บันทึกการเดินทางเที่ยวเบตง

ฆูนุงซีลีปัต ยอดเขาที่เป็นจุดชมทะเลหมอกตลอดปีกับรีวิวมากมายถึงที่แห่งนี้ เป็นสิ่งที่เราอยากเห็นด้วยตาตัวเองมากๆ เป็นอีกแรงจูงใจที่เข้นเรามาถึงดินแดนใต้สุดแห่งสยามเลย


ทะเลหมอกที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเจอ

หลังจากผ่านค่ำคืนที่ฝนพรำ ลมพัดแรงตลอดคืนพวกเราตื่นตี 5 เพื่อเตรียมตัวเดินขึ้นยอดเขาฆูนุงอีกครั้ง ที่สังเกตเห็นคือตลอดระยะทางกว่า 200 m. สองข้างทางหมอกหนาแน่นตึ้บเลย และไม่นานพวกเราก็ไปถึงยอด วินาทีนั้นความเหนื่อยล้าได้ถูกสลัดทิ้งทันทีด้วยสายหมอกที่พัดเข้าหน้า กับวิวที่เราต้องหยุดตะลึงความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับมีคนมาหยุดเวลาเราไว้เลย

สภาพอากาศตอนนั้นเป็นช่วงหลังฝนตก ด้านบนยอดเป็นวิวทะเลหมอก 360 องศาที่หมอกหน้ามากสลับกับยอดทิวเขาที่ผลุบๆโผล่ๆ อยู่บนปุยหมอกที่ไหลอยู่ตลอดเวลา
“ เขานมสาว ” ชื่อที่พี่ประกายทิพย์เรียกภูเขาที่เด่นตระหง่านอยู่ที่เส้นขอบฟ้า เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ในมาเลเซีย ลักษณะคล้ายกับทรงภูเขาแหลมๆ ในฉลากภูเขาทอง
ในใจแอบตั้งเป้าตอนนั้นไว้เลยนะ “อยากไปเห็นตรงนั้นจัง” แต่นั่นแหละมันเป็นเรื่องของอนาคตซักวันเราก็อยากออกไปเที่ยวต่างประเทศดูบ้าง


บังเอิญโลกกลม ขนาดอยู่ใต้สุดแดนสยาม

หลังจากขึ้นมาถึงก็มีนักท่องเที่ยวอีกหลายกลุ่มเดินตามขึ้นมา ทำให้เพิ่งทราบแหละว่าที่นี่สามารถขึ้นมาได้โดยไม่ต้องพักแรม 

พี่ชาง อาจารย์ชวัล และครอบครัว คือกลุ่มคนที่ขึ้นตามผมมา พวกเราก็ทักทายกันตามประสานักท่องเที่ยวพบเจอกันเวลาเดินทาง แต่ด้วยความเป็นคนเสือกๆของผมก็ชวนคุยไปคุยมา ทำให้รู้ว่าพวกพี่เค้าเป็นรุ่นพี่ที่มหาลัย และอาจารย์ชวัลคืออาจารย์ที่สอน digital photo คนใหม่ตอนเราเรียนอยู่ปี 4 ที่เพื่อนล่ำลือว่าสอนจริงจังมากอีกด้วยพวกเราเลยมีเรื่องชวนคุยกันอีกเพียบเลยล่ะไม่น่าเชื่อขนาดอยู่ใต้สุดแดนสยามโลกเรายังกลมได้ขนาดนี้ พี่ชางซึ่งเป็นคนเบตงมีธุรกิจงเปิดโรงแรมที่เบตง “ ชื่อบ้านต้นไม้ ” พี่เค้าเลยอาสาชวนมาพักที่โรงแรมในวันนี้ซึ่งตรงกับที่พวกเราก็ไม่ได้จองอะไรก่อนมาอีกด้วย มันช่างลงตัวจริงๆนะ

ด้านบนฆูนุงซีลีปัต นอกจากเราจะดื่มดำกับวิวที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ยังมีอาหารให้กินด้วย! พี่เจ้าลงทุนแบกอุปกรณ์ ขึ้นมาด้านบน มีทั้งเตา กระทะ น้ำร้อนชงเครื่องดื่มให้ที่เด็ดสุดต้องยกให้อันนี้เลย ขนมปังย่างบนกระทะเนยหนาๆ นมแน่นๆ คือพอกินแล้วหันไปพูดกับน้องว่า “เชี่ยยย! อันนี้ของจริง” คือตอนนั้นไม่ได้หิวนะ แต่พี่เค้าทำอร่อยจริงๆ ใครได้ลองไป ต้องไม่พลาดอาหารเช้าด้านบนฆูนุงบวกกับวิวตรงหน้าเลย


ชาวนายูชิวชิว ช่วงเวลาที่อยู่กับพวกเค้าคือสนุกมาก

ระหว่างที่พวกเราอยู่กับพี่ชางมีนักท่องเที่ยววัยรุ่นขึ้นมาเรื่อยๆ กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง
เป็นชาวมลายูเนี่ยแหละ ตอนแรกเราก็ไม่ได้สนใจอะไร คือเค้ามากลุ่มใหญ่มาก
มาจากยะลา ขับรถมาจอดด้านล่างแล้วเดินขึ้น ย้ำเลยนะเดินขึ้นจากตีนเขามา 5 ชม.
เพื่อมากางเต็นท์ใกล้เราเมื่อคืน เราก็ว่าเมื่อคืนใครมันมาเสียงดังตอนตี 1 วะ
อ้ออพวกนี้เอง เค้าเพิ่งเดินขึ้นมาถึง แบบสุดมาก แต่ละคนที่มาถึงด้านบนก็กระจายกันทำอะไรหลายอย่าง บางคนนั่งเสพบรรยากาศ บางคนไปถ่ายรูป และที่เจ๋งคือบางคนไปนั่งดริปกาแฟ

น้องชายเรา ซึ่งส่วนตัวชื่นชอบการดริปกาแฟเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว พอเห็นกาเลยเข้าไปดูเค้าทำ แน่นอนเราก็ไปด้วย แต่รู้มั้ยนี่เป็นความรู้สึกใหม่ที่สัมผัสได้จากพวกเค้า คือความรู้สึกที่ดีที่ส่งผ่าน น้ำใจ น้ำเสียง คำพูด เรารู้สึกสบายใจมากเวลาได้คุยกับชาวใต้ มีคำพูดนึงที่ยังติดหูมาถึงทุกวันนี้ “ นี่ๆเอาเเลย ไม่ต้องมีพิถีพิถัน ใช้ฟิลชงไป ” ช่วงเวลานั้นกับคำพูดนั้น บางคนอาจจะมองว่ามันไม่มีอะไรก็แค่พูดปกติ

แต่สำหรับเรา มันรู้สึกเค้าพูดออกมาจากความรู้สึกจริงๆว่ะ มันโดนใจ
หลังจากนั้นพวกเราเริ่มพูดคุยกันวงกว้างขึ้น เราก็มีโอกาสได้รู้จักชาวนายูชิวชิว
มากขึ้น พวกเค้าเป็นเสมือน กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รวมตัวกันถ่ายทอดชีวิตสังคมสามจังหวัด 
วิถีชีวิตชาวมุสลิม ในหลายๆแบบผ่านสื่อโซเชียล ที่ถือว่าดังจัดในย่านี้เลย
เราก็รู้สึกโชคดีมากเลย ได้เจอพวกเค้าเป็นแรงผลักดัน เป็นพลังบวกให้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบต่อไป ขอบคุณชาวนายูมาก อยากมีโอกาสไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอีกจัง :)


ช่วงเวลาดีๆมีไว้ให้จดจำ ไปต่อในเส้นทางของเรา

หลังจากพวกเราแบ่งปันเวลาดีๆบนยอดฆูนุงซีลีปัตด้วยกัน ก็ถึงเวลาที่เราต้องแยกย้ายไปในเส้นทางของตัวเอง ทางพี่ชางก็กลับไปส่งอาจารย์ชวัลที่เบตง ชาวนายูชิวๆก็เข้าลานกางเต็นท์พักผ่อน เพื่อรอเดินทากลับยะลา ส่วนพวกเราก็ต้องเดินทางต่อไปเรื่อยๆ โดยตั้งเป้าไว้ว่า เราจะไปเขื่อนบางลางกัน ระหว่างทางก็จะแวะที่ๆมันแวะได้
โดยที่แรกที่ผ่านคือ นำ้ตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 นั่นเอง

หลังจากลงเขามาเราขับมุ่งหน้าไปทางเขื่อนบางลางแล้วเลี้ยวไปที่น้ำตกเฉลิมฯ ร.9
ใช้เวลาไม่นานก็ถึง ที่สงสัยคือบริเวณนั้นดูร้างเพราะไม่มีคนเข้าไปนานมาก
พวกเราจึงเป็นคนกลุ่มเดียวที่นั่น บริเวณน้ำตกทำให้พวกเราต้องกลับเข้าสู่ภวังค์ของตัวเองอีกแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายไปอยู่กับตัวเอง เดินไปในที่ๆอยากไป นี่คงเป็นเสน่ห์ของธรรมชาติที่สวยงามแน่ๆ ที่มันสามารถดึงดูดพวกเราให้ตกอยู่ในความงามของมัน

ขณะที่พวกเราก็กำลังออกจากน้ำตก ผมซึ่งกำลังเดินนำฟ้าข้ามหินกลับไปที่รถดันลื่น
แบบไม่ได้ตั้งตัว และด้วยความห่วงของมากกว่าตัว เลยไม่ได้ปรับท่าลง ข้อศอกไปซัดเข้ากับโขดหินเป็นรูเลย ทำให้พวกเราต้องรีบออกไปหาที่ทำแผลในสภาพขับมอไซค์แล้วเลือดไหลไม่หยุดอยู่อย่างงั้น ในใจก็แอบกังวลมากเลย เที่ยวไม่สนุกแน่เลย แต่โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมา เป็นบทเรียนให้ตัวเองอย่าประมาทในคราวหน้า พอทำแผลเสร็จผมก็กลับมาซ่าเหมือนเดิม (แต่จริงๆเจ็บสัสเลย)


สะพานโต๊ะกูแช จุดหมายของวันนี้

หลังจากทำแผลเสร็จเราเสียเวลาไปมากอยู่เลยต้องรีบไปเขื่อนบางลาง ระหว่างทางเราชอบช่วงเวลานี้ที่สุดเลย มันเหมือนกับเราได้มองหลายๆสิ่งระหว่างทางแล้วได้คุยกับตัวเองว่าตอนนั้นรู้สึกยังไง มันสวย มันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

ไม่นานเราก็มาถึงสะพานโต๊ะกูแช สะพานใหญ่ที่ทอดข้ามเขื่อนบางลาง จุดที่สวยงามอีกที่ของเบตง และได้เจอกับอาจารย์ชวัลที่กำลังขับรถกลับแล้วจอดถ่ายรูปพอดีพวกเราก็ได้ทักทายอาจารย์แล้วแยกย้ายกัน

หลังจากนั้นเราได้เดินทางกลับไปตัวเมืองเบตงเพื่อนหาที่อาบน้ำพักผ่อน ทุกคนดูน่าจะเหนื่อยกันเต็มที่แล้ว สงสารฟ้าที่ต้องมาลุยอะไรแบบนี้กับเราจริงๆ ><


ที่สุดของความโชคดี เฮียหัว ผมจะกลับไปหาเฮียแน่นอน

ข้าง 7–11 แยกหอนาฬิกา ป้ายชื่อร้านสตาร์แก็ส ข้างในขายเหล้า และรับแลกเปลี่ยนเงิน เราได้เจอกับเฮียหัวเจ้าของร้านที่อายุราวคราวเดียวกับพ่อเรา ด้วยความเป็นคนเสือกๆของเราก็อยากสอบถามเรื่องร้านเหล้าจากพี่เค้า เพียงคำตอบและคำพูดไม่กี่คำของพี่เค้าที่เราได้คุยกันชั่วขณะ ทำให้ก่อนจะซื้อเหล้าร้านพี่เค้าแล้วตัดสินใจไปนั่งจิบเล่นๆกันที่ห้อง โดยทำให้ผมถามพี่เค้าออกไปคำนึงว่า “ พี่ครับ ถ้าผมอยากนั่งกินที่นี่แล้วพี่จะกินกับผมด้วยมั้ย ” มันเป็นแค่คำถามที่เหมือนจะพูดเล่นๆ แต่พี่เขาชงักไปซักพัก แล้วตอนกลับมาว่าเออ เอาสิ มาเลยๆเดี๋ยวเอาโต๊ะให้

พวกเราตกใจมากกับสถานการณ์ตอนนั้น ไม่คิดว่าคนที่เพิ่งจะคุยกันไม่กี่คำ ให้นั่งกินด้วยกันที่ร้าน แล้วเอาโต๊ะออกมากางให้ นั่งคุยกัน แชร์เรื่องราวต่างๆ ประวัติความเป็นมาของเบตงในมุมมองของชาวฮกเกี้ยน และเลยเถิดไปจนถึงเจ๊กิว ภรรยาเฮียหัว พวกเรานั่งคุยกันจนเกือบเที่ยงคืน มันเป็นอะไรที่ยิ่งกว่าความบังเอิญ เรารู้สึกขอบคุณ
ที่ทำให้เราได้เจอกันมากๆ ค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่ปิดจบทริปเบตงได้อย่างสมบูรณ์แบบเลย และเราเชื่อว่าติ้งและฟ้าก็รู้สึกประทับใจมากเช่นกัน
“ มันเป็นเรื่องที่ไปเล่าให้ใครฟังแล้วใครจะเชื่อวะ
การที่เรามาเบตงแล้วไปนั่งกินเหล้าบ้านใครก็ไม่รู้ที่เราเพิ่งรู้จักกันเนี่ย ”

ผมพูดกับติ้งและฟ้า


บทสรุปของการเดินทาง จากความกลัวกลายเป็นความหลงรักในที่แห่งนี้

จากความเกรงกลัวที่มีต่อสามจังหวัด ถูกชำระล้างด้วยผู้คนที่นี่อย่างแท้จริง
ความประทับใจที่เราเจอ มันมากซะจนแปรเปลี่ยนให้เป็นความคิดถึงต่อที่แห่งนี้
ผู้คนที่นี่ ชาวไทยพุทธ หรือมุสลิม คำพูดนึงที่เราถามน้องชาย มันได้บอกว่า
“ เที่ยวครั้งนี้ดีว่ะ มันเจออะไรเยอะดี ดีมากเลยแหละ ” จากปากคนที่ไม่เคยพูดความรู้สึกตัวเองเท่าไร

ส่วนสำหรับเราขอนับถือให้เบตงเป็นที่ที่อยากกลับไปอีกที่สุดในตอนนี้เลย
ขอบคุณเพื่อนเริ่มทาง และทุกคนที่เจอ :)

สุดท้ายพวกเราก็กลับที่พักและรุ่งเช้าเราก็เดินทางกลับบ้าน เหลือไว้เพียงความทรงจำดีๆต่อที่แห่งนี้ และวันนี้เราจะกลับไปอีกแน่นอน “ เบตง ”

เขียนโดย : ป.ปลาตัวกลม

ติดตามเรื่องราวของพวกเราได้ที่
Facebook :
เหนียวที่ พี่น้อง
Instagram : nt_phinong
youtube :
https://www.youtube.com/channel/UCQHYzD7wnJRAnpnlv-7jcKw
read me :
https://th.readme.me/id/ppongsakorn

nnatsu roll

 วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เวลา 12.13 น.

ความคิดเห็น