ดอยหลวงดอยหนอกพะเยา
2 วัน 1 คืน บนดินแดนสามแผ่นดิน
ได้แก่ พะเยา เชียงราย และลำปาง
เป็นอุทยานที่เกิดจากการรวมวนอุทยานหลายแห่งไว้ด้วยกัน
...
การเดินทางครั้งนี้นับว่าเป็นการเดินทางแบบไม่ได้มีการวางแผนใดๆ
(ทุกทริปก็เป็นแบบนี้ตลอดนะ)
จุดเริ่มต้นเกิดจากความตั้งใจว่าแต่ละปีต้องได้เดินป่าอย่างน้อย 1 ครั้ง
ปีนี้ 2564 ก็มาจบที่นี่ และเป็นช่วงเทศกาลวันหยุดยาวสิ้นปี
เลยถือโอกาสหาที่เคาท์ดาวน์ตามสไตล์
พบกัน Journey | ฉันมาเพื่อ "คิดถึง" เธอ

...
แรกเริ่มก่อนเดินทาง มีสมาชิกกันแค่ 2 คน
พอใกล้ถึงวันสมาชิกก็เริ่มเพิ่มเรื่อยๆ
จาก 2 เป็น 5 เป็น 10 เป็น 20 คน และมีพี่ที่อาสาเป็นผู้นำทริป
ขอบคุณพี่ผึ้งกับพี่เสก ที่คอยดูแลลูกทริปตั้งแต่แรกเริ่มเลย
ติดต่ออุทยาน ลูกหาบ
โทรศัพท์ : 081 960 2456
ค่าใช้จ่าย ค่ารถ บขส. ขาไป 526 / คน
ขากลับอาศัยรถยนต์พี่ในทริปกลับ หารค่าน้ำมัน 250 / คน
ค่าลูกหาบขาขึ้นและลงตกกิโลละ 106.7x 4 กิโลกรัม รวม 427 บาท
ค่ารถ ค่าเจ้าหน้าที่หาร 10 คน ตกคนละ 250 / คน
ส่วนค่าอาหารอยู่ที่ความเหมาะสมของแต่ละคน
...
ออกเดินทางจาก  กทม-บขส.พะเยา
เวลา 19.00 น. ถึง บขส.พะเยา 6.30 น.
ซึ่งมีพี่ผึ้งและพี่เสกคอยเป็นธุระให้ทุกสิ่งอย่าง
แถมยังมาจอดรถรอรับที่ บขส.พะเยา ตั้งแต่เช้า

พอถึงอุทยานก็ต้องทำการลงทะเบียนให้เรียบร้อย
แล้วนั่งรถจากอุทยานเดินทางต่อไปยังจุดรวมพล(จุดเริ่มเดิน)
วันที่ไปคือ 31 ธ.ค. 64 มีกลุ่มนักท่องเที่ยวประมาณ 5 กลุ่ม
เฉลี่ยกลุ่มละ 10 คน 

นั่งรถออกจากอุทยานใช้เวลาประมาณ 40 นาที
ไปถึงจุดรวมพล ฝั่งพะเยา

จุดเริ่มเดินมีหลายจุดด้วยกัน
1.เส้นทางจุดชมวิวกว๊านพะเยา
2.เส้นทางน้ำตกสามโชค
3.เส้นทางอ่างเก็บน้ำห้วยตุ่น
4.เส้นทางบ้านปงถ้ำ
5.เส้นทางน้ำตกผาเกล็ดนาค
เราเลือกเดินเส้นทางแรกคือฝั่งพะเยา ระยะทาง 7 กิโลเมตร
เส้นทางเดินง่าย บางจุดก็ค่อนข้างลาดชัน

พอถึงจุดรวมพลฝั่งพะเยา
เหมือนงานจะเข้า ลูกหาบมีไม่พอ
ต้องเฉลี่ยของให้ลูกหาบ คนละเล็กน้อย
และของที่เหลือจำเป็นต้องแบกเอง
ซึ่งรวมๆ แล้วแบกคนละ 15 กิโลกรัม
หนักเอาเรื่องอยู่เด้อออ

เริ่มเดินตอน 10.00 น.
ความสนุกกำลังจะเริ่มขึ้น

ทางเดินช่วงแรกๆ ก็จะเป็นทางราบค่อยๆ ชันขึ้นเรื่อยๆ
แรกๆ ก็เดินกันเป็นแถวสั้นๆ แต่พอสักพักแถวก็เริ่มยาว
เพราะเริ่มเหนื่อยแล้วเดินตามคนอื่นไม่ทัน
บอกได้ว่าใครอ่อนแอก็ต้องยอมแพ้ไป
เดินตามหลังพี่ๆ เขาไปเรื่อยๆ ฮ่าาา

ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมอะไรมาเลย
และไม่รู้ชะตากรรมตัวเองว่าจะต้องเดินข้ามเขา 7 ลูก
ก็ได้แต่แวะพักตลอดทาง ไหวค่อยไป

ผ่านไปไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็เริ่มหิว เจ้าหน้าที่บอกว่า
ถ้าหิวก็ให้แวะกินข้าวตรงจุดนี้ก่อน
เพราะทางข้างหน้าต้องใช้พลังงานเยอะในการปีนป่าย
พอเจ้าหน้าที่พูดจบก็ไม่ช้าที่จะวางกระเป๋าลงจากหลัง ฮ่าาา

เดินมาสักระยะจะเจอกับเนินหัวแดง(ชื่อนี้ตั้งเอง)
เป็นเนินโล่งที่เต็มไปด้วยดอกหญ้าสีแดงส้ม

พี่ๆ ถึงกับต้องยืนรอลูกทริป

อีกนิดเดียวเท่านั้น..ใครบอกว่ะ

เพลิดเพลินกับเนินหัวแดงไปอีกไม่ไกล
ก็มีจุดที่ทำให้ตื่นเต้นได้ไม่มากก็น้อย
นั่นก็คือ สันหมูแม่ด้อง

ดูจากความชันเกิน 45 องศาแน่นอน
ค่อยๆ ปีนตามๆ กันไป

ช่วงนี้ก็ชันอย่างเดียว

พอขึ้นมาอยู่ที่สูงๆ แล้วลองหันหลังกลับไปมอง
วิวคือสวยมากกกก

มุมจากจุดสันหมูแม่ด้องเมื่อมองกลับหลังไป

ได้อยู่บนสันหมูแล้วเว้ยยย แค่นี้ชิวๆ 

อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะนี่แค่เริ่ม
ไป Up skill กันต่อกับระดับความยากต่อไปกัน

ความท้าทายรออยู่ข้างหน้าซึ่งก็คือบันไดก่ายฟ้า
ต้องผ่านยอดเขาตรงโน้นไปก่อนแหล่ะ
เขาลูกที่เท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว ความรู้สึกจากจุดนี้
เหมือนเดินมาแล้ว 10 กว่าลูก ฮ่าาา

แต่ก่อนจะไปถึงบันไดก่ายฟ้าเราต้องผ่านทุ่งหญ้าเด่นสแกง
ซึ่งเป็นเนินเขาโล้นกว้าง เป็นจุดแวะพักอีกจุดก่อนเดินต่อ

บันไดก่ายฟ้า นี่มันอลังการงานสร้างจริงๆ
ต้องเริ่มนับเลข 1-100 ในใจอีกรอบ

มาถึงแล้ว บันไดก่ายฟ้า
ก็พอมองเห็นยอดดอยหนอก..ใจคือไปถึงตรงโน้นนานแล้วนะ

อ้าวขึ้นแล้วก็ลง ลงแล้วก็ขึ้น
ก่อนจะไปถึงยอดก็ลองหันกลับหลังไปมอง
จุดที่เคยเดินผ่านมาอีกรอบ
วิวคือสวยจริงๆ

อดทนอีกนิดนะน้องอีกนิดเดียวก็จะได้พักขาแล้ว

ความชันคืออุปสรรคที่ว่ายากแล้ว การเข้าถึงใจคนยากยิ่งกว่า
คล้ายกับการเดาทิศทางลมที่เข้ามาปะทะตัวเรา
(แอบแทรกข้อคิด ฮ่าา)

มองจากจุดบันไดก่ายฟ้าเห็นดอยหนอกอยู่ใกล้ๆ แต่ยังเกินเอื้อม

จากบันไดก่ายฟ้าก็ต้องเดินผ่านเขาอีก 2 ลูก
ก็จะถึงจุดกางเต็นท์
แต่จะท้อตรงเขา 2 ลูกสุดท้ายนี่แหล่ะ
อยู่ๆ ขาก็ไม่มีแรงเดิน
เพราะเป็นจุดสูงที่สุดบนดอยหลวง
ที่มีความสูง 1,694 เมตรจากระดับทะเล
แต่ก่อนจะไปถึงต้องเติมพลังงานอีกสักรอบ..ไม่ไหวแล้วจ้า หิวว
"เจอที่ตรงไหนพอนั่งพักได้ก็นั่งเลยนะ"

คำพูดของนักเดินทาง 2 คนพี่น้อง ฮ่าา

" ใกล้แล้ว อีกนิดเดียว "  เสียงเจ้าหน้าที่ที่เดินสวนทางลงมา
ถือเป็นคำปลอบใจที่ฟังแล้วเหมือนจะช่วยให้มีแรงใจเดินต่อ
แต่แรงขามันสวนทางกันเหมือนกำลังจะหมดลงตอนนั้นแล้ว

กิโลเมตรสุดท้ายแล้ว
เห็นยอดดอยหลวงแล้ว อดทนอีกนิดดดดดด

รู้สึกเหือกสุดท้ายจะแวะพักบ่อย

เย้ๆๆ ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงจุดกางเต็นท์ ใช้เวลาเดินขึ้น 6 ชั่วโมง
และปีนี้มีเพื่อนเคาท์ดาวน์เยอะเลย
จุดกางเต็นท์มองไปยังเมืองพะเยา
สามารถเห็นกว๊านพะเยาได้ครบทุกองศา

สภาพก็คือ...ไม่ต้องบรรยายเลย

ระหว่างรอลูกหาบที่หาบเต็นท์มาให้เรา
เก็บภาพบรรยากาศแสงตอนเย็นมาฝาก
นับเป็นจุดกางเต็นท์ที่วิวครบองศาจริงๆ
อากาศค่อนข้างเย็น แสงสีส้มสะท้อนกับต้นไม้
ปล่อยให้แสงพระอาทิตย์ได้โอบกอดเราด้วยความอบอุ่น

พอลูกหาบมาถึงก็รีบจัดการคือหาพื้นราบสำหรับกางเต็นท์
ที่กางเต็นท์ค่อนข้างจำกัด สรุปแล้วว่าพื้นราบไม่มีเหลือเลย
สงสัยคืนนี้ได้นอนหลับ (ไหล) กันแน่ๆ
เผื่อใครที่เตรียมน้ำดื่มมาไม่พอข้างบนมีตาน้ำไว้ให้เราเติมน้ำดื่มได้
แต่ต้องเดินลงไปประมาณ 1 กิโลเมตร

แสงของวันสิ้นปีกำลังจะหมดไป
หวังว่าปีหน้าท้องฟ้าจะไม่ใจร้ายกับเรามากนะ

เมนูพิเศษในค่ำคืนนี้ได้แก่ มาม่าาาา กับเบียร์
และยังต้องกินมาม่าแบบไม่มีช้อนส้อม
ลำบากไปอีก กินเสร็จก็ปวดท้อง
วิ่งเข้ามุมมืดไปปล่อยทุกข์ ชีวิตครบรส ฮ่าาา

ตอนกลางคืนอากาศเย็น ลมแรงมาก
แม้เสียงพุที่จุดฉลองส่งท้ายปีเก่าที่ดังตลอดทั้งคืน
ก็ทำให้ไม่อยากลุกออกจากเต็นท์ขึ้นมาดู
และสารภาพว่าหนาวจนนอนไม่ได้จริงๆ

ยินดีต้อนรับแสงของวันใหม่ ปี 2022

การปล่อยให้ความเจ็บปวดได้ทำหน้าที่ของมัน
ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นของการกล้าเผชิญกับความกลัว
(แอบแทรกคำคม)
....
ตื่นเช้ากับท้องฟ้าสีส้ม อากาศหนาวจนไม่อยากลุก
ออกจากเต็นท์
เรามาสร้างพลังความกล้าให้มากกว่าความกลัวกันเถอะ
แล้วก็ขุดตัวเองออกมาได้ ฮ่าา
ฟ้าเปิดให้เห็นวิวเมืองพะเยาได้เต็มตา

อาหารเช้าวันนี้ก็ได้ขนมปังกับกาแฟบนรถทัวร์
ตอนขามาที่พกติดตัวมา

7 โมงนิดๆ หมอกก็เริ่มลอยมาให้เห็น

จริงๆ ต้องขอบคุณคนแปลกหน้าทุกๆ คนเลย
จากความชอบ ความหลงไหลในการเดินทาง
ทำให้เราได้มาพบกัน และเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ
ซึ่งกันและกัน พวกคุณทุกคนคือ
มิตรภาพระหว่างการเดินทาง

8 โมงนิดๆ เริ่มเก็บเต็นท์และเดินทางต่อไปยังดอยหนอก
เป็นดอยที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว
ไฮไลท์ของที่นี่เขาหล่ะ
บนยอดดอยหนอกยังเป็นที่ประดิษฐานเจดีย์พระธาตุดอยหนอก
อันเป็นที่สักการะของชาวพะเยา ลำปาง และเชียงราย

พอถึงจุดทางลงก็วางกระเป๋าไว้ แล้วเดินตัวเปล่า

และนี่คือจุดไฮไลท์ของที่นี่
ใครมาพะเยาแล้วไม่ได้ขึ้นไปยังดอยหนอก
ถือว่าคุณพลาดนะ

ก่อนจะเดินไปยังดอยหนอกควรถามตัวเองก่อนว่า
พร้อมแค่ไหนกับระยะทางที่อาจจะมีแม้แต่อัตราย
หรืออาจจะเป็นเรื่องสุขใจ

เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรพลาด เดินจากจุดทางลง
ไปยังดอยหนอก และต้องเดินย้อนกลับมา
ระยะทางไปกลับรวมกัน 3 กิโลเมตรได้

ปีนๆ ป่ายๆ บนหินขนาดใหญ่

แต่เดี๋ยวก่อน...ทางขึ้นกับทางลงคือทางเดียวกัน
มีทั้งนักท่องเที่ยวที่กำลังจะลงและนักท่องเที่ยวที่กำลังจะขึ้น
บวกกับทางชัน เราจึงสละสิทธิ์ในการเป็นผู้ชนะ
ขออยู่แค่กลางทางพอ ฮ่าาา
ใครไปถึงด้านบนก็ชื่นชมความแข็งแกร่ง

ส่วนเราขอกราบสักการะพระธาตุอยู่ด้านล่าง
และขอนั่งชมวิวรับลมเย็นๆ เป็นกำลังใจอยู่ตรงนี้พอ

ระหว่างเดินกลับไปยังจุดทางลง
เราจะสังเกตุเห็นสายหมอกลอยผ่านสันเขา
พัดมาปะทะกับตัวเรา และอากาศก็เย็นๆ
เป็นความรู้สึกที่รู้สึกสดชื่นดีจริงๆ

การพาตัวเองมาเดินอยู่ด้วยความลำบาก
สุดท้ายก็หลอมรวมกลายเป็นความสุขอยู่ดี
ในการเริ่มต้นใหม่ในปี 2022 นี้
"ขอบคุณที่อนุญาติให้ตัวเองมีความสุข"

ขาลงเป็นคนละเส้นทางกับขาขึ้น
ขาลงเราแทบไม่ได้เก็บภาพกัน
ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาเดินเพราะทางชันอย่างเดียว

และแผนของเราเมื่อลงถึงอุทยาน
ก็กะว่าจะเดินทางต่อไปยังเชียงราย
เพื่อไปเที่ยวต่อที่โน่นเลย
แต่แผนก็ล่มเพราะขาลงใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้
เวลารวมๆ 5 ชั่วโมง ทีมรั้งท้าย ฮ่าาา
เพราะมีอาการเจ็บเข่า ได้แต่อดทนเดิน
(คืนนั้นเลยได้เที่ยวพะเยาต่อกับพี่ๆที่ร่วมทริป)
และนี่คือเรื่องสนุกที่สอนให้เรารู้ว่า
ใจห้าวได้ แต่ควรเตรียมร่างกายมาให้พร้อมด้วย ฮ่าาา
สุดท้ายขอฝากเพจท่องเที่ยวสไตล์นี้ไว้กับนักเดินทางทุกคนด้วยคะ 

-------------------------------

ขอบคุณ...

ผู้อ่านที่เข้ามาอ่านบันทึกเรื่องกิน เรื่องเที่ยว
อ่านแล้วถูกใจฝากกดแชร์ด้วยน๊า
สามารถติดตามการเดินทางอื่นๆ ได้ตามนี้

https://th.readme.me/id/LoveescapeJourney

พบกัน Journey | ฉันมาเพื่อ "คิดถึง" เธอ

 วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 15.56 น.

ความคิดเห็น