ถนนบอลซายา มอสโคว์สกายาที่พาดผ่านด้านหน้าทางเข้าโบสถ์อัสสัมชัญเป็นลานกว้างนามว่า Cathedral square บริเวณนี้มากไปด้วยอาคารเก่าแก่ที่งดงามไปด้วยสถาปัตยกรรมในแบบฉบับรัสเซีย ก่อด้วยอิฐสีแดง บางมุมมองดูคล้ายกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่จัตุรัสแดง กรุงมอสโก แต่มีขนาดเล็กกว่า โดยเป็น 2 อาคารตั้งอยู่คนละฝั่งถนน มองไกลๆให้ความรู้สึกเหมือนเป็นซุ้มประตูเข้าเมือง


บนถนนบอลซายา มอสโคว์สกายา จาก Cathedral square สู่ Golden gate มีร้านรวงที่ตกแต่งหน้าร้านไว้อย่างน่ารักหลายต่อหลายร้าน แต่ละร้านมักมีตัวตุ๊กตาขนาดใหญ่ตั้งไว้เรียกให้เด็กน้อย หรือลูกค้าหัวใจเด็กเข้าไปชมสรรพสินค้าภายใน แล้วคนหัวใจเด็กแต่หน้าไม่เด็กอย่างผมก็เผลอตัวเผลอใจเดินเข้าไปชมภายในอย่างว่าง่าย

สินค้าภายในนอกจากของที่ระลึกน่ารักๆอย่างพวกตุ๊กตาปูนปั้นตัวน้อยที่ทำเป็นรูปสัตว์ รูปคนอย่างน่ารักน่าเอ็นดูแล้ว ยังมีขนมที่เป็นเอกลักษณ์อารมณ์ประมาณสินค้าหนึ่งเมืองหนึ่งผลิตภัณฑ์ของวลาดิมีร์ นั่นคือขนมปังพิมพ์ลายรูปสัตว์ ซึ่งออริจินัลจะเป็นรูปนกฮูก ตัวแป้งมีลักษณะคล้ายกับขนมไหว้พระจันทร์ไส้ทุเรียนของบ้านเรา แต่สำหรับไส้นั้นมีสารพัด ผมเลือกไส้แยมสตอเบอรี่มา 1 ชิ้น เมื่อได้ลิ้มลองแล้วบอกคำเดียวว่า อร่อยมาก

แล้วการเดินเท้าแบบเก็บเบี้ยรายทางอย่างสบายอารมณ์ของผมก็มาถึงโกลเดนเกท (Golden gate) เป็นป้อมปราการ 1 เดียวจากทั้งหมด 5 ป้อมที่ยังหลงเหลืออยู่ ป้อมปราการที่ก่อด้วยอิฐสีขาว ฐานสองฝั่งเป็นทรงกระบอก ตรงกลางเป็นรูปทรงแท่งสี่เหลี่ยมแห่งนี้สร้างขึ้นโดยเจ้าชายอังเดร โบโกลยุบสกี้ ในปีค.ศ.1158 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่สร้างโบสถ์อัสสัมชัญ

หน้าประวัติศาสตร์บันทึกว่าป้อมปราการแห่งนี้ได้ทำหน้าที่อย่างหนักในการรับมือกับกองทัพมองโกล ตาร์ตา (ชาวรัสเซียเรียกชาวมองโกล มีผู้นำชื่อบาตู ซึ่งเป็นเหลนของเจงกีสข่านว่า ชาวตาร์ตา โดยกองทัพมองโกลได้ยกทัพขึ้นไปตีดินแดนที่เป็นประเทศรัสเซียในปัจจุบัน ในช่วงปีค.ศ.1237 - 1342) ปัจจุบันป้อมปราการแห่งนี้ได้ถูกดัดแปลงจนมองดูไม่ต่างจากโบสถ์ในนิกายออร์โธดอก แต่ภายในคือพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของเมืองวลาดิมีร์

ด้านหลังโกลเดทเกทเป็นเนินดินสูงใหญ่ที่ปกคลุมด้วยหญ้าเขียวขจี ทีแรกผมคิดว่าเป็นสวนสาธารณะที่สร้างไว้ให้ชาวเมืองได้นั่งเล่น เดินเล่น จึงไม่รอช้าที่จะเดินสวนแรงโน้มถ่วงเพื่อขึ้นไปชมวิวบนนั้น แต่เมื่อกลับมาศึกษาประวัติจึงได้ทราบว่าใต้เนินดินนี้คือแนวกำแพงเมืองที่เชื่อมต่อป้อมปราการทั้ง 5 นั่นเอง

ข้างๆโกลเดนเกทคือ โบสถ์ทรินิที (Trinity church) แม้ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่ตั้งอยู่ใกล้กับโกลเดนเกทมากที่สุด แต่โบสถ์หลังงามที่สร้างด้วยอิฐสีแดงนี้ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลก สาเหตุเพราะเพิ่งสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1913 นี้เอง เนื่องในโอกาสครบรอบ 300 ปีของราชวงศ์โรมานอฟ โดยเป็นโบสถ์ที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมไบเซนไทน์ ประกอบด้วยยอดโดมสีเงิน 2 ยอด เป็นของตัวโบสถ์กับหอระฆัง ใต้ยอดโดมเป็นช่องหน้าต่างสร้างเป็นมิติซ้อนกันหลายชั้น ดูแล้วสวยงามน่าชมมาก ยิ่งเมื่อมองลงมาจากเนินดินด้านหลังโกลเดทเกทอย่างที่ผมยืนอยู่ขณะนี้ ยิ่งสวยงามจากภาพของโบสถ์ทรินิทีที่แม้จะสร้างต่างยุคต่างสมัย แต่ก็ตั้งเคียงข้างโกลเดนเกทได้อย่างลงตัว

ผมเดินต่อไปตามถนนที่ทอดตัวจากโกลเดนเกทไปยังแม่น้ำ Klyazma บริเวณนี้เป็นเขตเมืองเก่าวลาดิมีร์ที่แต่เดิมเคยมีกำแพงเมืองล้อมรอบ แต่ปัจจุบันพื้นที่บริเวณนี้มีบรรยากาศไม่ต่างจากเขตชนบทที่มีบ้านเรือนหลังน้อยที่เก่าแก่ หากแต่คงไว้ด้วยความคลาสสิค ชวนให้เข้าไปเดิมดื่มด่ำความหอมหวานของอดีตเป็นยิ่งนัก

ผมเดินขึ้นไปตามเนินดินที่อยูด้านหลังบ้านเรือน ณ ตำแหน่งสูงสุดของเนินดินเป็นที่ตั้งของหอน้ำ (Water Tower) หอคอยทรงกระบอก ก่อด้วยอิฐสีแดง สูง 3 ชั้น สร้างขึ้นในปีค.ศ.1912 เพื่อใช้บริหารจัดการน้ำให้กับชาวเมือง แต่ปัจจุบันหอคอยแห่งนี้ได้กลายสภาพเป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าหน้าประวัติศาสตร์ของวลาดิมีร์ในมุมที่ต่างออกไป

ภายในหอน้ำเน้นการจัดแสดงภาพถ่ายเมืองวลาดิมีร์ในอดีต ที่ชาวเมืองยังคงใช้รถม้าเป็นพาหนะหลักในการเดินทาง แต่หากตัดเรื่องรถม้าออกไป สภาพบ้านเรือนเมื่อร้อยกว่าปีก่อนก็ดูไม่ต่างจากปัจจุบันเท่าไหร่นัก นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงเครื่องแต่งกาย หน้าตาร้านรวง ข้าวของเครื่องใช้ของชาวเมืองในอดีต และเมื่อเดินไปตามบันไดวนสู่ชั้นบนสุด ยังเป็นจุดชมวิวชั้นดีแบบ 360 องศาในการชมเมืองวลาดิมีร์ เมืองมรดกโลกที่แสนงดงาม

หลังจากกินทิวทัศน์รองท้องจนท้องเริ่มร้อง ระหว่างการเดินกลับผมจึงแวะหามื้อกลางวันทาน แต่แทนที่จะเป็นอาหารรัสเซียตามที่ตั้งใจ ร้านอาหารที่ผมเลือกเข้านี้กลับกลายเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น จึงขอลองอาหารญี่ปุ่นฝีมือชาวรัสเซียสักมื้อ

เมื่อท้องเริ่มอิ่ม ขาก็เริ่มมีแรงเดินอีกครั้ง ดูจากแผนที่แล้ว โบราณสถานในวลาดิมีร์เหลืออีกเพียงที่เดียวที่ผมยังไม่ได้ไปเยือน นั่นคือ Princess convent of the Assumption ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของถนนบอลซายา มอสโคว์สกายา และต้องเดินเข้าไปด้านในอีก 2 บล็อค ซึ่งค่อนข้างไกล แต่ก็ไม่ไกลเกินที่สองเท้าจะไปถึง

Princess convent of the Assumption เป็นโบสถ์ก่อด้วยอิฐสีเขียวขนาดค่อนข้างใหญ่ มีความสูง 3 ชั้น มองดูจากภายนอกจะสัมผัสได้ถึงความเก่าแก่ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีป้ายบอกเล่าอดีตของสถานที่แห่งนี้เลย

ผมเดินกลับบนเส้นทางเดิม ในเวลานี้ไม่มีสถานที่ใดบนแผนที่ที่ให้ผมต้องพาตัวเองไปเยือนอีกแล้ว ในขณะที่เวลาที่นัดกับน้องเนไว้ยังเหลืออีกพอควร ผมจึงเลือกที่จะกลับไปยังสวนสาธารณะบริเวณโบสถ์อัสสัมชัญอีกครั้ง ในเวลาที่ไม่มีภาระว่าจะต้องไปเยือนสถานที่สำคัญให้ครบ ทำให้ชีวิตรู้สึกถึงการปลดปล่อย ประกอบกับในเวลานี้สายลมได้โหมพัด พาให้ใบไม้ได้ร่วงหล่น และพลิ้วไหวเกิดเป็นเสียงขับกลบดั่งท่วงทำนองของดนตรี บ่อยครั้งที่ผมมีความสุขกับการได้เดินไปบนเส้นทางที่เรียงรายไปด้วยสถานที่สำคัญที่นำมาซึ่งความสุขจากการเที่ยวชม แต่ก็มีหลายครั้งที่ความสุขเกิดขึ้นในขณะที่ร่างกายและความคิดหยุดนิ่ง อย่างเช่นเวลานี้ที่ผมกำลังเปิดใจรับฟังเสียงบรรเลงของบทเพลงใบไม้ร่วง

ผมกลับมาเจอน้องเนที่โฮสเทล เธอกำลังนั่งพูดคุยกับคุณลุงชาวญี่ปุ่นในห้องครัว คุณลุงใช้ชีวิตหลังเกษียรด้วยการเดินทางไปเที่ยวยังประเทศต่างๆ โดยครั้งนี้มาเที่ยวรัสเซียเพียงลำพัง มองเห็นคุณลุงก็ชวนให้เห็นตัวเองในอนาคต ว่าอีกไม่กี่ปีเราก็คงใช้ชีวิตไม่ต่างจากคุณลุงท่านนี้

หลังจากคุณลุงขอตัวกลับขึ้นห้องพัก ก็ถึงเวลาที่น้องเนรอคอย นั่นคือการแสดงฝีมือเจียวไข่ เพื่อหมายกำจัดไข่ที่ซื้อมา 1 แผงเมื่อวานให้หมดไป แต่เราก็กำจัดไปได้แค่คนละ 2 ฟองเท่านั้น จึงเหลือไข่อีก 6 ฟองทิ้งไว้ให้แขกผู้มาใหม่ใช้เป็นเสบียงต่อไป

แล้วอยู่ๆสายฝนก็โปรยลงมาในเวลาที่เราลากกระเป๋าออกจากโฮสเทลเพื่อไปยังสถานีรถไฟ อากาศที่เย็นอยู่แล้วจึงยิ่งหนาวเย็นเข้าไปใหญ่ เหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้ผมได้รู้ว่า เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก จุดหมายต่อไปนั้น มีเรื่องร้ายๆรอผมอยู่

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2564 เวลา 21.27 น.

ความคิดเห็น