“แม่เมย" ชื่อนี้คุ้นหูกันไหมคะ...?

แม่เมยอยู่ทีไหน มีอะไร แล้วไปยังไง?

ครั้งนี้เราจะพาเพื่อนๆ เก็บกระเป๋าไปที่นี่กัน

“แม่เมย" เป็นชื่ออุทยานแห่งชาติ อยู่ที่อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก บ้านเกิดเราเองแหละ แต่ยังไม่เคยได้ไปเที่ยวเลย บ้านตัวเองแท้ๆ เลยต้องจัดสักดอก งานนี้แอดเวนเจอร์อีกแล้ว นั่งรถตู้ ต่อสองแถว เลาะตามตะเข็บชายแดน เช่ามอเตอร์ไซค์แว๊นไปถ้ำแม่อุสุ ขึ้นเขาลงดอยโผล่ที่อุทยาน ได้เห็นแสงสีทองของพระอาทิตย์ตกในยามเย็น ได้นอนดูดาวนับล้านเต็มท้องฟ้า ได้เห็นทะเลหมอกที่เหมือนปุยนุ่นในตอนเช้าๆ ทริปนี้ครบรส สนุก ตื่นเต้น และเหนื่อย หมดแรงไปตามๆ กัน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคุ้มค่า

ทริปนี้เป็นทริปสั้นๆ มีวันหยุดแค่สองวัน จะไปเที่ยวที่ไหนกันดี ที่เซฟสตางค์ในกระเป๋า ใช้เวลาเดินทางไม่มากเพราะเวลามีจำกัด แต่ขอไปแล้วคุ้มพอ คิดอยู่นานสองนาน เออ...งั้นเที่ยวที่บ้านก็ได้ ที่ตากนี่แหละ ประหยัดดี แต่จะไปเที่ยวที่ไหนนี่สิ เสริจ google ด่วนเลยจ้า มาสะดุดตาที่อุทยานแห่งชาติแม่เมย เฮ้ยมีทะเลหมอกด้วยหรอวะ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ทางผ่านมีถ้ำแม่อุสุด้วย ทำให้การเดินทางในช่วงหน้าหนาวที่ผ่านมาได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง โอเค...กระเป๋าพร้อม ใจพร้อม ตังที่มีน้อยนิดพร้อม ออกเดินทางกันค่ะ !!


การเดินทาง (ตาก – แม่สอด – ท่าสองยาง – ถ้ำแม่อุสุ – อุทยานแห่งชาติแม่เมย)
พิกัด https://goo.gl/maps/viMdYgVd71J2



สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่มีรถส่วนตัว สามารถเดินทางได้ด้วยวิธีนี้ค่ะ



1.นั่งรถตู้จากขนส่งอำเภอเมืองตากไปลงขนส่งอำเภอแม่สอด มีรถตั้งแต่เช้าตรู่ รถออกทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ใช้เวลา 2.30 ชม. หากเพื่อนๆ นั่งรถทัวร์มาจากที่อื่นลงที่แม่สอดได้เลยค่ะ สะดวกดี



2.จากขนส่งแม่สอดเพื่อนๆ สามารถเดินทางได้ 2 วิธี ดังนี้

• เช่ามอเตอร์ไซค์จากแม่สอดไปอุทยานค่ะ อยากแวะไหนก็แวะได้ ชิวเลยทีนี้
• ต่อรถสองแถวสีส้มซึ่งจะจอดอยู่ด้านหลังขนส่งแม่สอดไปลงที่หน้าอุทยานได้เลยค่ะ แต่ !!! หลังจากนี้กว่าจะถึงม่อนต่างๆ ซึ่งเป็นจุดกางเตนท์ไกลมาก และทางเป็นลูกรังกำลังทำทาง เพื่อนๆ ต้องโบกรถเข้าอุทยานไปกันเองนะคะ (รถสองแถวนี้เราสามารถนั่งไปโผล่ที่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอนได้เลยนะ เก๋มั้ยหล่ะ)

สำหรับพวกเราเลือกเดินทางแปลกกว่าชาวบ้าน เรานั่งรถตู้จากตากไปลงแม่สอด แล้วต่อรถสองแถวสีส้มไปลงท่ารถ ต.แม่ต้าน อ.ท่าสองยาง เพื่อติดต่อขอเช่ามอไซค์ที่เพื่อนคุยไว้ให้ ขับไปที่ถ้ำแม่อุสุ และอุทยานแห่งชาติแม่เมยค่ะ และนี่ก็คือหน้าตาของเจ้ารถสองแถวสีส้มที่เราจะนั่งไปกัน ไม่ต้องรอให้คนขึ้นจนเต็มก็ออกเลย เพราะเน้นรับรายทางค่ะ



ระหว่างทาง เราพบเพื่อนร่วมทางไปกับเราหลายชีวิตเลยค่ะ

"เพื่อนร่วมทางของเรา"
ไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดอายุ ไม่จำกัดภาษา ไม่จำกัดเชื้อชาติ
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร...จะมาจากที่ไหน...เราทุกคนเป็นเพื่อนกันได้ :")



สองข้างทางช่วงออกจากแม่สอดจะเต็มไปด้วยไร่นามีฉากหลังเป็นภูเขา มองดูแล้วเพลินดี สักพักก็จะเข้าไปในเขาในดง อากาศเย็นสบาย เพราะมีต้นไม้เขียวๆ เต็มไปหมด



เดินทางมาได้ 1.30 ชม. หลับแล้วหลับอีก ตื่นแล้วตื่นอีก ก็ยังไม่ถึงไหน ลุงขับรถได้ต๊ะต่อนยอนมาก ช้าเวอร์ แต่พอเริ่มเข้าเขตชุมชน ท่ามกลางหุบเขาแบบนี้ บนเส้นทางแม่สอด-แม่สะเรียง มี "ศูนย์อพยพแม่หละ" หมู่บ้านผู้ลี้ภัยแห่งนี้จะอยู่ระหว่างทางค่ะ ตาสว่างเลย รีบหยิบกล้องมาถ่ายรูปรัวๆ คือวิวดี สวยแปลกตา บ้านเรือนจะสร้างด้วยไม้ไผ่ยกพื้นสูงอยู่ตามภูเขา เราจะพบกับชาวบ้านซึ่งเป็นชนเผ่า ทั้งกระเหรี่ยง ไทใหญ่ พม่า อยู่ตลอดทาง บางครั้งก็จะโบกขึ้นรถสองแถวมานั่งกับเราด้วย ตื่นเต้นดีนะ และใครที่อยากทำบุญ สามารถบริจาคสิ่งของ เครื่องใช้ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ขนม ให้แก่ชาวบ้านและเด็กๆ ผู้ลี้ภัยได้เลยนะคะ



เย้ในซี่ถุด ในที่สุดดดด !!! เราก็มาถึงท่ารถแม่ต้านซะที เรารีบติดต่อเจ้าของมอเตอร์ไซค์เลย และแล้วก็ต้องช็อก!! ไหนตอนแรกบอกว่าได้ออโตเมติกไง คันใหม่ ไม่ค่อยได้ใช้ ไหงได้ wave100 เก่า สภาพใช้งานมานานซะงั้นอ่ะ อึ่งสิคะ ต้องขับ wave100 ขึ้นเขาขึ้นดอย(ไม่ได้ถ่ายรูปรถไว้เลย) เอาวะมาถึงนี่แล้วให้กลับไปเช่ามอเตอร์ไซค์ที่แม่สอดคงไม่ไหว wave100 ก็ wave100 ขนาด dream100 ยังเคยเอาขึ้นดอยสุเทพมาแล้วเลย ทำไมคันนี้จะเอาขึ้นไม่ได้...จริงมะ



ก่อนออกเดินทางเราแวะเติมน้ำมัน และหาอะไรกินง่ายๆ “กระเพราไข่ดาว" นี่แหละ เมนูสิ้นคิดที่กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ แล้วก็หาซื้อข้าวเปล่า ปลากระป๋อง ผักกาดดองไปกินมื้อเย็นที่อุทยาน คือเรื่องอาหารเราไม่ได้ซีเรียสเลย กินอยู่อย่างง่ายๆ ประหยัดดีด้วย เน้นเอาที่สะดวก เอาที่สบายใจ



สถานีถัดไป ถ้ำแม่อุสุ ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ตลอดทางจะเจอชนเผ่าเยอะมาก ลูกเล็กเด็กแดงเพียบ ขับมาตามป้ายบอกทางเรื่อยๆ เลย หลักกิโลเมตรที่ 94 เล็กน้อย ซ้ายมือจะมีซอยให้เข้าไปไม่ไกลมากค่ะ ก็จะเจอกับภาพนี้เลย



ถ้ำแม่อุสุ เป็นถ้ำที่มีความสวยงามเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ได้รับการขนานนามให้เป็น “โรงละครใต้พิภพ" และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์อีกด้วยค่ะ ถ้ำแม่อุสุ อยู่ในอุทยานแห่งชาติแม่เมย ดังนั้นบัตรเข้าอุทยานซื้อจากที่นี่แล้ว ไปถึงที่โน่นไม่ต้องเสียตังอีก ดีจังเลย



และนี่คือปากทางเข้าถ้ำ ด้านข้างอุทยานจะมีห้องน้ำ เราไปเปลี่ยนกางเกงเป็นขาสั้น รองเท้าแตะ เพราะต้องเดินลุยน้ำเข้าไปในถ้ำประมาณเหนือเข่าได้ โดยจ้างไกด์ท้องถิ่นนำทาง ราคาแล้วแต่เราจะให้เลยค่ะ



ไกด์ตัวน้อยของเราตอนนี้พร้อมแล้ว พกอาวุธมาด้วยนะ นั่นก็คือไฟฉาย เพราะในถ้ำค่อนข้างมืด พื้นลื่น มีสิทธิ์หกล้มหัวแตกได้เลย ต้องเดิน มุด เกาะแนวหิน ระมัดระวังกันด้วยนะคะ



เดินลุยน้ำกันมาได้นิดนึง เรามองย้อนกลับไป ก็จะพบกับภาพ siluate แบบนี้ สวยมากเลยค่ะ โชคดีที่มีเด็กๆ มาวิ่งเล่นเลยทำให้องค์ประกอบภาพดูมีอะไรมากขึ้น :")



ภายในถ้ำจะมีหินรูปทรงแปลกตา ให้เราได้ใช้จินตนาการมโนออกมาเป็นรูปต่างๆ รวมทั้งหินงอกหินย้อย มาดูกันว่ามีหินรูปอะไรบ้าง



“หินเจดีย์ทราย" ที่มีประกายระยิบระยับ



“หินบ้านน้ำตก"



“หินรูปคนกับช้าง"



“หินรูปเต่า"


“หินรูปร่างเหมือนขาม้า"




“หินรูปฟันปลาฉลาม"



“หินรูปเจดีย์สามองค์"



ต่อไปเรามาชมความสวยงามภายในถ้ำกันแบบรัวๆ เลยค่ะ


มาถึงจุดที่เรียกได้ว่า Unseen ที่สุดก็คือ โถงห้องที่ 2 ถ้าไปถูกเวลา จะมีแสงแดดยามบ่าย สาดส่องเข้ามาเหมือนสปอร์ตไลท์ขนาดยักษ์ และเราก็โชคดีที่ขากลับแสงส่องมาพอดี ถามว่าร้อนไหม ร้อนมากกกก แสบตาด้วย ต้องหลับตาหันหน้าสู้แดด เพื่อให้ได้ภาพสวยๆ ยอมมม เอิ๊กๆ และภาพนี้ได้ลงในเพจ Unseen Tour Thailand ของ ททท. ด้วยค่ะ ขอบพระคุณมากนะคะ >> https://goo.gl/Xyi3al



ขากลับเรากลับออกมาทางเดิมค่ะ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการเข้าชม ถือว่าคุ้มค่ามาก ถ้ำแม่อุสุจึงเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เราอยากแนะนำให้เพื่อนๆ แวะมาเที่ยวค่ะ และนี่คือปากถ้ำที่เราเข้ามากัน



ด้านนอกจะมีคนปูเสื่อนั่งปิกนิกกันด้วยนะ น่ารักดี มากันเป็นครอบครัวเลย และใครที่เข้าห้องน้ำ เตรียมตัวเสียเงินได้เลยค่ะ เด็กๆ เค้าจะมาเก็บค่าเข้า แล้วแต่จะให้ จริงๆ เข้าฟรีนะ แต่เราให้น้องเป็นค่าขนมเอาไปแบ่งๆ กัน ห้าาาา



หมอกหรือควัน



เฉลย ควันเผาไร่แถวๆ นั้น ห้าาา



ตอนนี้ 15.30 น. เราออกเดินทางกันต่อ คราวนี้ไม่แวะแล้ว ดิ่งตรงไปอุทยานแห่งชาติแม่เมยเลย ทางขึ้นค่อนข้างชัน โค้งหักศอกเยอะมาก แล้วขับ wave100 ขึ้นเขา คิดสภาพเอา สงสารรถ สงสารตัวเองมาก



ขับมาได้ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงทางเข้าอุทยานด้านขวามือค่ะ ต่อไปเรามาทำความรู้จักกับม่อนต่างๆ ในอุทยานซึ่งเป็นจุดชมทะเลหมอกกันดีกว่าค่ะ



1. "ม่อนครูบาใส" อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยาน ประมาณ 7 กิโลเมตร เป็นจุดกางเตนท์และชมพระอาทิตย์ตกในตอนเย็น ที่นี่เหมาะแก่การกางเตนท์ค่ะ เพราะลมไม่แรง แต่ในช่วงเช้าสามารถชมทะเลหมอกสวยๆ ได้ในมุมกว้าง และสวยงามมากที่หนึ่ง ซึ่งเราเลือกกางเตนท์ที่นี่แหละ ไม่ใช่อะไร wave100 ขับขึ้นไปม่อนด้านบนไม่ได้แล้ว ห้า โคตรอนาถจิต

2. "ม่อนพูนสุดา" อยู่ห่างจากม่อนครูบาใสเพียง 200 เมตรค่ะ ชื่อม่อนตั้งขึ้นตามชื่อของ นักถ่ายภาพชั้นครูของเมืองไทย คือ อาจารย์พูน เกษจำรัส ภรรยาของท่านชื่อ สุดา เพื่อเป็นเกียรติแด่ อาจารย์พูน ในฐานะที่เป็นผู้เดินทางมาถ่ายภาพบนม่อนนี้เป็นคนแรก จึงนำชื่อของท่านทั้งสองมารวมกันได้ “พูนสุดา" ออกมาเป็นชื่อม่อน เราว่าเพราะมากๆ เลยนะ

3. "ม่อนกิ่วลม" เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าที่สวยที่สุดเลยค่ะ ที่ใช้ชื่อว่า ม่อนกิ่วลม เพราะที่นี่มีช่องลมหรือเรียกว่ากิ่วที่มีลมพัดผ่านอยู่เสมอ ดังนั้นใครที่กางเตนท์ที่นี่อากาศจะเย็นกว่าม่อนอื่นๆ ค่ะ ม่อนกิ่วลมอยู่บนความสูง 940 เมตรจากระดับน้ำทะเล มองเห็นทะเลหมอกปกคลุมหุบเขาเบื้องล่าง โดยมียอดเขาสูงต่างๆ โผล่พันสายหมอก อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี สภาพป่าโดยรอบเป็นป่าดิบเขา

(ทั้ง 3 ม่อนนี้ รถสามารถเข้าจอดถึงที่ได้เลยค่ะ สะดวกดี)

4. "ม่อนปุยหมอก" เป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก การเดินทาง จากตัวอุทยานต้องเดินทางขึ้นไปด้วยเท้าระยะทาง 3.8 ก.ม.ใช้เวลาเดินเท้าเข้าไปประมาณ 4-5 ชั่วโมง และ ต้องพักค้างแรม 1 คืนและที่สำคัญหากใครอยากมาเที่ยวที่นี่ต้องเตรียมร่างกายมาให้พร้อมเลย เพราะ3.8 ก.ม.นี้ ทางชันและขึ้นเขาอย่างเดียว จะมีทางราบและลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากมาในช่วงปลายฝนต้นหนาว จะได้ ชมไม้ แมลงและความเขียวขจีของเฟรินตลอดทางค่ะ

เนื่องจากการเดินไปชมทะเลหมอกที่นี่ต้องใช้เวลาอยู่บนม่อนปุยหมอก 2 วัน 1 คืน ดังนั้นควรเตรียมซื้ออาหาร การกิน น้ำ ของใช้ส่วนตัว และอุปกรณ์ต่างๆไปเองให้เพียงพอ เนื่องจากที่ม่อนปุยหมอกไม่มีสิ่งอำนวยความ สะดวกใดๆ ทั้งสิ้นแม้แต่ห้องน้ำ และก่อนเดินทาง การเดินขึ้นไปม่อนปุยหมอกต้องมีเจ้าหน้าที่ ของอุทยานฯ นำทางไปด้วย เพราะฉะนั้นก่อนไปติดต่อเจ้าหน้าที่ไว้ล่วงหน้าได้เลยค่ะ เพื่อให้จัดเตรียมลูกหาบไว้ให้เราด้วย (ข้อมูล : http://goo.gl/M29YlK)


มาต่อค่ะ สำหรับเราจุดหมายปลายทางในวันนี้คือ “ม่อนครูบาใส" แต่ก่อนจะไปที่นี่เราต้องเช่าเตนท์ และเครื่องนอนที่เจ้าหน้าที่ด้านล่างก่อน เตนท์ราคา 215 บาท ชุดเครื่องนอนประกอบไปด้วย หมอน ถุงนอน และเบาะรองนอน ราคา 60บาท/ชุด ซึ่งเป็นราคาที่เท่ากันในทุกอุทยาน หรือใครที่ไม่สะดวกขึ้นม่อนต่างๆ สามารถนอนได้ที่ด้านล่างแล้วตอนเช้าค่อยขับรถไปชมพระอาทิตย์และทะเลหมอกค่ะ จองที่พักอุทยานได้ที่ http://www.dnp.go.th/parkreserve/reservation.asp หรือสอบถามข้อมูลโทร 088-2907964



กว่าจะขับ Wave100 มาถึงม่อนครูบาใส ก็เย็นพอดีค่ะ 17.00 น. มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาม่อนนี้เหมือนเราไม่เยอะมาก กำลังพอดีเลยนะ ที่ม่อนครูบาใสมีห้องน้ำ(สุขา)นะคะ แต่ทางชันหน่อย ดึกๆ ต้องส่องไฟฉาย เดินกันดีๆ หล่ะ ส่วนใครที่อยากอายน้ำแนะนำให้อาบจากด้านล่างอุทยานก่อนขึ้นมาจะสะดวกสุดค่ะ ห้องน้ำสะอาดมาก และด้านล่างมีร้านค้าขายอาหารคอยให้บริการนักท่องเที่ยวอยู่ค่ะ

ตอนนี้อุปกรณ์พร้อม ลงมือกางเตนท์กันก่อนแสงจะหมด


ข้างๆ เตนท์เรามีคุณลุงคุณป้าวัยเกษียณมาฮัลนีมูนด้วยแหละแกร กรี๊ดในใจรัวๆ น่ารักมากเลย มากันสองคนช่วยกันกางเตนท์ อุปกรณ์แคปปิ้งพร้อม คุณป้าจะเอาเตาปิ๊กนิกออกมาทำอาหารกลิ่นคละคลุ้ง ยั่วน้ำลายเรามาก เราเห็นป้าอยากถ่ายรูปกับลุง พยายามอยู่นานสองนานเลยอาสาเป็นตากล้องถ่ายภาพให้แก มันคือความทรงจำที่ดีในช่วงหนึ่งของชีวิตเราเลยนะเนี้ย :")



แดดร่ม ลมตก แสงสุดท้ายกำลังจะหายไป



กางเตนท์เสร็จ นั่งพักให้หายเหนื่อย หยิบเอาเสบียงที่ซื้อตอนกลางวันออกมา แล้วกินไป ดูพระอาทิตย์ตกตรงหน้าไป โอ๊ยยย ฟินมากอ่าแกรร อาหารธรรมดาๆ นี่พิเศษขึ้นมาทันที ><



อยากรู้ว่าแสงสุดท้ายที่ม่อนครูบาใสสวยขนาดไหน เราไปชมพร้อมๆ กันเลยค่ะ



ท้องฟ้าสีพาสเทล หล่นลั่นความอ่อนเข้มของสี มองดูแล้วสบายตา



เมื่อแสงสุดท้ายโบกมือลาอย่างช้าๆ แสงจากดวงดาวนับล้านบนท้องฟ้าก็ส่องประกายเข้าแทนที่ ยิ่งดูยิ่งสวยแวววาวระยิบระยับ ลายตาไปเลย และเป็นครั้งแรกที่เพื่อนเราสอนเราถ่ายภาพดาว ขอบคุณมันจริงๆ ไม่มีขาตั้งกล้อง อาศัยเอากล้องพิงกับขวดน้ำกับท่อนไม้แถวนั้นเอา ห้าาา



คือแปลกมาก กลางดึกนี้แทนที่อากาศจะหนาว กลับแค่รู้สึกเย็นๆ เซ็งเลย กลัวพรุ่งนี้จะอดเห็นทะเลหมอก ก็ต้องมาลุ้นกัน



ช่วง 6 โมงเช้า ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ เปิดเตนท์ออกไป มองอะไรไม่เห็นอีกตามเคย แต่อากาศเย็นดี เลยนอนต่อ ซักพักตื่นมาอีกรอบเพราะได้ยินเสียงคนคุยกัน คือมีคนมาดูทะเลหมอกแต่เช้าเยอะเลย ทั้งจากที่มานอนค้างด้านล่างอุทยานแล้วค่อยขึ้นมาดูตอนเช้าบ้างแหละ มาจากม่อนพูนสุดา ม่อนกิ่วลมบ้างแหละ เราเลยหยิบกล้องออกมานอกเตนท์ และก็พบกับภาพทะเลหมอกสวยๆ เหมือนปุยนุ่นแบบนี้ ไม่ผิดหวังจริงๆ เลย ถึงจะไม่ได้ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ม่อนกิ่วลมก็เหอะ เพราะมันไกล wave100 คงขึ้นไปไม่ถึงด้วย จากสภาพ



ป่ะ จะพาไปดูทะเลหมอกโอบกอดภูเขา :")



ลุงป้าน่ารัก เห็นแล้วก็อดที่จะอิจฉาไม่ได้จริงๆ ค่ะ :")



และทั้งหมดนี้คือทริปสั้นๆ ที่พวกเราเลือกเดินทาง มาให้เห็นด้วยตา มาสัมผัสด้วยใจ เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยได้ลอง ขอบคุณธรรมชาติที่สวยงาม “แม่เมย"



งบประมาณ

ค่าเดินทาง 410 บาท/คน

ค่าอาหาร 200 บาท/คน
ค่าอุทยาน/เช่าอุปกรณ์ 270 บาท/คน
รวม 880 บาท/คน

ไม่จำเป็นต้องเสียเงินแพงๆ ไปนอนโรงแรมหรูหลักหมื่น
ก็ได้ชมวิวและธรรมชาติที่สวยงามในหลักล้าน ด้วยงบไม่ถึง 1000 บาท เก๋ๆ :")

ว่างๆ เข้าไปคุยได้กันได้นะ ที่ >>

Page : เก็บกระเป๋า
Instagram : kepkrapao

เก็บกระเป๋า

 วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 21.47 น.

ความคิดเห็น