อย่างที่บอกไว้ว่ารีสอร์ตนี้เกือบจะเป็นรีสอร์ตส่วนตัว เพราะมีห้องพักไม่ถึง 10 ห้อง เมื่อมาห้องอาหารจึงมีหมายเลขห้องตั้งไว้ที่โต๊ะแต่ละตัว   แม่ครัวนำอาหารเช้าซึ่งคิดรวมกับค่าห้องที่เราสั่งไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืนมาเสริฟเป็น American Breakfast แบบทั่วๆไป แต่ไส้กรอกที่นี่มีลักษณะคล้ายกับกุนเชียงบ้านเรามาก รสชาติอร่อยใช้ได้

รถแท็กซี่ที่เพิ่งเอาป้ายรีสอร์ตมาติดไว้ข้างรถ จอดรอเราอยู่หน้ารีสอร์ตตามเวลาที่นัดไว้ วันนี้เราวางโปรแกรมไปเที่ยวสถานที่ต่างๆในเกาะโบโฮล ส่วนใหญ่เป็นสถานที่ธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ ซึ่งมีเฉพาะที่เกาะแห่งนี้เท่านั้น

การเดินทางของเราเริ่มจากสถานที่ที่อยู่ไกลสุดก่อน นั่นคือ ช็อคโกแล็ตฮิลล์ (Chocolate Hills) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใจกลางเกาะ ระหว่างทางผ่านเรือกสวนไร่นา และแนวป่าที่สวยงาม ช็อคโกแล็คฮิลล์นี้เป็นเนินเขาลูกหย่อมๆจำนวนมากมายกว่า 1 พันลูก ตั้งกระจายบนพื้นที่ป่าที่กว้างใหญ่ถึง 50 ตารางกิโลเมตร

เมื่อเดินขึ้นไปยัจุดชมวิว ไม่ว่าจะมองไปทางไหนทั้ง 360 องศาจึงเห็นเนินเขากระจายไปทั่ว เป็นทัศนียภาพที่แปลกตายิ่งนัก สำหรับสาเหตุที่ทำให้บริเวณนี้มีลักษณะธรณีวิทยาที่แปลกตาเป็นเพราะ เมื่อหลายล้านปีก่อนพื้นที่บริเวณนี้น่าจะเป็นท้องทะเล หรืออีกนัยหนึ่งเกาะโบโฮลแห่งนี้ยังจมอยู่ใต้ทะเล จนเมื่อน้ำทะเลเริ่มเหือดแห้ง ประกอบกับการทับถมของเขาหินปูน พื้นที่ที่ถูกยกตัวขึ้นมาจากทะเลแห่งนี้จึงเกิดเป็นเนินเขาจำนวนมาก

สาหตุแนววิชาการแบบนี้ฟังแล้วไม่สนุกเท่ากับเรื่องราวปรำปราที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ทะเลภูเขาแห่งนี้เกิดจากก้อนหินที่ยักษ์ 2 ตัวขว้างปาใส่กัน

ส่วนสาเหตุที่ได้ชื่อว่าช็อคโกแล็ตฮิลล์เป็นเพราะ ในช่วงหน้าแล้งทุ่งหญ้าบนเนินเขาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล มองดูแล้วเหมือนก้อนช็อคโกแล็ตกลมๆที่ตั้งกระจายไปทั่ว ในช่วงเวลาที่เรามาเยือน ทุ่งหญ้ายังคงเป็นสีเขียว แม้จะมองไม่เหมือนช็อคโกแล็ตตามชื่อ แต่ก็ดูชุ่มชื่นสวยงามไปอีกแบบ

เรานั่งรถเย็นๆใจไปกันต่อที่สวนผีเสื้อ Habitat คนขับรถบอกว่าใช้เวลาที่นี่แค่ 20 นาทีก็พอ อะไรกันทำไมให้เวลาน้อยเช่นนี้ ซึ่งเมื่อเราซื้อตั๋วเข้าไปจึงพบว่าเวลา 20 นาทีนี้ดูท่าจะมากไปด้วยซ้ำ

ผีเสื้อที่จัดแสดงนั้นเกือบทั้งหมดเป็นผีเสื้อสตร๊าฟที่ถูกใส่ไว้ในกรอบกระจกติดไว้ให้ชมตามจุดต่างๆ ส่วนมากจะแขวนไว้ด้านหน้าเหล่าต้นไม้ เมื่อถ่ายรูปจึงเหมือนเหล่าผีเสื้อบินอยู่ตามต้นไม้ แต่น่าเสียดายที่กรอบกระจกนั้นไม่ค่อยได้ทำความสะอาด จึงมัวไปหน่อย ถ่ายรูปแล้วไม่สวยอย่างที่ตั้งใจ สำหรับผีเสื้อตัวเป็นๆนั้นพอมีบ้าง โดยบินตรอมน้ำหวานที่วางไว้ล่อเป็นจุดๆ

แม้การชมผีเสื้อจะไม่เวิร์ค แต่ไอศครีมที่จำหน่ายในร้านขายของที่ระลึกนั้นเวิร์ค โดยเป็นไอศครีมหวานเย็นรสผลไม้ มีหลากหลายรสชาติให้เลือก ทั้งมะม่วง กล้วย ทุเรียน แก้วมังกร เมล่อน อโวกาโด เอาเป็นว่าซื้อตั๋วเข้าสวนผีเสื้อ เพื่อมากินไอศครีมแล้วกัน

แล้วก็มาถึงอีก 1 ไฮไลน์ของที่นี่ นั่นคือการชมตัวทาร์เซียร์ ภายในเขตอนุรักษ์ทาร์เซียร์ (Tarsier Conservation Area) ทาร์เซียร์เป็นสัตว์ตระกูลไพรเมตที่พบเฉพาะในหมู่เกาะฟิลิปปินส์กับอินโดนีเซียเท่านั้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นต้นตระกูลของมนุษย์และลิง โดยมีขนาดเล็กมาก น้ำหนักประมาณ 100 กรัม ความยาวลำตัวไม่รวมหางแค่ 5 นิ้วเท่านั้น สำหรับหางซึ่งใช้เกาะเกี่ยวกิ่งไม้นั้นมีความยาวประมาณ 2 เท่าของลำตัว

เราเดินไปตามทางเดินที่โอบขนานด้วยแนวป่า ตลอดทางมีป้ายให้งดส่งเสียง เพื่อไม่ให้รบกวนเจ้าทาร์เซียร์ที่ใช้เวลากลางวันเป็นเวลาพักผ่อน เมื่อเดินลึกเข้าไปจึงเริ่มเห็นตัวทาร์เซียร์เกาะบนกิ่งไม้ ถ้าไม่อยู่ใต้ร่มไม้ มันก็จะเอาใบไม้ขนาดใหญ่มาทำเป็นหลังคาเพื่อไม่ให้แดดเข้ามารบกวน ในเวลากลางวันนี้ทาร์เซียร์แต่ละตัวอยู่ในลักษณะนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหว แต่ในเวลากลางคืนจะกระโดดจับกินแมลงด้วยความรวดเร็ว ว่ากันว่าแม้ตัวจะเล็กแค่ 5 นิ้ว แต่มันสามารถกระโดดได้ไกลเกือบ 3 เมตร

ลักษณะเด่นที่สุดของทาร์เซียร์ คือดวงตาที่มีขนาดใหญ่มาก แถมยังแฝงด้วยความน่ากลัวอยู่ในนั้น ดวงตาที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้มีประโยชน์ในการใช้หากินเวลากลางคืน จึงนับว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีสัดส่วนดวงตาเมื่อเทียบกับใบหน้าใหญ่ที่สุดในโลก เท่านั้นยังไม่พอนักวิทยาศาสตร์ยังเชื่อกันว่า ตั้งแต่ยุคอีโอซีนเมื่อราว 40 ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นยุคที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด แต่ทาร์เซียร์นี้แทบจะไม่มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย จึงเป็นหนึ่งในสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ยังเหลือให้เห็นในโลกใบนี้

ไม่ใช่ธรรมชาติเท่านั้นที่สร้างความอัศจรรย์ มนุษย์เองก็สามารถสร้างธรรมชาติที่อัศจรรย์ได้เช่นกัน อย่างเช่น Loboc Man – Made Forest ป่าอันเกิดจากการปลูกของมนุษย์ที่เรือนยอดไม้สองข้างถนนโค้งโอบเข้าหากัน จนกลายเป็นอุโมงค์ต้นไม้ที่เขียวครึ้ม จนรถนักท่องเที่ยวที่ผ่านเส้นทางนี้แทบทุกคันต้องหยุดถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.45 น.

ความคิดเห็น