ทริปนี้เราบินตรง เชียงใหม่ - คันไซ โอซาก้า 25 - 30 ตุลาคม 2023 ที่เพิ่งผ่านมาค่ะ

แต่จะขอลงรีวิวเฉพาะเขตเกียวโตก่อนนะคะ ส่วนโอซาก้าติดตามได้รีวิวหน้า

เราเที่ยวเกียวโตช่วงวันที่ 25 - 27 ตุลาคม 2023 นอนโรงแรมใกล้สถานีรถไฟเกียวโต 4 คืน

เอาเป็นว่าตอนแรกลังเลอยู่ว่าจะมากลับทัวร์ดีมั้ย เพราะทั้งเราและแฟนยังไม่เคยเที่ยวต่างประเทศเลยสักครั้ง พาสปอร์ตขาวใส ใหม่เอี่ยมมากๆ ได้พาสปอร์ตปุ๊บก็จองตั๋วบินปั๊บทันที ตอนแรกว่าจะเป็นทริปเดินป่าที่เนปาล แต่ไปๆ มาๆ ก็มาจบที่ญี่ปุ่นซะอย่างงั้น  

โดยทริปนี้รวมค่าเสียหายสำหรับ 2 คนแล้วไม่เกิน 7 หมื่น ทั้งตั๋วบินไปกลับ ค่ากิน ช้อปปิ้ง ค่าเดินทางภายในประเทศ ค่าโรงแรม 5 คืน 6 วัน บินกลับเช้า 30 นอนที่เกียวโต 4 คืน เที่ยวเกียวโต 3 วันแล้วไปเที่ยวโอซาก้าอีก 2 วัน แล้วก็ไปนอนรินคุอีก 1 คืนสุดท้าย รวม 6 วัน 5 คืน 

โดยเราเดินทางจากเชียงใหม่รอบ 5 ทุ่มของวันที่ 24 ตุลาคม 2023 ที่ผ่านมานี้เองค่ะ 

นั่งเครื่องของเวียดเจตแอร์ ตั๋วบินราคาประหยัด แต่ที่นั่งแอบแคบเหมือนบินในประเทศ  

แต่สายประหยัดต้องอดทนค่ะ!! ลงจากเครื่องปุ๊บเราก็แลกตัว JR ที่จองผ่าน Klook ไว้ก่อนบินมาแล้ว

เราซื้อไว้ก่อนช่วงที่ตั๋วจะขึ้นราคานะคะ ได้มาใบละ 1,600 บาท 2 ใบรวม 3,200 บาท

 ตั๋วนี้เราสามารถขึ้น JR ได้ไม่จำกัดเที่ยวรวมทั้งหมด 4 วันเต็มๆ ขึ้นรถไฟคิทตี้ได้ไม่จำกัดด้วย

โดยเราไปแลกตั๋วที่สถานีรถไฟชั้นบนของสนามบินคันไซ

แล้วนั่งรถไฟคิทตี้หรือที่เขาเรียก ฮารุกะ ไปลงสถานีปลายทางที่เกียวโต  

รถไฟคิทตี้จะไม่จอดหลายสถานีค่ะ จะจอดแค่โอซาก้าแล้วไปเกียวโตเลย 

ฉะนั้นเราจะใช้เวลาเดินทางไม่นานเท่ารถไฟธรรมดา 

วิววัด Toji ใกล้ๆ โรงแรมที่เราพักค่ะ มาถึงช่วงเช้าแต่โรงแรมส่วนใหญ่ที่นี่เช็คอินได้ตอนบ่ายสาม

เรามาฝากกระเป๋าที่โรงแรมแล้วออกไปหาข้าวเช้ากิน  เรามาถึงที่ญี่ปุ่นช่วง 6 โมงเช้าของเวลาญี่ปุ่นค่ะ

กว่าจะเดินทางมาถึงโรงแรมก็ปาเข้าไปเกือบๆ 8 โมงเช้าเหมือนกัน 

ถนนหนทางบ้านเมืองเขาดูสะอาดเรียบร้อยมากๆ ใครคิดจะมาญี่ปุ่นเองอาจจะกลัวหลง กลัวไปไม่ถูก แต่ไม่ต้องกลัวค่ะ เพราะเรามาเองครั้งแรกกับแฟนก็หลงเหมือนกัน 555+ ขึ้นรถไฟผิดขบวนเป็นว่าเล่น ขนาดมี Google Maps ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เหมือนมันพาหลงซะมากกว่าจะพาไปถูก อย่าพึ่งมันมากค่ะ พึ่งเซนส์ตัวเองบ้างก็ดี ช่วงวันแรกเราหลงค่ะบอกเลย แต่พอเริ่มชินก็เริ่มจับทางได้ไปถูกทาง  ต้องศึกษาดีๆ ค่ะ เรื่องรถไฟที่ญี่ปุ่นเป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่ารถไฟฟ้าที่ไทยเยอะมากๆ เพราะมันหลายสายหลายเส้น หลายขบวนมากๆ แล้วรางรถไฟบ้านเขาก็ใช้ร่วมกัน  คือต่อให้คุณไปยืนถูกชานชลาแต่ก็ใช่ว่ารถขบวนที่มาจะใช่ขบวนที่คุณจะต้องขึ้น ระวังให้ดีๆ ค่ะ เราขึ้นผิดมาแล้ว (ขำแห้งๆ) อย่าว่าแต่คนไทยงงเลย ขนาดฝรั่งยังเดินมาถามเราที่ยืนเอ๋ออยู่เลย คือฉันจะบอกยังไงดีว่าฉันก็เพิ่งเคยมาญี่ปุ่นครั้งแรก 

อาหารมื้อแรกในญี่ปุ่น ร้านอาหารใกล้ๆ แถวโรงแรมนั่นแหละค่ะ  ชุดนี้ 550 เยน

หลังจากกินข้าวเช้าแล้วเราก็นั่งรถไฟ ต่อรถบัสมาอีก 7 ป้ายมาลงหน้าวัดทองแล้วเดินเข้าซอยไปนิดหน่อยค่ะ วันที่เรามาคือ 25 ตุลาคม 2023 นักท่องเที่ยวค่อนข้างแอบเยอะเหมือนกัน ส่วนมากเป็นคนจีนกับฝรั่ง แล้วก็มีเกาหลีปะปนอยู่ค่อนข้างพอตัว จะมีเด็กญี่ปุ่นที่ใส่ชุดนักเรียนมาเดินทัศนศึกษากันเป็นกลุ่มด้วย

วัดคินคะคุจิ หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า "วัดทอง" สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเกียวโต เมื่อมาเที่ยวเมืองหลวงเก่าอย่างเกียวโตใครๆ ก็ต้องมาเช็คอินที่แห่งนี้ หรือใครเคยดูการ์ตูนเรื่องอิคคิวซังก็น่าจะพอคุ้นตากันอยู่บ้าง ที่นี่เป็นวัดพุทธนิกายเซ็น สำนักรินไซ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเกียวโต ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อปี ค.ศ. 1994

ช่วงปลายตุลาใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีบ้างแล้วค่ะ ถ่ายภาพออกมาก็สวยอยู่เหมือนกัน

การเดินทาง : เราพักใกล้สถานีรถไฟเกียวโต ฉะนั้นจุดเริ่มต้นของเราจะอยู่ที่สถานีเกียวโตตลอด ตั้งหลักตรงนี้ การเดินทางอาจไปได้หลายวิธี การขึ้นรถไฟญี่ปุ่นสำหรับการมาญี่ปุ่นครั้งแรกของเราก็อาจจะงงๆ หลงบ้างวันแรก แต่พอชินละมันก็จะไปได้เอง 555+ ถ้าเอาวิธีเราคือนั่งรถไฟ Karasuma Line จากสถานีเกียวโตมาลงสถานี Kitaoji Station แล้วเดินไปรอขึ้นรถบัสที่ป้ายรถบัส ขึ้นสาย 205 ไปลงป้ายที่ชื่อ Kinkakujimichiโดยสารประมาณ 7 ป้ายก็จะถึงหน้าทางเข้าวัดทอง คนขับรถจะบอกชื่อป้ายทุกครั้งเวลาจอดแต่ละป้าย ฉะนั้นตั้งใจฟังให้ดีๆ นะจ้ะ

พิกัดวัดคินคะคุจิ : https://maps.app.goo.gl/wF4EEsnZDakY1Q3Q7

เช้าวันที่ 2 ของการอยู่ญี่ปุ่น 26 ตุลาคม 2023 

สถานีต่อไปของเราคือ "อาราชิยาม่า"

เราออกเดินทางจากสถานีรถไฟเกียวโตตั้งแต่ 6 โมงเช้า 

มาถึงสถานรถไฟ Saga Arashiyama ตอนราวๆหกโมงกว่า  เดินเล่นถ่ายรูปแถวสถานีอยู่แป๊บๆ หาก็หาทางไปป่าไผ่ต่อเลยค่ะ แนะนำให้มาแต่เช้าถ้าคิดจะเข้าป่าไผ่ เห็นรีวิวว่าคนเยอะมาก หามุมถ่ายยาก พอวันที่เรามาเราเดินจากสถานีไปป่าไผ่ถึงราวๆ เจ็ดโมงหน่อยๆ นักท่องเที่ยวก็เริ่มทยอยเข้ามากันแล้วค่ะ

คิดจะเที่ยวญี่ปุ่นช่วงนี้อาจจะต้องทำใจเรื่องคนเยอะไว้ก่อนนะ ไปที่ไหนคนก็เยอะไปหมด

อันนี้ถือว่าน้อยมากๆ ค่ะ เทียบกับที่คนอื่นมา ช่วงหลัง 8 โมงเช้าไปคนจะเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ

ฉะนั้นเรารีบถ่ายแล้วรีบมูฟย้ายที่ให้ไวก่อนที่คนจะล้นที่เที่ยว

ออกจากป่าไผ่มาจะมีทางไปยังจุดชมวิวมุมสูงค่ะ มองลงไปข้างล่างจะเป็นวิวแม่น้ำ

ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีนิดหน่อยแล้ว ใครมาช่วงกลางพฤศจิกายนเป็นต้นไปเราว่าคงจะแดงสวยเลยล่ะ

ระหว่างทางเดินลงไปข้างล่างแม่น้ำก็จะเจอใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีสวยๆ สลับกันไป

ข้างล่างริมแม่น้ำโฮซูกาวะก็เป็นจุดถ่ายรูปที่สวยมากๆ อีกจุดที่เราจะได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติ

เรามานั่งคอยเรือนักท่องเที่ยวผ่านไปมา ได้รูปสวยๆ เลยล่ะค่ะ 

ส่วนใครที่อยากนั่งเรือชมธรรชาติเขาก็มีให้บริการอยู่ที่ด้านล่างสะพานโกเท็ตสึ  ส่วนราคาเราไม่ค่อยแน่ใจค่ะ เพราะเรามีเวลาจำกัดก็เลยไม่ได้นั่งเรือเที่ยว ได้แค่มาเก็บภาพสวยๆ กับบรรยากาศแถวนี้เท่านั้น

ที่นี่เรายกให้เป็นอีกที่ในดวงใจที่มาแล้วประทับใจเลยล่ะค่ะ ใครที่เป็นสายท่องเที่ยวธรรมชาติไม่ควรพลาด

อากาศก็เย็นสะบายกำลังดีเหมือนเปิดแอร์ 

ช่วงกลางคืนกับเช้าก็จะแอบหนาวหน่อยๆ แต่พอสายๆ ก็เย็นสบายค่ะ

สะพานโทเก็ตสึเคียว จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นักท่องเที่ยวชอบมาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีค่ะ

ตรงจุดข้างล่างสะพานนี้จะมีร้านกาแฟอยู่ร้านหนึ่งค่ะ คนต่อคิวซื้อกันแถวยาวมากกก 

ด้วยความอยากรู้แฟนก็เลยไปต่อคิวรอ ส่วนเราก็ไปถ่ายรูปวิวแถวนั้นรอ พอได้ลองชิมกาแฟที่แฟนซื้อมาเราก็รู้สึกเฉยๆ นะ ทำไมนักท่องเที่ยวถึงต่อคิวยาวจัง หรือเพราะตรงนี้มีแค่ร้านเดียว ทำเลดี? หรือลิ้นเราไม่ถึง? 

ส่วนอีกเมนูที่อยากแนะนำคือขนมดังโงะลูกใหญ่ตรงทางเข้าป่าไผ่ค่ะ ตอนเราเดินไปป่าไผ่ร้านค้าแถวนั้นยังไม่เปิดสักร้าน พอเดินกลับออกมานี่คนคึกครื้นล้นถนนเลยเชียว แถมต่อคิวซื้อของกินกันเยอะแยะไปหมด

ที่นี่เขามีบริการนั่งรถลากชมวิวรอบเมืองกันด้วยนะ เป็นรถลากโบราณของญี่ปุ่น น่ารักไปอีกแบบเลยค่ะ

หลังเดินออกจากริมแม่น้ำเดินย้อนกลับทางเดิมที่เดินมาจากสถานีรถไฟแถวๆ นั้นจะเป็นร้านอาหาร ขายของฝากของที่ระลึก ของกินเยอะแยะไปหมดค่ะ

เรามาเที่ยวกันต่อที่วัดเท็นริวจิ ตอนแรกที่มาวัดยังไม่เปิด เรามาเช้าเกินค่ะเลยไปเดินเล่นริมแม่น้ำรอวัดเปิด พอหาข้าวเที่ยงกินแล้วเราก็มาเดินชมวัดกันต่อเลย

วัดเทนริวจิแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกกับ UNESCO เมื่อปี ค.ศ. 1994 ปัจจุบันก็ยังเป็นวัดหลักของสายรินไซและเป็นวัดนิกายเซนอันดับ 1 ใน 5 ของเกียวโตอีกด้วย นอกจากนี้ก็ยังเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ได้รับความนิยมในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม

บรรยากาศภายในวัด

ขนาดใบไม้เพิ่งเริ่มเปลี่ยนสียังสวยขนาดนี้

พอเลยเที่ยงเราก็กลับค่ะ ใช้เวลาราวๆ ครึ่งวันกับการอยู่อาราชิยาม่า ยังมีที่เที่ยวต้องไปต่ออีกในวันนี้

วิธีเดินทางไป Arashiyama

เรานั่ง JR ไปค่ะ ง่ายมากๆ จากสถานีเกียวโต ไปลงสถานี Saga Arashiyama ซึ่งใครที่ซื้อพาสเที่ยวของรถไฟ JR แบบเหมาหลายวัน(ของเราเหมา 4 วัน) ก็ขึ้นรถไฟในเครือของ JR ได้ทุกสายเลย

พิกัดสถานี Saga Arashiyama : https://maps.app.goo.gl/sadAGk...

สถานที่ต่อมาช่วงบ่ายเราเดินทางต่อมาที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ 

หรือที่รู้จักกันในชื่อศาลจิ้งจอก (ศาลเจ้าแดง)

ที่นี่นักท่องเที่ยวค่อนข้างจะเยอะค่ะ แต่ยังไม่ถึงกับแน่นมากเกินไป ถ้ามาช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์เราคิดว่าอาจจะแน่นเลยล่ะ นี่คือบรรยากาศช่วงบ่ายวันธรรมดา

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริมีความเก่าแก่มากกว่าพันปี สร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ.711 บนยอดเขา Inariyama

เขาว่าจิ้งจอกที่นี่รับใช้เทพเจ้าอินาริ 

หากใครมาขอพรที่ศาลเจ้าแห่งนี้จิ้งจอกจะเป็นผู้นำศาลของเราไปบอกยังเทพอินาริ

ใช้ระยะทางเดินเท้าขึ้นบันไดแต่ละขั้นไปราวๆ 4 กิโลเมตรค่ะ 

เราเดินถึงจุดบนสุดเลยเพื่อไปดูวิวมุมสูงของเมือง 

ระหว่างทางเดินขึ้นจะมีตู้กดน้ำตลอดทาง พร้อมกับร้านค้าข้างทางให้เราซื้อของกินและจุดนั่งพักให้หายเหนื่อยค่ะ ฉะนั้นเราไม่ต้องรีบเดินกันก็ได้ ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ พักไปทีละจุด

จุดนี้ทางเดินกลับลงมา เป็นอีกมุมที่เราชอบมากๆ ช่วงที่แสงกำลังสวยค่ะ ราวๆ สี่โมงเย็น

เดินกลับลงมาเจอถนนคนเดินเล็กๆ มีร้านอาหารข้างทาง ลองแวะซื้อของหวานชิมสักหน่อย

บรรยากาศตอนกลับลงมานักท่องเที่ยวยังคงทยอยเดินเข้ามาเรื่อยๆ

วันนี้จบไปอีกวันค่ะ กลับถึงสถานีรถไฟเกียวโต เข้าที่พักเพื่อพักผ่อนเอาแรงเที่ยววันต่อไป

วิธีเดินทางไปศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ  ง่ายมากๆ ค่ะ

นั่งรถไฟ Nara Line ที่สถานีเกียวโตไปลงสถานี Inari Station 

เดินออกจากสถานีเจอทางเข้าศาลเจ้าเลย

พิกัดศาลเจ้า :  https://maps.app.goo.gl/ZRzRv2...


วิวตอนหกโมงครึ่งของเช้าวันพฤหัสบดี

เช้าวันที่ 27 ตุลาคม 2023 สถานที่อีกแห่งที่ควรมาชมคือที่นี่เลยค่ะ

เราออกจากสถานีเกียวโตตั้งแต่ 6 โมงเช้าเหมือนเคยเพื่อมาให้ทันก่อนที่คนจะเยอะ เขาว่าวัดน้ำใสคนเยอะมากๆ แม้จะเป็นในวันธรรมดาอย่างวันที่เรามาตรงวันพฤหัสบดี นักท่องเที่ยวเรียกได้ว่าเกือบล้นวัด!!

เป็นที่ถ่ายรูปอีกที่ๆ ต้องแวะก่อนถึงวัดน้ำใสค่ะ  ย่านนินเน็นซากะ ซันเน็นซากะ

เนินยาวที่ยังคงหลงเหลือความเป็นเมืองเก่าของเกียวโต สวยมากๆ ค่ะ เหมือนหลุดเข้ามาในยุคโบราณ

เช้าที่เรามาคนยังไม่เยอะมากค่ะ ใครจะมาแนะนำมาแต่เช้าก่อน 8 โมงนะ ถ้าช้ากว่านั้นคุณอาจจะเที่ยวไม่สนุก เพราะแถวนี้จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว กรุ๊ปทัวร์ ทั้งไทย จีน ฝรั่ง เกาหลี แล้วก็เด็กนักเรียนที่มาทัศนศึกษาอีกหลายร้อยชีวิต 555+

เดินผ่านย่านนินเน็นซากะมาก็มาถึงวัดคิโยมิสุ หรือที่เรียกกันว่า "วัดน้ำใส"

สาบานได้ว่านี่เพิ่ง 8 โมงเช้านะ ขนาดแวะถ่ายรูปข้างทางแป๊บเดียว พอมาถึงก็แทบล้นวัดแล้วจ้า

ที่นี่เป็นวัดชื่อดังหนึ่งในสมบัติของชาติญี่ปุ่น มีประวัติศาสตร์มากกว่า 1,200 ปี 

แต่อาคารที่เราเห็นในปัจจุบันนี้เป็นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 380 กว่าปีก่อนนี่เอง

ในส่วนของชื่อวัดคำว่า “Kiyomizu (清水)” นั้นหมายถึงน้ำบริสุทธิ์ 

ในภาษาไทยเราจึงเรียกกันว่าวัดน้ำใส 

นอกจากนี้ “น้ำใสบริสุทธิ์” ยังเป็นอีกหนึ่งความเชื่อในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์

ที่วัดคิโยมิสึแห่งนี้ ซึ่งก็คือน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) 

น้ำตก 3 สายที่ไหลลงสู่บ่อน้ำ ซึ่งมีความหมายคือ 

สุขภาพ ความรัก และความสำเร็จในการศึกษา ใครอยากสมหวังสิ่งไหนก็เลือกดื่มเอาเลย

มองจากบนวัดออกไปเห็นวิวหอคอเกียวโตทาวเวอร์ด้วยนะ

ที่นี่เป็นอีกจุดที่ใครอยากมาชมใบไม้เปลี่ยนสีควรจะมา เพราะตอนมันแดงคือสวยมากๆ

ระหว่างเดินกลับออกมาก็เจอป้าๆ เกาหลีขอให้ถ่ายรูปให้สักแชะ

วิธีการเดินทางมาที่นี่ด้วยการนั่งรถไฟ JR จากสถานีเกียวโต (จริงๆ มาได้หลายแบบ) 

ถ้าเอาวิธีเราคือเรานั่ง Nara Line จากสถานีเกียวโต มาลงสถานี Tofukuji 

แล้วต่อรถไฟสาย Keihan Main Line ไปลงสถานี Kiyomine Gojo Station

แล้วเดินต่อไปย่านนิเน็นซากะเลยค่ะ ค่อยๆ เดินเก็บภาพวิว ภาพถนนหนทางไปเรื่อยๆ 

พิกัดวัดน้ำใส :  https://maps.app.goo.gl/4oRPoc...

หมดเวลาไปครึ่งวันเช้ากับวัดน้ำใส เราเดินทางต่อมาที่เมือง UJI เมืองแห่งชาเขียวค่ะ

มาถึงก็มาแวะถ่ายรูปที่มุมสะพานนี้ก่อนเลย วิวสวยมากๆ เราตั้งใจมาซื้อของฝากชาเขียวให้แม่ค่ะ

ที่พลาดไม่ได้เลยคือการมากินโซบะชาเขียวที่เมืองอุจิกับไอติมชาเขียว อร่อยม๊ากกก!!!

ไอติมชาเขียว 440 เยน

ลองทั้งแบบเย็นกับแบบน้ำ อร่อยทั้งสองอย่างเลย

ร้านขายชาเขียวเยอะมากตลอดทางเดิน จนเลือกไม่ถูกว่าจะซื้อร้านไหนดี

ทริปนี้เราไม่ได้ไปวัดที่เมืองอุจินะคะ เห็นเขาว่าเป็นอีกที่ๆ สวยเลยล่ะ แต่เราต้องไปโอซาก้าต่อช่วงเย็นค่ะ

ฉะนั้นทริปนี้สำหรับเกียวโตเราจบที่การเที่ยวเมืองอุจิ (อย่าจำสลับกับอุนจินะ55+)

วิธีเดินทาง เรามาจากวัดน้ำใส 

ขึ้นรถไฟกลับไปที่สถานี Tofukuji แล้วนั่ง Nara Line มาลงที่เมือง Uji 

ชื่อสถานีรถไฟ Uji Station

 พิกัดเมือง Uji  :  https://maps.app.goo.gl/XLqyw2...

ติดตามรีวิวเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองของเราต่อได้ในรีวิวหน้านะคะ

ทริปหน้าจะเป็นของโอซาก้าค่ะ

#เที่ยวให้โลกจำ  #เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง #เที่ยวญี่ปุ่น #เที่ยวเกียวโต

#เกียวโต #เมืองชาเขียว #วัดน้ำใส #ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ #วัดคินคะคุจิ #วัดคิโยมิสุ

#อาราชิยาม่า #ป่าไผ่อาราชิยาม่า #Kyoto #Arashiyama #Uji #Japan

เที่ยวให้โลกจำ

 วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 เวลา 15.34 น.

ความคิดเห็น