มาต่อกันที่ทริปเที่ยวคันไซตอนใหม่กันครับ


โปรแกรมวันนี้คือไปเที่ยวปราสาทฮิเมจิ แต่ตอนเช้าขอแวะไปทานซูชิอร่อยๆกันก่อน



สำหรับทริปเที่ยวคันไซตอนนี้ก็เป็นตอนที่ 5 แล้ว ใครยังไม่ได้อ่านตอนแรกๆ รวบรวมลิ้งไว้ให้นะครับ ^^

ตอนที่ 4 : ตามล่าใบไม้แดง ร้านอร่อย พร้อมเทคนิคถ่ายภาพสวยๆ ที่เกียวโต

ตอนที่ 3 : รีวิวจัดเต็ม Kinosaki onsen ฟินจนอยากหยุดเวลา

ตอนที่ 2 : พาเดินตลาดมือสองญี่ปุ่น ช็อปจุใจที่ Garage Sale

ตอนที่ 1 : ดีงามเกินคุ้ม ที่พักโอซาก้าจาก Airbnb

ติดตาม Fanpage : http://facebook.com/duetdiary/



อ่านแล้วถูกใจช่วยกันกด like กด + ให้เพื่อนๆที่มาทีหลังจะได้อ่านกันนะครับ

ขอบคุณล่วงหน้าไว้เลยนะครับ รัก

มาขึ้นรถไฟจากสถานี Tanimachi 4 chome ใกล้ๆที่พัก เพื่อไปยังสถานี Tamagawa ครับ ถ้ามาจากสายอื่นก็นั่งมาลงที่สถานี Tamagawa จะสะดวกที่สุดครับ หรือถ้าใช้ JR จะลงที่สถานี Noda ก็ได้ครับ เดินพอๆกัน



ดูแผนที่ได้เลยครับ จากสถานีเดินตรงมาเรื่อยๆถึงช่วงสะพานข้ามแม่น้ำก็เลี้ยวขวาตรงเข้ามาก็เจอตลาดปลาเลย ส่วนร้าน Endo Sushi นั้นจะอยู่ด้านนอกตลาดใกล้ๆกันครับ



เดินเล่นตลาดปลา ชมบรรยากาศที่วุ่นวายยามเช้า



เดินจากสถานีมาประมาณ 10 นาที ก็ถึงแล้วววว Osaka Central Fish Market ตลาดปลากลางโอซาก้า จุดสังเกตก็คือเจ้านาฬิกาเรือนใหญ่ข้างบนนั้นล่ะครับ รูปนี้ถ่ายตอนจะกลับแล้วเวลาก็ประมาณ 8 โมงเช้าละครับ



ถ้ามาเช้าหน่อย ประมาณตี 5 ก็จะได้เห็นการประมูลปลากันด้วยครับ น่าเสียดายที่ผมตื่นไม่ไหว อากาศหนาวด้วยกว่าจะเข็นตัวเองขึ้นมาได้ 555 แต่ก็ยังพอได้เห็นบรรยากาศภายในตลาด ความวุ่นวาย และสินค้าอาหารทะเลสดๆมากมาย ครบทั้งปู ปลา กุ้ง หอย ฯลฯภายในตลาดมีร้านค้ากว่า 200 ร้าน ทั้งอาหารทะเลสดและอาหารทะเลแห้ง



ปลาทูน่าตัวใหญ่แน่นๆน่ากินมาก เค้าแล่กันสดๆในตลาดเลย ส่วนหัวกับส่วนเนื้อติดก้างไม่แน่ใจว่าจะทิ้งไหม แต่ถ้าใครเคยอ่านการ์ตูนเรื่องไอ้หนูซูชิ พระเอกจะไปขอซื้อเนื้อส่วนพวกนี้มาทำซูชิ เนื้อติดก้างนี่นอกจากจะอร่อยเข้มข้นแล้วยังมีสารอาหารจากกระดูก (พี่แกว่างั้นนะ 555) แล้วก็ราคาถูกมากด้วยครับ



แหม่ น่าลองซื้อกลับมาซักก้างนึง !



ยืนดู+ถ่ายรูปคุณลุงคนนี้แล่ปลาทูน่ากันสดๆ เนื้อแดงเข้มๆยังกะเนื้อหมู คุณลุงเห็นผมถ่ายรูปก็ยิ้มแย้มและเริ่มพูดคุย ถึงแม้ผมจะฟังไม่รู้เรื่องแต่ก็ยืนอ้อ โอ้ พยักหน้าหงึกๆไปด้วยกับแก ที่เห็นที่แกกำลังหั่นชิ้นเล็กๆนั้น



หลังจากถ่ายภาพนี้แกก็ยื่นซาซิมิทูน่านี้มาให้ผมชิมดูครับ ใจดีจัง ผมก็อาริกาโต้ๆแล้วทาน เนื้อปลาแน่นสดใหม่จริงๆครับ น่าแปลกตรงไม่มีกลิ่นคาวเลย แต่มันไม่ค่อยชิน อยากได้โชยุกับวาซาบิซักหน่อยอะลุง 555



เดินเล่นเก็บภาพบรรยากาศภายในตลาดปลากันต่ออีกสักพัก หลังจากประมูลปลาอะไรกันเสร็จแล้ว เค้าก็มาเริ่มทำงาน เตรียมวัตถุดิบขายแบบนี้กันแทบทุกร้านละครับ ทั้งหั่นทั้งแล่ ได้ชมการใช้มีดยาวแล่ปลาทูน่าตัวโตออกเป็นชิ้นๆ ฝีมือจริงๆครับ



แวะถ่ายลุงคนไหนก็พยักหน้า โค้ง ยิ้ม ให้สัญญาณขอเค้าซักหน่อยเป็นมารยาท ทุกคนยิ้มแย้มให้ถ่ายกันหมดละครับ คงจะชินละ

เดินตลาดจนหิวแล้ว ไปกินซูชิกันตามเป้าหมายเลยดีกว่าที่ร้าน Endo Sushi ตอนที่ผมเข้าไปยังไม่มีคิวเลยครับ นี่ถ่ายไว้ตอนทานเสร็จแล้วคนเริ่มมาต่อคิวกันเยอะล่ะ ดีว่ามาไวไม่ต้องรอนาน



ร้าน Endo Sushi เป็นร้านซูชิเก่าแก่ของโอซาก้า ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1907 ร้านนี้เค้ามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครตรงที่ใช้ข้าวซูชิอุ่นๆในการปั้นซูชิ สาเหตุก็เพราะสมัยก่อนต้องรีบทำซูชิให้พ่อค้าที่มาทานไวๆเพื่อที่จะได้ไปทำงานต่อ แต่ข้าวซูชิที่อุ่นนิดๆนี่ล่ะที่ทำให้รสของซูชิร้านนี้อร่อย ละลายในปาก ไม่เหมือนใครนั่นเอง



มาทานร้านนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะสั่งไม่เป็น เค้าจัดเป็นเซ็ทเมนู Omakase ไว้ เป็นซูชิจานละ 5 คำ ราคาจานละ 1,050 เยน ทุกจานก็จะมี Toro หรือเนื้อส่วนท้องปลาทูน่าให้ 1 คำ ครับ ที่เหลือก็จะแตกต่างกันไป มีทั้งปลา กุ้ง หอย ไข่ปลา ไข่หวาน ฯลฯ



จานแรกมาแล้ว จานนี้ไล่จากซ้ายไปขวามี เนื้อปู (Kani) , หอยแครง (Akagai) , หอยเชลล์ (Hotate) , ทูน่า (Toro) และ ปลาดาบเงิน (Tachiuo) แต่ละชิ้นปั้นมาไซส์พอดีคำ เนื้อปลาชิ้นหนาๆสดใหม่ น่ากินจนแทบกระโดดใส่



อย่างที่บอกว่ามันน่ากินมากครับ จานนี้จึงพลาดถ่ายไม่ทันไป 1 ชิ้น 555 ไล่จากซ้าย ไข่ปลาแซลมอล (Ikura), ปลาซาโยริ (Sayori), ทูน่า (Toro) และ แซลมอล ส่วนอีกชิ้นที่หายไปคือปลาหมึก (Ika) ทานไปเรียบร้อยแล้วครับ



ถัดมาอีกจาน นี่คือหิวจัดใช่ไหม สั่งทีเดียว 3 จาน ?



ไล่จากซ้าย เนื้อกุ้ง (Ebi) , ไข่หวาน (Tamago) , หอยเป่าฮื้อ (Awabi) , มากิทูน่า (Tekka) แล้วก็ปลาหมึกยักษ์ (Tako) ครับ



ที่นี่เค้ามีโชยุวางไว้ให้ทุกโต๊ะเป็นไหพร้อมกับแปรง ไว้ใช้ทาลงไปบนซูชิแบบนี้ได้เลย ไม่ต้องจิ้มให้เลอะเทอะหรือเม็ดข้าวหลุดแตกลงไปในโชยุ นอกจากจะสะดวกแล้วยังทานได้อร่อยขึ้นด้วย เพราะป้ายลงบนเนื้อปลาโดยตรงเลย ไม่โดนข้าวให้แฉะๆหรือชุ่มโชยุจนเกินไปครับ ชอบมาก



อย่างที่เล่าไปว่าข้าวซูชิที่นี่จะเป็นแบบอุ่นนิดๆ ทำให้เวลาทานเข้าปากแล้วมันละลายแตกออกไปพร้อมๆกับเนื้อปลาสดๆแล้วได้รสที่ กลมกลืนกันอร่อยมากจริงๆครับ



ซูชิคำเด็ดๆที่ผมชอบก็มี หอยเป๋าฮื้อ สดใหม่หอมมัน ต้มมาได้กำลังดีไม่เคี้ยวยาก , มากิทูน่า ที่ใช้เนื้อส่วนท้อง ได้รสชาติเข้มข้นของไขมัน อร่อยเหาะ , ปลาหมึกยักษ์ที่ปกติจะคุ้นเคยว่าเหนียว แต่เค้าต้มได้เหนียวนุ่มเคี้ยวง่าย หวานอร่อย และไข่ปลาแซลมอลของแท้ที่เวลามันระเบิดในปากนี่สุดจะฟินครับ



ก่อนจะอิ่ม ผมสั่งเพิ่มมาอีกนิดหน่อยเพราะอยากชิม เริ่มจาก ปลาไท (Tai) ที่นี่เค้านับเป็นปลาชั้นสูง เนื้อสีขาว หนังสีแดงสวย เนื้อแน่นหวานอร่อย , ปลาฮามาจิ (Hamachi) ที่มีความเด้งกรุบกรอบมากขึ้น อร่อยรสเข้มข้น และพระเอกของร้าน Toro แต่ชิ้นนี้ดูไขมันน้อยไปหน่อยนะนี่ แอบประหยัดของหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ก็อร่อยอยู่ดี



อิ่มอร่อยท้องตึง ฟินกันไปครับมื้อนี้ จัดหนักเลย มาทานร้านน้ราคาคิดง่ายๆ จานละ 1,050 เยนครับ

ได้ทานมื้อเช้ากันจนอิ่มแล้ว เดี๋ยวออกเดินทางกันเลยดีกว่านะครับ วันนี้ตามแพลนแล้วเราจะไปเที่ยวชมปราสาทที่ถูกจัดให้เป็นมรดกโลก นั่นก็คือปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle / Himejijo) กันครับ



การเดินทางนั้นสามารถนั่งรถไฟต่อเดียวจากสถานี Osaka ได้เลยโดยใช้ JR Pass หรือ JR Kansai Wide Area Pass ที่ใช้เดินทางไป Kinosaki Onsen ตอนที่แล้วก็ได้ครับ หรือถ้าอยากนั่ง Shinkansen ก็ไปขึ้นได้ที่สถานี Shin-Osaka ครับ



ยังไม่ถึงเวลารถไฟออก ระหว่างทางก็เลยแวะเดินเล่นกันภายในสถานีโอซาก้ากันก่อน ภายในสถานีนี้ต้องบอกเลยว่ากว้างมากๆ เพราะด้านล่างเป็นพื้นที่ทางเดินเชื่อมต่อกันถึง 5 สถานี กว้างและหลงทางง่ายมากๆครับ ระวังด้วยเดินเพลินๆ 555



ของกระจุกกระจิกน่ารักๆแบบนี้มีขายตลอดทางเดินล่ะครับ เพลินตาและดูดตังค์มากๆ เสื้อผ้า เครื่องประดับผู้หญิงก็เช่นกัน



ก่อนจะขึ้นรถ แวะมาซื้อข้าวกล่องไปทานบนรถไฟกันก่อน ร้านนี้คนต่อคิวเยอะมาก มีข้าวกล่องรูปรถไฟชิงคันเซ็นด้วย น่ากินเชียวละครับ ไปดูกัน



ข้าวกล่องซูชิแบบนี้น่าทานมากๆ ราคาก็ตามวัตถุดิบแตกต่างกันไปนะครับ



อยากทานข้าวกล่องแบบไหนชี้เอาได้เลยจากตู้โชว์นี่ล่ะครับ ง่ายดี ลองเลือกดูจากป้ายอันดับความนิยมก็ได้นะ อย่างกล่องนี้เป็นเบนโตะรวม น่ากินมาก กับข้าวหลากหลาย



กล่องนี้เป็นหน้าทะเลรวมมิตร น่าทานไปอีกแบบ ชอบแบบไหนสั่งกับพนักงาน จ่ายเงิน แล้วยืนรอแปปเดียวก็รับของได้เลย



ขึ้นรถไฟกันแล้ว พร้อมออกเดินทางจ้า เงียบเชียว อย่างกับ Private Train ชอบมากครับ นั่งยาวไปเลยจากสถานี Osaka ลงที่สถานี Himeji ได้เลยครับ



ไปดูเมนูพวกไม่ทานปลาดิบกันก่อน 555 ตามสไตล์ ทงคัตซึ คาราอาเกะ เบนโตะ หมูทอด/ไก่ทอด หน้าตาธรรมดาแต่ก็รสชาติดีนะครับ แบบนี้เริ่มต้นที่ 600-800 เยน ส่วนของผมเป็นซูชิอัดห่อด้วยใบไผ่หน้าตาน่ารักน่าทาน รสจะเค็มๆข้าวแน่นๆ อร่อยไปอีกแบบ



นั่งแปปเดียวก็ถึงครับ ถ้าเป็นรถด่วนประมาณ 70 นาที ถ้านั่งชิงคันเซ็นก็ประมาณ 45 นาที มาถึงก็เจอป้ายเจ้าตัว Mascot ของปราสาทฮิเมจิ ชื่อว่า Shiromaru-Hime อ้วนกลมเป็นซาลาเปา หัวเป็นปราสาท หน้าตาน่ารักมาก

ขึ้นมาจากสถานีก็จะเจอลานกว้างและถนนใหญ่ที่มองตรงไปก็จะเห็น ปราสาท Himeji โดดเด่น เห็นแต่ไกลจากตรงนี้เลย ดูเป็น Landmark มากๆครับ สวยจริงจัง



จากหน้าสถานี ถ้าไม่อยากเดินก็สามารถนั่งรถบัสตรงไปลงที่ป้ายหน้าสถานีได้เลยครับ แต่ผมเลือกที่จะเดินดีกว่าเพราะระยะทางก็ไม่ได้ไกลมาก เดินประมาณไม่ถึง 10 นาที ระหว่างทางมีร้านค้าให้แวะตลอด มี shopping arcade แบบนี้ด้วย



ระหว่างเดินไปยังปราสาทก็สวนกับคู่บ่าว-สาวที่มาจัดงานแต่งงานกันวันนี้ด้วยครับ แต่งเต็มมาก ชุดสวยทั้งคู่เลย เดินจูงมือกันข้ามถนนน่ารักดี มีช่างภาพประกบไม่ห่าง เก็บภาพมาสักหน่อย



เดินมาจนสุดถนนก็ข้มไปแล้วเดินเข้าปราสาทกันเลยครับ



เข้ามาถึงด้านในจะเป็นพื้นที่รอบนอกปราสาทก่อน ตรงลานกว้างด้านหน้านี้มีป้ายพร้อมคำอธิบายแบบเป็น AR Code ให้ได้แสกนดูกันด้วย รอบๆปราสาทฮิเมจิจะเป็นต้นซากุระเกือบทั้งหมด หากเดินทางมาช่วงซากุระบานจะสวยงามมากครับ



คุณลุงคุณป้าถ่ายรูปให้กันยังกับจีบกันใหม่ๆ น่ารักดีนะครับ



ขึ้นไปชมปราสาทสวย ระดับมรดกโลก

มองจากมุมนี้ก็เป็นอีกมุมที่สวย โดยเฉพาะหน้าซากุระบานจะยิ่งสวยมากๆ



ปราสาทฮิเมจินั้นมีอายุยาวนานกว่า 400 ปี นับเป็นปราสาทที่สวยงามและสมบูรณ์คงสภาพดั้งเดิมที่สุดในญี่ปุ่น เนื่องจากไม่เคยถูกตีแตกหรือถูกเผาทำลาย จนได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก



จากตรงลานกว้างเดินมาตามทางจะมีจุดขายบัตรเข้าชมอยู่ ถัดจากส่วนนี้เป็นต้นไป (จุดสีน้ำเงิน) จะต้องมีบัตรเข้าชมถึงขึ้นไปได้นะครับ ค่าเข้าชมคนละ 1,000 เยน



ซื้อบัตรกันแล้วเดินขึ้นไปกันเลย ผ่านจุดแรกเป็นป้อมประตูขนาดใหญ่กันก่อนเลยครับ

ทางเดินขึ้นไปด้านบนจะค่อยๆชันขึ้นเรื่อยๆและดูซับซ้อน ถูกออกแบบมาเพื่อให้เข้าตีได้ยาก ด้านบนจะมีช่องหน้าต่างมากมายสำหรับยิงปืนใหญ่และทิ้งก้อนหินใส่ข้าศึกได้ตลอดทางเดิน



มองขึ้นไปจากตรงนีจะเห็นหอคุ้มกันเล็กที่มีโครงสร้างคล้ายปราสาท มีหน้าต่างและช่องสำหรับปืนใหญ่และโยนก้อนหินโจมตีมากมายเช่นกัน



ขึ้นมาด้านบนหอคอยมองออกไปจะเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองและทางเดินภายในปราสาทได้ง่ายครับ



ภายในมีจัดแสดงแบบจำลองโครงสร้างของปราสาทให้ได้ชมกันครับ ออกแบบและก่อสร้างขึ้นมาได้น่าทึ่งจริงๆ



ทางเดินด้านในปราสาทจะเป็นทางเดินบังคับทางไปเรื่อยๆตลอดทาง โครงสร้าง เสา ผนัง คาน และเพดาน ยังคงสภาพเดิมไว้ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน จะเห็นว่าสภาพค่อนข้างดีและสมบูรณ์มากๆ บางจุดจะมีบันไดให้ขึ้นไปชมอะไรด้านบนอยู่ บันไดค่อนข้างชันมาก ใครพาผู้สูงอายุมาก็ต้องช่วยกันจูงหน่อยนะครับ



ระหว่างทางเดินมีหน้าต่างให้ได้แวะถ่ายรูป ชมวิวกันตลอดครับ



ห้องนี้จะมืดมากแสงแดดส่องเข้าไม่ถึงต้องเปิดไฟ ไม่แน่ใจว่าเป็นห้องไว้ใช้ทำอะไรเหมือนกันครับ ระหว่างที่เดินนี่ก็ลุ้นอยากให้มีโชว์พวกประตูกล หรือกับดักอะไรบ้างแต่ดันไม่มี ส่วนตัวคิดว่าปราสาทแบบนี้ต้องมีประตูกลแน่ๆ หรือเราดูหนังมากไป 555



เดินออกมาด้านนอกกันบ้าง จากมุมนี้จะได้เห็นตัวปราสาทกันอย่างใกล้ชิดมากครับ ปราสาทฮิเมจิ นี้ใช้ปูนขาวในการก่อสร้างเป็นหลัก ทำให้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ปราสาทนกกระยางขาว" สวยงามสง่าและโดดเด่นมากที่สุดในปราสาทต่างๆในญี่ปุ่นเลยครับ



ตัวปราสาทหลักนั้นมองจากด้านนอกจะมีทั้งหมด 5 ชั้น แต่จริงๆแล้วด้านในมีชั้นใต้ดิน 1 ชั้น และชั้นบนดินอีก 6 ชั้น ด้านบนนั้นประดับด้วยกระเบื้องรูปปลาวาฬเพชรฆาตที่ว่ากันว่าเป็นเครื่องรางป้องกันไฟ ความสูงของตัวปราสาทนั้นสูงถึง 90 เมตรจากระดับน้ำทะเล เพื่อใช้เป็นป้อมสังเกตการณ์ไปด้วยในตัวครับ



พื้นที่ตรงนี้จะเป็นลานกว้างให้ถ่ายรูปตัวปราสาทกันได้อย่างเต็มที่ หรือจะชมวิวด้านล่างก็ได้เช่นกัน



ลงมาจากปราสาทกันแล้วก็จะเจอร้านขายของที่ระลึก มีตุ๊กตาเจ้า Shiromaru-Hime น่ารักๆ หรือพวงกุญแจก็มีครับ น่ารักๆ ราคาก็แล้วแต่แบบและขนาด

กลับออกมาจากปราสาท เดินกันจนหิวแล้วหาอะไรรองท้องกับน้ำเย็นๆทานกันหน่อยดีกว่าก่อนกลับ แวะร้านนี้เลยสังเกตง่ายครับ เดินตรงขึ้นมาจากปราสาทฮิเมจินิดเดียว ชื่อร้าน Harikai



ที่แวะเพราะเห็นรูปหอยนางรมตัวโตๆหน้าร้าน คุณแม่อยากทานเลยแวะ ก็ไม่ผิดหวังครับ ทานง่ายด้วยเพราะเป็นหอยนางรมแบบนึ่ง ไม่ใช่แบบสดๆ เค้านึ่งพร้อมกับน้ำซุป ทำให้เนื้อหอยแน่นตึง ชุ่มฉ่ำ น่ากินมากครับมาร้อนๆ



สังเกตจะเห็นน้ำซุปที่อยู่บนฝาหอย จะยกซดหลังจากทานเนื้อหอยแล้วด้วยก็ได้รสอร่อยกลมกล่อมเข้มข้น หอมกลิ่นทะเล ได้เบียร์อีกซักแก้วนี่หายเหนื่อยเลยครับ ฟินมาก



เจ้าของร้านน่ารักใจดีเป็นกันเองมากครับ พอทราบว่าเราเป็นคนไทยก็มายืนคุย ใช้ ipad + google เป็นวุ้นแปลภาษา บอกว่ามีนักท่องเที่ยวมาเยอะ ชวนคุยนั่นนี่ ตลกดี คุณแม่ผมหยิบลูกพลับสดที่ซื้อมาให้เธอไปลูกนึง เธอดีใจมากๆจนขอเซลฟี่ ถ่ายรูปด้วยกันเก็บไว้ ถ่ายเสร็จก็ให้ช่วยส่งเข้าเมล์เค้าที ตลกดีครับ อิ่มอร่อยกันไปแบบแฮปปี้ๆ



มาเที่ยวเมืองที่ยังไม่เคยมาแบบนี้ก็ต้องมองหาฝาท่อถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อย ของที่ฮิเมจินี้เป็นรูป นกกระยางสีขาว ตามชื่อเล่นของปราสาทฮิเมจิ "ปราสาทนกกระยางขาว" นั่นล่ะครับ



นี่ก็จะเย็นแล้ว ตอนแรกแพลนไว้ว่าขากลับจะแวะโกเบต่อ แต่คงไม่ทัน ถ้าใครจะมาเที่ยวที่ฮิเมจิก็สามารถจัดเป็นทริป Himeji - Kobe 1 วันได้นะครับ ตอนเช้าก็มาที่นี่ก่อนแล้วขากลับแวะเที่ยวโกเบได้ถ้าเวลาเหลือครับ



วันนี้ก็ได้กินทั้งซูชิร้านดังอร่อยๆ ชมปราสาทที่สวยเป็นอันดับต้นๆของญี่ปุ่น เป็นอีก 1 วันที่สนุกมาก

ขอตัวลากันไปก่อนนะครับสำหรับตอนนี้ รอชมตอนหน้ากันนะครับว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันต่อ



ขอบคุณที่แวะมาอ่านกันนะครับ



Osaka Central Fish Market

Location : 34.685000, 135.480450

การเดินทาง : เดิน 10 นาทีจากสถานี Tamagawa



Endo Sushi

Location : 34.684215, 135.479602

การเดินทาง : อยู่บริเวณลานจอดรถด้านหน้า Osaka Fish Market



Himeji Castle

Location : 34.839423, 134.693873

การเดินทาง : JR Rapid / Shinkansen จากสถานี Osaka / Shin-Osaka



แวะไปรอติดตามตอนหน้ากันนะครับ

Fan page : http://www.facebook.com/duetdiary

Blog : http://www.duetdiary.com , IG @duetdiary

Duet Diary

 วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 00.08 น.

ความคิดเห็น