หากถามผมว่าผมมาเที่ยวกระบี่กี่รอบแล้ว ตอบเลยว่า น่าจะเฉียด 10 หรือไม่ก็เกิน 10 ไปแล้ว แต่บอกเลยว่าการมาเที่ยวกระบี่รอบนี้ มีหลายสถานที่เป็นจุดท่องเที่ยวใหม่สำหรับผม แต่หลายจุดที่เคยไปแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างเยอะ และที่สำคัญ ทริปนี้ผมพกดวงไปเยอะ เลยทำให้สมหวัง ได้เจอกับสิ่งที่ตั้งใจและวางแผนไว้ และหลายสถานที่ คนกระบี่ (ที่เป็นเพื่อนผมถึง 3 คน ถือว่าเป็นตัวแทนของคนกระบี่นะครับ 555) ก็ยังไม่เคยไปเที่ยวกัน ไปดูกันครับว่าผมได้พบได้เห็นอะไรสวยๆ ที่ไหนบ้าง

ทริปนี้ผมเดินทางช่วง 18-21 มีนาคม 2564 ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนของกระบี่ แต่ก็แอบหวั่นๆ อยู่เหมือนกันว่าจะเจอฝน เพราะพยากรณ์อากาศบอกไว้ว่า ช่วงปลายทริปของผมจะมีฝนตกด้วย

ทริปนี้ผมเลือกเดินทางกับไลออนแอร์ เพราะได้ราคาตั๋วถูกกว่าทุกสายการบิน แต่ไลออนแอร์มีบินลงกระบี่วันละ 1 ไฟล์ท เท่านั้น โดยออกจากดอนเมืองในเวลา 10.40 น. และถึงสนามบินกระบี่ในเวลา 12.05 น. จากนั้นติดต่อรับรถเช่าจาก Car Rental โดยจะต้องชำระค่ามัดจำรถ 3,000 บาท สามารถจ่ายได้ทั้งเงินสดหรือโอนผ่าน Net Bank ก็ได้ แล้ววันที่คืนรถก็จะได้รับเงินมัดจำคืนครับ ทริปนี้ผมเช่ารถ Toyota Yaris ในราคาวันละ 650 บาท รวม 3 วัน หลังรับรถแล้วผมมุ่งหน้าสู่จุดหมายแรก นั่นคือ ท่าปอม คลองสองน้ำครับ

มารอบนี้ท่าปอมคลองสองน้ำเปลี่ยนไปจากเดิมมาก มีการจัดระเบียบดีขึ้น ลานจอดรถดีขึ้น เส้นทางศึกษาธรรมชาติแข็งแรงขึ้น เสียอย่างเดียวคือเดินไกลขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยครับ

ค่าธรรมเนียมในการเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท ที่นี่ไม่อนุญาตให้นำอาหารเข้าไปด้านในนะครับ หากใครถือติดไม้ติดมือไป สามารถฝากไว้ที่จุดชำระค่าธรรมเนียมได้ครับ

ช่วงแรกๆ ของเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ จะได้เห็นพรรณไม้มากมาย ดูร่มรื่นทีเดียว แต่น้ำที่มาหล่อเลี้ยงพรรณไม้ต่างๆ บริเวณนี้ ยังไม่ใสเท่าที่ควรครับ

เดินต่ออีกหนึ่งอึดใจ ก็มาถึงจุดที่เป็นไฮไลท์แล้ว

จุดที่น่าสนใจของที่นี่ คือสายน้ำที่ไหลผ่านคลองท่าปอม ในช่วงขึ้น 12 ค่ำไปจนถึง แรม 5 ค่ำ น้ำทะเลจะหนุนขึ้นสูงลึกเข้ามาในคลองท่าปอม และผสมกับน้ำจืดในคลองท่าปอมกลายเป็นคลองน้ำกร่อยที่มีสีฟ้าค่อนข้างขุ่นแต่ว่าก็เป็นช่วงเวลาไม่นาน เพราะหลังจากนั้นน้ำทะเลก็จะลงและถูกแทนที่ด้วยน้ำจืดที่ใสแจ๋ว สามารถมองเห็นปลาและพืชใต้น้ำได้อย่างชัดเจน บริเวณที่เป็นน้ำใสๆ ตรงนี้ จะไม่อนุญาตให้เล่นน้ำนะครับ ถ้าใครอยากจะเล่นน้ำคลายร้อน จะมีจุดให้เล่นน้ำได้ครับ

จากท่าปอมคลองสองน้ำ ผมมุ่งหน้าเข้าที่พักที่ THE TUBKAAK KRABI BOUTIQUE RESORT ซึ่งตั้งอยู่ที่หาดทับแขก การเข้าพักครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ความรู้สึกดีๆ ไม่เคยลดลงเลย

บริเวณ Lobby อยู่บนชั้น 2 โครงสร้างอาคารสูงโปร่ง สามารถรับลมธรรมชาติที่พัดผ่านได้ตลอดเวลา ตอน Check in จะมีการเรียกเก็บค่ามัดจำห้องพัก 5,000 บาทครับ

มาเหนื่อยๆ ได้ Welcome Drink อย่างน้ำมะตูมและผ้าเย็นๆ เช็ดหน้าเช็ดตา เรียกความสดชื่นได้ดีเลยทีเดียวครับ

THE TUBKAAK KRABI BOUTIQUE RESORT เปิดบริการมาตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2546 ที่นี่ได้รับรางวัลจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ประเภท “สถาปัตยกรรมที่สมควรเผยแพร่ ประจำปี พ.ศ. 2547” สถาปนิกได้ดึงเอกลักษณ์ของภาคใต้มาใช้ในการออกแบบ โดยนำรูปแบบของเรือกอและมาใช้เป็นรูปทรงของหลังคา และที่หน้าจั่วของหลังคาจะเห็นเหมือนมีแผ่นไม้ยื่นออกมา ซึ่งไม้ดังกล่าวเปรียบเสมือนหัวพญานาค ทรงหลังคาแบบนี้มันดูเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ไปแล้ว เพราะทางรีสอร์ทได้นำรูปแบบของหลังคามาเป็น LOGO ของรีสอร์ทไปแล้วครับ และยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ยังได้รับการกล่าวถึงในหนังสือขายดีอันดับ 1 ของนิวยอร์ก ไทม์ ชื่อ “1,000 Places To See Before You Die” (สถานที่1,000 แห่งที่คุณควรไปเห็นก่อนตาย) และยังได้อีกหลายรางวัลเลย เช่น ได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงแรมที่โรแมนติกที่สุดในเอเชีย (2009 and 2011 Traveler’s Choice Award, Best of Romance, Asia และ 2013 Best of Service, Thailand) จากผล Vote และ Review ของลูกค้าใน Trip Advisor ครับ

คำว่า “ทับแขก” เป็นชื่อหาด มาจากคำว่า “ทับ” หมายถึง “บ้าน” และคำว่า “แขก” หมายถึง “ผู้มาเยี่ยมเยือน” หาดแห่งนี้ด้านหน้าเป็นทะเล มองเห็นหมู่เกาะห้อง 13 เกาะ ชาวบ้านเรียกว่า “ป่าเกาะ” ด้านหลังเป็นเขาหางนากที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งน้ำสำคัญของจังหวัดกระบี่ ที่ตั้งของรีสอร์ทตั้งอยู่บริเวณท้องของพญานาค ดังนั้นจึงพบเห็นสิ่งที่บ่งบอกถึงพญานาคอยู่ภายในรีสอร์ทด้วยครับ

รูปแบบของห้องพักแบบ Superior Room และ Deluxe Room มองดูจะเป็นเหมือนบ้านสองชั้น อธิบายง่ายๆ คือใน 1 หลังใหญ่ จะแบ่งเป็นซีกซ้ายและซีกขวา ในส่วนของชั้นบน จะเป็นห้องพักแบบ Deluxe Room ส่วนชั้นล่างจะเป็นห้องพักแบบ Superior Room ดังนั้นใน 1 หลังใหญ่ จะประกอบไปด้วย 2 Deluxe Room และ 2 Superior Room ครับ

การเข้าพักครั้งนี้ ผมพักห้องแบบ Superior Room ภายในห้องกว้างขวางเลยทีเดียว เปิดประตูเข้าไป ด้านขวามือจะเป็นมุมตู้เย็น เครื่องชงกาแฟ ติดกันเป็นห้องน้ำครับ

สำหรับด้านซ้ายมือจะเป็นตู้เสื้อผ้า ซึ่งภายในตู้เสื้อผ้าอัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์หลายอย่าง ทั้งตู้นิรภัย ชั้นวางกระเป๋า เสื้อคลุมอาบน้ำ สเปรย์กันยุง กระเป๋าหวายใส่ผ้าเช็ดตัวสำหรับว่ายน้ำครับ

เตียงเป็นแบบ King Size หนานุ่ม นอนสบาย แถมมีหมอนให้เยอะแยะเลย นอกจากนี้ยังมีโซฟาหวายให้นั่งเล่นด้วยครับ

เมื่อเปิดประตูห้องพักข้างเตียงนอนออกไป ยังมี Day Bed ไว้ให้เอนหลัง นอนดูบรรยากาศด้านนอกด้วย ห้องที่ผมพักมองออกไปเห็นวิวทะเลด้วยครับ

ในส่วนของห้องน้ำ กว้างขวางไม่แพ้กัน แยกส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจน พื้นที่ส่วนแห้งจะมีโถสุขภัณฑ์ และอ่างล้างหน้าครับ

ด้านตรงข้ามอ่างล้างหน้า จะเป็นประตู เพื่อเปิดไปยังพื้นที่ส่วนเปียก ซึ่งพื้นที่นี้กึ่งๆ Outdoor ครับ

มีทั้ง Rain Shower และอ่างอาบน้ำ ผมชอบครีมอาบน้ำและแชมพูที่นี่มาก กลิ่นหอมชื่นใจครับ

เครื่องดื่มในตู้เย็น ทานได้ฟรีหมด ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ครับ น้ำดื่มทางโรงแรมจะมาเติมให้ในช่วง Turn down Service ครับ

กาแฟ ชา เป็น complementary จากทางโรงแรมครับ

นอกจากนี้ยังมี Welcome Sweet ให้ด้วย วันที่ผมเข้าพักเป็นขนมปั้นขลิบครับ

โดยรวมแล้ว ห้องพักกว้างขวาง สะอาด สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

ชมบรรยากาศห้องพักกันแล้ว ไปชมบรรยากาศรอบๆ รีสอร์ทกันบ้างครับ

จุดนี้คือ The Library ซึ่งจะอยู่ชั้นล่างของอาคาร Lobby แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่ให้นั่งอ่านหนังสือ และส่วนที่หาข้อมูลทาง internet ครับ

สระว่ายน้ำ แบ่งเป็นสระเด็ก และสระผู้ใหญ่ ตั้งอยู่ใจกลางรีสอร์ท ติดกับ The Spa ครับ

Concept การออกแบบของ THE TUBKAAK KRABI BOUTIQUE RESORT คือ “Timeless Architecture” โดยสามารถเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน

คืออยากจะบอกว่าเดินไปทางไหน ก็จะเห็นแต่สีเขียว ดูสดชื่นมากๆ บ้านพักแต่ละหลังอยู่ในอ้อมกอดของต้นไม้ใหญ่ มันเพิ่มความสดชื่นให้กับผมเป็นอย่างมากครับ

เสน่ห์ของหาดทับแขกคือ หมู่เกาะห้อง 13 เกาะ ที่ชาวบ้านเรียกว่าป่าเกาะ ซึ่งหมายถึงเกาะจำนวนมากมาย ทอดตัววางเรียงอยู่ด้านหน้าหาด อยู่ทางทิศตะวันตก มีเกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่ ขวางบังคลื่นลมราวกับกำแพงที่ธรรมชาติสร้างไว้ ทำให้หาดทับแขกเป็นเสมือนหาดไร้คลื่นทะเล เรียบ ไม่มีไอน้ำเค็มเหมือนเช่นหาดอื่นๆ เล่ากันว่าสมัยโบราณใช้เป็นที่พักเรือหลบลมช่วงฤดูมรสุมครับ

ช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์จะตก ผมแนะนำว่าไม่ควรพลาดมานั่งชมบรรยากาศของหมู่เกาะห้องนะครับ ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า แสงของดวงอาทิตย์จะเริ่มอ่อนกำลังลง และสาดส่องมายังหมู่เกาะทั้ง 13 ทำให้หมู่เกาะทั้ง 13 เหมือนจะเปล่งแสงสีทองออกจากเกาะกันเลยทีเดียว ตำแหน่งของเกาะแต่ละเกาะที่อยู่ใกล้ ไกลกัน ทำให้มองเห็นเป็น Layer อย่างสวยงาม เกาะไหนที่อยู่ใกล้เรา จะเป็นสีเข้ม ส่วนเกาะไหนที่อยู่ไกลเรา จะเป็นสีจางๆ สวยงามอย่าบอกใครเชียว ความสวยงามจะเริ่มตั้งแต่แสงของดวงอาทิตย์ที่เริ่มอ่อนกำลังลง จนทำให้มองเห็นดวงอาทิตย์ที่กลมโต ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไป และหลังจากนั้นก็จะได้เห็นแสงสีที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ขึ้นอีกครั้ง สวยงามจนสะกดให้ผมตกอยู่ในภวังค์เลยครับ

หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเย็นจนอิ่มอกอิ่มใจแล้ว ค่ำนี้ผมมาฝากท้องที่ร้านทับแขกซีฟู๊ด ตามคำแนะนำของเพื่อน ซึ่งร้านตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก เดินเท้าเลาะชายหาดมาประมาณ 2-300 เมตรได้ ก็ถึงแล้วครับ

มื้อค่ำนี้ผมได้ปลาทรายทอดขมิ้น กุ้งแชบ๊วยซอสมะขาม ทานแกล้มกับแกงส้มปลากะพงใส่ยอดมะพร้าว รสชาติอาหารจัดจ้าน สไตล์คนใต้แท้ๆ อร่อยคุ้มราคาครับ หากใครมาเที่ยวที่หาดทับแขกแล้วอยากจะชิมอาหารเมนูเด็ดๆ สามารถโทรจองที่นั่งดีๆ ที่จะมองเห็นวิวป่าเกาะได้นะครับ ที่เบอร์ 087-8221628, 081-2716963 ทับแขกซีฟู๊ดปิดเวลา 20.00 น. นะครับ

อีกหนึ่งสิ่งที่ผมมาทานมื้อค่ำที่ทับแขกซีฟู๊ด เพราะผมจะมาติดต่อเรือเพื่อจะไปเที่ยวหมู่เกาะห้อง ในวันรุ่งขึ้น โดยให้ทับแขกซีฟู๊ดเป็นผู้ติดต่อให้ ซึ่งผมได้ทัวร์หมู่เกาะห้องในราคา 1,800 บาท ราคานี้สำหรับ 2 ท่าน เป็นการเหมาเรือหางยาวพาเที่ยว ย้ำว่า “เหมาเรือพาเที่ยว” โดยเราสามารถบริหารเวลาการเที่ยวของเราได้เอง อยากจะอยู่จุดไหนนานก็ตามสบายเรา ที่สำคัญ เรือจะมารับที่ชายหาดบริเวณหน้าที่พักเลย ถ้าหากใครพักที่หาดทับแขก ผมแนะนำให้เหมาเรือเที่ยวแบบผมที่หาดทับแขกเลย อย่าเสียเวลาไปซื้อแพคเกจทัวร์ที่อ่าวนางเลยครับ เพราะไม่เช่นนั้นเราจะต้องไปขึ้นเรือที่อ่าวนาง แถมการนั่งเรือจากอ่าวนางไปหมู่เกาะห้อง ใช้เวลานานกว่าการนั่งเรือจากหาดทับแขกไปเกาะห้องด้วย สำหรับใครสนใจเหมาเรือจากหาดทับแขก สามารถติดต่อได้ที่ คุณศักดิ์สิทธิ์ 089-5868058

เช้าวันใหม่ ผมมาฝากท้องที่ห้องอาหาร The Arundina เป็นห้องอาหารแบบ All Day Dinning ที่มีเมนูหลากหลาย ให้บริการทั้งอาหารไทยและเทศ พร้อมเสิร์ฟตลอดทั้งวัน โดยในแต่ละมื้อจะเน้นที่ความสดใหม่และคุณภาพของวัตถุดิบเป็นหลัก สำหรับอาหารเช้าจะเริ่มให้บริการตั้งแต่เวลา 06.30 – 10.30 น. ชื่อของ Arundina มาจากชื่อภาษาอังกฤษของกล้วยไม้ยี่โถปีนังครับ

อีกจุดเด่นหนึ่งของห้องอาหาร The Arundina อยู่ที่บ่อปลาคราฟนี่แหล่ะครับ ปลาคราฟตัวใหญ่มาก ทุกๆ เช้าทางห้องอาหารจะนำอาหารปลามาวางไว้เพื่อให้แขกได้เอาให้ปลา แล้วปลาที่นี่ค่อนข้างเชื่อง เวลาเห็นคนเดินมาที่บ่อปลาก็จะพากันว่ายมาหา คงคิดว่าจะได้กินอาหารนะครับ

มารอบนี้ ไลน์ Buffet หายไปค่อนข้างเยอะ เหลือเพียงมุมสลัด มุมผลไม้ มุมขนมปัง มุมข้าวต้ม ได้คุยกับน้องพนักงาน ถึงได้รู้ว่าเพราะสถานการณ์โควิด แต่เดิมจะมีหลาย Station ที่ทำกันสดๆ ใหม่ๆ ปัจจุบันเมนูทำใหม่จะมีเพียงเมนูไข่เท่านั้น ซึ่งจะย้ายเข้าไปอยู่ในครัว โดยจะเสิร์ฟมาเป็น Set อาหารเช้า ซึ่งประกอบไปด้วยไข่ แฮม และไส้กรอกครับ

ผมว่าห้องอาหารนี้วิวดีที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้บริการมา นั่งทานอาหารไปมองป่าเกาะไป เรียกได้ว่าอิ่มทั้งอาหารตาและอาหารปากเลยครับ

ทุกๆ เช้า น้องๆ พนักงานจะร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเก็บขยะที่หน้าชายหาดของโรงแรม ขยะที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นบรรดาเศษไม้ ที่ลอยมากับเกลียวคลื่น เมื่อน้ำลง เศษไม้ต่างๆ ก็จะติดอยู่บนชายหาด ทำให้ดูไม่สวยงาม แต่เมื่อเหล่าพนักงานเก็บกวาดหมดแล้ว ทำให้ชายหาดดูสะอาดตามากๆ ครับ

ตอนนี้เรือที่จะมารับนักท่องเที่ยวไปเที่ยวที่เกาะห้อง ต่างทยอยมารอรับหน้าชายหาดของ THE TUBKAAK KRABI BOUTIQUE RESORT แล้ว ผมรีบจัดแจง Check out ให้เรียบร้อย เพราะรู้ว่ากว่าจะจบทริป คงเกินเวลา Check out แน่นอน ทางรีสอร์ทได้นำสัมภาระของผมเก็บไว้ในห้อง Day use และให้ใช้อาบน้ำ พักผ่อน หลังจากที่กลับมาจากทริปเกาะห้อง สร้างความประทับใจเข้าไปอีก

ในบรรดาหมู่เกาะทั้ง 13 ที่อยู่เบื้องหน้าเมื่อมองจากหาดทับแขก เกาะที่ใหญ่สุดทางซ้ายมือคือเกาะห้อง เราใช้เวลานั่งเรือหางยาวประมาณ 20 นาที ครับ

ถ้าหากสังเกตบนยอดเขาดีๆ (จากภาพอยู่มุมซ้ายมือ) จะเห็นจุดชมวิว 360 องศาของเกาะห้องครับ

เรือจะมาจอดส่งที่ท่าเรือบริเวณอ่าวบิเละ จากนั้นจะออกไปจอดอยู่ห่างๆ เพื่อให้เกิดความสวยงาม ไม่สร้างความวุ่นวายให้กับสถานที่ท่องเที่ยว ก่อนเข้าไปเที่ยวบนเกาะห้อง นักท่องเที่ยวจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการขึ้นเกาะคนละ 60 บาทครับ

เกาะห้องเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี เป็นเกาะที่ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 Dream Destination กาลครั้งหนึ่งต้องไป ของ ททท. เมื่อราวๆ ปี 2557 ครับ บริเวณที่เราลงเรือ เรียกว่า อ่าวบิเละ เป็นอ่าวที่มีหาดทรายโค้งคล้ายๆ นกกำลังบิน หาดทรายที่นี่ขาวนวล เวลาเดินแล้วนิ่มเท้ามากๆ เสียดายที่ผมมาช่วงเช้า ดวงอาทิตย์จะย้อนแสงเข้ามาที่ชายหาด ทำให้เวลาถ่ายรูปออกไปจะย้อนแสง เลยไม่ค่อยเห็นความฟ้าใสของน้ำทะเลสักเท่าไร

มาเที่ยวเกาะห้องแล้ว หากมีแรง อยากให้ขึ้นไปยังจุดชมวิวเกาะห้อง 360 องศาครับ เส้นทางเดินค่อนข้างเดินง่าย เพราะทางอุทยานได้ทำเป็นบันไดให้นักท่องเที่ยวได้เดินค่อนข้างสะดวก แต่...เส้นทางค่อนข้างสูงชัน พกยาดม ยาหม่อง ติดตัวไปด้วยก็ดี ได้ใช้แน่นอนครับ

บอกเลยว่าด้านบนจุดชมวิวสวยงาม คุ้มค่าเหนื่อย เราจะได้เห็นป่าเกาะในอีกมุมมองหนึ่งครับ

จากอ่าวปิเละ เรานั่งเรือเลาะเกาะเพื่อไปยังทะเลใน หรือลากูนครับ ทางเข้าออกลากูนมีเพียงช่องทางเดียว โดยมีความกว้างประมาณ 10 เมตร ด้านในของลากูนถูกโอบล้อมด้วยหน้าผาชัน ผมมาเที่ยวที่นี่รอบแรกในช่วงน้ำลง เห็นน้ำใส ทรายขาว สามารถลงไปยืนในลากูนได้เลย แต่มารอบนี้ ระดับน้ำยังไม่ลงเท่าที่ควร น้ำทะเลเลยออกสีเขียวมรกต ก็สวยไปอีกแบบครับ

ก่อนที่เรือจะแล่นออกจากลากูน คนขับเรือจะจอดให้เราถ่ายภาพกับหัวเรือบริเวณทางเข้าออกของลากูนครับ

จากนั้นมุ่งหน้าสู่เกาะเหลาลาดิง ระหว่างทางเห็นเกาะที่มีการสัมปทานรังนกด้วยครับ

นั่งเรือไม่นานนักก็มาถึงเกาะเหลาลาดิง สิ่งแรกที่สัมผัสได้จากบนเรือคือ ชายหาดขาวมากครับ

เกาะเหลาลาดิงหรือเกาะพาราไดซ์ เป็นเกาะที่มีความเงียบสงบ ส่วนตัว มีชายหาดขนาดเล็ก หาดทรายขาวสะอาด สวยงามมาก เป็นเกาะที่พักอาศัยของกลุ่มสัมปทานรังนกครับ

ผมอาศัยเกาะเหลาลาดิงเป็นที่ทานอาหารกลางวัน โดยผมได้แจ้งให้คุณศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่ประสานติดต่อเรือให้ช่วยจัดเตรียมอาหารกลางวันให้ โดยมื้อนี้ได้เป็นข้าวผัดทะเล ในราคาชุดละ 70 บาทครับ

หลังอิ่มท้อง เดินทางกันต่อสู่เกาะผักเบี้ย ซึ่งเป็นเกาะสุดท้ายของทริปในวันนี้ครับ

เกาะผักเบี้ยเป็นเกาะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของเกาะห้อง โดยมีชายหาดไม่กว้างมากนัก ในช่วงที่น้ำทะเลลง จะมีสันทรายคล้ายๆ ทะเลแหวก ทอดยาวไปยังอีกเกาะหนึ่งซึ่งเรียกว่าเกาะผักเบี้ยเช่นกัน ซึ่งเราสามารถจะเดินจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งได้ในช่วงที่น้ำลงเท่านั้น ซึ่งตอนที่ผมไประดับน้ำยังไม่สูงมากนัก สามารถเดินไปยังอีกเกาะได้ครับ

ระหว่างเส้นทางกลับ ได้น้ำมะพร้าวหวานๆ เย็นๆ ที่เจ้าของเรือได้เตรียมเอาไว้ให้ เรียกความสดชื่นได้ดีทีเดียวครับ

หลังจากขึ้นเรือ ผมมุ่งหน้าสู่คลองหรูด ไปออกกำลังแขนโดยการพายคายัค เพื่อไปชมต้นน้ำธรรมชาติคลองหนองทะเลครับ

ก่อนอื่นเราต้องมาติดต่อคายัคสำหรับที่จะพายไปสำรวจน้ำผุดกันก่อน สำหรับราคาเช่าคายัคอยู่ที่ลำละ 300 บาท คายัค 1 ลำ สามารถนั่งได้ 2 คน ย้ำ!! 2 คน 300 บาท แต่ถ้าหากใครซื้อแพคเกจผ่านบริษัททัวร์ จะเสียค่าใช้จ่ายหัวละ 300-500 บาทครับ

“หรูด” ภาษาใต้ แปลว่า ลื่น ไถล และฝายทดน้ำบริเวณจุดพายคายัค นี่แหล่ะเป็นที่มาของ “คลองหรูด” สไลด์เดอร์ที่สร้างความสนุกสนานให้กับเด็กๆ ในพื้นที่ครับ

แต่เดิมที่นี่เป็นคลองน้ำจืดสายเล็กๆ ปกคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ต่อมาได้มีการสร้างฝายทดน้ำขึ้นบริเวณกลางลำคลอง เพื่อชะลอน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง ส่งผลให้คลองเหนือฝายทดน้ำกลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ ส่วนด้านท้ายฝายจะไหลลงคลองหนองทะเลต่อไป ต่อมา อบต.หนองทะเล ร่วมกับผู้นำชุมชน และชาวบ้าน ได้ร่วมกันพัฒนาหนองน้ำแห่งนี้ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยการพายคายัคขึ้นไปชมต้นน้ำของคลองหนองทะเลครับ

จากจุดเริ่มต้น เราต้องพายคายัคไปตามทุ่นลอยน้ำสีขาวที่ทาง อบต.ได้ทำเป็นสัญลักษณ์นำทางให้นักท่องเที่ยว ระยะทางในการพายคายัคไปถึงต้นน้ำประมาณ 1 กิโลเมตรครับ ระหว่างทางจะพบเห็นกล้วยไม้พันธุ์พื้นเมืองขึ้นอยู่บนซากไม้หลากหลายสายพันธุ์เลยทีเดียว

บอกเลยว่าน้ำในคลองหรูดใสมาก ใสจนเห็นซากต้นไม้เก่าที่ถูกโค่นลง เห็นปลา เห็นพันธุ์ไม้น้ำมากมาย สำหรับใครที่พายคายัคไม่เป็น ไม่ต้องกังวล ฝึกแป๊บเดียวก็เป็นครับ ที่นี่น้ำนิ่ง พายไม่ยาก แต่พายแล้วอาจจะเจออุปสรรคจากซากไม้ที่อยู่ในคลอง ผมเองพายไปก็ติดอยู่บนซากไม้อยู่หลายครั้งเหมือนกัน

พายไปเพลินๆ จนสุดหนองน้ำ จากหนองน้ำกว้างๆ จะกลายเป็นเส้นทางแคบๆ จุดตรงนี้น้ำจะใสกว่าช่วงแรกๆ ที่เราพายคายัคเข้ามา ค่อยๆ พายเข้าไปเรื่อยๆ ผ่านจุดเล่นน้ำเข้าไปนิดเดียว ก็จะพบต้นน้ำธรรมชาติคลองหนองทะเลแล้ว มองเห็นได้ชัดเจนว่ามีน้ำผุดจากตาน้ำอยู่ตลอดเวลาครับ

ขากลับรู้สึกทำเวลาได้ดีกว่าขาไปมาก อาจจะเพราะชำนาญการพายคายัคมากขึ้น จากที่ขาไปเกยตอไม้อยู่หลายรอบ ขากลับเกยตอไม้ไม่กี่ครั้งเอง การพายคายัคครั้งนี้ เล่นเอาผมปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด เมื่อยทั้งแขน ปวดต้นขา เพราะเกร็งขาเพื่อออกแรงพายตลอดเวลา ตอนนี้ยังนึกขำตัวเอง ตอนที่กำลังจะลุกจากเรือเพื่อขึ้นท่าเรือ ปรากฏว่าลุกไม่ได้ เพราะต้นขาเกร็งไปหมด ต้องอาศัยการเลื้อยตัวขึ้นท่าเรือ เสียภาพพจน์มากๆ 555

จากคลองหรูด ผมมุ่งหน้าสู่คลองสระแก้ว อีกหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแบบน้ำใสๆ อย่างท่าปอมและคลองหรูดครับ การเที่ยวชมคลองสระแก้ว มีค่าบำรุงสถานที่คนละ 20 บาท

คลองสระแก้วมีลักษณะเป็นธารน้ำใสที่อยู่ท่ามกลางป่าดงดิบและป่าพรุที่อุดมสมบูรณ์ จนได้รับฉายาว่าอเมซอนของกระบี่ครับ

กิจกรรมในคลองสระแก้ว จะมีการพายคายัคไปตามคลองสระแก้ว ชมทัศนียภาพของป่าสองข้างทาง หรือใครจะเล่นน้ำใสๆ ก็ได้ และอีกหนึ่งกิจกรรมคือการเดินชิลๆ ไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ครับ

ณ เวลานี้ หากให้พายคายัคฟรี ผมคงต้องปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด เพราะอาการปวดต้นขายังไม่หาย เลยขอเดินชมบรรยากาศแทนครับ

บริเวณคลองสระแก้ว จะมีท่าน้ำให้นักท่องเที่ยวได้ลงเล่นน้ำถึง 14 ท่า ใครอยากเล่นท่าไหนก็ตามแต่ใจชอบเลยครับ นอกจากท่าน้ำแล้ว ในคลองสระแก้วยังมีอีกจุดที่น่าสนใจ นั่นคือเสาโบสถ์วัดในสระ ตามป้ายบอกว่ามีอายุประมาณ 300 ปีแล้ว

จากคลองสระแก้ว ผมมุ่งหน้าสู่ เขาทองฮิลล์ อีกหนึ่งจุดชมพระอาทิตย์ตกที่ไม่ควรพลาดของกระบี่ ช่วงนี้เขาทองฮิลล์กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ถ้าหากมาในช่วง Peak จะต้องจอดรถไว้แถวปากทางเข้า จากนั้นจะมีรถสองแถวพาขึ้นไปส่งยังร้านด้านบน แต่ถ้าหากมาวันธรรมดาแบบผม สามารถขับรถขึ้นไปจอดริมถนน ก่อนจะถึงตัวร้านได้เลย จากนั้นเดินเท้าต่อกันอีกนิดหน่อยก็จะได้พบกับความสวยงามของเขาทองฮิลล์ครับ

การตกแต่งร้าน ออกแบบแบบเรียบง่าย ดูน่ารักและกลมกลืนกับธรรมชาติได้ดีทีเดียว พื้นที่ให้บริการมีทั้งแบบ indoor และ outdoor ในส่วนของ indoor จะเป็นห้องกระจกติดแอร์ ซึ่งต้องเดินลงจากส่วน outdoor ไปนิดเดียว เป็นอันว่าไม่ว่าจะนั่งในส่วนไหน เราก็จะได้ซึมซับกับบรรยากาศของหมู่ป่าเกาะที่กระจายตัวอยู่เบื้องหน้าเราแบบใกล้แค่เอื้อมครับ

เขาทองฮิลล์ให้บริการทั้งอาหารทานจริงทานเล่น เครื่องดื่มร้อน/เย็นและเบเกอรี่ บ่ายนี้ผมได้ Avocado+Pitachio ทานคู่กับ Lemon Cheesecake และ Mango+Passion Americano ทานคู่กับ Basque Cheese Cake ครับ

นั่งชิลอยู่พักใหญ่ พระอาทิตย์ดวงโตก็ค่อยๆ คล้อยต่ำลง จากนั้นก็หายลับตาไปด้านหลังเกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ ใครมาเที่ยวกระบี่ อยากให้มาซึมซับกับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่เขาทองฮิลล์ครับ

หลังจากเก็บเกี่ยวความสวยงามที่เขาทองฮิลล์จนเต็มอิ่มแล้ว ผมมุ่งหน้าสู่ Sea Seeker Krabi Resort บริเวณอ่าวนาง ซึ่งเป็นที่พักของผมในคืนนี้ครับ

ผมจองห้องพักของ Sea Seeker Krabi Resort ในช่วงที่โรงแรมออกโปรโมชั่นพอได้ ได้ค่าห้องพักมาในราคา 800 บาท/คืน และหากเข้าพัก 2 คืนขึ้นไป จะได้รับการ Upgrade ห้องพักและมี Afternoon Tea ให้ด้วย จัดไป 2 คืนซิครับ รออะไร

Sea Seeker Krabi Resort อยู่ห่างจากอ่าวนางประมาณ 900 เมตร ถือว่าเดินทางค่อนข้างสะดวกเลยทีเดียว ด้านหน้าปากซอยมี Family Mart ด้วย พื้นที่จอดรถมีค่อนข้างจำกัด เมื่อเทียบกับปริมาณห้องพัก ช่วงที่ผมเข้าพัก แขกค่อนข้างเยอะ เลยลำบากเรื่องการหาที่จอดรถครับ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลบริเวณลานจอดรถแทบไม่มีเลย ผมวนหาที่จอดรถอยู่นาน โชคดีที่มียามมาช่วยกันพื้นที่จอดรถให้ นี่ถ้าแขกมาหลังผม ก็ไม่รู้จะไปจอดรถที่ไหนเหมือนกัน

ผมจองห้องพักแบบ Deluxe Room วิวหน้าผาไว้ แต่ทางโรงแรม Upgrade ให้เป็นห้อง Deluxe Room วิวสระว่ายน้ำครับ

ห้องพักกว้างขวางดี มีระเบียงให้ออกไปสูดอากาศด้วย ห้องน้ำแยกส่วนเปียกส่วนแห้งออกจากกัน สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน วิวที่ผมได้คือวิวสระว่ายน้ำ โดยรวมถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาครับ

ตอน Check in เจ้าหน้าที่จะมอบคูปอง Welcome Drink มาให้ เราสามารถมาใช้บริการได้ที่ Pool Bar จะมีให้เลือกระหว่างน้ำผลไม้และน้ำอัดลม แขกสามารถมาใช้ในเวลาใดก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ Pool Bar เปิดให้บริการนะครับ

ค่ำนี้ผมออกไปเดินหาของกินบริเวณอ่าวนาง ช่วงที่ผมไปมีถนนคนเดินพอดีครับ กลับมาถึงโรงแรมก็แทบสลบเป็นตาย หมดแรงจากการเดินขึ้นจุดชมวิวเกาะห้องและพายคายัคที่คลองหรูดครับ

เช้าวันใหม่ ผมวางแผนจะไปชมแสงเช้าที่ดินแดงดอย ซึ่งอยู่ห่างจากอ่าวนางประมาณ 12 กม. แล้วจะต้องเดินเท้าต่อกันอีกเล็กน้อย ผมจึงต้องรีบออกจากที่พักตั้งแต่ 05.30 น. ครับ

เมื่อจอดรถที่ลานจอดรถเรียบร้อยแล้ว เราต้องเสียค่าบำรุงสถานที่คนละ 20 บาท จากนั้นต้องเดินเท้าขึ้นไปบนเนินเตี้ยๆ ประมาณ 500 เมตร เล่นเอาขาสั่น หายใจหอบอยู่เหมือนกันครับ

ดินแดงดอยเป็นจุดชมวิวแบบ 360 องศา สามารถชมวิวได้ทั้งในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก แต่ผมว่าช่วงพระอาทิตย์ขึ้นจะสวยกว่า จากจุดชมวิว มองออกไปจะเห็นกลุ่มภูเขาหินปูน (จะเรียกว่าป่าเกาะ ก็คงไม่ผิดนัก) ที่วางตัวกระจัดกระจายแบบพาโนรามา ป่าเกาะที่นี่คนละป่าเกาะกับที่มองเห็นจากเขาทองฮิลล์ นะครับ ป่าเกาะที่ดินแดงดอยเป็นกลุ่มภูเขาที่โผล่ขึ้นมาจากแผ่นดินซึ่งถูกปูพรมด้วยผืนป่า ยามดวงอาทิตย์โผล่พ้นยอดเขา แสงสีทองจะสาดส่องมายังยอดไม้ของผืนป่าที่ถูกคลอเคลียด้วยสายหมอกบางๆ เป็นภาพที่สวยงามเกินบรรยายจริงๆ ความงามที่เห็นในภาพมันคงเทียบไม่ได้กับภาพที่มองผ่านสายตาของตัวเอง

ถ้าหากมาจังหวะดีๆ ช่วงที่มีความชื้น เห็นว่าจะมีทะเลหมอกให้เห็นด้วย ขนาดในวันที่ผมไป ยังได้เห็นสายหมอกบางๆ คลอเคลียยอดไม้ เพิ่มเสน่ห์ให้กับจุดชมวิวแห่งนี้เป็นอย่างมาก เห็นวิวแบบนี้ บอกได้คำเดียวเลยว่า คุ้มค่าตื่น และคุ้มค่าเหนื่อยที่เดินเท้าขึ้นมา จุดชมวิวดินแดงดอยเปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 05.30-19.00 น. ครับ

ด้านบนนี้มีบริการร้านอาหารด้วย และสำหรับใครที่ต้องการชมทั้งแสงเย็นและแสงเช้า และมาถ่ายภาพทางช้างเผือก สามารถติดต่อของกางเต้นท์ด้านบนจุดชมวิวได้ที่ 092-0709538 ครับ

จากดินแดงดอย ผมมุ่งหน้ากลับเข้าที่พักเพื่อทานมื้อเช้า อาบน้ำและเตรียมเที่ยวในโปรแกรมที่วางไว้ ระหว่างทางเลยแวะถ่ายภาพบริเวณหาดนพรัตน์ธารา หรือหาดคลองแห้ง ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ช่วงที่ไปถึงเป็นช่วงน้ำลงพอดี จึงได้เห็นที่มาของชื่อหาดคลองแห้งครับ บริเวณหาดทรายพบเห็นเปลือกหอยเล็กๆ เป็นจำนวนมาก

จากหาดนพรัตน์ธารา ผมแวะเยี่ยมยายสาก่อน ยายสา เป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2561 ภายใต้ Concept : No Sunrise No Sunset ไม่มีพระอาทิตย์ขึ้นไม่มีพระอาทิตย์ตก โดยศิลปินผู้สร้างได้นำเรื่องราวของยายสา หญิงชราคนหนึ่งที่มีตัวตนอยู่จริง ที่ต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง เธอเป็นผู้ศรัทธาในความรัก เธอเฝ้ารอสามีที่ล่องเรือสู่ท้องทะเลด้วยความหวัง รอตั้งแต่เช้ายันค่ำ โดยศิลปินได้สร้างกล่องขนาดใหญ่แทนถ้ำ ผิวนอกของกล่องมันวาว แต่ด้านในมืดทึบ วางถ้ำไว้ริมหน้าผา ด้านหน้าเป็นทะเลกว้าง ภายในกล่องว่างเปล่า มีเพียงหุ่นกับเงาของยายสา สารภาพเลยว่าเมื่อเห็นในตอนแรก รู้สึกหลอนมากๆ พอใช้กล้องซูมดูหน้ายายสา ปรากฏเห็นรอยยิ้มของยายสา แต่กระนั้นก็ไม่ทำให้ความหลอนลดลงได้เลย 555 ต้องยอมรับเลยว่า แววตา รอยยิ้ม และรอยเหี่ยวย่น เหมือนคนมากๆ ครับ

งานศิลปะยายสา ตั้งอยู่ด้านหลังของกระบี่รีสอร์ท หากใครต้องการมาเยี่ยมยายสา ต้องจอดรถไว้บริเวณชายหาด แล้วเดินเลาะเลียบทะเลไปจนถึงด้านหลังของกระบี่รีสอร์ท จากนั้นเดินต่ออีกนิดเดียวก็ถึงครับ มีป้ายคอยบอกทางอยู่

เมื่อกลับมาถึงโรงแรม ก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงแล้วครับ แวะเติมพลังที่ห้องอาหารของโรงแรมเลย อาหารเป็นแบบบุฟเฟต์ มีให้เลือกพอสมควร อาหารแต่ละเมนูจะไม่มีหมูนะครับ

Afternoon Tea สามารถใช้ในช่วงบ่ายวันไหนก็ได้ วันแรกผมเข้าโรงแรมช่วงค่ำ ไม่ทันได้ใช้บริการ เลยมาใช้บริการในช่วงบ่ายวันนี้แทน แต่จะต้องแจ้งเวลาให้กับทางโรงแรมทราบ เพื่อจะได้จัดเตรียมเอาไว้ให้นะครับ

หลังมื้อเช้า ผมมีโปรแกรมไปสำรวจถ้ำพระนางใน ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักมากนัก ถ้ำพระนางในอยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี การเดินทางมาที่ถ้ำพระนางใน จะต้องนั่งเรือจากอ่าวนางมายังหาดไร่เลย์ โดยสามารถติดต่อเหมาเรือจากอ่าวนาง ในราคาลำละ 1,400 บาท (ไป-กลับ) หรือถ้าต้องการประหยัดการเหมาค่าเรือ ก็จะต้องแชร์ค่าเรือกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ตอนที่ผมไปติดต่อเรือ ปรากฏว่ามี “พี่ไก่” ผู้โดยสารรออยู่ก่อนหน้านั้นแล้วเพียง 1 คน รวมผมและเพื่อน กลายเป็น 3 คน ดูท่าจะไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ มาร่วมแชร์ค่าเรือแล้ว โชคดีที่พี่ไก่แกมาอาศัยอยู่ที่กระบี่นานแล้ว แกเลยแนะนำว่าให้ไปเหมาเรือที่ท่าเรืออ่าวน้ำเมาจะได้ในราคา 500 บาท/เที่ยว ผมเลยชวนพี่ไก่ไปเหมาเรือที่อ่าวน้ำเมาแทนครับ จากท่าเรืออ่าวน้ำเมา นั่งเรือประมาณ 10 นาที เรือก็มาจอดส่งที่หาดไร่เลย์ฝั่งตะวันออกครับ

เมื่อเดินขึ้นมาจากท่าเรือไร่เลย์ฝั่งตะวันออก ให้เลี้ยวขวา เดินเลาะชายหาดไป ผ่านถนนคนเดิน จากนั้นจะเจอแยกซ้ายมือ มีป้ายบอกชัดเจนว่าทางไปถ้ำพระนางใน การเข้าชมถ้ำพระนางใน มีค่าธรรมเนียมให้กับอุทยานฯ คนละ 40 บาทครับ

ถ้ำพระนางในเป็นถ้ำหินปูนที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ภายในถ้ำอากาศเย็น มีหินงอกหินย้อยสวยงาม บางจุดให้ความรู้สึกเหมือนน้ำตกที่ไหลลดหลั่นลงมา บางจุดก็เป็นเหมือนเสาขนาดใหญ่ ทางอุทยานได้ทำเส้นทางเดินให้นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมด้วยความสะดวก ระยะทางจากปากถ้ำถึงด้านในประมาณ 200 เมตร นอกจากนี้ยังมีไฟส่องสว่างให้ตลอดเส้นทางเดินครับ

จุดนี้ผมว่าดูคล้ายกับผ้าที่พลิ้วไหว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า หินจะดูพลิ้วไหวได้ขนาดนี้ ทึ่งกับสิ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มากๆ ครับ

จากถ้ำพระนางใน ผมเดินย้อนกลับมาหาทะเลอีกครั้ง จากนั้นเลี้ยวซ้าย เดินไปเรื่อยๆ จนถึง Tew Lay Bar ระยะทางอาจจะไม่ไกลสักเท่าไร เดินเลาะเลียบชายทะเลไปเรื่อยๆ แต่ด้วยอากาศที่ร้อนสุดๆ เป้กล้องที่หนักร่วม 8 กก. ทำให้รู้สึกว่ามันไกลเหลือเกิน ไม่อยากจะนึกถึงตอนเดินกลับไปขึ้นเรือเลย 555

บรรยากาศของ Tew Lay Bar เป็นคาเฟ่ที่มีพื้นที่ให้นั่งแบบชิลๆ เยอะมาก แถมมีมุมถ่ายรูปไว้อวดเพื่อนๆ เพียบ..... มีทั้งมุมรังนก มุมชิงช้า และอีกมุมที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง นั่นคือ ที่นั่งไม้บนกิ่งไม้ที่ยื่นยาวลงไปในทะเล ใครมา Tew Lay Bar แล้วไม่ได้มาถ่ายภาพมุมนี้ ถือว่ามาไม่ถึง Tew Lay Bar ครับ Tew Lay Bar เปิดให้บริการตั้งแต่ 09.00-23.00 น. หากใครมาเที่ยวที่ไร่เลย์แล้ว ไม่อยากให้พลาดที่นี่ครับ

พอดีมีแขกของที่นี่ 4 คน จะกลับขึ้นฝั่งที่ท่าเรืออ่าวน้ำเมาพอดี เจ้าของ Tew Lay Bar จึงโทรศัพท์เรียกเรือให้มารับที่นี่ ผมเลยขอสมทบกลับเข้าฝั่งด้วยเลย โชคดี 2 ต่อ โชคดีแรกไม่ต้องเดินกลับไปที่ท่าเรือ ไม่อย่างนั้นเหงื่อคงจะไหลออกมาหมดตัวแน่ๆ โชคดีที่สองคือ ไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งรอให้นักท่องเที่ยวครบ 6 คน เพื่อเรือจะได้ออก และยังจ่ายค่าเรือเพียงแค่ 100 บาท/คน ครับ

เมื่อขึ้นฝั่งที่ท่าเรืออ่าวน้ำเมาแล้ว ผมไปต่อที่สุสานหอย 75 ล้านปี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรืออ่าวน้ำเมา หางบัตรที่ซื้อจากถ้ำพระนางในสามารถนำมาแสดงที่นี่ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเข้าชมนะครับ

สุสานหอย 75 ล้านปี เป็นแหล่งฟอสซิลในยุคโบราณเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย และใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่คุ้มครองตาม พ.ร.บ.คุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ.2551 ปัจจุบันมีสภาพชำรุดทรุดโทรมลงอย่างมาก ผิดหูผิดตากับที่ผมเคยเข้ามาชมเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นใครที่มาเที่ยวกระบี่ ต้องแวะมา Check in ที่นี่ แต่เดี๋ยวนี้บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงาเลยทีเดียว สภาพที่ตั้งของแนวฟอสซิลเริ่มพังทลายหลายจุด เนื่องจากถูกน้ำทะเลกัดเซาะ ทางอุทยานจึงได้กันพื้นที่ไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเหยียบย่ำบริเวณลานฟอสซิลครับ

ผมลงไปถ่ายรูปที่นี่เพียงชั่วครู่ เพราะถ้าอยู่นานกว่านี้ ผิวหนังผมคงไหม้เกรียมแน่ๆ เพราะสู้แดด สู้ร้อนไม่ไหวจริงๆ ครับ เลยขอกลับเข้าพักผ่อนที่โรงแรม ใช้เวลากับ Afternoon Tea ให้หายเหนื่อย จากนั้นอาบน้ำอาบท่าเพิ่มความสดชื่น เพื่อเตรียมลุยอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของวันนี้ครับ

เย็นนี้ ผมมาชมแสงสุดท้ายที่แหลมจมูกควาย ซึ่งตั้งอยู่แถวๆ อ่าวท่าเลนครับ

สำหรับการเดินทางไปยังแหลมจมูกควาย ผมเลือกเหมาเรือจากอ่าวท่าเลน ในราคาลำละ 800 บาท นั่งเรือประมาณ 15 นาที หรือถ้าหากใครไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายส่วนนี้ คงต้องเดินลัดเลาะจากอ่าวท่าเลนมาเรื่อยๆ แต่สามารถทำได้เฉพาะช่วงเวลาที่น้ำทะเลลงเท่านั้น แถมเส้นทางค่อนข้างไกลเลยทีเดียว เดิมจะมีอีกเส้นทางหนึ่งคือเดินเข้าสวนยางในพื้นที่ส่วนบุคคล แต่ปัจจุบันไม่สามารถเดินเข้าไปได้แล้ว สำหรับใครที่ต้องการเหมาเรือ สามารถติดต่อเรือได้ที่ บังบ่าว 092-2394518 ครับ

แหลมจมูกควาย 1 ในสถานที่ท่องเที่ยว Unseen ของจังหวัดกระบี่ ที่นักท่องเที่ยวน้อยคนนักจะรู้จัก อาจเพราะที่นี่เข้าถึงค่อนข้างลำบากเลยทำให้ไม่ปังเหมือนหมู่เกาะต่างๆ ยามที่แสงสาดส่องมายังซุ้มประตูหิน เราจะเห็นเป็นสีออกชมพูๆ สวยงามเลยทีเดียว แนะนำว่าให้มาเที่ยวช่วงเย็น เพราะจุดนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามไม่แพ้ที่ใดๆ ในกระบี่ โดยมีฉากหลังเป็นหมู่เกาะห้องครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าหากจะเลือกวิธีการเดิน คงต้องรีบเดินกลับออกมาก่อนพระอาทิตย์ตกครับ เพราะถ้าหากมืดค่ำแล้ว การเดินกลับมายังจุดเริ่ม ค่อนข้างอันตรายครับ

มื้อเย็นนี้ผมฝากท้องที่ร้านเบอร์เกอร์บัง เป็นร้านเบอร์เกอร์ดังของอ่าวนาง ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่เบอร์เกอร์นะครับ แต่มีให้เลือกหลายเมนูเลย ทั้งไทยทั้งเทศ

การันตีความอร่อยจากลูกค้าแน่นร้านครับ

เริ่มที่ซาโมซ่าไก่ กลิ่นเครื่องเทศที่ผสมในไส้โอเคเลย เมนูนี้ 59 บาทครับ

สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล ดีงามมาก เมนูนี้ 99 บาท

ปูนิ่มทอดกระเทียม ปูนิ่มอาจจะตัวเล็กไปสักหน่อย แต่ความอร่อยนี่ต้องยอมครับ เมนูนี้ 99 บาท

ตบท้ายด้วยคอนโดบัง เป็นเบอร์เกอร์ 4 ชั้น ประกอบด้วยเบอร์เกอร์ปลา ไก่กระเทียมพริกไทยดำ ไก่กรอบ และเนื้อ เรียงจากล่างขึ้นบนตามลำดับ เมนูนี้ 169 บาท

อาหารอร่อย ราคาไม่แพงครับ ทั้งหมดนี่ 456 บาท (รวมน้ำดื่มขวดใหญ่ 30 บาทแล้ว) ถ้าใครมาเที่ยวหรือมาพักที่อ่าวนาง แนะนำให้มาลองครับ เบอร์เกอร์บังเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 14.00-23.00 น. ครับ

เช้านี้ผมมีโปรแกรมชมแสงเช้ากันที่หนองทะเล ต้องออกตัวไว้ก่อนว่าหนองทะเลไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวแต่เป็นสถานที่ถ่ายภาพแสงเช้า ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะมาชมหนองทะเล แนะนำว่าควรจะมาถึงหนองทะเลก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ราวๆ 05.45 น.-07.30 น. จะเป็นช่วงที่หนองทะเลสวยที่สุดครับ นอกเหนือเวลานั้นแล้ว หนองทะเลจะไม่มีอะไรดึงดูดใจสักเท่าไร

สถานที่ทุกๆ แห่ง มันมีความสวยงามอยู่ในตัว ไม่มากก็น้อยแตกต่างกันไป บางแห่งจะมีความสวยงามเพิ่มมากขึ้น ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เราไปสัมผัส อย่างหนองทะเลแห่งนี้ ช่วงกลางวัน อาจจะมองเห็นเพียงแค่หนองน้ำธรรมดาๆ แต่ถ้าหากว่าเพื่อนๆ มาสัมผัสที่นี่ในช่วงเช้า ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อนๆ จะได้เห็นถึงความสวยงามที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ขึ้น ภาพเงาสะท้อนของทิวเขา มาพร้อมกับสายหมอกบางๆ ที่ลอยอยู่บนผืนน้ำ ท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ จนเป็นสีทอง สาดส่องลงมายังผิวน้ำ มันสวยงามเกินบรรยายจริงๆ ครับ

หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเช้าจนอิ่มอกอิ่มใจไปแล้ว ผมคงต้องกลับเข้าที่พัก เพื่อเตรียมเดินทางกลับ เวลาของความสุขใกล้จะหมดลงแล้ว ก่อนปิดทริป ผมตะเวนเที่ยวในตัวเมืองกระบี่อีกนิดหน่อย เริ่มที่ ประติมากรรมนกออก กม.0 ครับ

การจัดสร้างประติมากรรมนกออก หรือนกอินทรีย์ทะเลท้องขาว กม.0 เพื่อวัตถุประสงค์ที่อยากจะบอกเล่าเรื่องราวของนกอินทรีย์ที่ถือได้ว่าเป็นนกคู่เมืองกระบี่ และมีเอกลักษณ์ในการดำรงชีวิตที่น่าจะนำมาเป็นแบบอย่าง “บินให้สูง มองให้ไกล ไปให้ถึง” ครับ

ใกล้กับประติมากรรมนกออก เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ปูดำ อีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของเมืองกระบี่ บริเวณลานปูดำ เราสามารถมองเห็นเขาขนาบน้ำ ตั้งอย่างโดดเด่นริมแม่น้ำกระบี่ จริงๆ สามารถเหมาเรือเพื่อนั่งไปชมบรรยากาศเขาขนาบน้ำแบบใกล้ๆ ได้

จากนั้นมุ่งหน้าสู่วัดแก้วโกรวาราม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลานปูดำครับ

วัดแก้วโกรวารามตั้งอยู่บนเนินดินเตี้ยๆ กลางเมืองกระบี่ เป็นวัดประจำจังหวัดกระบี่ มีความสำคัญทั้งด้านความเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาและศูนย์กลางการศึกษาพระปริยัติธรรมของคณะสงฆ์จังหวัดกระบี่ด้วย

ลักษณะของพระอุโบสถสีขาวหลังใหญ่ดูโดดเด่น มองเห็นแต่ไกล เนื่องจากพระอุโบสถตั้งอยู่บนเนินดิน ภายนอกว่างดงามแล้ว ภายในก็งดงามไม่แพ้กัน ด้านในประดิษฐานพระประธานองค์ใหญ่ มีลายจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามทั้ง 4 ด้าน ประกอบไปด้วยภาพพระแม่ธรณีบีบมวยผม พระศาสดาประสูติ พระโพธิสัตว์ประทับเสวยรมย์ อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต ก่อนเสด็จลงมาเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าหากเพื่อนๆ มีเวลา อยากให้มาไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคลกับตัวเองกันที่วัดแก้วโกรวารามครับ

ผมมาปิดทริปที่วัดถ้ำเสือ อีกหนึ่งวัดดังของกระบี่ครับ

ชื่อของวัดถ้ำเสือไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดแต่สันนิษฐานกันว่าในอดีตเคยมีเสือมาอาศัยอยู่ ภายในถ้ำยังพบหินธรรมชาติเป็นรูปแบบของอุ้งเท้าเสือด้วยครับ สิ่งที่น่าสนใจในวัดถ้ำเสือยังมี พระธาตุเจดีย์ระฆังใหญ่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง มีขนาดความกว้างของฐาน 58 เมตร และมีความสูงถึง 90.90 เมตร โดยตั้งใจจะให้เป็นระฆังใบใหญ่ที่สุดในโลก ถึงแม้ว่ายังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง แต่ก็ยังพอมองเห็นโครงสร้างที่เป็นรูปเป็นร่างแล้วครับ ส่วนด้านในของวัดยังทำเป็นอาคารทรงจีน ภายในประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมขนาดใหญ่ ให้นักท่องเที่ยวได้สักการะขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลครับ

วัดถ้ำเสือยังมีจุดชมวิวเพื่อชมเมืองกระบี่มุมสูงด้วย แต่การจะขึ้นไปชมต้องแลกมาด้วยกำลังขาของนักท่องเที่ยว เพราะจะต้องเดินขึ้นบันไดนับพันขั้นเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิว ใครที่มีกำลังวังชา ลองขึ้นไปชมจุดชมวิวดูนะครับ เห็นว่าสวยงามอยู่ไม่น้อย แต่ผมขาแข้งไม่ค่อยไหวแล้ว ขอถนอมเข่าเอาไว้เดินเที่ยวแบบสบายๆ ดีกว่า

ถึงเวลาที่จะต้องอำลากระบี่แล้ว ยังเที่ยวไม่จุใจเลย ไว้คงต้องหาโอกาสกลับมากระบี่ในอีกเร็ววันครับ

จริงๆ แล้ว สถานที่ต่างๆ ในทริปนี้ อาจอยู่ในโซนเดียวกันเกือบทั้งหมด หากเพื่อนๆ ต้องการเก็บสถานที่ท่องเที่ยวในเส้นทางนั้นๆ ให้ครบ โดยไม่ซีเรียสถึงความสวยงามในแต่ละช่วงเวลา ก็สามารถทำได้ในรอบเดียว ไม่ต้องเสียเวลาวนไปวนมาเหมือนผม แต่สำหรับผม ผมมองว่าสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง มันมีเสน่ห์ในบางช่วงเวลา บางจุดเหมาะกับการชมแสงเช้า บางจุดเหมาะกับการชมแสงเย็น หากมาไม่ตรงช่วงเวลา จุดท่องเที่ยวนั้นอาจจะดูธรรมดา อันที่จริง สถานที่แต่ละแห่งก็ไม่ได้อยู่ไกลจากที่ที่ผมพักมากนัก ผมจึงยอมที่จะขับรถย้อนไปย้อนมา เพื่อจะได้สัมผัสกับความสวยงามของแต่ละสถานที่ตามที่ตั้งใจครับ

กระบี่ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายจุดที่น่าสนใจ อย่างทริปนี้ผมมีเวลาที่กระบี่ถึง 4 วัน ก็ยังไม่สามารถเก็บสถานที่ท่องเที่ยวในกระบี่ได้หมด คงต้องหาโอกาสกลับมาสัมผัสกระบี่ในเร็ววันนี้อีกแน่นอน “กระบี่” เที่ยวกี่ทีก็ไม่มีเบื่อจริงๆ ครับ

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 11.25 น.

ความคิดเห็น