจริงๆ ดูหนัง ฟังเพลง เต็มที่ไม่ต้องกลัวเน็ตหมด ราคาไม่แรงด้วย
  2. Taxi : ปัญหาติดอันดับของคนไปเวียดนาม ฮ่าๆๆ มิเตอร์มันโกงจ้าา ขึ้นแท๊กซี่อย่าได้ให้เขากดมิเตอร์เชียว บอกขอราคาเหมาไปเลยแล้วใช้สเต็ปต่อราคาเอา หรือ อีกทางเลือกหนึ่งที่แนะนำ Grab ช่วยชีวิตท่านได้ ราคายุติธรรม สบายใจสุดๆ นี่แหละคือเหตุผลที่ต่อให้บ้านเขามีอินเตอร์เน็ตให้ใช้อู้ฟู่ยังไง ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนซิมเด้อ มันจำเป็นตอนเดินทางนี่แหละเธอ แอพลิเคชั่น Grab เนี่ยก็คือๆกันกับที่เราใช้ที่บ้านเรานะ ไม่ต้องไปหาโหลดใหม่ให้ยุ่งยาก
  3. ปลั๊กไฟ : บ้านเขาบ้านเราเหมือนกันนะ ไม่จำเป็นต้องเอา adapter ไปเปลี่ยน
  4. การขับรถ : ที่เวียดนามพวงมาลัยรถอยู่ทางซ้ายนะ แล้ววิ่งเลนขวาด้วย ใครเช่ารถขับเองก็ต้องรู้ไว้หน่อย จำกัดความเร็วไม่เกิน 60 km/hr เต่าไปอี๊กกก แล้วที่นี่บีบแตรกันเป็นมารยาทนะคะ บีบสั้นบีบยาวไม่ต้องไปหัวร้อน บีบเป็นธรรมเนียมจริงๆ คุณจะได้เห็นสีสันบนท้องถนนอีกรูปแบบไปเลยค่ะ
  5. อาหาร : อร่อยจ้าแถมราคาถูกด้วย แต่ต้องเป็นอาหาร Street food นะถึงจะอร่อย อาหารโรงแรมไม่เวิร์คเลยจริงๆ (อาจจะแล้วแต่โรงแรมนะ) อาหารเขาจะเน้นเป็นแป้งและผัก ใครขยาดแป้งก็ต้องเลือกกินหน่อย แต่อีนี่ลองหมดค่ะแปลกดี เดี๋ยวทำสรุปรายการอาหารที่เราไปกินให้ตอนท้ายนะ
  6. เงิน : หน่วยเงินเขาเป็น VND (Vietnam Dong) วิธีแปลงเป็นเงินไทยก็เอาไปคูณ 0.0014 หรือง่ายสุดใช้แอพพลิเคชั่นสำหรับ Convert ค่าเงินค่ะ ที่สำคัญคือแลกเงิน US$ ไปเผื่อด้วย ร้านบางร้านก็รับเงินดอลล่าร์ เผลอๆค่าเงิน US$ ถูกกว่า VND ด้วย ฮือออ เราผ่านช่วงเวลาขาดทุนนั้นมาแล้ว
  7. แอพลิเคชั่น : สมัยนี้มีเทคโนโลยี ในเมื่อมีมาให้ก็ใช้ซะ ชีวิตดีขึ้นเยอะค่ะ โหลดไปค่ะพวกแอพต่างๆ มีไว้สบายใจดีกว่าเนอะ
  8. ไอเท็มเสริม : ยาดม ยาหม่อง ยาอม ยาหอม ยาสามัญประจำบ้าน อย่าลืมเอาติดไปด้วยนะเธอ มันได้ใช้แน่ๆถ้าใครที่ชอบเมารถ เมาเรือ หรือกลัวความสูง

DAY 1

เราเลือกไฟล์ทบินตรงของ Air Asia : ดอนเมือง(DMK) - ดานัง(DAD) รอบ 10 โมงเช้าค่ะ ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชม. 40 นาที โอ้ววว...ไกลกว่าไปเชียงใหม่นิดเดียวเอง

  • เราได้ค่าตั๋วมาในราคาไป-กลับ 2 คน คนละ 4,000++ ถ้าใครได้โปรดีๆ หรือไปช่วงวันธรรมดาก็อาจจะถูกกว่านี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถล้วนๆเลย
  • บินตรงไปจากดอนเมืองไปดานังมีวันละ 3 ไฟล์ท คือรอบ 7 โมงเช้า, 10 โมงเช้า และ 4 โมงเย็น แล้วตอนนี้เหมือน Air Asia จะมีเส้นทางบินตรงเปิดใหม่จากเชียงใหม่ไปดานังนะ ลองไปศึกษากันดู

สนามบินดานังที่จินตนาการไว้คือกากก๋อยเลยนะ คิดว่าเป็นสนามบินเล็กๆ แต่พอไปถึงคือนางไม่ได้มาเล่นๆจ้า ใหญ่ สะอาด ห้องน้ำคือดีย์กว่าดอนเมืองหลายเท่า ลงเครื่องไปตรวจคนเข้าเมือง สังเกตจากคนก่อนหน้าเวลาตม.ตรวจคนไทย เราไม่ค่อยเห็นเขาถาามอะไรเลยนะ ส่วนเราแค่ยิ้มสวยๆก็ผ่านไปได้ฉลุย อิอิ

จากนั้นมาเปลี่ยนซิมเด้อ เลือกช็อปตามความพึงพอใจ based on หน้าตาคนขาย555 เราเปลี่ยนแค่เครื่องเดียว เพราะจะใช้สำหรับเวลาเดินทาง เช่น เปิด Grab, Google Map, XE Currency, WiFi Finder บลาๆๆ จริงๆคืองกนั่นแหละ555 อีกเครื่องรอมีสัญญาณ Wi-Fi ค่อยใช้

สถานีต่อไป เราจะไปพักกันที่ Bana Hills กัน เปลี่ยนซิมแล้วเรียก Grab เลย ราคาถูกกว่าแท๊กซี่เยอะ เท่าที่ศึกษามา เรียกแท๊กซี่ไปบาน่าฮิลล์จะตกอยู่ที่ราวๆ 400.000 - 500.000 VND แต่เรียก Grab ไม่เกิน 300.000 VND แน่นอนจ้า รถเขาสะอาด คนขับนิสัยดี บริการดี สื่อสารภาษาอังกฤษดีด้วย

ขึ้นรถแล้วก็ได้สัมผัสบรรยากาศกับเมืองดานัง มันจะมีอยู่ช่วงนึงที่ใกล้ๆจะขึ้นสะพาน มีต้นปาล์มสูงชะลูดเรียงไปตามถนน วิวมันอารมณ์แบบอยู่ Hollywood, LA อะไรแบบนั้นอะ แล้วก็เรื่องบีบแตร มาเห็นจริงๆแล้วจ้า โอ้ยย...บีบกันแบบ ตอนเด็กๆแม่ไม่เคยให้เล่นตุ๊กตาปี๊บๆใช่มั้ยอะ555 แต่เขาบีบกันเป็นเรื่องปกติจริงๆ บีบเป็นมารยาทว่างั้นเถอะ แต่บอกตรง...ถ้าเป็นบ้านเราบีบแตรแบบนี้ได้มีลงไปต่อยกันอะ555 แล้วอย่างที่บอกไปตอนต้น ต่อให้ถนนโล่งแค่ไหน เขาก็ปฏิบัติตามกฏจราจรอย่างเคร่งครัด ความเร็วระดับหอยทากเป็นตะคริว เราจ้องเข็มวัดความเร็ว ไม่เคยเกิน 70 km/hr เลย ทำให้ระยะทางเพียง 40 km ใช้เวลาไปนานเกือบชั่วโมงเลยค่ะ

การจะขึ้นไปที่บาน่าฮิลล์ มีวิธีเดียวคือ cable car หรือกระเช้าลอยฟ้า ซึ่งได้รับการบันทึกสถิติโลกโดยกินเนสส์ว่าเป็น Highest and Longest non-stop single tract cable car (ยาวสุด สูงสุด ไม่หยุดแวะ) และยังเป็นสถานีกระเช้าไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย

ด้านบนบาน่าฮิลล์มีโรงแรมเพียงที่เดียว คือ Mercure Danang French Village โรงแรมระดับ 4 ดาวสไตล์ฝรั่งเศส ซึ่งคืนนี้เราจะนอนที่นี่แหละ เราจองโรงแรมผ่านเว็บตรงของ Accor เพราะได้โปรโมชั่นจองล่วงหน้า ราคาถูกกว่า เราให้ Grab มาส่งที่ Reception ของโรงแรมสถานี cable car : Toc tien station เพื่อ check-in และจ่ายเงินค่าที่พัก + กระเช้า

พี่ Grab แกก็แจกไอดีไลน์เลย เผื่อให้เราไปใช้บริการเขาต่อวันพรุ่งนี้ไปฮอยอัน

  • ค่า cable car ถ้าเราพักที่โรงแรมด้านบนจะได้เรทราคาพิเศษคือคนละ 400.000 VND (คนละ 600 บาท) จากปกติ 600.000 VND (คนละ 800 บาท) เที่ยวแรกจะเริ่มเปิดใช้เวลา 07.30 น.
  • ส่วนค่าโรงแรมคืนละ 1596.605 VND (2000++ บาท) มีมัดจำด้วย 1000.000 VND รวยๆป่ะ นอนโรงแรมคืนละเป็นล้าน อิอิ ถ้าใครที่มาเที่ยวช่วง low season ก็จะได้ราคาที่ถูกกว่านี้อีกเด้อ

จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะพาไปขึ้น cable car โอ้ย...ตื่นเต้นมาก ไม่เคยขึ้น แถมจริงๆเราไม่ค่อยชอบอะไรสูงๆหวาดเสียวอยู่แล้วด้วย พอตอนที่กระเช้ามันออกตัวเท่านั้นแหละ รู้สึกโหวงเหวง โล่งมาก เหมือนกำลังลอยขึ้นไปบนเขาเรื่อยๆ ใครกลัวความสูงขั้นสุด อย่ามองลงไปข้างล่างเชียว ในกระเช้ามีแผนที่อำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว และ ถุงอ้วกไว้บริการด้วยนะ ฮ่าๆๆ

แต่บอกเลยว่าวิวบนนี้สวยมากๆ ระหว่างทางที่กระเช้าค่อยๆลอยขึ้นไป มีน้ำตก ลำธาร ได้ยินเสียงน้ำชัดเจนเลย เสียงนกเสียงลิง ก็เข้ามาในกระเช้าให้เราได้รู้สึกว่าใกล้ชิดธรรมชาติมากๆเลย ด้วยความที่เป็นบ้านนอกเข้าเมือง ก็โบกมือบ้ายบายกระเช้าที่สวนทางมาแบบไม่สนใจเลยว่าเขาจะโบกมือตอบกลับมั้ย555 ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเราก็ขึ้นมาถึงแล้ว

กระเช้าที่นี่มี 3 สาย คือ

  • สายตรงจาก reception โรงแรมขึ้นยาวไปถึงบาน่าฮิลล์
  • สายจากบาน่าฮิลล์ไปยังโซนสวนดอกไม้และโรงบ่มไวน์
  • สายจากบาน่าฮิลล์ไปสะพานมือ

ขึ้นมาแล้วเหมือนอีกโลกเลยเว่ยยยย คืออากาศพื้นราบมันร้อนมั่กๆ ไม่ต่างจากเมืองไทย แต่ข้างบนนี้มันเย็นสบาย เข้ากับบรรยากาศแบบฝรั่งเศสจริงๆ เหมือนอยู่ในเทพนิยายเลย เสื้อผ้าหน้าผมนี่สำคัญเลยนะ อยากได้รูปสวยๆกลับไป ก็อย่าลืมเตรียมชุดให้เข้ากับบรรยากาศด้วยนะ

พอเดินออกมาจากกระเช้าแล้ว ก็จะรู้สึกชุลมุนนิดๆ เพราะมีทัวร์มาลงเต็มไปหมด ทัวร์ไทย เกาหลี จีน เฮือกกก ก็นะ...นี่วันเสาร์นี่นา คงต้องรอเย็นๆให้คนเริ่มจาง หันไปทางขวาเท่านั้นแหละ กรี๊ดดดด...โบสถ์ที่ฉันตั้งใจมาถ่ายรูป มีผ้าใบสีเขียวคลุมทั้งโบสถ์เลย ปิดซ่อมแซมจ้า อีนี่จะร้องไห้ วิวดีๆที่อยากมาเห็นเสียหมด ฮือออ แต่ไม่เป็นไร ข้างบนนี้สถาปัตยกรรม มันก็สวยทุกซอกทุกมุมแหล

เลิกฟูมฟาย แล้วเลี้ยวขวาไป check-in เราต้องเดินหน้าต่อไป สิ่งที่ได้มาจากการเช็คอิน คือ Key card สำหรับเข้าห้องและสถานที่อำนวยความสะดวกของโรงแรมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก สระว่ายน้ำ ห้องเล่นกีฬาเพื่อสันทนาการ (ปิงปอง แบดมินตัน กอล์ฟ โบว์ลิ่ง) อย่าทำหายเชียว และบัตรอาหารเช้า

ห้องที่เราจองเป็นห้อง Standard วิวภูเขา รู้สึกคุ้มค่ามากกับห้องนอนมาก ภายในตกแต่งสไตล์ฝรั่งเศส อุปกรณ์ครบครัน ตั้งแต่สบู่ยันทีวี พอพักล้างหน้าล้างตา ก็รีบออกไปสำรวจเส้นทางทันที

เข้าช่วงสาระนิดนึง อะแฮ่ม...เวียดนามเคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ข้าหลวงฝรั่งเศส มีแนวคิดริเริ่มที่จะสร้างสถานที่พักผ่อนบนเขาให้กับชาวฝรั่งเศสรวมทั้งทหารที่ประจำการอยู่ที่นั่น จึงค้นพบและเลือกที่นี่ เพื่อสร้างเป็นที่พักตากอากาศสำหรับชาวฝรั่งเศส เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศดี และอากาศเย็นสดชื่น มีการสร้างวิลล่าขึ้นมาเป็นครั้งแรก ตามด้วยโรงแรม รีสอร์ต และสาธารณูปโภคที่ทันสมัย จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม แต่ก็ถูกทิ้งร้างไปเมื่อสงครามจบลง

พอเวียดนามฟื้นฟูประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า ที่นี่ก็ถูกพัฒนาให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ รวบรวมแหล่งสันทนาการ สวนสนุก สถาปัตยกรรม รวมทั้งห้องนิทรรศการที่รวบรวมประวัติความเป็นมาตั้งแต่ยุคอาณานิคมเอาไว้อีกด้วย

บรรยากาศให้ฟีลแบบหนังในเรื่อง Beauty and the Beast เลยแหละ ดีงามมมม

มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะแยะไปหมดเลยยยย

แต่ละมุมก็จะมีดอกไม้สดหลากสีสันประดับตกแต่ง ใครสายถ่ายรูปไม่ผิดหวังแน่นอน

ถึงแม้ว่าเราจะอกหักจากโบสถ์แสนสวยที่เราตั้งใจจะมาถ่ายรูปด้วยก็ตาม แต่มุมอื่นๆของที่นี่ก็สวยมากเลยค่ะ ตรงลานส่วนกลางที่มีลูกโลกหมุนๆ คล้ายที่ Universal ช่วงกลางวัน เขาจะมีจัดกิจกรรมการแสดงกลางแจ้ง ทั้งคอสตูม นักแสดงก็เป็นฝรั่งหมดเลย ให้เรารู้สึกว่าเหมือนอยู่ในฝรั่งเศสจริงๆ

นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีสวนสนุกขนาดย่อม Fantasy Park ด้านในก็จะมีเครื่องเล่นหลากหลายมาก ไฮไลท์ก็จะเป็น Giant Drop ให้เสียวเล่นพอหอมปากหอมคอ, เกมส์หยอดตู้, ห้องชมหนัง 3D, พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง (อันนี้ต้องเสียงเงินค่าเข้าเพิ่ม) ไม่ได้ว้าวมากเท่าไร ที่นี่เปิดถึง 1 ทุ่มนะ

ทีเด็ดๆจริงๆที่เราแนะนำให้ไปเล่นคือ roller coaster อยู่ตรงทางเข้า Fantasy Park พอดี คนต่อแถวยาวมากกกกกก เราไปเริ่มต่อแถวตอน 4 โมงเย็น ได้เล่นเกือบ 5 โมง มันก็คือรถรางนั่งได้ 1-2 คน บังคับด้วยคันโยก สนุกมากจ้า ทางมันคดเคี้ยวม้วนลงไปตามเขาอะ เราด้วยความที่นั่งหน้าแล้วแฟนบังคับคันโยกอยู่ข้างหลัง มันรู้ว่าเราไม่ชอบหวาดเสียวก็โยกสุดเลยจ้า ลมเย็นๆตีหน้าพรึ่บๆๆ กรี๊ดๆๆ แต่ใช้เวลาไม่นานก็จบแล้ว เล่นฟรีนะ ตอนสุดท้ายหลังจากลงรถ ก็จะมีจุดบริการขายรูปที่ระลึกให้เรา ระหว่างที่เราเล่นนั่นแหละ ใครทำหน้าเหวอก็จบ555 ซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้ ราคารูปละ 60.000 VND

พอเล่นเสร็จ อยากจะไปหาอะไรกิน ซวยแล้วจ้า...ร้านอาหารบนนี้ส่วนใหญ่ปิด 5 โมงเย็นนะเออ จะเปิดก็แต่บาร์ หรือ ลานเบียร์ สุดท้ายก็ต้องไปกินข้าวที่ลาน Beer Plaza ที่นี่ก็จัดเป็นฉากหมู่บ้านโรงเบียร์เจ๋งๆเลยนะ แล้วก็มีขายอาหารบุฟเฟ่ต์คนละ 200.000 VND ก็แพงอยู่นะ แต่ว่าได้เบียร์ฟรีคนละลิตรอะ ใครชอบจิบเบียร์นั่งชิว ฟังดนตรีสดตอนกลางคืนก็คุ้มเลยแหละ ส่วนรสชาดอาหารอย่าไปพูดถึงมันเลย555 อร่อยแค่บางอย่างจริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเครื่องเคียงกับของทานเล่นที่ถูกปาก ไลน์อาหารก็ค่อนข้างน้อย สรุปคือ กินประทังชีวิตและจิบเบียร์เอาบรรยากาศก็พอ

ตกดึกนี่โรแมนติกมากๆ ใครมีแฟนพาแฟนมาเลยเด้อ เขาจัดไฟได้เข้ากับบรรยากาศจริงๆ

เหมาะจะขอแต่งงานไปอี๊ก แถมช่วงดึกที่นี่ก็เงียบสงบถูกใจฉันมาก ต่างกับกลางวันลิบลับ อากาศก็เย็นยะเยือก มีเสื้อหนาวพกมาก็จะได้ใส่งานนี้

DAY 2

บอกเลยว่าการถ่ายรูปที่นี่ จะถ่ายให้สวยและหลีกเลี่ยงคนให้ได้มากที่สุดก็คือตอนเช้าก่อนนักท่องเที่ยวจะขึ้นมาและตอนเย็นที่นักท่องเที่ยวกลับลงไปแล้ว วันนี้เราตั้งใจไปเก็บจุด Landmark ให้หมด เริ่มจากสะพานมือในตำนาน The Golden Bridge นั่นเอง

นี่คือทางเดินระหว่างไปขึ้นกระเช้า แค่นี้ก็เสียเวลาละอะ กล้องเมมเต็มแน่เลย555

เรารีบตื่นเช้าแล้วออกไปขึ้นกระเช้าไปลงสถานี Ga Bordeaux ก็จะถึงตัวสะพานเลย นี่ขนาดมาเช้าแล้วนะ เราก็ไม่ใช่คนกลุ่มแรกที่มาถึง ที่นี่เพิ่งสร้างมาได้ 2 ปี แต่ก็เป็นแลนมาร์คที่มีชื่อเสียงมาก ที่นี่วิวสวยมากเพราะว่าสะพานสีทองทอดยาวยื่นออกไปจากเชิงเขา เห็นวิวแบบ 360 องศา

เรามาถึงช่วงประมาณ 7 โมงเช้า ด้านล่างขาวโพลนไปด้วยทะเลหมอก ถ้ามาเช้ากว่านี้คงมาทันดูพระอาทิตย์ขึ้นพอดี แล้วที่นี่ก็ยังเป็นที่นิยมถ่าย Pre-Wedding ของคู่บ่าวสาวหลายๆคู่ด้วย หวานกันจริง จริ๊งงงง

พอถ่ายรูปจนพอใจแล้วก็นั่งกระเช้ากลับมาที่โรงแรม มาทานอาหารเช้า แล้วเตรียม check-out ก่อน 11 โมงเช้า


พอได้เงินมัดจำคืนเราก็ฝากกระเป๋าไว้กับ reception แล้วตรงดิ่งไป cable car สถานี Gare Morin ไปสถานี Ga Debay เพื่อเก็บตกสถานีที่เหลือ นั่นก็คือ...สวนดอกไม้และโรงบ่มไวน์

เวลาประมาณ 11 โมงกว่า แต่เริ่มมีละอองฝนเล็กๆโปรยปราย หมอกเริ่มลงหนาตลอดทาง

กระเช้าสีเหลืองสดตัดกับบรรยากาศสีขาวพาเราไปจนถึงปลายทาง

ทีแรกเราก็คิดว่าถึงจุดหมายแล้วแต่ก็ยังไม่เจอสวนดอกไม้สักสวน เมื่อกวาดสายตาไป เจ้ยยยย...รถรางกำลังเทียบท่า คิดว่าคงเป็นรถรางที่พาเราขึ้นไปยังสวนดอกไม้ด้านบนอีกต่อหนึ่ง ไม่รอช้า โดดขึ้นไปเลยจ้า จองที่ท้ายสุดของขบวน

เริ่มเลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆแล้ว เหมือนอยู่ในยุโรปเลยยยยย

ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีที่เราเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศ 2 ข้างทาง ก็ขึ้นมาถึงสวนดอกไม้ด้านบน มีจัดดอกไม้ไว้หลายรูปแบบมาก ดอกทิวลิปสีสดๆทั้งน้านนนน

เราชาวสายดอกก็ต้องไปทำหน้าบานๆให้เข้ากับดอกไม้ซะหน่อย นอกจากนี้ยังมีสวนหมากรุกเก๋ๆ สวนเรเนสซอง กำแพงดอกไม้ อุงโมงค์ต้นไม้ และ เขาวงกตให้เราเข้าไปลองหาทางออกเล่นๆ

ถัดขึ้นมาก็เป็นโรงบ่มไวน์สไตล์ฝรั่งเศส มีห้องบ่มและห้องเก็บแบบโบราณในอุโมงค์

เราใช้เวลาจนถึงช่วงบ่ายนิดๆ ก็ต้องลงไปเจอพี่ Grab ที่นัดกันไว้ ก่อนจะลงไปเราต่อรองราคากันนิดหน่อยเพื่อที่จะให้เขาไปส่งเราที่ฮอยอัน แล้วตกลงให้ไปส่งสนามบินในวันสุดท้าย ในราคาเหมา 750.000 VND

จากดานังไปฮอยอันใช้เวลาประมาณ 1 ชม.นิดๆ ให้เขาไปส่งที่ Ivy Hotel ซึ่งเราจองไปจากไทยคืนละ 650 บาท ห่างจากเมืองแค่ 100 เมตร ทริปนี้ไม่เช่าจักรยานนะ เดินกันรัวๆ ใครตั้งใจมาเดินเตรียมรองเท้ากันมาดีๆล่ะ เดินๆรวมกันแล้วหลายกิโลเลย แต่ถ้าใครอยากเช่าจักรยานถ่ายรูปฮิปส์ๆ ก็ลองไปหาเช่าเอาแถวนั้นได้ค่ะ เห็นป้ายเขียนราคาไม่น่าเกิน 40 บาท

ก่อนที่จะเข้าไปชม ที่ทางเข้าหลักจะมีเคาน์เตอร์ขายตั๋วสำหรับเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในเมืองเก่าคนละ 120.000 VND เข้าชมได้ 5 สถานที่สำคัญตามจุดต่างๆ ในเมืองเก่า ตั๋วไม่มีหมดอายุ สามารถใช้ได้จนกว่าจะครบ 5 ครั้ง ซึ่งจะสามารถเข้าชมสะพานญี่ปุ่น, วัดจีน, พิพิธภัณฑ์เซรามิก ฯลฯ

แต่ถ้าอยากเดินเล่นในเมืองเฉยๆ ไม่ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ก็สามารถเข้าได้ทางถนนเลียบแม่น้ำ ก็เข้ามา shopping เสื้อผ้า อาหารข้างทาง ของที่ระลึกได้เลย

จุดเด่นของที่นี่คือเอเวอร์รี่ติง อิส มาสตาร์ดเยลโล่ว บ้านเมืองเก่าแก่ทุกหลังเป็นสีเหลือง องค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ด้วยเหตุผลว่าเป็นตัวอย่างของเมืองท่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการผสมผสานศิลปะและสถาปัตยกรรมทั้งของท้องถิ่นและของต่างชาติไว้ได้อย่างมีเอกลักษณ์

เมื่อก่อนเมืองนี้มีชุมชนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกันมากมายทั้ง จีน ญี่ปุ่น เวียดนามและชาวดัตช์สถาปัตยกรรมที่แสดงออกมาจึงมีความผสมผสานกันนั่นเอง

จุดเด่นของที่นี่คือรถถีบ ถ้าเมื่อยๆก็ลองไปใช้บริการลุงแกพาชมรอบเมืองได้จ้า

ที่นี่คนพลุกพล่านมากเหมือนถนนคนเดินเลย จักรยานปั่นกันให้เต็ม วิธีแยกนักท่องเที่ยวกับคนท้องถิ่นคือ ถ้าเราไปขวางทางจักรยานแล้วเขาตะโกนส่งเสียงปี๊นๆๆ ทั้งๆที่ไม่มีกริ่งละก็...คนพื้นที่แน่นอน!!! ฮ่าๆๆ เราวางแผนว่าช่วงเย็นจะไปเที่ยวดูงานโคมไฟก่อนแล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยมาถ่ายรูปกับอาคารบ้านเรือนกับชุด...อ๋าวหญ่ายยยย

ที่นี่มีอาร์ตแกลลอรี่ขายผลงานของศิลปินท้องถิ่น และร้านคาเฟกระจายตัวอยู่รอบเมืองเยอะมากกกกกกกกก แต่ละร้านก็ตกแต่งไม่เหมือนกัน เมนูฮอตฮิตน่าลองก็คงจะเป็นกาแฟมะพร้าว เราชิมมาแล้วมันนัวๆนะ เหมือนกินกาแฟแต่นมที่ใส่เป็นกลิ่นมะพร้าวอะ แล้วเนื้อสัมผัสก็เหมือนกินมะพร้าวขูดเล็กๆยังไงยังงั้นเลย ก็อร่อยดีนะ

ที่นี่ในช่วงเย็นคนจะเริ่มเยอะแถวๆริมแม่น้ำ เพราะว่าจะมีเทศกาลงานโคมไฟแถบนี้ทุกคืน

ถ้าลองไปเดินริมแม่น้ำตลอดทาง จะถูกป้าๆลุงๆเชิญชวนให้ไปใช้บริการล่องเรือกันแบบขายตรงกันเลยทีเดียวใครอยากลองก็ลองไปดูนะ น่าจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงได้

ทุกที่เต็มไปด้วยโคมไฟหลากสีสันมากจ้า แต่บางร้านระวังดีๆเด้อ เจ้าของร้านโคมก็ไม่ได้ใจดีทุกคน ห้ามเราถ่ายรูปก็มี โคมมีหลายขนาดมากตั้งแต่เล็กเท่ากำปั้นไปจนขนาดใหญ่เท่าหม้อหุงข้าวก็มี ถ้าไม่ได้รูปโคมสวยๆกลับบ้าน ถือว่ามาไม่ถึงฮอยอันนาจา

กิจกรรมริมน้ำอีกอย่างที่น่าสนใจก็คือการลอยกระทงกระดาษในแม่น้ำ ทางเดินเลียบแม่น้ำก็จะมีป้าๆมานั่งขายกระทงกันตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงดึก อันละ 5000 VND เทศกาลนี้มีจัดทุกคืน

เราเดินเที่ยวตลาดกลางคืนเพื่อตามหาซื้อชุดอ๋าวหญ่าย อ่อ...ลืมบอกไปว่านักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ ใส่ชุดนี้กันเป็นว่าเล่นเลยนะ มากันเป็นกลุ่มแก๊ง แต่ละคนใส่ชุดสีสวยๆทั้งนั้น เราก็เลยมาหาซื้อบ้าง แน่นอนล่ะว่าซื้อตามแหล่งท่องเที่ยวมันแพง เดินสำรวจอยู่หลายร้าน บางร้านก็ขายเว่อร์เกินแล้วบอกว่าขึ้นอยู่กับคุณภาพวัสดุ บางร้านขายราคากลางๆ

เทคนิคคือถ้าเราต่อราคาไม่ได้เราเดินออกเลย ถ้าเขาจะขาย เดี๋ยวเขาจะมาตามง้อเราเองค่ะ กลายเป็นว่าจากที่ขายแพงๆตอนแรก ลดราคาลงมา 50% ว้อททท!! อยากจะอุทานออกมาเป็นภาษาเวียดนาม555 แล้วตะกี้ที่บอกราคา depend on quality คืออิหยังว่ะ นี่โก่งราคาฉันใช่ปะ555 ไม่ซื้อจ้ะร้านนี้ มารยาทไม่ดี พอไม่ซื้อด่าไล่หลังอีก

สุดท้ายก็มาได้อีกร้าน ต่อราคาได้ 380.000 VND (ราคาสำรวจจะอยู่ที่ 450.000 VND) ป้าคนขายใจดีมาก ให้เราลองชุดก่อนได้ ยิ้มแย้มแจ่มใส เห็นแก่ service mind เลยซื้อเขาหน่อย แต่จริงๆถ้าอยากใส่ชุดนี้ ซื้อจากเมืองอื่นหรือซื้อมาจากแถวพาหุรัดงี้ น่าจะถูกกว่าเยอะนะ

ใกล้จะสี่ทุ่มแล้วคนเริ่มซา จะเหลือก็แต่บาร์ริมน้ำที่ยังเปิดอยู่ แต่เราอยากแนะนำว่าให้มาช่วงธรรมดาจะดีกว่าเพราะคนจะไม่เยอะมาก ทำให้เข้าถึงบรรยากาศเมืองเก่าได้มากกว่าเด้อ

DAY 3

ปากประตูทางเข้าเมืองเก่ามีโบสถ์สีชมพู เราว่ามันสีสวยน่ารักดี แต่เสียดายเขาไม่เปิดประตูให้เข้าไปอ่า

หลังจากที่เมื่อคืนไปเดินหาซื้อชุดอ๋าวหญ่าย หรือชุดประจำชาติเวียดนาม มาเพื่อเช้านี้เลย บอกเลยว่าบรรยากาศตอนเช้ามันดีงามมาก ต่างจากเมื่อคืนลิบลับ ได้เห็นเมืองชัดขึ้น ความสโลวไลฟ์เงียบสงบ เข้ามาแทนแสงสีเสียงและความครึกครื้นเมื่อคืน

บอกเลยว่าถ้าอยากได้รูปสวยๆกลับไปต้องตื่นเช้าจ้า บ้านเรือนเขาสวยมากนะ ชอบตรงที่หลังคาบ้านเขาจะปลูกไม้เลื้อย ไม่ก็เฟื่องฟ้า เพื่อให้มันคลุมห้อยระย้าลงมา

มุมนี้คนมาถ่ายรูปเยอะสุด น่าปลูกเฟื่องฟ้าแบบนี้ที่บ้านจัง

กำแพงเหลืองฮอยอัน เห็นแล้วอยากกินมะม่วงเลย แต่ขาดหมวกงอบเพราะขี้เกียจแบกกลับ555

สีชมพูนวลๆที่เห็นนั่นอะไร...สะพานญี่ปุ่นไง

สะพานญี่ปุ่นสัญลักษณ์ของเมืองฮอยอันเลยนะ สมัยก่อนสะพานนี้ใช้เชื่อมเพื่อแบ่งเขตชุมชนของชาวญี่ปุ่นที่อีกฝั่งหนึ่งของคลอง และแน่นอนว่าต้องออกแบบโดยชาวญี่ปุ่นและใช้สถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นด้วย

หลังจากเที่ยวชมเมืองตลอดช่วงเช้าแล้ว ก็ต้องกลับไปกินข้าวเช้าที่โรงแรมแล้วล่ะ ไม่ใช่อะไรกลัวไม่คุ้มค่าที่พัก555 แต่อาหารเช้าโรงแรมที่นี่อร่อย หุงข้าวดีมาก ไม่เหมือนที่เคยกินเลย ตอนแรกนึกว่าคนเวียดนามชอบกินข้าวเป็นก้อนแห้งๆซะแล้ว

เราตั้งใจว่าหลัง check out ตอนเที่ยงแล้ว เราจะไปหาไรกินในเมืองเก่าต่อ (เมื่อวานมาถึงช่วงเย็นเลยยังไม่ได้ลอง Street food แล้วก็ยังไม่ได้ไปเดินดูตามพิพิธภันฑ์เลย ต้องจัดให้ครบ)

ในตัวเมืองเก่าจะมีตรอกสีเหลืองแบบนี้อยู่ตลอดทาง ไปถ่ายรูปกันได้ เราว่ามันเจ๋งดีอ่าาา

เดินกลางวันร้อนๆ ก็ต้องหาอะไรดับร้อนเนอะ เดินมาเรื่อยๆก็จะเจอร้านนี้เลยจ้า ร้านน่ารักข้างๆร้านดอกเฟื่องฟ้าสังเกตได้ไม่ยาก เมื่อวานเราเห็นคนมุงร้านนี้เยอะมากเลยต้องมาโดนหน่อย วันนี้วันจันทร์ไม่ค่อยมีคน สบายฉันล่ะ นี่สินะสวรรค์ของคนที่มาเที่ยววันธรรมดา

ท๊าดาาา...นี่คือน้ำดอกบัวจ้า ต้องร้านนี้นะเพราะเราเคยลองร้านอื่นแล้วเจอเส้นผม ม่ายยยยย...ร้านนี้แหละถูกสุขลักษณะสุด ราคาก็ไม่แพงนะแก้วละ 12.000 VND เอง หลอดยังเป็นก้านบัวเลยอะ น่ารักมาก รสชาดมันเปรี้ยวๆหวานๆ คือไม่รู้ว่ารสอะไรอะนะ มันผสมเยอะมาก เขาโชว์ส่วนผสมหน้าร้านนะ แต่บางอย่างก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร555 รวมๆแล้วสดชื่นคร้าบบบ

ช่วงสุดท้ายของการรีวิว ขอปิดที่อาหารเด้อ นี่คืออาหารท้องถิ่นที่เราไปลองกิน (จริงๆมีมากกว่านี้ แต่เพราะหิวเลยกินก่อนจะได้ถ่าย555) รวมๆแล้วก็อร่อยถูกปาก

โดยเฉพาะอันที่อยู่ในถ้วยแล้วมีกากหมูโรยอร่อยมาก ขายในหาบเร่ถ้วยละ 20 บาท ซื้อถ้วยนึงแล้วต้องซื้ออีก ป้าใส่กัญชาปะคะ555

ไอติมโฮมเมดร้านอยู่ใกล้ๆสะพานญี่ปุ่นชื่อร้าน Window Ice-Cream เขาทำเองมีรสแปลกๆให้ลอง

ฮอตดอกเวียดนาม หรือ บั๋นหมี่ ตอนแรกอ่านป้ายถึงว่าบะหมี่ แหม่เป็นขนมปังเลยป้า เห้ยย อันนี้อร่อยจริงไส้หมู ไส้อะไรก็เอามาเหอะ แป้งกรอบ เด็ดที่น้ำจิ้มข้างใน ต้องซื้อร้านในตลาดนะ ถูกและดี

พิซซ่าเวียดนาม สำหรับเราไม่ค่อยอร่อยมันคือการใส่ทุกอย่างทั้งน้ำพริกเผา ผักซอย ไข่ ยำรวมกันลงไปบนแป้งทองม้วนแล้วพับนึ่ง (อันนี้บรรยายตามความรู้สึก) ตัวแป้งกรอบ แต่กินแล้วไม่ดีอะ555

เกาเหลาบ้านเขามีเส้นเด้อออ เส้นบะเร่อเลยยังกะอูด้ง ใส่ผัก ใส่หมู ใส่ซุปพอขลุกขลิก แล้วโรยด้วยหนังหมูกรอบ ก็อร่อยดีนะแต่เขาไม่มีเครื่องปรุงแบบบ้านเรานี่สิ เขาส่งมาให้แค่ซีอิ๊วขาวอะ น้ำตาล พริก น้ำส้มบ่มีเลย555 กินไปเรื่อยๆมันก็จะเลี่ยน

ในส่วนของเครื่องดื่มแปลกๆเช่น น้ำดอกบัว(อันนี้ดี...ชอบบ), โค้กรสกาแฟ เกลียดใครให้ซื้อไปฝากคนนั้น ไม่อร่อยเล้ยยย บ้าเอ้ย... แถมแพงกว่าเบียร์อีก555 เบียร์เวียดนามถูกมากกระป๋องละ 30 บาท OMG!!!

ไม่ช้าไม่นานเวลาผ่านไปเร็วมาก เราก็ต้องบินกลับบ้านไปสู่โลกแห่งความจริงกันแล้ว ฮือออ Grab ที่นัดกันไว้มารอรับตรงเวลามาก ต้องเผื่อเวลาไปสนามบินด้วยนะ เพราะที่นี่ขับรถด้วยความเร็วเต่าพิการ


PS

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะ ฮ่าๆๆ เราขอจบการรีวิวอันยาวเหยียดไว้เท่านี้ ฝากรีวิวนี้ไว้ในใจทุกคนด้วยหวังว่าอ่านแล้วจะสนุก ตื่นตาไปพร้อมกับเรา ถ้ามีโอกาสต้องมาให้ได้นะสนุกมากๆ เราทำสรุปค่าใช้จ่ายไว้ด่านล่างนะ กัมมอง...ขอบคุณค่าาา
ราคานี้เป็นราคารวมสำหรับ 2 คน
- ค่าเดินทาง : 2,525 บาท (เฉพาะค่าแท๊กซี่ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน)
- ค่าที่พัก 2 คืน : 2,835 บาท
- ค่าอาหาร : 2,100 บาท
- ค่าจิปาถะ : 940 บาท
รวม 8,400 บาท
ติดตามเรื่องราวการเดินทางแบบนี้ได้อีกใน Facebook fanpage : A Y E S I G H T
หรือ กดเข้าไปที่ โปรไฟล์ของอาย เพื่อเลือกอ่านเรื่องราวดีๆได้เลยนะค้าบบบ
ถ้าอยากเห็นบรรยากาศเพิ่มเติม เราทำ Vlog แนะนำไว้ เข้าไปชมกันได้ในลิงค์ด้านล่างนาจา :
ชมวิดิโอ Vlog Introduction : Vietnam 2019 - A Y E S I G H T คลิกเลย

AYESIGHT

 วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 22.24 น.

ความคิดเห็น