Turkey Trip 18-26 ตุลาคม 2019 (10 วัน 8 คืน)

✈การเดินทาง ไปโดยสายการบิน Turkish Airline บินตรง ราคา 20000 บาท ใช้เวลา 10 ชั่วโมง

💱ค่าเงิน Lira 1 บาท เท่ากับ 0.38 lira เงินไม่พอก็เตรียม US Dollar ไปแลกเพิ่มเอาได้

🌤สภาพอากาศ ช่วงที่ไป ตุลาคม อากาศเย็นๆไม่หนาวไม่ร้อน ช่วงที่ไปยังไม่มีหิมะ

📙ไม่ต้องใช้ Visa

🔌ปลั้กไฟ แบบขากลมสองขา ช่องที่เสียบจะลึก

วันที่ 1 (เดินทาง)

               วันแรกออกเดินทางจากกรุงเทพฯไป Istanbul ด้วยสารการบิน Turkish Airlines โดยเครื่องออกเวลา 9 โมงครึ่ง ใช้เวลาเดินทาง 10 ชั่วโมง เราถึง Istanbul ประมาณ 16:00 น.เวลาของที่ตุรกี แล้วเรารอบินภายในประเทศต่อไปที่ Keyseri Airport ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามบินที่ใกล้กับเมือง Goreme มากที่สุด (Goreme คือชื่อเมือง ส่วน Cappadocia คือชื่อเรียกพื้นที่ระแวกนั้นทั้งหมด ฉะนั้นถ้าจะไปขึ้นบอลลูนต้องไปที่เมือง Goreme นะ)

อีกสนามบินคือ Nevsehir Cappadocia Airport จะใกล้เมือง Goreme กว่าแต่ไม่ค่อยมีเครื่องบินไปลงบ่อยเท่าไหร่  ซึ่งบินไป Keyseri Airport ใช้เวลา 1 ชั่วโมง แต่ระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องนั้นเราก็นัดรับ Pocket wifi ที่สนามบิน Istanbul (IST) เลย ทำให้เราต้องเดินออกมาจากโซนผู้โดยสาร ต่อแถวเข้าตม. เพื่ออกมารับ Pocket Wifi แล้วค่อยเข้าไปใหม่ เดินวนไปวนมาอยู่นานกว่าจะหาเจอเพราะเค้าไม่ได้ชูป้ายชื่อเรา แต่เราเจอคนที่ยืนดักรอพร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่แล้วก็มี กล่องเต็มไปหมดเลยลองเดินไปถามเค้าซึ่งก็ใช่จริงๆ เค้าก็แสกนใบจองเรา แล้วก็ให้ Pocket Wifi มาเลย แปปเดียวก็เสร็จ ส่วนเพื่อนผมก็ไปหาซื้อซิมที่นี่กันเอาไว้ 20 gb ราคาประมาณ 1,000 บาท ระหว่างรอขึ้นเครื่อง 4 ชั่วโมงก็หาไรกินในสนามบินไป ในสนามบินนี้ไม่มีน้ำฟรีนะต้องซื้อเท่านั้น

(เส้นทางเดินรถทั้งหมดของขากลับจาก capadocia back to Istanbul)

           พอต่อเครื่องเสร็จก็ไปถึงที่ Keyseri Airport  รับกระเป๋าเรียบร้อยที่นี่ก็มาตามหาคนขับรถที่โรงแรมเราให้มารับ ซึ่งก็มีการเดินทางสองแบบคือ Taxi หรือ Shuttle bus โดยเราเสียค่า Shuttle bus ไปคนละ 10 Euro ซึ่งนั่งรถมาประมาณ 1 ชั่วโมง กว่าจะมาถึงโรงแรมก็ปาไปเที่ยงคืนละ เรียกว่ามาถึงก็สลบเลย โรงแรมที่นอนในเมือง Goreme 2 คืน คือ Milat Cave Hotel ห้องดี กว้างกำลังดี มีน้ำอุ่น แอร์ไม่ต้องพูดถึงไม่ได้เปิดเพราะแค่ธรรมดาก็หนาวละ เราทำการจองทัวร์บอลลูนไว้ตั้งแต่ที่ไทยแล้ว ตกคนละ 190 Euro บริษัท Turkeyye https://www.turkiyeballoons.com/  เจ้านี้เค้ามีอาหารเช้าให้กินด้วยนะเค้านัดรับเราหน้าโรงแรมตอนตี 5.45 เรียกว่ามีเวลานอนน้อยมาก

วันที่ 2 Goreme

                  ตัดมาตอนเช้ารถมารับเราตรงเวลามาก พาไปทานอาหารเช้าตุรกี แบบบุฟเฟ่สไตล์อาหารโรงแรม ก็จัดพวกไข่ต้ม ขนมปัง โกโก้และที่ขาดไม่ได้คือ ชีส ที่อร่อยมาก แล้วพอถึงเวลา 6 โมงนิดๆก็เริ่มออกรถพาไปจุดปล่อยบอลลูน คือของจริงมันว้าวมาก ลูกมันใหญ่มากอัดลมกันพรึ่บพรับ บอลลูนของเราสีเหลืองสวยงาม ซึ่งเราก็จะลุ้นว่าเราจะไปอยู่ในช่องแค่พวกเรา 4 คน รึเปล่าเพราะดูคนเยอะเหลือเกิน ปรากฏว่าพอจะขึ้นช่องเรามี 5 คน

 เพราะบอลลูนมันจะมีช่องสำหรับคนโดยสาร 4 ช่องตกช่องละ 4-5 คน เวลาจะถ่ายบางมุมก็ต้องขอที่เค้าถ่ายรูป แต่ของเค้านี่หนักเลย มากับแฟนแต่โดนแยกช่องยืนในบอลลูนแต่ก็ยังถ่ายรูปด้วยกันได้อยู่นะ บินอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงขึ้นๆลงๆ เจ้าหน้าที่บอกว่า เค้าไม่สามารถบังคับบอลลูนให้ไปซ้ายหรือขวาได้ บังคับได้แต่จะให้ขึ้นหรือลง แปลว่าเราจะลอยไปตรงไหนก็แล้วแต่ทิศทางของลมเลย ซึ่งการขึ้นบอลลูนนี้ต้องพึ่งดวงพอสมควรถ้าลมแรงมากก็อาจจะไม่ได้ขึ้น ส่วนอากาศตอนที่เราอยู่ข้างล่างคือเย็นๆนะ แต่พอขึ้นบอลลูนไปคืออุ่นเลยเพราะใกล้ไฟบังคับบอลลูนมาก

แต่ที่ตื่นเต้นสุดคือตอนบอลลูนจะจอดคือเค้าจะลงจอดบนท้ายรถพ่วงของรถกระบะแบบพอดิบพอดี แล้วคือบอลลูนไม่ใช่รถไงก็ต้องแม่นหน่อยอะ ลุ้นก็ลุ้นอีรถกระบะก็ดริฟรถมารับสุดฤทธิ์มาก สุดท้ายลงจอดได้ด้วยดี

เค้าก็มีฉลอง ด้วยไวน์ผสมไซเดอร์ ใครจะดื่มหรือไม่ก็แล้วแต่พร้อมมีประกาศแจกให้ทุกคนที่ขึ้นไปเก็บเป็นที่ระลึกแล้วเค้าก็กลับมาส่งเราที่โรงแรม กินข้าวเช้าที่นี่ไม่ได้มีซอสมะเขือเทศเลยต้องกินผัดมะเขือเทศอะไรซักอย่างแทนซอสไปเลย มีที่ปิ้งขนมปังสองแบบพร้อมซีสหลากหลายชนิดคือจัดว่าอาหารที่นี่ดีอยู่นะ มีน้ำชา น้ำผลไม้ครบ พอทานเสร็จก็รีบเตรียมของเพื่อออกไปรับรถที่จองไว้ที่สนามบินอีกเมืองนึง Nevsehir Cappadocia Airport  ซึ่ง Shuttle bus ไม่มีรอบที่เราต้องการเลยต้องไปแท็กซี่ ตกประมาณ 100 Lira กว่าๆ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที  

              บริษัทรถที่เราจองคือ Circular Car Hire เป็นบริษัทท้องถิ่นซึ่งไม่มีออฟฟิตแบบบริษัทอื่น เน้นติดต่อผ่านทาง Whatsapp เอา ซึ่งตอนแรกเรางงมากว่าจะนัดรับยังไงปรากฏรอที่ลานจอดรถ รอจนงงเลยลองถามคนแถวนั้นมา สักพักมีคนของบริษัทมาคนแรก บอกว่าไม่มีการจองรถนะต้องไปจองของที่อื่นแล้วละ เราเลยลองพิมพ์ถามคนใน Whatsapp เค้าบอกกำลังมาคือสองคนนี้ไม่รู้จักกันแล้วข้อมูลน่าจะส่งให้แต่ละคนไปเลยทำให้อีกคนไม่มีข้อมูลนี้ ก็งงๆไปแต่ก็จบด้วยดีนะ รับรถเป็น Cr-V Honda Diesel Auto รวมประกันชั้น 1 แล้ว 437.36 Euro สำหรับ 6 วันแล้วเอารถไปคืนที่ Istanbul พอได้รถก็ต้องเอาไปเติมน้ำมันก่อนเลยเพราะเกือบหมด การขับรถที่นี่จะใช้เลนสลับกับที่ไทย วันแรกจะขับแบบงงๆหน่อย น้ำมันเต็มถังประมาณ 260 -280 Lira (รวมค่าน้ำมันทั้งทริป 980 Lira)

ซึ่งที่เที่ยวแรก  ของวันนี้คือ Kaymakli Underground Museum เราตัดสินใจที่จะซื้อบัตร Museum Turkey Pass 375 Lira ประมาณ 1,800 บาทต่อคน ซึ่งบัตรนี้ใช้เข้า พิพิธภัณฑ์ สถานที่สำคัญๆ ได้ 300 กว่าแห่งทั่วประเทศ มีเวลาจำกัด 15 วัน  ซึ่งทุกเมืองที่เราไป ได้ใช้ตลอดคุ้มมากๆ  พอเข้าไปจะมีไกด์ยืนดักรอนักท่องเที่ยวอยู่ด้านใน ครั้งแรกเค้าคิดกลุ่มเรา 20 Euro แต่ต่อรองกันเค้าลดให้เหลือ 15 Euro ซึ่งเราก็ตั้งใจกะว่าจะจ้างอยู่แล้ว จริงๆบอกเลยควรจ้างมากเพราะถ้าเราเดินดูเองมันไม่รู้เรื่องมันเป็นหินๆช่องๆ มีคนอธิบายมันจะเห็นภาพมากว่ามันคืออะไรเมื่อก่อนเค้าอาศัยยังไงช่องนี้ทำอะไรซึ่งมีผลกับการเที่ยวสถานที่อื่นด้วยทั้งทริปจ้างครั้งเดียวคือคุ้มมาก

          โดยด้านในเค้าให้เข้าไปทั้งหมด 5 ชั้น แต่ละชั้นมีการแบ่งแยกอย่างชัดเจน 1 ของสัตว์อาศัย 2 ส่วนของนักบวชและโบสถ์ ชั้น 3 จะเป็นส่วนกลางใช้ทำอาหารทำไวน์ ชั้น 5 ซึ่งทางที่เชื่อมจะมีความแคบเล็กลงไปเรื่อยๆตามความลึกจะเป็นห้องพักของแต่ละครอบครัว ข้อมูลขอบอกคร่าวๆพอนะอยากให้ไปฟังแล้วเห็นด้วยตัวเอง โดยภายในจะมีการสร้างช่องอากาศเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ มีการผลัดเวรกันทำอาหารเพื่อซ่อนตัวจากสงครามเวลาจะทำอาหารก็ต้องแอบทำตอนกลางคืนกลัวคนนอกจะเห็นควันไฟ

ต่อมาเราไปกันที่ Pigoen Valley คือที่มีต้นไม้ฮอตฮิตของนักท่องเที่ยวเลยแวะถ่ายรูปนิดนึง ที่จอดรถเพียบจอดสบาย

แล้วไปต่อที่ Panorama Hediyelik Esya เราจะไปนั่งชิวกันที่ Peri Cafe Caveman เป็นคาเฟ่ที่มีมุมถ่ายรูปเก๋ๆเป็นร้านชาในภูเขา ตอนแรกก็เดินไปแบบงงๆ มันอยู่ตรงไหน จนเริ่มเจอร้านนึงมาชวนให้ไปนั่งร้านเค้า ก็เริ่มแปลกๆละมีการแย่งลูกค้าคนไทย เลยเดินตรงไปอีกหน่อยเจอร้านนึงเป็นป้าคนนึงนั่งหน้าบ้าน พอป้าแกเห็นหน้าแกบอกเลยนี่ Thai cafe จ้าประมาณว่าลูกค้าคนไทยมาบ่อยจัด แล้วป้าแกก็พายังจุดที่เราต้องการแบบไม่ต้องพูดอะไรอีกเลย แล้วก็แนะนำว่ามีอะไรบ้าง เลยจัดชาแอปเปิ้ลกับชาตุรกีธรรมดามา ชาแอปเปิ้ลคือดีไม่หวานมากเกินไป ราคาคือไม่โหดเลย แก้วละ 5 Lira เอง ถูกและวิวดีมาก แล้วก็เดินดูของในตลาดแถวนั้น ได้สร้อย, โปสการ์ด, ที่คั่นหนังสือมา จากลุงที่เป็นนักวาดสีน้ำแถวนั้นแกวาดเก่งมากเลยนะใจดีเซ็นลงบนผลงานที่ซื้อให้มาด้วย

หลังจากนั้นก็รีบกลับเข้ามาในเมืองเดินหาที่แลกเงินแต่วันนั้นวันอาทิตย์ไม่มีร้านเปิดก็เลยแวะไปถ่ายรูปที่ร้านพรมสุดฮิต Gallerie Ikman สำหรับถ่ายรูป เข้าไปตอนแรกนึกว่าจะคนจะเยอะกลับมีคู่รักฝรั่งคู่เดียวกำลังถ่ายอยู่ ครั้งแรกก็นึกว่าต้องรอหมดรอบ แต่เปล่าจ้า เค้าให้เข้าไปถ่ายปนกันได้เลย  ค่าเข้าไปถ่ายคนละ 50 Lira ประมาณ 250 บาทแต่ถ้าจะใช้โดรนต้องจ่ายเพิ่ม เราก็ถ่ายไปเรื่อยๆ พอคนเริ่มมาเยอะจนไม่มีที่ถ่ายแล้วเค้าก็เริ่มไล่เรา คือมันสวยมากใช้ Iphone ถ่ายยังสวยเลยแต่ต้องรูปมุมนิดนึง เจ้าของร้านแกถ่ายโชว์ใหญ่เลย พอถ่ายเสร็จก็เลยถามเรื่องแลกเงิน แกเลยให้เจ้าของร้านตัวจริงมาแลกเงินให้ แล้วก็ถ้าจะถ่ายตรงโคมต้องจ่ายเพิ่มนะราคา 30 Lira

ตรงนี้ต้องจ่ายเพิ่มนะถ้าจะถ่าย

เสร็จแล้วก็รีบขับรถไป Red Valley เพื่อดูพระอาทิตย์ตกดิน เสียค่าเข้าด้วยนะคนละ 10 Lira เค้าบอกกันว่าที่นี่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุด เลยไปหาร้านนั่งกินเล่นชมพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งคนนั่งเยอะมาก ถ้าใครอยากเข้าห้องน้ำมีตรงริมค่าเข้าก็ 2 Lira แต่ลุงแกใจดีนะผมมีติดตัวไป 1.5 Lira แกก็ให้เข้า พอพระอาทิตย์เริ่มตกคนก็กลับกันเยอะเลย เลยมีมุมถ่ายรูปเยอะขึ้นหน่อย แล้วเผมก็เห็นคนเอาโดรนบิน เราเลยเอาโดรนไปบินบ้างบินไปได้แปปเดียวเท่านั้นละ ตำรวจมาจ้า กลายเป็นหนังระทึกขึ้นมาทันที มาถึงก็ถามก่อนเลยเข้าใจภาษาอังกฤษไหม เค้าเรียกไปคุยแค่สองคนบอกว่าที่นี่ห้ามบิน บินจะถูกปรับหรือยึด ให้ลบรูปออกซะซึ่งผมก็ลบออกให้สักพักบอกจะถูกปรับ 6000 Lira ในหัวนี่คำนวณใหญ่เลยว่าเป็นเงินไทยเท่าไร ประมาณ 30,000 บาท ในใจนี่แบบละเดินกลับมาถามคณะทัวร์ของเราว่ามีถึงไหม แล้วมาบอกว่าถ้าบินอีกจะถูก

แล้วก็กลับเข้าไปในเมืองเพื่อกินมื้อเย็น เราก็เลือกร้านง่ายที่เค้าว่าราคาไม่โหดคือ Fat Boys อาหารก็จะเป็นพวกข้าวแป้งกับเนื้อไก่ เนื้อวัวผัดซอสของเค้าก้อร่อยดีนะราคาตกจานละประมาณ 45-60 Lira

แต่ยัง mission วันนี้ของเรายังไม่จบ เราจะไปถ่ายบนเขาตอนกลางคืนอีกที ซึ่งปักหมุดไปละผิดที่ไปเจอเป็นลานกว้างๆกับซอยที่มีแต่ทรายกับต้นไม้ จนต้องถอยออกมามืดก็มืดไม่มีใครมาแถวนี้ จนต้องตั้งหลักกันใหม่ละหาทางขึ้นไปด้านบนเขาจุดชมวิวของ Goreme ซึ่งทางขึ้นชันมากขับลำบากอยู่ กว่าเราจะขึ้นมาก็สามทุ่มกว่าแล้ว ไม่มีคนเก็บค่าเข้า ก็เดินเข้าไปได้เลยมีแต่ลมแรงๆและลมเย็นๆจนเกือบเป็นหวัด พอถ่ายรูปสมใจก็กลับโรงแรมได้ เพราะพรุ่งนี้เราจะไปล่าแสงเช้ากันจ้า จบวันแรก

วันที่ 3 (Goreme & Salt Lake)

           เริ่มเช้าวันต่อมา เราจะไปเก็บภาพกับบอลลูนกัน ออกจากโรงแรม 6 โมงเช้า ขับไปตรงลานที่หลงกันเมื่อคืนเพราะเป็นจุดปล่อยบอลลูนใหญ่อีกที่หนึ่งเลยแวะถ่ายรูปอยู่สักพัก แล้วย้ายที่ไปที่ Love Valley  ไปถึงเจอคนเรียกว่ามหาศาลเลยรถเพียบเรียกว่าหาจุดถ่ายรูปตามแต่สะดวกเลย พรีเวดดิ้งก็เพียบ แต่เรามาวันนี้โชคดีบอลลูนขึ้นแล้วแสงก็ดีเลยได้รูปสวยๆมาเยอะหน่อย ถ่ายเสร็จรีบกลับไปกินข้าวเช้าโรงแรม วันนี้เราเตรียมมาดีเอาชีสปิ้งพร้อมขนมปังเตรียมไข่โน้นนี่นั้นกินอย่างไวแล้วรีบไปแพ๊คกระเป๋า Check out ออกจากโรงแรมเรียบร้อย

จุดแรกคือ Zelve Open Air Museum ซึ่งเราขับหลงเข้ามา เพราะปักหมุดผิด แต่ไหนๆ มีบัตร Museum Turkey Pass แล้วก็ใช้ให้คุ้มหน่อย ก็เลยลองเข้าไปดูคือจะเป็นถ้ำ ซึ่งเคยมีคนอาศัยอยู่ ส่วนมากคนมาเดิน Hiking ที่นี่กัน นักท่องเที่ยวมากันน้อย เลยเดินอยู่พักนึงละออกมา

ที่  Fairy Chimneys ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน ที่นี่ก้ใช้ บัตร Musuem Turkey Pass ได้อีกเหมือนกัน เรามาที่นี่เพราะอยากได้รูป มุมฮอตฮิตอีก 1 มุม แต่มาถึงก็เจอทัวร์ลงจนท้อรอจนคนไม่มีจึงได้รูปนี้มา แล้วเราก็นึกได้ว่าลืมของไว้ที่โรงแรมเลยกลับเข้าเมืองไปเอาของมาและจัดการกินข้าวเที่ยงกับร้านที่เราเลือกแบบวัดดวง ซึ่งไม่อร่อยจ้าข้าวดิบมาก

แล้วเราก็ซื้อ เคบับเพื่อเอาไปกินสำหรับมื้อเย็นที่ทะเลเกลือ แต่ดันเจอร้านขายของฝากเลยซื้อติดมา ซึ่งบางอย่างที่ Istanbul ถูกกว่าเยอะ

เราไปต่อกันที่  Goreme Open Air Musuem ซึ่งแน่นอนว่าคนเยอะเป็นปกติ ใช้บัตร Museum ที่ซื้อมาเข้าได้สบาย จุดมุ่งหมายของเราคือ The Dark Church เป็นโบสถ์ในถ้ำที่มีการวาดรูประบายสีสวยงาม แล้วสียังติดทนนานจนถึงปัจจุบัน ในแต่ละภาพหน้าของพระเยซูจะถูกทำลายจากการเข้ามาของพวกอาหรับมุสลิมในสมัยก่อน The Dark Church ต้องเสียเงินเพิ่มเข้าไป แต่เพราะเรามี Musuem Pass แล้วก็เข้าไปได้สบายมากไม่เสียเงินเพิ่ม  

หลังจากดูถ้ำหินภูเขาไฟของเมือง Goreme จนหน่ำใจแล้วเราก็ออกเดินทางออกจากเมืองไป Tuz Golu หรือ Salt Lake ทะเลเกลือเพื่อถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น คือเราปักหมุดผิดห่างจากจุดที่จะไปตั้ง 20 กิโลเมตร ขณะที่พระอาทิตย์ก็กำลังจะตก ถนนที่นี่เค้าขับกันเร็วมาก เลนขวาขั้นต่ำ 110-120 กิโลเมตร/ชม. ส่วนเลนซ้ายคือ 130-180 กิโลเมตร/ชม. คือขับกันเร็วมาก ถ้าง่วงควรหยุดขับ ก็ลุ้นว่าจะมีแสงบ้างไหม เรียกว่าบอกให้ทุกคนเตรียมตัวพอถึงแล้วให้รีบหยิบของที่จะใช้ไปแล้วรีบวิ่งลงไปเลยเพราะจุดที่จะถ่ายได้ต้องเดินลงไปอีกไกล ตอนนั้นนี่รีบสุด รองเท้าเละก็ช่างมันละ สุดท้ายไปทันแสงสุดท้ายพอดี แม้พระอาทิตย์จะลับขอบภูเขาไปแล้ว สุดท้ายก็ถอดรองเท้าเดินแต่ก็เจ็บเท้าอยู่นะเพราะมันมีก้อนเกลืออยู่ หลังจากถ่ายเสร็จก็กลับขึ้นมาล้างเท้าคนละ 1 Lira

ด้านในมีห้องน้ำ คนละ 2 Lira แล้วกลับมากินเคบับที่ซื้อมาเมื่อเย็นที่รถ เนื้อวัวที่นี่มีกลิ่นค่อนข้างแรงแล้วรสชาติจืด เลยต้องหยิบเอาอาวุธลับเราออกมาก็คือน้ำจิ้มซีฟู๊ดจ้า ช่วยได้เยอะเรียกว่าอร่อยเลย

              ว่าแล้วก็ขับรถยิงยาวลงทางใต้ของตุรกี 5 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อไปเมือง Side เมืองชายทะเลกว่าจะถึงที่พักก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว แล้วพอเข้าเมืองไปก็ผ่าน Theater สมัยโบราณเลยคุยว่าพรุ่งนี้เช้ามาแวะเข้าอันนี้กันเพราะมีบัตร Museum แล้วเข้าได้ทุกที แต่ที่เมืองนี้พอดีเราจองโรงแรมที่อยู่ในส่วนของเมืองเก่า ซึ่งไม่มีที่จอดรถในบริเวณเมืองเก่าต้องเอารถมาจอดข้างนอกนะ  โดนค่าจอดไป 7.5 Lira ค้างคืน ที่โรงแรม Hotel Villa Önemli ที่นี้ไม่โอเคห้องน้ำไม่โอเค แล้วแอร์คือเย็นมาก แต่เราดันลืมดูว่ามีผ้าห่มอยู่ในตู้เลยนอนห่อมเสื้อเอา ก็ว่าทำไมผ้าห่มมันบางจัง ตอนเช้าก็จัดอาหารเช้าช้ามากคนยิ่งรีบๆจะออกจากเมืองอยู่ เติมไรไม่ได้ขอไข่นี่ให้เพิ่มมาแค่ฟองเดียว เดินออกมาดีตรงมีวิวทะเล เลยดูวิวรอไปก่อน แล้วด้วยความที่เมืองนี้ไม่ค่อยมีต่างชาติมามั้ง ตำรวจเลยพูดอังกฤษไม่ได้เลย เมื่อคืนก็พูดแต่ Otopark แปลว่าที่จอดรถ แล้วแกกลัวเนียนเอารถจอดข้างในเลยยึดใบจองรถไปก่อน ให้รีบออกมาใน 15 นาที

วันที่ 4 (Side, Kopulu Kanyon, Antalya)

             ตอนเช้าต้องใช้ภาษาใบ้เพราะทางเข้าเมื่อคืนมีรถจอดขวางห้ามเข้าเลยต้องเข้าผ่านทางไม้กั้น กว่าจะรู้เรื่องเลยเอารถเข้ามาเอากระเป๋าออกได้ ว่าแล้วก็รีบจอดข้างนอกแล้วไปเข้าTheater ที่นี่ตอนแรกนึกว่าคงไม่มีอะไรปรากกว่าข้างในดีมากคนไม่เยอะ แถมสวยกว่า Ephesus อีกอันนี้เพื่อนีที่เคยไปแล้วบอกเพราะที่นี่ดูสมบูรณ์กว่าแม้ว่าจะเล็กกว่าแต่ดี มีเวลาถ่ายรูปอยู่นิดหน่อยแล้วเราก็ออกเดินทาง ไปจุดนัดพบที่ Koprulu Kanyon

ซึ่งวันนี้เราจะไปล่องแก่งกันจ้า งงใช่มั้ย ใช่ครับฟังไม่ผิด ไปล่องแก่ง อ่านละงงใช่มะว่ามาเที่ยวไรเนี่ย น้ำเย็นขนาดนี้ แต่มันคือกิจกรรมที่เค้ามักจะมาทำกันแถวนี้ บริษัทที่เราติดต่อคือ Antalya Rafting เค้านัดให้เราไปถึงจุดนัดพบเวลา 11 โมง ซึ่งเราจองผ่านเนทไปก่อนแล้วตอนแรกมีบอกราคาเกินจากที่ดูในเว็ปมาด้วย จนเราต้องท้วงไปว่ามันคนละ 60 Lira ตามในเว็ปนี่ไม่ใช่ 90 Lira ที่เค้าเพิ่งบอก ถ้าเราจะเอาแบบลำที่มีเฉพาะเราเลยต้องจ่ายเพิ่มอีก 60 Lira รวมเป็น 300 Lira ทั้งหมด เค้าเลยยอมตกลงตามนั้นมาแล้วเราก็รีบมาตรงเวลาเพราะเราจะรีบเล่นละไปที่อื่นต่อ แต่ผิดคาดซึ่งเราต้องรอคนอื่นๆมาให้ถึงแล้วก็กว่าจะอธิบายให้แต่ละกลุ่มฟัง ประกอบกับคนพูดภาษาอังกฤษมีแค่คนเดียวเลยกว่าจะเจรจาแต่ละกลุ่มเลยยิ่งไปกันใหญ่ ซึ่งรอเป็นชั่วโมงอะ ไม่โอเค ต้องไปคอยถามคอยเร่ง แต่มันนานมากไปจริงๆ ไม่โอเคกับการให้มาตรงเวลาละให้รอ

               แทนที่เราจะเอาเวลาไปถ่ายรูปไปดูอย่างอื่น ตรงนี้เสียความรู้สึกไปหมด เอาละหลังจากรอมาแสนนานชุดนี้เปลี่ยนรอจนแห้งไปสามรอบได้ ให้นั่งรถก็ไปกับรถทีมงานไปถึงจุดที่จะปล่อยลง จะมีพวกนายหน้าอีกกลุ่มนึงที่จะพาไปดูถ้ำดูโน้นนี่ มาเนียนคุยกับเราว่าจะรอที่นี่นะล่องแก่นเสร็จกลับมาเจอฉันที่นี่นะ ซึ่งพวกนี้ไม่ต้องไปสนใจปล่อยผ่านไปได้เลย แล้วในที่สุดเราก็ได้ลงเรือสักที บริษัทนี้นะจะมีลุงคนนึงน่ารักมากคอยเล่นกับเราตลอด เส้นทางเราจะไปยาว 14 กิโลเมตร คือโคตรยาว แล้วเล่นตั้งแต่เที่ยงไปเสร็จเกือบ 4 โมง จะมาเล่นก็เผื่อเวลาหน่อย แต่บอกเลยคุ้มมากน้ำใสมากสดชื่นแต่แดดก็แรงมากเช่นกัน ตรงนี้จะไม่มีรูปนะแต่มีวีดีโอแทน


                ถ่ายจนแบทหมดอะ ขนาดไม่ได้ถ่ายตลอดนะ นานมากจริงๆ โดยเค้าจะมีการแบ่งพักสามช่วง ที่พักแรกจะเป็นกิจกรรมให้ถ่ายรูปกับน้ำตกเล็กๆ ลงไปเดินในน้ำเย็นๆเกือบถึงคอ ช่วงสองมีให้ซื้อของกินซึ่งตรงนี้เราโดนหลอก เพราะตอนแรกบอกคิดแต่ค่าน้ำไปๆมาๆคิดหมดจ้า เลยเข็ดเลย โดนไป 96 Lira ของกินจะเป็นแป้งไส้ชีสกับมัน ไส้มันอร่อยกว่าอันนี้แนะนำ จุดพักที่สามจะเป็นให้เล่น Zipline แต่ต้องจ่ายเพิ่มประมาณ 10 Lira พอหมดอันนี้ก็ล่องยาวๆ แต่จุดที่แรงๆจะอยู่ครึ่งแรก พอถึงจุดสิ้นสุดก็คือจุดนัดพบตอนแรก ก็ต้องช่วยเค้าแบกเรือเอาไปเก็บก็จะเหนื่อยหน่อย เล่นเสร็จเราก็รีบล้างตัวเปลี่ยนชุดรีบไปต่อเลยจ้าเพราะกลัวไม่ทันพระอาทิตย์ตก

จุดหมายเราต่อไปคือเมือง Antalya เป็นเมืองท่าใหญ่ของแดนใต้ซึ่งจุดที่เราจะไปนั้นมันต้องหาที่จอดรถยากแน่นอน (อารมณ์ริมหาดพัทยา) ซึ่งข้อดีของการทะเลาะกับตำรวจเมื่อคืนคือทำให้รู้ว่าเค้าเรียก Otopark เราเลยวนหาที่จอดง่ายขึ้นแล้วรีบไปที่จุดที่เล็งๆไว้ ถ่ายเสร็จก็ไปหาร้านอาหารกินกันที่ร้าน AYAR แต่ปัญหาคือ ร้านนี้มันอยู่ในโซนที่เป็นเมืองเก่าซอยที่เล็กมากและเดินทางเดียว แล้วคือเลี้ยวผิด ก็วนไปวนมากร้านค้าก็มีตามข้างทางแบบทางพอดีมาก ขับแบบแทบจะกลั้นหายใจกลัวจะไปชนร้าน กลัวรถจะไปชนตึกอีก จนเราไปถึงจะที่เป็นทางชันและต้องเลี้ยวคือมันไม่ได้จริงๆ

ไม่สามารถเลยต้องยอมขับรถย้อนกลับมาหาที่จอดรถเพื่อเดินเอาจริงๆมีทางออกด้วยนะแต่ทำไมเค้าไม่ให้ออกไม่รู้ สุดท้ายยอมเสียตังค่าที่จอดดีกว่า แต่ช้าก่อนเราเจอร้านพรมเข้าให้เลยโดนมา 1 ผืนคือมันนุ่มมากจริงๆ แล้วเค้าโชว์ว่ามันเปลี่ยนสีได้นะ อย่างนั้นอย่างนี้ ดีนะไม่โดนหลายผืน จนเรามาร้านอาหาร เห็นเมนูก็สั่งแหลกเลยจ้าแต่ไม่ลืมที่จะพกน้ำจิ้มซีฟู๊ดมาด้วย เรียนว่าอันไหนเค้าว่าดีก็จัดมาเลย ข้าวร้านนี้คือดีถูกปาก

กินเสร็จก็กลับไปที่รถ เพื่อจะขับไปที่พักต่อไป เมือง Denizli เป็นเมืองที่ตั้งของ Pamukkale นั้นเอง ซึ่งออกจากที่ร้านมาก็ 3 ทุ่มกว่าละ สรุปขับไปถึงที่พัก ตี 1 เจ้าของ Hotel Goreme ก็ใจดีมาก เค้าอัพห้องไปห้องใหญ่ให้เพราะเรามาช้า เรียกห้องยิ่งใหญ่อลังการมาก แต่ข้อเสียอย่างเดียวของที่นี่คือ ไม่มีน้ำอุ่น และสระว่ายน้ำใช้ไม่ได้แล้ว

วันที่ 5 (Pamukkale, Sirince, Ephesus, Alacati)

                 ตื่นเช้ามาก็จัดของรีบออกไปที่ Pamukkale ทันที ไปถึงเราว่าก็มาเช้ามากแล้วนะ แต่ทัวร์มาก่อนไปอีกจ้า เราเลยรีบเข้าไปเดินจากทางเข้าจริงๆไกลอยู่นะ (สามารถใช้ Muesuem Pass ได้เลย)  เมื่อเข้าไปตรงบริเวณหินปูนต้องถอดรองเท้า แล้วเดินเท้าเปล่าทิ้งรองเท้าไว้จุดตรงนั้น แล้วทางคือไม่เรียบมีปุ่มๆ เส้นแหลมๆ นูนๆ น้ำที่เป็นแอ่งนิ่งๆจะเย็น แต่น้ำที่ไหลผ่านจะอุ่นๆ ต้องระวังลื่น ถามว่าเจ็บไหมบอกเลยว่ามาก แต่มันดีนะตอนแรกผมรู้สึกเจ็บต้นขาแต่พอเดินออกมานี่คือหายเลย อารมณ์เหมือนไปนวดเท้าอะ แต่แล้วเรื่องน่าตกใจก็มาถึงคือ ผมลืมเอากล้องมาเอามาแต่เลนส์ ก็นั้นแหละเลยต้องถ่ายด้วยมือถือ ช่วงเช้าก็จะมีบอลลูนผ่านจุดนี้ด้วยนะ ถ่ายเสร็จกลับมากินข้าวที่โรงแรม อาหารจัดว่าโอเคแต่ไม่มีน้ำเปล่ามีแต่ชา คือเราอาจจะมากินช้าเพราะเกือบปิดแล้วเวลาจะคุยว่าจะเอาอะไรเพิ่มก็จิ้มเอา

เช็คเอ้าท์เสร็จเราก็ไปแวะ Laodikya Ancient City ต่อแปปนึง (ใช้ Museum Pass ได้เลย) ซึ่งที่นี่ก็จะมีแต่เสาหินอ่อนกับทางเดินเก่าๆ ที่หลงเหลืออยู่ นักท่องเที่ยวน้อยมาก หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางไปเมือง Selcuk

เพื่อขึ้นเขาไปเมือง Sirince เมืองเล็กๆในหุบเขา เมืองนี้จะน่ารักๆหน่อย ใกล้ๆกับ Ephesus ต้องเอารถจอดตรงทางเข้าหมู่บ้าน แล้วเดินเที่ยวในหมู่บ้าน เราแวะทานมื้อเที่ยงที่นี่ และก็เดินเที่ยวตลาดในหมู่บ้านที่เน้นขายของให้นักท่องเที่ยว มีตั้งแต่ซอสหมักเอง ผักดอง มะกอก ผลไม้ เช่นทับทิม ที่มีทั่วบ้านทั่วเมือง และมีคาเฟ่น่ารักๆหลายร้าน ที่มีกาแฟทรายแบบฉบับตุรกีให้ได้ลอง

เดินไปมาก็เจอร้านขายพวกแก้วเป่าเอามาทำสร้อย กำไลข้อมือสวย ร้านนี้คือดีมากสอยกันมาคนละอัน

แล้วเราก็ขับรถลงเขามาไปต่อกันที่ Ephesus Archaeological Museum ซึ่งเป็น UNESCO Heritage Site ไปถึงก็เจอเล่ห์กล พวกหลอกให้เรานั่งรถม้า มาโบกให้เราจอดไกลๆทางเข้าแล้วบอกเรามาผิดทาง ที่นี่เป็นทางออกต้องไปอีกฝั่งนึงซึ่งเป็นทางเข้าซึ่งไกลมากให้นั่งรถม้าเค้าไป เราก็สงสัยมันไม่น่าใช่ เลยลองเดินไปดูก็มีทางเข้าตรงนี้นี่เลยเลื่อนรถไปจอดใกล้ๆ แล้วเข้าไปเพียงแค่แสกนบัตร Musuem Pass แต่ดันลืมเอาพาสปอร์ตติดตัวมาเลยอดเช่า Audio Guide เราเลยเดินจุดหลักๆ อาศัยอ่านป้ายเอาแทน ซึ่ง Highlight ของ Ephesus ก็คือ The Libary of Celsus ซึ่งตึกพังไปเพราะแผ่นดินไหว เหลือแต่โครงข้างหน้าให้เราได้เห็นจนถึงปัจจุบัน

และอีกหนึ่งที่ใน  Ephesus เราแนะนำให้เข้าไปที่  The Terrace Houses ถ้าไม่มี Musuem Pass จะต้องซื้อตั๋วเพิ่มแต่เข้าไปดูบ้านโบราณ รูปภาพที่เพ้นบนผนัง พื้นโมเสกสมัยโบราณและระบบการทำความร้อนผ่านท่อดินเผาที่ทำให้บ้านนั้นอบอุ่น  เรียกได้ว่า Private มากไม่มีคนเข้ามาเลย เป็นอีกที่ที่ควรจะเข้ามาดูมาก

เสร็จแล้วเราก็ขับรถออกไปเมืองชายทะเลน่ารักๆ เมือง Alacati เลยจ้า ไปถึงก็เกือบมืดละเอาของเข้าโรงแรม Alanarin Konak ละออกไปที่ชายหาดถ่ายเล่นนิดหน่อย แล้วกลับมาหาข้าวกินในตัวเมืองเก่า

ซึ่งเราก็ไปเจอร้านเด็ดเชฟขั้นเทพที่เมืองนี้ ร้านมีชื่อว่า Dem Alacati เป็นร้านเล็กๆ ซึ่งเราคือลูกค้ากลุ่มแรกของคืนนั้น บอกเลยอร่อยทุกอย่างราคาไม่รุนแรง แล้วคือปรุงสุกพอดีมากกกกกกกกก รสชาติดีมากๆเช่นกัน ไม่เคยเจอเชฟที่ไหนทำอาหารทะเลทุกชนิดได้สุกพอดีขนาดนี้มาก่อน แนะนำถ้าได้มาทะเลที่ตุรกีให้ลองทาน ปลา  Red Mullet เนื้อแน่นๆ ปลา Local ของที่ตุรกี บวกกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดของเราคือดีมากกกกก

จานนี้คือต้องขอสองจานเลย

วันที่ 6 Road Trip to Goynuk

เช้าวันถัดมาเราก็ออกไปถ่ายรูปเล่นริมทะเลนิดนึงแล้วกลับมาเดินเล่นในเมืองแต่ร้านยังไม่เปิดเพราะร้านเปิดกัน 9 โมง

และขอเตือนเลยว่าห้ามเล่นกับหมาที่นี่ มันจะตามคุณไปทุกที่และเรียกพวกมาเดินตามด้วย ทำให้เช้านี้เราไม่มีรูปในเมือง อดถ่ายนอกจากตามมันยังทะเลาะกันตะกุยด้วยนะ กลับมากินข้าวที่โรงแรมอาหารเช้าคือเต็มที่มากยกเว้นไข่ เหมือนคนที่นี่จะไม่กินไข่เยอะเค้าจะทำแนวไข่กะทะมาให้คนละฟองกินรวมกัน ไม่ได้ทำแยกมาให้นะ โรงแรมนี้คือดีมากเจ้าของน่ารักห้องใหญ่ห้องน้ำดี ว่าแล้วก็เตรียมตัวขับรถยาวๆไปเลย 6 ชั่วโมงขึ้นไปทางเหนือของตุรกีเพื่อไปเมือง Goynuk

เส้นทางจะเป็นทางด่วนยาวๆ เวลาเข้าช่องให้เข้าช่องที่มันไม่ใช่ช่องบัตรพิเศษนะ แต่มันก็ไม่มีรับบัตรอะไรหรอก ก่อนเข้าเติมน้ำมันก่อนนะเพราะมันหาที่เติมยากทางมันยาวมากจริงๆ แล้วก็ต้องขับผ่านภูเขาคดไปมา กว่าจะถึงเมือง Goynuk ก็เย็นพอดี เราเลือกมาเมือง Goynuk เพราะไปอ่านเจอว่าเป็นหนึ่งในเมืองเล็กๆ ที่ตึกราบ้านช่องยังเป็นแบบ Ottoman เป็นเมืองที่คงความตุรกีแบบดั้งเดิมไว้อยู่ เราก็เลยตัดสินใจมาที่นี่แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย เพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่เราประทับใจมากที่สุด ทั้งบ้านเมือง ทั้งคนที่อัธยาศัยดี น่ารักมาก  Goynuk เป็นเมืองแบบเล็กๆในหุบเขา ต้องขับผ่านเขามากี่ลูกก็จำไม่ได้เลยอาจจะทำให้ไม่ค่อยมีคนต่างชาติมาเที่ยว

                    การจองที่พักนั้น ไม่มีการจองผ่านเวปอะไรทั้งนั้น เราหาข้อมูลโรงแรม เสิร์ชหาเพจในเฟสบุ๊คเพื่อที่จะส่งข้อความไปจอง เปิดอ่านแต่ไม่ตอบ เลยลองให้เพื่อคนตุรกีโทรไปสรุปว่าเค้าให้จองก่อนจะมาไม่เกิน 7 วันเพราะเค้าไม่ได้ทำตารางยาวขนาดนั้นเราเลยโอเค ไว้มาถึงตุรกีค่อยให้พนักงานโรงแรมซักที่โทรจอง แต่พอดีติดต่อเค้าผ่าน Whatsapp ได้เลยโอเคจบเรื่องการจองโรงแรมไป พอมาถึงนี่จริงๆคุยไม่รู้เรื่องจ้า มีแอฟแปลภาษากี่แอฟใส่ให้หมด แปลไปมาสนุกดี

เมืองนี้มีสัตว์ประจำเมืองคือ หอยทาก เขียนกำกับว่า Cittaslow Goynuk แปลว่า Goynuk เมืองช้าๆ ซึ่งจริงและเรารู้สึกว่ามันน่ารักมาก เรานอนกันที่ Hanedan Butik Hotel ซึ่งต้องจอดรถข้างถนนแล้วลากกระเป๋าเดินเข้าเมืองไปที่โรงแรมแต่ก็ไม่ได้ไกลกันมาก โรงแรมนี้อารมณ์แบบเปิดบ้านให้นอน ห้องน่ารักมาก สะอาด เรียบร้อย จัดของเสร็จออกไปเดินเล่น อารมณ์เหมือนเราเป็นคนแปลกอ่ะ ทุกคนมองเรา 4 คนหมดว่าอีพวกนี้มาจากไหนกันแล้วหลงเข้ามาที่เมืองนี้ได้ยังงัย เราไปกินมื้อเย็นที่ร้านนึงอยู่กลางเมืองที่น่าจะอร่อยที่สุด แล้วก็อร่อยจริงๆคือปีกไก่ย่างช่วยชีวิตมากอร่อยสุดกินกับข้าวคือดีมาก

                   ระหว่างกินข้าว จู่ๆก็มีหนุ่มไปรษณีย์เดินเข้าร้านมา ตรงเข้ามาคุยกับเรา บอกว่ามีไรให้ช่วยก็บอกนะ อารมณ์แบบตานี่คือผู้กล้าที่พูดภาษาอังกฤษได้คนเดียวในเมือง ชาวเมือง Goynuk เลยส่งให้มาคุยด้วย มันทั้งน่ารักและตลกดี ซึ่งเค้าก็แนะนำที่เที่ยวในเมืองกับนอกเมืองมาให้ แต่ที่เที่ยวมันก็ไม่ได้มีเยอะหรอก เราก็หาข้อมูลมาประมาณนั้น ตลาดในเมืองก็มีเด็กขายข้าวโพดอบเนยใส่ซอส เด็กก็จะจิ้มถามว่าเอาซอสไหน ก็อร่อยดี แล้วก็ไปลองเกาลัดที่แห้งๆอันนี้สู้ไทยไม่ได้เลย ก่อนนอนเราก็ทำมาม่ากินเพราะไหนก็เอามาแล้วเลยกินซะจะได้ไม่ต้องเอากลับ แล้วคือเมืองนี้เย็นมากเหมาะกับมาม่าสุดๆ

ป้าเค้าขายเกาลัดแต่มันแห้งมากเลยละ ไม่แนะนำ

ร้านนี้คือน่าจะเป็นร้านใหญ่สุดในเมืองละ ฝากชีวิตไว้ที่ร้านนี้ได้

วันที่ 7 (Goynuk, Istanbul)

                เช้าวันถัดมาเราออกมาแต่เช้า 6 โมงเพื่อจะไปจุดชมวิวบนเขาของเมืองนี้ อากาศหนาวมาก ทางขึ้นมันชันมากเราเลยจอดรถไว้ข้างล่างแต่กว่าพระอาทิตย์จะขึ้นพ้นภูเขาก็ 7.30 น. ละ โรงเรียนที่เมืองนี้จะใช้เพลงแทนเสียงเตือนให้เข้าห้องเรียนคือมันดีมากๆ น่ารักดี แล้วก็กลับมากินข้าวเช้า ที่โรงแรมก็จัดว่าดี แต่มาติดตรงเค้ามาคุยบอกจะให้จ่ายเพิ่ม ซึ่งกว่าจะเข้าใจคุยกันอยู่นานสรุปคือ ค่าห้องที่จ่ายมาเมื่อวานเค้าเก็บไม่ครบ ค่าโรงแรมสรุปคือ คนละ 75 Lira

ได้ของฝากละ

ขาออกจากเมืองเราไปแวะทะเลสาบใกล้ๆก่อนจะเข้า Istanbul

ซึ่งใช้เวลาขับรถไป Istanbul เพียงแค่ 2 ชั่วโมง เรานัดคืนรถที่สนามบิน ก็ไม่มีปัญหาอะไร แล้วก็เรียก Taxi ไปส่งที่โรงแรม Sultanahmet Inn Hotel ซึ่งเราว่าทำเลโรงแรมนี้มันใจกลางจุดท่องเที่ยวมากจัดว่าดีห้องคือยิ่งใหญ่สมราคา เสียอย่างเดียวคือ ต้องยกกระเป๋าขึ้นเองสามชั้น นี่อาจเป็นข้อดีที่สายการบินให้เราใบละ 20 โล เลยยกไม่หนักมากเกินไป

แล้วเราก็รีบออกไปกินมื้อเย็นที่ร้าน Nusr-Et Steakhouse ของ Saltbae ที่สาขา Grand Bazaar เพราะอยากกินเนื้อมาก ด้านหน้ามีหุ่นพี่แกยืนโรยเกลืออยู่ ไปถึงคนเยอะแต่ไม่ถึงขนาดต้องต่อแถวอาจเพราะเรามาเร็ว จัดมาสองเมนู + 1 ของหวาน คือมันดีมากจริง ราคาพอรับได้ตกคนละ 1,000 นิดๆ ตัวแรกคือเนื้อหมัก 8 ชั่วโมง จะเรากระดูกออกได้แบบง่ายๆ ตัวนี้จะราดด้วยมันอย่าทิ้งไว้นานมันจะแห้ง ส่วนจานที่สองเป็นจาน Signature ที่เกือบทุกคนต้องสั่งเพราะเป็นเนื้อสดราดด้วยเนยร้อน อันนี้คือสุดมากเนื้อเด้งนุ่มแบบสุดๆ ส่วนขนมหวานเราทำเซอร์ไพร์วันเกิดได้นะที่นี่เค้าจะร้องเพลงให้ ซึ่งแบบว่าดี

                กินเสร็จก็เดินช๊อปปิ้ง แล้วเราก็พาแฟนไปส่งที่ร้านอาบน้ำโบราณของตุรกี เรียกว่า Hamman ร้านชื่อ Ayasofya Hurrem Sultan Hamam ตั้งอยู่ระหว่าง Blue Mosque และ Hagia Sofia ซึ่งใจกลางเมืองมาก เค้าจะแยกส่วนของผู้หญิงและชายอย่างชัดเจน เข้าคนละทางเข้าไปก็ไปเปลี่ยนชุดแล้วพนักงานก็จะพาเข้าไปในห้องอาบน้ำหินอ่อนกว้างๆ มีแท่นหินอ่อน 8 เหลี่ยมอยู่ตรงกลาง ซึ่งห้องอาบน้ำนี้ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ แน่นอนว่าการอาบน้ำมันก็ต้องเปลือยอ่ะนะ แต่อย่าได้ไปสนใจใดๆ เก็บความอายไว้ในใจ เค้าก็จะเอาน้ำอุ่นล้างตัวเราแล้วก็เริ่มขัดผิวเราด้วยผ้าขัดตัว ขี้ไคลสะสมจากการมาเที่ยวก็ลอกออกมา ขัดเสร็จก็ล้างตัวเราอีกรอบ แล้วพาเราไปนอนบนแท่นตรงกลาง มันจะอุ่นๆตลอดเวลา แล้วเค้าก็ทำฟองสบู่เยอะมากๆ มาคลุมตัวเราแล้วก็ถูๆ ตัว อารมณ์มีคนอาบน้ำ แล้วก็มีนวดให้ สบายมาก จะหลับไปหลายรอบ เสร็จก็พาไปล้างตัว และสระผมให้ด้วย เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ออกมากลิ่นตัวหอม สะอาด เบาตัวและกระเป๋าตังค์

ได้ชาผงกับโคมไฟกลับไทยเรียบร้อย

วันที่ 8 (Istanbul)

                       เช้าถัดมาออกตอน 6.30 ไปจุดถ่ายรูปลับซึ่งลับมากจนมันไม่เปิด รวมถึงทางจะเดินไปก็ไปยากมากเพราะใน google map มันไม่รู้ว่าตรงไหนปิดหรือเปิดตอนเช้า เรียกว่าเดินอ้อมไปอ้อมมาเพราะทางเชื่อมแต่ละจุดมันปิด จนเจอลุงมาทักจะช่วยบอกทางให้ ตอนแรกกลัวว่ามาเป็นคนไม่ดี แต่ลุงแกบอกจะไปที่ร้านพอดีเลยแนะนำทางให้ว่าไปทางไหน

เลยเดินไปเดินมาขึ้นตึกเหมือนตึกร้าง ขึ้นๆลงๆเพื่อจะไปดาดฟ้า จนพอดีไปเจอจุดถ่ายรูปยอดฮิตที่มีนกเยอะๆ พร้อมของตกแต่ง เค้าคิดค่าถ่ายรูปคนละ 100 Lira แพงมากและกลัวขี้นกตกใส่หัวสุดๆ เราเลยไม่เอาซึ่งเค้าก็ห้ามเราถ่ายแถวนั้นทั้งหมด เราก็เลยกลับไปกินข้าวเช้าที่โรงแรม ที่นี่คือของกินเข้าใจนักท่องเที่ยวมากมีครบ ซอสก็มี หลังจากอาหารเช้าเราก็ออกมาซื้อตั๋วรถรางกัน ซึ่งเราสี่คนใช้บัตรใบเดียวกันได้แต่ต้องเติมเงินให้พอแค่นั้นเอง

ที่หมายที่เราจะไปวันนี้คือไป Dolmabahçe Palace เพราะเราอยากไปดูฮาเร็มข้างใน ที่นี่เป็นที่เดียวที่เราไม่สามารถใช้บัตร Museum Pass ได้ ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งข้างในมันใหญ่มาก แต่เราจะไปแค่ฮาเร็มอย่างเดียวอย่างอื่นไม่ได้ดู ซื้อตั๋วสำหรับฮาเร็มไปในราคา 40 Lira ที่นี่เค้าจะยึดของทุกอย่างเกี่ยวกับกล้องไว้นะไม่ต้องตกใจของไม่หายให้เข้าไปแค่กล้องกับเลนส์ 1 ตัวเท่านั้นที่เหลือให้ทิ้งไว้ที่จุดแสกน เข้าไปในฮาเร็มจะเป็นห้อง ห้อง ห้อง แล้วก็ห้องซึ่งมีทั้ง ใหญ่เล็ก และใหญ่มากคือเล่นซ่อนแอบในนั้นนี่หากันตายอะห้องเยอะจริงในนั้นห้ามถ่ายรูปนะแต่แนะนำว่าเข้าไปดูจะได้เห็นความยิ่งใหญ่แม้การตกแต่งจะไม่เท่ายุโรปแต่มันก็อลังการอยู่ โดยเฉพาะห้องน้ำคือมันดีมากหินอ่อนทั้งห้อง ดูจนเหนื่อยออกมานั่งพักที่คาเฟ่ซักพัก

แล้วก็ออกไปกินมื้อเที่ยงย่านฮิบๆกัน ซึ่งทั้งถนนนี่มีแต่ร้านเก๋ๆ ฮิปสเตอร์ๆหน่อยๆ อาหารอร่อยมากเช่นกัน พอกินเสร็จก็เดินเล่นไปสักพักเพื่อไปถนนที่เค้าขายของเก่า

ระหว่างทางก็บังเอิญไปเจอร้านคุกกี้ที่น่ากินร้านนึง เค้าจะอบสดๆให้เลย ตอนนี้มีที่พร้อมทานขายแค่ 8 ชิ้นถ้าเอารสนอกเหนือจากนี้ต้องรอ 10 นาที แต่พอดีว่ารสที่มีขายอยู่มันมีพอดี ร้านจะแบบเล็กๆน่ารัก พนักงานพูดอังกฤษคือดีมาก เหมาะแก่นักท่องเที่ยวอย่างเรา ตอนแรกน้องเค้าจะให้บัตรสะสมมาแต่เราบอกเค้าว่าน่าเสียดายคงไม่มีโอกาสมากินอีกเพราะจะกลับพรุ่งนี้แล้ว คุกกี้ร้านนี้อร่อยมาก

แล้วเราก็เดินเล่นไปๆมาๆเจอร้านสบู่ทำเองคือร้านนี้ดีมาก กลิ่นหอม กลับไทยมาแล้วก็อยากกลับไปซื้อมาใช้อีก

หลังจากนั้นเราก็เดินทางมาถ่ายรูปกับหอคอย Galata Tower ไอคอนของเมือง Istanbul ฝั่งเอเชีย

ก่อนจะไปนั่งเล่นริมแม่น้ำก่อนจะไปหาที่ถ่ายพระอาทิตย์ตกบนสะพาน

ถ่ายเสร็จวันนี้เลยพาแฟนไปเลี้ยงวันเกิดที่ร้าน Nicole ซะหน่อย ร้านดังของ Istanbul แต่อาหารไม่ค่อยอร่อยเท่าไรแล้วก็ระยะเวลาเสริฟแต่ละจานช้าไปหน่อยรอจนง่วง เวลาแนะนำอาหารก็แนะนำสั้นมากอาจจะเพราะเรื่องภาษา พอกินเสร็จอิ่มก็กลับไปนอนจ้า

วันที่ 9 (Istanbul)

                   วันสุดท้ายเริ่มต้นเช้าวันนี้ออกมาเก็บแสงเช้าที่ Blue Mosque รอตั้งแต่เค้ายังไม่เปิดจนเค้าเปิดเข้าไปก็อย่างที่รู้กันว่ามันปิดซ่อมอยู่เลยถ่ายไรมากไม่ค่อยได้ ผู้หญิงต้องมีผ้าคลุมผม แต่งตัวมิดชิดด้วยนะ เข้าไปดูด้านในดูเสร็จไปต่ออีกที่นึงเลยจ้า

ซึ่งก็คือ Hagia Sophia ที่อยู่ตรงข้ามกัน ที่นี่จะยึดขาตั้งไว้ ขาออกค่อยกลับมาเอา ที่ในนี้คือสวยมากแม้จะปิดซ่อมบางส่วน ตรงทางขึ้นชั้นสองคือวนจนงงสูงมาก ในนี้จะมีภาพพระเยซูคริสที่เป็นโมเสกอยู่ เรียกว่าเป็นสถานที่รวมสองศาสนาไว้ในตึกเดียวทั้งคริตส์และอิสลาม เมื่อก่อนเป็นโบสถ์ต่อมาก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นมัสยิดเพราะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของการปกครองในเมื่อก่อน ดูเสร็จรีบกลับไปกินข้าวเช้าที่โรงแรมแพ็คของลงมาฝากจ้า

แล้วเราก็รีบเดินไปที่ Topkapi Palace เพื่อที่อยากจะไปดูฮาเร็มดั้งเดิม อันนี้ต้องเดินไกลหน่อยคนมาเยอะมากทางเข้าแน่นจนคนต้องเบียดกันเข้าแต่ในส่วนที่เราจะไปดูนั้นต้องจ่ายเพิ่มซึ่งเราไม่ต้องจ่ายเพราะมีบัตร Museum Pass ซึ่งหากใครไม่มีบัตรต้องต่อถึงสามรอบคือเข้ารอบแรกรอบสองซื้อบัตรรอบสามคือจะเข้าไป ซึ่งบอกเลยขาออกมาแถวยาวมากกกกกกกทุกช่วง ในฮาเร็มคนไม่ค่อยเยอะ กระเบื้องแต่ละชิ้นสวยมาก งานละเอียดสุดๆ เสร็จแล้วแวะซื้อของฝากจนนาทีสุดท้ายแล้วรีบวิ่งกลับมาโรงแรมเพื่อขึ้นรถ Shuttle Bus ราคา 15 Euro ต่อคนเพื่อไปที่สนามบินกลับไทย จบทริปจ้า      

                      รวมๆแล้ว ตุรกีมีเสน่ห์มากทั้งบ้านเมือง วิว ศิลปะ ผู้คนจริงๆแล้วเป็นคนน่ารัก Friendly โดยเฉพาะคนแถบรอบนอก การเดินทางด้วยรถสะดวก ถนนเรียบกริ๊บ ป้ายบอกทางชัดเจน อาหารก็อร่อย มีชีสหลากหลายชนิดและดีมาก แต่ผักมีน้อยส่วนมากจะมีแค่แตงกวา มะเขือเทศและมะกอก ผลไม้แนะนำให้ทานทับทิม เพราะขับไปเมืองไหนๆก็เห็นปลูกต้นทับทิมและมะกอกเต็มไปหมด อ้อที่ประเทศนี้ไม่มีหมูให้กินนะ มีไก่ เนื้อวัว อาหารทะเลเป็นส่วนมาก อากาศออกแนวทะเลทรายที่กลางวันร้อน กลางคืนเย็น ประมาณนั้น      

ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ https://www.facebook.com/Whereveego/

                                  IG: whereveego

whereveego

 วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2563 เวลา 11.49 น.

ความคิดเห็น