วังเวียง เป็นเมืองท่องเที่ยวในแขวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว (ລາວ) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ห่างจากเวียงจันทน์ ประมาณ 160 กิโลเมตร นั่งรถประมาณ 4-5 ชั่วโมง มีสถานที่ท่องเที่ยวเป็น ภูเขาหินปูน ถ้ำ น้ำตก และป่าธรรมชาติ  และยังได้รับฉายาว่า เมืองกุ้ยหลินแห่งเมืองลาวค่า

ใช้จ่ายต่อคน

- ค่าเครื่องบิน Nokair 1,680 บาท

- ที่พัก คืนที่ 1 จำปาลาวบังกะโล (วังเวียง) 400 บาท /  คืนที่ 2 Vieng Tara Villa (วังเวียง) 1,060 บาท / คืนที่ 3  VKS Hotel (เวียงจันทร์) 460 บาท

- ค่ารถตู้ 1,500 บาท (เราเลือกใช้รถตู้ไปเลยทั้งหมด 4 วัน เนื่องจากเราไปกันทั้งหมด 11 ชีวิต เพื่อความสะดวกสบายในการเก็บสัมภาระไว้ในรถด้วยนั่นเอง)

- ค่ากิน ค่าเข้าสถานี่ ค่าผ่านทาง ประมาณคนละ 5,000 บาท (ลาวค่าครองชีพค่อนข้างสูงนะ)

- ค่าชิมมือถือ ประมาณ 160 - 260 บาท (แล้วแต่ร้านขาย แล้วแต่ว่าจะใช้มากใช้น้อยของแต่ละคนนะ)

*** เราสามารถใช้เงินบาทไทยได้นะ แต่ควรแลกแบงค์ 20 , 50 และ 100 ไปเยอะๆ โดยเฉพราะแบงค์ 20 ส่วนเหรียญไทยทั้งหลายเค้าไม่รับนะ และเค้าจะทอนกลับมาเป็นเงินกรีบกลับมาให้นั่นเอ

วิธีคิดเงิน กีบ (Kip)
ตัดศูนย์ออกไป 3 ตัวหลัง แล้วคูณด้วย 4 นะ เช่น 20,000 ดอง ก็เอา 20 X 4 = 80 บาทนั่นเอง (เป็นการคิดคร่าวๆ นะ)

การเดินทาง
1.นั่งเครื่องบิน ดอนเมือง - อุดรธานี และ ต่อรถ บขส. อุดรธานี - หนองคาย - วังเวียง
2.นั่งเครื่องบิน ดอนเมือง - เวียงจันทร์ ละ ต่อรถ บขส. เวียงจันทร์ -  วังเวียง
3.นั่งรถ บขส. กรุงเทพ - อุดรธานี และ ต่อรถ บขส. อุดรธานี - หนองคาย - วังเวียง

วันที่ 1 ไทย - วังเวียง

ขึ้นเครื่องบินออกจากสนามบินดอนเมือง ตี 5.55 น. สู่จังหวังอุดรธานี

มื้อเช้าเรามากินกันที่ร้านอาหารในตัวเมืองหนองคาย นั่นก็คือ ไข่กระทะ นั่นเอง อร่อยย..ยย

นั่งรถตู้มาที่ด้านไทยกันก่อน นำ Passport กับใบ ตม. ขาเข้ามายืนให้เจ้าหน้าที่ที่ป้อม

นั่งรถตู้มาที่ด้านทางเข้าลาวที่เวียงจันทร์ ก็ต้องลงไปซื้อบัตร ONE WAY TICKET  เผื่อเข้าไปฝั่งลาว ซึ่งบัตรนี้ต้องใช้พาสปอร์ตในการไปซื้อ ราคา 12,000 กีบ หรือประมาณ 55 บาทไทย (แต่ทางรถตู้จัดการให้แล้ว ซึ่งเราแทบจะไม่ต้องจัดการอะไรเลย พี่คนขับเค้าวิ่งไปต่อคิวซื้อให้เลยดีจริงๆ ) แล้วก็นำบัตร ONE WAY TICKET  ไปสอดที่ช่องทางออกจะคล้ายๆกับสอดบัตรรถไฟฟ้าบ้านเรา สอดบัตรไปแล้วเครื่องจะเก็บไว้เลยนะ ไม่ต้องรอรับบัตรคืน เท่านี้ก็ผ่านเข้าประเทศลาวได้แล้ว จากนั้นก็มาเปลี่ยนรถเป็นรถตู้ของทางฝั่งลาว ซึ่งที่ลาวพวงมาลัยจะอยู่ทางซ้ายมือนะ

นั่งรถยาวๆ มาแวะที่จุดจอดรถเผื่อพักกินข้าวบ่ายกัน เมนูแรกในฝั่งลาวนั่นก็คือ ข้าวเปียกเส้นไก่ หรือ ก๋วยจั๊บญวณไก่ นั่นเอง

สถานที่แรกของทริปนี้ คือ สะพานส้ม และถ้ำจัง หรือ คนไทยบางคนเรียกว่า ถ้ำช้าง เพราะเขียนว่า Chang Cave  ซึ่งก่อนที่เราจะไปถึงถ้ำจัง จะต้องข้ามสะพานส้มก่อน  สะพานส้มนี้เป็นสะพานข้ามแม่น้ำซอง ข้ามไปอีกฝากก็เป็นถ้ำจัง และเดินไปอีกประมาณเกือบๆ 1 กิโลเมตรก็จะถึงทางเข้าถ้ำจัง

ค่าเข้าชมถ้ำจัง 15,000 กีบ หรือ 60 บาทไทย

เดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ จนถึงปากถ้ำ

ภายในถ้ำก็จะมีหินงอก หินย้อย อากาศภายในถ้ำก็เย็นสบาย ไม่มีกลิ่นขี้ค้างคาว หรือตัวค้างคาวเลย เป็นถ้ำที่สะอาดมาก

วิวจากถ้ำจังก็จะเห็นวิวของเมืองวังเวียง สวยงามมากกก....กกก

ที่พักคืนแรกของเรา คือ จำปาลาวบังกะโล เป็น Home Stay ซึ่งไม่มีแอร์
และไม่มีอาหารเช้าให้ แต่อากาศของที่นี่ดึกๆ ค่อนข้างเย็น
และที่นี่ก็ใกล้ตลาดคนเดินกลางคืนนั่นเอง

สามารถสั่งกาแฟและอาหารได้ แต่จะไม่รวมอยู่ในค่าที่พักนะ (สามารถจ่ายเป็นกีบหรือบาทก็ได้เลย)

แซนวิชสไตล์ลาว คล้ายๆ ปาเตะของเวียดนาม แต่ปริมาณและเครื่องเยอะกว่ามากกก....กกก ราคาประมาณ 20,000 – 25,000 กีบ หรือ 80 – 100 บาทไทย ราคาจะถูกหรือแพงก็แล้วแต่เครื่องที่เราเลือกนั่นเอง

ขนมครกลาว 3 คู่ 5,000 กีบ หรือ 20 บาท

เป็นธรรมเนียมของเพจเราไปแล้ว กับการชิมแอลฯ ของทุกประเทศ
ซึ่งที่นี่ก็จะมีเบียร์ที่มีชื่อเสียงที่เราเห็นบ่อยๆ นั่นก็คือยี่ห้อ
Beerlao แต่ที่นี่จะมี K Mart ซึ่งเป็นมินิมาร์ทของเกาหลี
จะมีเบียร์นอกขายอยู่ด้วยนั่นเอง ราคาก็ถูกกว่าบ้านเรานิดหน่อยนะ

เช้าวันที่ 2 วังเวียง
เราตื่นกันตั้งแต่ตี 5 เพื่อเดินทางไปขึ้น ผาเงิน
(ง่วงมากก..กกก) จ่ายคนละ 10,000 กีบ เพื่อจ้างคนเดินนำทางไปด้วย
เพื่อความอุ่นใจเพราะตอนนั้นยังมืดอยู่เลย เดินตามเค้าไป ปีนบันได
เกาะราวไม้ขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีทางราบเลย ขึ้นอย่างเดียวเท่านั้น
ใช้เวลาปีนขึ้นประมาณครึ่งชั่วโมงแบบไม่หยุดพัก
ถ้าพักบ่อยก็เผื่อเวลาหน่อยก็จะดีนะ จะได้มีเวลาไปชิลๆ
บนยอดเขาสักพักก่อนพระอาทิตย์ขึ้น

ดูทางขึ้นนั่นสิ๊ !!! แนะนำให้จับเชือก อย่าจับไม้ เพราะมันเก่าและอาจจะผุพังได้เสมอ

ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งก็จะถึงยอดผาเล็ก เค้าบอกมาว่ายังไม่สูงที่สูดแต่เราบอกเลยว่า พอออ....ออออ !!!

เช้าๆ ก็จะมีหมอกอยู่บอกเลยว่า สวยงามมมากก...กกก พอเห็นวิวหายเหนื่อยเลย (ไม่อะก็ยังเหนื่อยอยู่)

พระอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้นมากเรื่อยๆ ภาพของวิวก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บอกเลยว่าต้องมานะ

สายๆ เราไปเล่นกิจกรรมทางน้ำของเวียงวังนั่นก็คือ การพายเรือคายัค
ล่องห่วงยางชมถ้ำน้ำ และเล่นนน้ำที่บูลลากูน ซึ่งเราได้ทำการซื้อ One Day
Trip แบบ 3 กิจกรรมไว้กับเอเจนซี่แล้วเมื่อวันแรก ราคาจะประมาณ 400 - 800
บาท แล้วแต่จำนวนกิจกรรมที่เราต้องการไปนั่นเอง
ซึ่งทางเอเจนซี่จะส่งรถรับเราถึงที่พักเลย

กิจกรรมแรกของเรา คือ การไปล่องห่วงยางเข้าไปชมภายในถ้ำน้ำ
และต่อด้วยกิจกรรมพายเรือคายัคที่แม่น้ำซอง
(ไม่ได้ถ่ายมาเพราะกล้องและมือถืออยู่ในถุงกันน้ำ แหะๆ )

กิจกรรมสุดท้าย คือ การไปเล่นน้ำ กระโดดน้ำ ที่ บูลลากูน ค่าเข้า 10,000
กีบ หรือ 40 บาท สาวๆ หนุ่มๆ เกาหลี จีน ยุโรป เพียบบบ....บบบ นั่งมองสาวๆ
ก็คุ้มแล้วววว..วววว

เวลาจะกระโดดน้ำ ก็จะมีคนเชียร์อัพ และสายตาทุกคนจะจับจองมาที่เราอย่างกับแข่งโอลิมปิค 555

แวะจิบกาแฟ กับเค้กที่ร้าน Parisien Café Vangvieng กาแฟร้านนี้อร่อยใช้ได้เลย ส่วนเค้กก็โอเคเลย

บ่ายแก่ๆ เราก็มายังที่พักใหม่ในคืนที่สองนั่น คือ Vieng Tara Villa
ที่พักผ่อนสุดชิคแบบทุ่งนา
และบ้านไม้สไตล์ท้องถิ่นที่ทุกคนอยากจะแวะมาพักและถ่ายรูปเอาไปลงในโซเชี่ยลสักครั้ง
(รูปมันต้องมี !!!) ซึ่งบอกเลยว่าราคาต่อคืนค่อนข้างจะแพงนิดนึง
ตกคนละพันนิดๆ แล้วแต่ช่วง เราจองใน www.agoda.com
แต่เมื่อมาเปรียบเทียบกับการบริการต่างๆ
และห้องที่กว้างขว้างสะดวกสบายแล้ว เราว่าคุ้มค่า คุ้มราคามากกกก..กกก
(เค้าไม่ได้จ่ายนะ อิอิ)

วิวเค้าสมราคาจริงๆ แนะนำว่าให้โทรไปสอบถามก่อนว่าทุ่งนาในหน้าที่จะไป สวยงามรึเปล่า โทรไปสอบถามได้เลยเพราะที่นี่พูดไทยชัดเจนเลย

นอนสลบกันไปพักใหญ่ ค่ำๆ ก็ออกมาหาอะไรทาน
ร้านที่เราเลือกเป็นร้านที่ติดกับแม่น้ำซองเลย มีโต๊ะเล็กๆ แบบนี้เยอะๆ
จำชื่อไม่ได้นะ แต่เห็นว่ามีอยู่แค่ที่เดียวเลย

ดึกๆ ท่องราตรีกันซักหน่อยกับร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดในวังเวียง ที่มีหนุ่มสาวเกาหลีมาชุมนุมกันมากมาย (นึกว่าอยู่โซล 555) นั่นก็คือ ซากุระบาร์ ถ้ามาก่อน 2 ทุ่มมี Free Drink ให้ด้วยนะเออ

วันที่ 3 เวียงจันทร์
นอนสลบเหมือนซ้อมตาย ตื่นกัน 11 โมง !!!
เที่ยงก็นั่งรถเข้าเวียงจันทร์กันยาวๆ ถึงเวียงจันทร์ราวๆ 5 โมงนิดๆ
ก็เลยมาที่ประตูชัย เพื่อถ่ายรูปกันก่อนเข้าไปที่พัก

“ประตูไซ”  (Patuxai)  หรือ ประตูชัย นั่นเอง สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2512 สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน  ประตูชัยนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “รันเวย์แนวตั้ง” เพราะการก่อสร้างประตูชัยแห่งนี้นั้นใช้ปูนที่อเมริกาซื้อมาเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ในนครเวียงจันทน์ในระหว่างสงครามอินโดจีนนั่นเอง แต่ก็ไม่ทันได้สร้างเลยก็เกิดแพ้สงครามในอินโดจีนเสียก่อน จึงมีการนำปูนซีเมนต์มาสร้างประตูชัยแทน

ช่วงหัวค่ำก็เข้ามา Check in ที่พักใหม่ คือ VKS Hotel ที่เวียงจันทร์
เป็นโรงแรมแบบโฮมสเตย์มีห้องแบบ 4 คนด้วย และติดกับถนนคนเดินอีกด้วย

ทานข้าว เดินดูเมืองไปเรื่อยๆ เวียงจันทร์ก็คล้ายๆ กับกรุงเทพบ้านเราเลยนั่นแหละนะ

วันสุดท้ายก็ไปไหว้พระ ทำบุญที่ วัดพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นที่สุดท้ายในทริปนี้ที่ลาวแล้ว  บ่ายๆ เราก็นั่งรถตู้กลับไปที่สนามบินอุดรธานี เพื่อเตียมตัวบินกลับกรุงเทพนั่นเอง แนะนำเลยว่าควรจะมาสักครั้งนึงในชีวิตสำหรับวังเวียงนะ

.
_________________________________
.
🖱 สามารถติดตาม " น า ย บ้ า เ ที่ ย ว " ได้หลายช่องทางดังนี้
( ฝากกด Like & Share & See first กันด้วยน้า )
.
IG ▶️ https://bit.ly/2XtMYRW
FB Page ▶️ https://bit.ly/2mrwto8
Youtube ▶️ https://bit.ly/2Zczh7t
Web blog ▶️ https://ninebatieww.wordpress.com/
Pantip Website ▶️ https://goo.gl/zyjE6w
Read Me.Me ▶️ https://th.readme.me/id/ninebatieww.
.
_________________________________
.
#นายบ้าเที่ยว #ninebatieww

น า ย บ้ า เ ที่ ย ว

 วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2563 เวลา 15.36 น.

ความคิดเห็น