ธรรมะสัญจรอินโดนีเซีย 2 : จากกรุงเทพฯ สู่บาหลี (ชมหาด – วัดพุทธ – พระอาทิตย์ตกวัดฮินดู – ดูระบำคจั๊ค)

    วันแรก อังคารที่ 18 มิ.ย. 56

    “ติ๊งๆๆๆๆ ติ่ง ติงๆๆๆๆ” เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือร้องดังซะจนต้องสะดุ้งตื่น พอกดปิดเสียงได้ ก็ว่าจะนอนต่อด้วยความเคยชิน แต่ดันเหลือบไปเห็นตัวเลขบนหน้าจอ “01:30” ตัวก็กระเด้งขึ้นแบบอัตโนมัติทั้งๆ ที่เพิ่งนอนไปได้ 2 ชั่วโมงกว่า แต่ถ้าไม่ตื่นตอนนี้ก็คงหลับยาวไปอีกหลายชั่วโมง มีหวังได้ตกเครื่องบินแหงมๆ

    นี่ก็นัดกับพี่แจ๋ไว้ว่าเจอกันที่สนามบินดอนเมืองประมาณตี 3 ก็เลยเผื่อเวลาไว้ 1 ชั่วโมง สำหรับอาบน้ำ แต่งตัว และหาแท็กซี่ กะว่าตี 2 ครึ่งออกจากบ้านก็ทัน แต่ด้วยความไวหรือความตื่นเต้นก็ไม่รู้ ที่ทำให้ทั้งเรา แม่ น้องชาย น้องสะใภ้ เตรียมตัวเสร็จภายในเวลาครึ่งชั่วโมง แล้วแม่ก็ยังออกไปเรียกแท็กซี่ให้จอดรออยู่หน้าบ้านอีก

    สรุปว่าถึง สนามบินดอนเมือง ตี 2 ครึ่ง เดินเข้าไปยังไม่มีเคาน์เตอร์ของสายการบินไหนเปิด บรรยากาศเงียบเชียบ แต่พอเดินเข้าไปถึงบริเวณที่นั่งเท่านั้นแหละ คนนอนกันเต็มไปหมดเลย นึกว่าแท็กซี่มาส่งผิดที่ นี่มันหัวลำโพงชัดๆ 555 … ได้ที่นั่งว่างอยู่ชั้นล่าง ตอนแรกว่าจะงีบสักหน่อย แต่ไม่ง่วงซะแล้ว ก็เลยถ่ายรูปเล่นกันซะเลย

    Photo by : Junsorn Buapha

    เอกสารตรวจคนเข้าเมืองฝั่งไทย

    นั่งเก้าอี้ยังไม่ทันร้อน ก็ตี 3 … รีบโทรไปหาพี่แจ๋ นึกว่ายังมาไม่ถึง ที่ไหนได้ทั้งพี่แจ๋ ทั้งคณะทัวร์ที่มาจากเชียงใหม่ ซึ่งมีพระ 6 รูป และญาติโยมอีกประมาณ 30 คน มากันหมดแล้ว นั่งรออยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์แอร์เอเชีย … ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการเขียนใบ ต.ม.ไทย (เอกสารตรวจคนเข้าเมืองฝั่งไทย) และเอาริบบิ้นสีส้ม-เขียวผูกติดกับกระเป๋า … สรุปแล้วทัวร์คณะนี้มีสมาชิกทั้งหมด 40 ชีวิต นึกถึงตอนไปทัศนศึกษาสมัยเป็นเด็กน้อยเลยอ่ะ

    พี่แจ๋บอกว่ากลุ่มที่มาจากเชียงใหม่ขึ้นรถบัสกันตั้งแต่บ่าย 3 แล้วก็นอนกันบนรถนั่นแหละ ดูๆ แล้วมีแต่คุณลุง คุณป้า คุณตา คุณยาย ทั้งนั้น แต่ก็อึดกันน่าดู ข้าน้อยขอคารวะ

    เวลา 04:00 น. พอเคาน์เตอร์แอร์เอเชียเปิดเท่านั้น ไม่รู้ว่าคนแห่กันมาจากไหนเยอะแยะเต็มไปหมด สภาพยิ่งกว่าหมอชิตช่วงสงกรานต์ซะอีก … ยืนรอคิวโหลดกระเป๋านานมาก ใจก็ลุ้นกับน้ำหนักอยู่เหมือนกัน ก็กระเป๋าใบใหญ่กว่าใครเลยนี่หน่า แต่ปรากฎว่าหนักแค่ 16 กิโลกรัมเองค่าาาาาา

    Photo by : Junsorn Buapha

    เครื่องบินออกเวลา 6:15 น. ได้ที่นั่งตรงปีกเครื่องบินพอดีเลย … ก่อนเครื่องจะขึ้นมองออกไปเห็นฝนเริ่มลงเม็ด โบกมือลากรุงเทพฯ ด้วยความชุ่มชื่นเย็นฉ่ำกันเลยทีเดียว

    http://www.airasia.com

    พอเครื่องขึ้นไปได้สักพักก็ถึงเวลาที่รอคอย… นั่นก็คือ… อาหารเช้า นั่นเอง… มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญนะคะ ห้ามอด เดี๋ยวสมองฝ่อไม่รู้ด้วยนะ… เมนูของเราคือ “ข้าวมันไก่” เป็นอาหารที่สั่งไว้ล่วงหน้าตั้งแต่จองตั๋วแล้ว เวลาแอร์โฮสเตสมาเสิร์ฟ เขาก็จะขอดูตั๋วของเราด้วยนะ ว่าถูกต้องตรงกันหรือเปล่า… ว่าแล้วก็เปิปเลย รสชาติอร่อยดี แต่กล่องเล็กไปนิด น้ำจิ้มน้อยไปหน่อย พอหายหิวไปได้ ไม่ถึงกับอิ่มมาก ถ้าเป็นผู้ชายรับรองว่าต้องสั่งเพิ่มเป็น 2 กล่อง ถึงจะเอาอยู่

    Photo by : Junsorn Buapha

    ผ่านไปประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึง สนามบินบาหลี เวลา 11:30 น. ตามเวลาท้องถิ่น (เวลาที่บาหลีเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) ระหว่างที่เครื่องบินกำลังจะลง ถ้ามองออกไปที่หน้าต่างก็จะเห็นรันเวย์ยื่นออกมาในทะเล สวยมากค่ะ

    สนามบินบาหลี มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไร (Ngurah Rai International Airport) หรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ท่าอากาศยานนานาชาติเดนปาซาร์ (Denpasar International Airport) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะบาหลีห่างจากเมืองเดนปาซาร์ไปทางใต้ 13 กิโลเมตร ตั้งชื่อตาม I Gusti Ngurah Rai วีรบุรุษประจำชาติอินโดนีเซียที่เสียชีวิตใน Battle of Marga ในช่วงการปฏิวัติอินโดนีเซีย (ที่มา : 

    Photo" class="redactor-autoparser-object">http://th.wikipedia.org)#... by : พระมหาสง่า ไชยวงค์

    ที่สนามบินมีไกด์ชาวอินโดฯ แต่งตัวแบบพื้นเมือง มารอต้อนรับโดยการคล้องพวงมาลัยดอกลีลาวดีให้กับทุกคน จากนั้นก็พาเราไปขึ้นรถบัส มุ่งหน้าสู่ร้านอาหารที่เมืองกูตากันค่ะ

    Photo by : Junsorn Buapha

    ไกด์แนะนำตัวบนรถว่าเขาชื่อ “เดวา” นอกนั้นฟังไม่ออก ก็เลยหันถ่ายรูปข้างทางซะเลย… สังเกตเห็นว่าตามถนนหนทางที่นี่จะมีรูปปั้นเยอะมาก ส่วนใหญ่จะเป็นเทพเจ้าหรือเรื่องราวในศาสนาฮินดู ซึ่งปั้นได้สวยมากๆ โดยเฉพาะรูปปั้นที่อยู่ตรงวงเวียน แต่ก็มีขนาดใหญ่มากเสียจนน่ากลัว เพราะทำให้รู้สึกเหมือนเราอยู่ในเมืองยักษ์

    Photo by : Junsorn Buapha

    ถึงร้านอาหาร “Kampung Kuta” ความจริงน่าจะเรียกว่าร้านขายของฝากถึงจะถูก เพราะกว่าจะเห็นที่ทานข้าว ต้องเดินผ่านดงของฝากพวกเสื้อผ้า กระเป๋า ฯลฯ เข้าไปอีกไกล พอเข้าไปถึงนึกว่าจะเป็นร้านอาหาร กลับกลายเป็นเพิงข้าวแกงแบบบ้านเราเลย สงสัยกลัวว่าจะคิดถึงบ้านกันมั้ง เลยจัดให้แบบนี้ 555

    มื้อนี้เป็นบุฟเฟต์ มีข้าวสวย ปลาย่าง ต้มจืดผักบุ้ง เต้าหู้ทอด น้ำพริก ข้าวเกรียบ และชา ดูหน้าตาแล้วก็คล้ายกับอาหารบ้านเรา แต่รสชาติจะออกเผ็ดหวานเกือบทุกเมนู น้ำพริกของเขาเผ็ดกว่าบ้านเรามากกกกกกกก แล้วต้มจืดนี่เขาไม่มีถ้วยให้ใส่นะ ต้องตักราดไปเลย และที่แปลกอีกอย่างก็คือ เขากินชาร้อนใส่น้ำตาลกัน ก็อร่อยไปอีกแบบ แต่ที่ประทับใจที่สุดก็คือข้าวเกรียบขอบสี มันน่ารักสดใสดีแล้วก็อร่อยด้วย กรอบเกลียวเคี้ยวเพลินกันไปเลย อิอิ

    ตามแผนเดิม หลังจากทานอาหารเสร็จจะต้องไปชมวัด Puja Mandala วัดอูลูวาตู (Uluwatu) เช็คอินที่โรงแรม ตกเย็นชมพระอาทิตย์ตกดินที่ชายหาดกูตา (Kuta) แล้วไปรับประทานอาหารทะเลบาบีคิวบุฟเฟ่ห์ที่อ่าวจิมบารัน

    แต่ไกด์ก็เปลี่ยนแผนว่าจะให้เช็คอินที่โรงแรมเพื่ออาบน้ำและเอาของไปเก็บกันก่อน แล้วค่อยพาไปชมหาดกูตาที่อยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารนี้มากนัก จากนั้นค่อยไปวัดและดินเนอร์ริมหาด แล้วค่อยกลับมานอนที่โรงแรม… พอปรึกษากับคณะทัวร์แล้วก็สรุปกันว่า ไม่มีใครอยากเข้าโรงแรมไปอาบน้ำก่อน เพราะเกรงว่าถ้าเห็นเตียงแล้วอาจจะอยากนอนหลับยาวจนไม่อยากจะไปไหนก็ได้… และแล้วสถานีต่อไปก็คือ หาดกูตา (Kuta beach) ค้าบพี่น้อง

    จากข้อมูลท่องเที่ยวหลายที่บอกว่า หาดกูตาเป็นหาดที่มีนักท่องเที่ยวนิยมไปมากที่สุดบนเกาะบาหลี ส่วนใหญ่มักจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่นั่น จนทำให้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ชายหาดพระอาทิตย์ตกดิน (Sunset Beach)… แต่ตอนนี้พระอาทิตย์ยังอยู่บนหัวอยู่เลยนะ?????? ก็แปลกดีเนอะ ไม่เหมือนใครดี

    Photo by : Junsorn Buapha

    พอถึงลานจอดรถแล้ว ก็ใช่ว่าจะเจอหาดเลยนะ ต้องเดินไปอีกเป็นกิโลจ้าาาา แต่ก็สมกับเป็นหาดยอดนิยมแหละ เพราะมีร้านอาหาร โรงแรม ห้างขายของ ฯลฯ แบบหรูๆ ดีๆ เต็มไปหมดเลย แล้วก็มีฝรั่งเดินกันเป็นส่วนใหญ่ ดูๆ ไปก็คล้ายๆ กับพัทยา

    Photo by : Junsorn Buapha

    เดินมาถึงแล้วก็ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะ 1) เป็นคนไม่ชอบทะเลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว 2) เหนื่อยและเมื่อยกับการเดินมาไกล 3) แดดร้อนมาก 4) ไม่ชอบทรายสีออกดำๆ 5) กลัวคลื่นลูกใหญ่… ซึ่งที่นี่พอเห็นก็รู้สึกว่าไม่น่าเดินเล่นเลย แต่คนชอบก็คงมีเพราะเห็นฝรั่ง ทั้งนอนอาบแดด เล่นน้ำ และเล่นกระดานโต้คลื่น กันหลายคน … ว่าแล้วก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกพอเป็นพิธี แล้วก็รีบเดินกลับ กลัวไม่ทันเวลานัดขึ้นรถ … ระหว่างทางแวะซื้อไอติมโฮมเมดเติมพลัง ถ้วยละ 25,000 รูเปีย (ประมาณ 75 บาท) รสช็อคโกแลตกับสตรอเบอร์รี่ อร่อยชื่นจายยยยยยย

    Photo by : Junsorn Buapha

    รายการต่อไปคือ Puja Mandala (บูชามัณฑลา) หรือ มณฑล 5 ศาสนา เนื่องจากสถานที่แห่งนี้มีวัดตั้งรวมกันอยู่ 5 วัดคือ วัดพุทธ วัดคริสต์คาทอลิก วัดคริสต์โปรแตสแตนท์ วัดอิสลาม และวัดฮินดู โดยมีวัดพุทธอยู่ตรงกลางพอดี วัดพุทธที่นี่ไม่มีพระสงฆ์อยู่ประจำ สร้างโดยคนไทย เป็นศิลปะประยุกต์แบบสมัยใหม่ไม่เหมือนวัดที่เมืองไทยเลย

    เมื่อมาถึงวัดพุทธทั้งที่ พระเถรานุเถระจึงได้ถือโอกาสนำเหล่าญาติโยมสวดมนต์ไหว้พระที่นี่กันซะเลย เสร็จแล้วก็หยอดตู้ทำบุญ แล้วก็ถ่ายรูปร่วมกัน … หน้าตาอิ่มบุญกันถ้วนหน้าเลยทีเดียว

    Photo by : พระมหาสง่า ไชยวงค์

    Photo by : Junsorn Buapha

    Photo by : Junsorn Buapha

    จากนั้นก็ไป วัดอูลูวาตู (Uluwatu) ซึ่งเป็นวัดฮินดูที่อยู่บนหน้าผาริมทะเล … ใครไปวัดนี้ต้องระวังลิงให้ดี เพราะลิงป่าที่นี่ดุมาก คุณป้าที่ไปด้วยกันถึงกับโดนดึงแว่นตาไปเลย คุณป้าอีกคนกินข้าวโพดอยู่ดีๆ ก็โดนดึงออกไปคาปาก แล้วไม่ได้ดึงธรรมดานะ ดึงแรงจนฟันปลอมติดไปด้วยเลยอ่ะ

    ส่วนที่พลาดไม่ได้คือดูพระอาทิตย์ตกทะเลที่ริมหน้าผา สวยมากจริงๆ

    จากนั้นก็ไปชมการแสดงระบำคจั๊ค (Kecek dance) เรื่องรามเกียรติ์ ที่คนแสดงจะร้อง “คจั๊คๆๆๆๆๆ” ซึ่งเป็นเสียงของลิงเกือบทั้งเรื่อง โชว์สนุกดี เสียอย่างเดียวคือต้องยืนดูเป็นชั่วโมง เพราะคนเยอะมาก ที่นั่งไม่พอ

    Photo by : Junsorn Buapha

    Photo by : Junsorn Buapha

    ปิดท้ายด้วยดินเนอร์ริมหาด ณ อ่าวจิมบารัน ซึ่งกว่าจะถึงร้านใช้เวลานานมาก ดีแต่ว่าเขาจองที่ไว้ให้แล้ว แต่นั่งไปตั้งนานอาหารก็ไม่มาสักที ก็ได้แต่จินตนาการว่าจะต้องได้กินกุ้ง หอย ปู ปลาแน่นอน ก็ร้านตั้งริมชายหาดซะขนาดนี้… โต๊ะอาหารตั้งบนหาดทรายเลยนะ ขนาดนั่งลงไปแล้วจมลงไปในทรายเลย ด้วยความเตี้ยของเรา พอเก้าอี้จมลงไปคางก็เกยโต๊ะพอดี ฮาเลยคับท่าน รู้งี้ขอเก้าอี้เด็กมานั่งซะก็ดี 555

    Photo by : Junsorn Buapha

    Photo by : Junsorn Buapha

    บรรยากาศริมทะเลก็โรแมนติกดี กินอาหารใต้แสงเทียน ฟังเสียงคลื่นซัดฝั่ง ซึ่งทั้งหาดนั้นเป็นร้านแบบเดียวกันหมดเลย … แต่พออาหารมาเท่านั้นแหละ ฝันสลายเลย เพราะอาหารทะเลที่ว่าก็คือ “ข้าว ปลาย่างก้างเพียบ ผัดผักบุ้ง (ผักบุ้งทะเล มันมีด้วยเหรอ????) และก็อะไรทอดก็ไม่รู้” (โปรดดูภาพประกอบ)

    กินเสร็จก่อนกลับแอบออกไปดูหน้าร้าน เขาก็เขียนว่า “Fresh Grilled Seafood” นี่หน่า เอ!!! หรือว่ามันเป็นสไตล์บาหลีน๊าาาาาา อันนี้ไม่แน่ใจ

    Photo by : Junsorn Buapha

    ถึงโรงแรม Favehotel หลับไปด้วยความเหนื่อยและงง ไว้เล่าให้ฟังตอนต่อไปละกัน ว่าโรงแรมนี้เป็นยังไง … ราตรีสวัสดิ์ บาหลีมี “งง” 555 ฝันดีกันทุกคนค่าาาาาา

    Read.Trip หยิบใส่เป้

     วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 21.23 น.

    ความคิดเห็น