อารัมภบท

         หากย้อนกลับไปสมัยอดีต คุณเคยได้ยินคำนี้ไหมครับ "ยักษ์วัดแจ้ง แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์ " เป็นคำพูดติดปากของคน รุ่นปู่ รุ่นย่า รุ่นตา รุ่นยาย และตามความเชื่อที่ว่า " เปรต " คือคนที่ทำบาปกรรมไว้เช่น ด่าพ่อด่าแม่ ตีพ่อตีแม่ เมื่อตายไปแล้วจะเกิดเป็นเปรตเพื่อชดใช้กรรม ปากจะเท่ารูเข็ม มือจะใหญ่เท่าใบลาน ซึ่งตามความเชื่อเหล่านี้ถูกล่าวขานไว้ที่วัดแห่งนี้ ได้ชื่อว่าเปรตวัดสุทัศน์เพราะอะไรนั้นหนะเหรอ...เราจะพาไปหาคำตอบกันครับ...

พิกัด : แผนที่ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร


ประวัติ

          วัดสุทัศนเทพวราราม วัดเก่าแก่อายุมากกว่า ๒๐๐ ปี เป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ประเภทราชวรมหาวิหาร ซึ่งเป็น ๑ ใน ๖ วัดของเมืองไทย และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ) 

       วัดนี้สร้างขึ้นช่วงตอนต้นของสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในพื้นที่พระนครชั้นใน เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๐ ใช้เวลาสร้างถึง ๓ รัชกาลเลยทีเดียว โดยเริ่มจากรัชกาลที่ ๑ มีพระราชประสงค์โปรดเกล้าให้สร้างพระวิหารให้มีขนาดใหญ่เท่ากับพระวิหารวัดพนัญเชิง โดยเริ่มสร้างพระวิหารขึ้นเป็นอันดับแรกเพื่อประดิษฐานพระศรีศากยมุนี (พระโต) ซึ่งอัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย และให้ชื่อว่า “วัดมหาสุทธาวาส”แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อนก่อน

           จนในรัชกาลที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อ และทรงจำหลักบานประตูพระวิหารด้วยพระองค์เอง แต่ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อนที่จะมีการก่อสร้างเสร็จ ชาวบ้านทั่วไปจึงเรียกกันว่า วัดพระโต, วัดพระใหญ่ หรือวัดเสาชิงช้า ตามพระประธานในวิหาร จนกระทั้งในสมัยรัชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๙๐ จึงโปรดเกล้าให้สร้างจนแล้วเสร็จและในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงผูกนามพระประธานในพระวิหาร พระอุโบสถ และศาลาการเปรียญ ให้คล้องกันว่า "พระศรีศากยมุนี", "พระพุทธตรีโลกเชษฐ์" และ "พระพุทธเสรฏฐมุนี" และพระราชทานชื่อใหม่ว่า "วัดสุทัศน์เทพวราราม" 

          วัดสุทัศน์ สามารถเดินทางมาได้หลายวิธี ส่วนเรานั้นลงสนามหลวงและเดินชมวิวตามตรอกซอยมาเรื่อย ๆ (ความชอบส่วนตัว) หาแลนด์มาร์ค ที่โดดเด่นเห็นชัดนั่นก็คือ เสาร์ชิงช้า สีแดงสูงเด่นตระการตาตั้งอยู่ที่บริเวณหน้าวัดนั่นเอง


พระวิหารหลวง

          เมื่อเดินเข้าประตูมาเราจะพบกับ พระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม ถือเป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่อย่างมาก มีความกว้าง ๒๓.๘๔ เมตร ยาว ๒๖.๒๕ เมตร ลักษณะอาคารแบบประเพณีนิยม มีศิลปะแบบช่างในสมัยรัชกาลที่ ๒ คือหลังคาซ้อนชั้น เครื่องลำยองประกอบด้วย ป้านลมเป็นนาคลำยอง หรือนาคสะดุ้ง มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสถาปัตยกรรมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (posttoday : สมาน, 2562)

          ที่สำคัญบริเวณหน้าบันพระวิหารเป็น พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ และหน้าบันมุขที่รองลงมาเป็นรูปพระนารายทรงครุฑในกรอบซุ้ม ซึ่งสัมพันธ์กับชื่อวัดคือ สุทัศนเทพวราราม คือชื่อเมืองสุทัสสนนคร อันเป็นพระนครหลวงของพระอินทร์ที่ตั้งอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 

          ภายในพระวิหาร มีจิตรกรรมเรื่องราวในไตรภูมิ โดยสเมือนว่าที่พระวิหารแห่งนี้ภายในอาคารคือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้านในพระวิหารหลวงมีพระประธานองค์สำคัญ คือ พระศรีศากยมุนี พระพุทธรูปสัมฤทธิที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (หากนับย้อนไปก่อนสมัย ๒๕๐๐) และที่ใต้ชุกชีหรือฐานพระพุทธรูป หากสังเกตบริเวณผ้าทิพย์สีน้ำเงิน ได้มีการบรรจุพระบรมราชสรีรางคาร (เถ้ากระดูก) ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ ๘) ไว้ด้วย

วงกลมสีแดง คือที่เก็บพระบรมราชสรีรางคาร ร.8


หนึ่งเดียวในโลก

          สำหรับหลายท่านอาจจะมาวัดแหงนี้แล้วยังไม่รู้ ด้านหลังของพระประธานบริเวณฐานชุกชีมีแผ่นศิลาโบราณสลักนูนต่ำปิดทอง มีอายุตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๒ -๑๓ เป็นศิลปะสมัยทวารวดี โดยภาพด้านบนสุดเป็น ปางประทานเทศนา โปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ปางถัดลงมาเป็น ปางยมกปาฏิหาริย์ และล่างสุดเป็นปางที่ลัทธินอกศาสนามาท้าพระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์ 

         นอกจากนั้นยังมีรูปปั้น ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ คือ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ที่แสดงอาการเต๊ะท่าอยู่ เสมือนว่าตอนนั้นเมื่อพบพระพุทธเจ้าหลังจากพระองค์บรรลุธรรมและได้กลับมาโปรด (ตอนนั้นปัญจวัคคีย์คิดว่าพระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้จึงแสดงอาการดังกล่าว)


ความลับ

            อย่างที่บอกไปข้างต้น วัดแห่งนี้ที่ได้ชื่อว่า เปรตวัดสุทัศน์ ที่แท้จริงแล้วมาจากภาพจิตรกรรมที่เสาในพระวิหารหลวง ที่วาดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เป็น รูปเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่และมีพระสงฆ์กำลังยืนพิจารณาสังขาร ซึ่งภาพนี้มีชื่อเสียงมากเป็นที่ร่ำลือกันว่าหากใครได้มีโอกาสมายังวิหารหลวงนี้แล้ว ต้องไปดูรูปจิตรกรรม "เปรตวัดสุทัศน์" ตามคำกล่าวที่คล้องจองกันว่า "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" ยังไงลองไปเดินตามหากันดูนะว่าอยู่ที่เสาไหนภายในพระวิหาร และจงทำดีเข้าไว้ตายไปจะได้ไม่เป็นเปรต

ภาพเปรตวัดสุทัศน์


ก่อเกิดสมาธิและปัญญา

          นอกจากนี้ภายในพระวิหารหลวง หากเข้ามาจากประตูหน้า เมื่อเดินเข้าไปด้านในสุดทางด้านขวา ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ คือ พระสุนทรีวาณี เป็นเทพธิดาตามคติในศาสนาพุทธในประเทศไทย มีหน้าที่คุ้มครองดูแลรักษาพระธรรมและพระไตรปิฎก (มีที่วัดแห่งนี้เป็นที่แรก) โดยสมัยรัชกาลที่ ๕ อดีตเจ้าอาวาสสมเด็จพระวันรัต (แดง) ได้นิมิตฝันและให้จิตรกรหลวงเขียนรูปขึ้น (ปัจจุบันภาพถูกเก็บไว้ที่วัด) ว่ากันว่าหากเราหมั่นสวดมนต์พระคาถานี้อย่างสม่ำเสมอจะทำให้เกิดปัญญาและสมาธิ

มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภะวะ สุนทะรี
ปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะยะตัง มะนัง


โบสถ์สุริยันต์จันทรา

          พระอุโบสถนั้นตั้งอยู่ทางด้านหลังของพระวิหารหลวง ซึ่งหากจะวัดความยาวแล้วพระอุโบสถของวัดสุทัศน์ ได้รับการยกย่องว่าเป็น พระอุโบสถที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความกว้างประมาณ ๒๓ เมตร และมีความยาวถึง ๗๓ เมตรเลยทีเดียว ตั้งขวางเสมือนเป็นฉากหลังของพระวิหารหลวง และบริเวณหน้าบันของพระอุโบสถแห่งนี้ทางด้านตะวันตกเป็นตราพระจันทร์ ส่วนด้านตะวันออกเป็นตราพระอาทิตย์ เสมือนว่าดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มีการโคจรรอบโลก หรือรอบเขาพระสุเมรุนั้นเอง โบสถ์นี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า โบสถ์สุริยันต์จันทรา (รายการศักดิ์สิทธิ์คงกระพัน, 2563)

ตอนไปวัดกำลังบูรณะพอดี
เดินเอาหนึ่งเมื่อยเลย


พระประธาน

             เมื่อถึงแล้วภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานเป็นองค์ประธาน มีพระนามว่า พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ทรงโปรดเกล้าให้สร้างพระมา และบริเวณหน้าพระประธานมีรูปปั้นพระสาวกอยู่ ๘๐ องค์เรียกว่า พระอสีติมหาสาวก ซึ่งจำลองเป็นตัวแทนพระเถรผู้ใหญ่รุ่นแรก ๆ ที่ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าสมัยพระองค์ยังมีพระชนชีพอยู่ และหากมองไปรอบ ๆ บริเวณผนังด้านในของพระอุโบสถมีภาพจิตกรรมฝาผนังที่วิจิตรสวยงามเป็นอย่างมากซึ่งเป็นฝีมือช่างในสมัยรัชกาลที่ ๓ อีกด้วย

พระพุทธตรีโลกเชษฐ์

สายมูห้ามพลาด

          และอีกจุดที่เราจะพาทุกท่านไป สายมูจะพลาดไม่ได้ เน้นพลาดไม่ได้ เมื่อกราบพระประธานในพระอุโบสถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้เดินเลี้ยวมาด้านหลังพระอุโบสถ ยังมีอีก ๓ -๔ ไฮไลท์สำคัญที่จะต้องแวะก่อนกลับนั่นก็คือ พระกริ่งใหญ่ องค์ท้าวเวสสุวรรณ พระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา และรูปหล่อหมอชีวก

พระกริ่งใหญ่

          พระกริ่งใหญ่องค์นี้ได้มีการสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) มีอายุครบ ๖๐ ปี โดยในการจัดสร้างพระกริ่งนั้นให้มีขนาดเท่ากับ ๖๐ นิ้วมือท่านสมเด็จ ฯ ที่วัดลงบนกระดาษ และอีกทั้งวัดสุทัศน์ยังมีเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระกริ่งมาช้านานโดยมีเรื่องเล่าว่า 

          สมัยก่อนสมเด็จพระวันรัต (แดง) ได้อาพาธเป็นอหิวาตกโรค สมเด็จพระมหาสมณเจ้าวัดบวร กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (ครั้งยังทรงเป็นกรมหมื่น) เสด็จมาเยี่ยม รับสั่งถามถึงอาการของโรคจึงสอบถามว่าที่วัดมีพระกริ่งไหม เนื่องจากที่วัดในตอนนั้นไม่มีพระกริ่ง ท่านจึงรับสั่งให้ไปอัญเชิญพระกริ่งปวเรศฯ ของวัดบวรนิเวศ มาแล้วอาราธนาอธิษฐานแช่

น้ำพระพุทธมนต์ และให้สมเด็จพระวันรัต (แดง) ท่านฉัน ซึ่งเป็นเรื่องปาฏิหาริย์เมื่อฉันแล้วโรคอหิวาต์ก็บรรเทาหายเป็นปกติ (komchadluek, 2554)


ท้าวเวสสุวรรณ

              " เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะ " หากพูดถึงท้าวเวสสุวรรณ ที่แรกที่หลายคนพูดถึงกันคงเป็น ท้าวเวสฯ ที่อยู่ข้างพระพุทธชินราช ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก และหากพูดถึงท้าวเวสสุวรรณที่เป็นวัตถุมงคล ที่วัดสุทัศน์แห่งนี้นับเป็นที่แรกที่มีการจัดสร้างขึ้นในสมัย ๒๔๙๓ โดย ท่านเจ้าคุณศรีสนธิ์ ลูกศิษย์พระสังฆราช (แพ) (ปัจจุบันเป็นที่ต้องการยิ่งนัก) 

           ส่วนองค์นี้มีการจัดหล่อขึ้นตั้งอยู่หลังพระอุโบสถเมื่อปี ๒๕๖๒ โดยมีกุศโลบายว่า เพื่อเป็นการรำลึกและแสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัยโดยเข้าไปกราบพระประธานในพระอุโบสถก่อน จากนั้นเมื่อเดินออกมาทางประตูหลังจึงไปสักการะท้าวเวสสุวรรณเป็นลำดับต่อไป ว่ากันว่าใครได้มากราบจะเฮง ๆ มีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ

          และสุดสุดท้ายที่เราจะพาไปซึ่งอยู่บริเวณเดียวกันก็คือ พระพุทธรูปปางปางบำเพ็ญทุกรกิริยา และ รูปหล่อหมอชีวกฯ สำหรับจุดนี้เรื่องโรคภัยไข้เจ็บผู้คนต่างมาขอพรกันที่จุดนี้กันไม่ขาดสาย

บทส่งท้าย

            

ปล.1 เกือบลืมไป นอกจากนี้ หากใครรู้สึกว่าชีวิตติดขัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน การงาน ความรัก อยากตัดกรรม ตัดเจ้ากรรมนายเวร อยากขอขมากรรม หรือถอนคำสัญญา ถอนคำสาบาน ที่บริเวณศาลาการเปรียญ ยังมี "หลวงพ่อกลักฝิ่น" ที่สร้างในสมัยรัชการที่ ๓ โดยใช้กลักฝิ่นที่ยึดได้จากการปราบฝิ่นเป็นวัสดุหลักมาหล่อเป็นพระพุทธรูป และรัชกาลที่ ๔ พระราชทานนามให้ใหม่ว่า พระพุทธเสรฏฐมุนี  

          เป็นไงบ้างครับ วัดเดียวแบบ one stop sevice ได้ทั้งบุญ ได้ชมศิลปะ และเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ทางประวัติศาสตร์กันไปบ้างแล้ว วันหยุดแบบนี้หากไม่รู้จะไปไหนแนะนำเลยครับวัดนี้ไม่ผิดหวังแน่นอน


เวลาเข้าเที่ยวชม 
      - 
ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-17.00 น.
      - นักท่องเที่ยวชาวไทย (ไม่มีค่าเข้าชม)
      - นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ (มีค่าเข้าชม 20 บาท)
      - ต้องแต่งกายสุภาพ

การเดินทาง
 
    - รถยนต์ส่วนตัว : สามารถจอดรถได้บริเวณถนนศิริพงษ์
      - รถประจำทาง : สาย 10, 12, 15, 19, 35, 42, 48, 73 และ 96

รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 
     Facebook : วัดสุทัศนเทพวราราม


สวัสดี

- เสือซ่อนยิ้ม -

เสือซ่อนยิ้ม

 วันพฤหัสที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2567 เวลา 21.47 น.

ความคิดเห็น