สันหนอกวัว เป็นทริปที่เป็น ทริปคั่นเวลา ทริปฉุกละหุก อีกทริปนึง เพราะทริปหลักที่วางเอาไว้คือ ดอยหลวงเชียงดาว ด้วยความที่ว่า เรามีวันหยุด และเสียดายถ้าจะไม่ได้ใช้วันหยุด

จัดแจงถามไถ่สมาชิกเดอะแกงค์ รอบนี้มี พี่บอย พี่เก๋ ยุ้ย สิริรวม 4 คน สำหรับทริปนี้

เริ่มต้นการเดินทาง ออกจาก porto chino ตรงมหาชัย เวลาเกือบจะ 4 ทุ่มละ ขับรถไปตามถนน พระราม2 เลี้ยวเข้าบ้านแพ้ว เพื่อออกไปถนนเพชรเกษม ขับรถไปเรื่อยๆ ไปทางเมืองกาญ ผ่าน บ้านโป่ง เลี้ยวเข้าถนน แสงชูโต จากนั้นเลี้ยวขวาแยกท่าล้อ วิ่งเส้นเลี่ยงเมืองกาญจน์ ขับรถไปทางทองผาภูมิ ขับไปเรื่อยๆ ทางอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เลยไปนิดเดียว จะเห็นทางเข้า จุดชมวิวป้อมปี่

ถึงจุดชมวิวป้อมปี่เกือบตี 3 ละ พี่บอย พี่เก๋ ยุ้ย นอนในรถ ด้วยความที่อากาศร้อนและอบอ้าวมาก ส่วนตัวเลยลากถุงนอนออกมานอนข้างรถ นอนหลับๆตื่นๆ เพราะร้อน และยุง และแมลงกวนมาก ลุกออกมาตอนตี5 รอจน 6 โมงก็เรียกทุกคนให้ตื่น ไปอาบน้ำ และเดินไปสั่งข้าวเช้า และข้าวห่อกินตอนเที่ยง

ทริปนี้ ต้องเดินทางโดยรถกระบะ ไปยังจุดเริ่มเดิน ซึ่งตรงนี้ต้องไปแชร์กับอีกกลุ่มนึงเนื่องจากรถไม่พอ และทำให้เราประหยัดเงินไปได้ครึ่งนึง ซึ่งเป็นเรื่องดีมาก

ลูกหาบแบกเฉพาะสัมภาระกองกลาง คือเตนท์ อุปกรณ์ทำอาหาร และของสด ซึ่งสิ่งที่ขนไปคือ กุ้ง แซลมอน ไก่ และ ซีฟู้ดมิกซ์ ผักนานาชนิด คือจะบอกว่าเสบียงนี่กินดีอยู่ดีมาก สัมภาระส่วนตัวแบกกันเองตัวใครตัวมัน

จากจุดรวมพล นั่งรถกระบะไปประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ก็ถึงจุดเริ่มเดิน ทางเดินช่วงแรก ก็เป็นป่าโปร่งๆ เดินสบายไม่มีอะไร พวกเราก็สนุกสนานครื้นเครง กันตามปกติ เนื่องจากทุกคนพอมีประสบการณ์กันมาบ้างแล้ว


บรรยากาศ รอบๆในช่วงแรกนั้น บอกเลยว่าเดินง่าย ทางราบสลับกับทางไม่ชันมาก ช่วงแรกเดินเกาะกลุ่มใหญ่ ซึ่งพวกเราเห็นพ้องกันว่า เดินกันช้ามาก เลยเดินแซงทุกคนออกมา และเดินนำกันไปเลย ทางเห็นชัดเจน ไม่มีหลงแน่นอน ทางเดินร่มรื่น อากาศเย็น โอ๊ยย อะไรมันจะดีขนาดนี้


เดินกันมาได้สักพักนึง ทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ จน รู้สึกว่า เฮ้ย ไม่ใช่ละ ทางเริ่มเดินลำบากขึ้น อากาศเริ่มร้อนขึ้น ทางเดินเริ่มกลายเป็นทุ่งหญ้าบ้าง ที่โล่งบ้าง ลมเริ่มไม่พัด ตอนนี้เองทุกคนเริ่มเหนื่อยกันมาก น้ำที่เตรียมมา เริ่มทำท่าจะไม่พอ เดินไปก็ได้แต่ภาวนา ให้ถึงจุดพักกินข้าวเร็ว


ถึงจุดพักกินข้าว บอกได้เลยว่า เป็นการพักกินข้าวที่อ้อยอิ่งสนิมสร้อยที่สุดเท่าที่เป็นมา ด้วยความที่เหนื่อย เมื่อย และล้ามาก กว่าจะกินเสร็จ กว่าจะอะไร ก็เกือบชั่วโมง กินเสร็จแทนที่จะรีบเดิน ก็ยังนั่งพัก บอกเลยว่า เหนื่อยมากจริงๆ งานนี้


ออกเดินต่อไปได้สักพัก สิ่งที่กลัวก็มาถึงคือน้ำหมด ทำไงล่ะ ก็ต้องอดทนแล้วล่ะงานนี้ ถ้าคิดว่านี่แย่แล้ว บอกเลยว่าไม่ .......ด้วยความที่เหนื่อยมาก เดินไปได้สักพักใหญ่ๆ ไม่ไหวแล้วหมดแรง น้ำก็หมดทำไงดี เลยนั่งพักที่ก้อนหินใหญ่ๆ นานมาก เกิน 20 นาทีแน่นอน ไม่เคยพักที่ไหนนานๆแบบนี้เลย จนรู้สึกดีขึ้นเลยเริ่มออกเดิน แต่เดินได้ไม่นาน ยุ้ยก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะตะคริวกินที่น่อง เราก็อยากจะไปช่วย แต่ก็ทุลักทุเล ปลดเป้ลง ช่วยนวด พออาการดีขึ้น เดินได้ไม่เกินสิบก้าวดี เราเป็นตะคริวบ้าง ขึ้นที่น่องเลย ทีนี้ก็เตี้ยอุ้มค่อมละ หลังจากเราดีขึ้นพอเดินไหว ยุ้ยก็เป็นตะคริวแบบเล็กๆอีกครั้งนึง ช่วยนวดช่วยดูกันไป ทุกลักทุเล พาร่างมาถึงจุดกางเตนท์จนได้ ตรงนั้น มีพี่บอยกับพี่เก๋ขึ้นมาถึงก่อน

ขึ้นมาถึงด้านบน ลูกหาบมารอเราอยู่แล้ว จัดแจงกางเตนท์ และเริ่มเตรียมอาหารการกินกัน ทริปนี้กินดีอยู่ดี หอบอาหารขึ้นมากินเพียบ ไม่อดตายแน่นอน


ก่อนกินข้าว ช่วงที่แสงยังไม่หมดนั้น ก็ต้องรีบไปถ่ายรูปกับมุมยอดฮิต สนองนี้ด ที่ขึ้นมาซะก่อน



บรรยากาศรอบๆ จริงๆก็ไม่ค่อยต่างจาก เขาช้างเผือกซักเท่าไหร่หรอก เป็นทุ่งหญ้ากว้างๆบนยอดเขา มองไปก็เป็นวิว 360องศา แต่ยังรู้สึกว่า เขาช้างเผือกโอเคกว่า

สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยเวลามาบนเขาแบบนี้คือ รอถ่ายพระอาทิตย์ตกดิน

ตอนถ่ายพระอาทิตย์ตกดินจำได้เลยว่าตลกมาก มีเขาสองลูกวิ่งไปวิ่งมา พี่บอยหลอกให้วิ่งไปอีกลูกนึง คิดว่าไม่ทันแน่ๆ เลยกลับมาอีกลูกนึง เหนื่อยดี แต่ก็ยังทันที่จะได้รูปมา

ตอนกลางคืนที่นี่ดาวสวยมาก แต่น่าเสียดายไม่มีโอกาสได้ถ่ายทางช้างเผือก เพราะช่วงนี้ของปี ทางช้างเผือกมุดไปอยู่อีกซีกโลกนึงแล้ว

ลองลากเส้นให้ดู จะเห็นเป็น กลุ่มดาวหมีใหญ่


สิ่งที่สำคัญอีกอย่างมากๆคือ ตื่นมาถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นนี่ล่ะ คราวนี้ตื่นกันมาตั้งแต่ตี 4 ก่อนที่ใครจะขึ้นมา กลัวไม่ได้มุมที่ดีที่สุด





เหมือนคนมีกรรม แบตเจ้ากรรมดันมาหมดระหว่างถ่ายรูปตอนเช้านี่ล่ะ รูปที่ได้เลย มีแค่นี้


เป็นอีกหนึ่งทริปสั้นๆง่ายๆได้ใจความ 2 วัน 1 คืน เสาร์อาทิตย์ ไปได้ทันที แต่แนะนำว่า ค่อนข้างโหดสำหรับเส้นทาง ถ้าไม่พร้อม ยังไม่แนะนำให้ไป

Will Humphrey

 วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 23.40 น.

ความคิดเห็น