สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ นักเดินทางทั้งหลาย สำหรับการรีวิวครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของผมครับ ปลายปีเเบบนี้อะไรจะมีความสุขไปกว่าการได้เดินทางไปในสถานที่หนาว ๆ หรือภูเขาสักเเห่ง ด้วยความที่ผมชอบท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ หลังจากสอบปลายภาคเสร็จก็คงจะเป็นเวลาที่เหมาะสมเเล้วที่จะต้องไปที่ไหนสักเเห่งที่ทำให้เราได้สัมผัสถึงธรรมชาติ เเท้ๆที่เราไฝ่หา ผมจึงรวบรวมสมัครพักพวก ไม่เรื่อยค้นหาสถานที่ วันเวลาที่เหมาะสม จนสุดท้าย มาจบลงที่นี่ละครับ ภูสอยดาว จ. อุตรดิตร เเล้วก็มีคู่หู คู่เที่ยวพ่วงท้ายไปด้วยคนนึงคือเพื่อนสมัยมัธยม นางนี่ ซึ่งหลายคนที่ผมชวนมักจะจอดตั้งเเต่รู้ว่าจะไปรถไฟ เเล้วก็ต้องเดินขึ้นเขา เเต่ยัยนี่ทึกทน ใจสู้ เอาว่ะสองคนก็สอง ลุยๆ

ส่วนนี่เป็นกระทู้ที่ผมเคยเขียนครับ ไว้เป็นเเนวทางได้บ้างไม่มากก็น้อยครับผม


"น่านไง . . . . ใครว่าไม่มีอะไรเที่ยว" เที่ยวในวันที่ 6 - 8 ม.ค. 59 https://pantip.com/topic/34656885

#CNXbeforeMdie เที่ยวกันตาย ก่อนไปพรีเซนวิจัย https://pantip.com/topic/36018061/comment4

สุโขทัย เมืองน่าไป ไม่ใช่เเค่ทางผ่าน https://pantip.com/topic/36178294

การเดินทางของเราเริ่มต้นจากการจองตัวรถไฟก่อนขึ้นรถ ในขบวน 107 บางซื่อ-พิษณุโลก ชั้นที่ 3 สงวนราคาคนละ 178 บาท เวลา 20.30 น. เเต่รถไฟมาเวลา 21.00 น.


ด้วยความที่ผมเเละเพื่อนเป็นสายชิว อยู่เเล้วก็เบิร์ดๆ จัดไป ขึ้นมาบนรถก็นั่งตามที่นั่ง ที่จองไว้ การที่ผมชอบเดินทางโดยรถไฟ มันให้ความรู้สึกที่มากกว่าการเดินทางเเบบอื่น นอกจากมันจากราคาไม่เเพงเเล้ว ยังทำให้เราได้สัมผัสชีวิตผู้คนบนรถไฟ อากาศเย็นๆเเละลมที่ปะทะหน้าระหว่างทางก็ทำให้สบายโดยที่ไม่ต้องเปิดเเอร์


จะกินอะไรบนรถไฟก็มีคนมาเสิร์ฟถึงที่เลยนะครับ ระหว่างทางก็มีน้ำขนม เรื่อยๆ พอถึงนครสวรรค์ ก็จะมีข้าวกระเพราไก่ ซาลาเปาหมู ถั่ว ปลาเค็มของฝาก ขึ้นมาขาย การเดินทางด้วยรถไฟอาจจะใช้เวลานานสักหน่อยเเต่มันทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง ได้คิดถึงเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมา ใครไม่เคยลองผมเเนะนำนะครับลองจัดๆ ผมก็ได้หลับไปงีบนึง ส่วนเจ๊ที่มากับผมอานะ ตอนเเรกบอกง่วง เเต่นอนไม่หลับ เเต่ตอนนี้หลับไปละ เก็บเเรงๆเอาไว้เช้าจะต้องเดินเดิน เเละก็เดิน . . .


และเเล้วเราก็ถึงพิษณุโลกเมืองสองเเควในเพลาตีสาม หูยยถึงเเล้ว


ต่อมา เราก็ออกมาต่อรถสองเเถวจากหน้าสถานีรถไฟ เป็นเงิน 60บาท เพื่อไปบขส. เก่าพิษณุโลก เพื่อต่อรถไปภูสอยดาว


และเเล้วถึง บขส.พิษณุโลก เก่า


เดิมเราตั้งใจจะนั่งรถไปลงอ. ชาติตระการเเล้วเหมารถขึ้นภูสอยดาว แต่พอมาถึงขนส่งเก่าพิษณุโลกเท่านั้นเเหละ ก็เจอพี่วินเสื้อเขียวๆ มาถามว่าไปภูสอยดาวใช่ไหม เราก็ลองคุยกะเขาดูเขาก็บอกว่า เขามีคนจะไปภูอยู่เเล้ว 2 คนรวมเราก็เป็น 4 เเล้วเขาก็คิดไปสี่คนคนละ 300 เเค่ขาไป ซึ่งตอนนั้นเราคิดว่าเป็นข้อเสนอที่ใช้ได้เลยทีเดียว เราจึงคิดว่าเราจะไปกะเขา พอถึงเวลาที่เราไปจริงปรากฏว่า ทั้งรถมีกันอยู่สิบคน ซึ่งลักษณะรถที่เรานั่งเป็นสองเเถวที่มีหลังคา ข้างๆเป็นเหล็กคล้ายกรง เอาง่ายๆ เหมือนรถขนหมู 555 เเต่ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ เเละเเล้วทั้งสิบ ก็ขึ้นรถคันที่ว่า โดยมีป้าใจดีเป็นคนขับ ใจดีอย่างไรเดี่ยวผมเล่าครับ เมื่อออกรถป้าก็เตือนเเล้วว่า ใส่เสื้อกันหนาวด้วยนะ ระหว่างทางอากาศเย็น ทุกคนก็สวมเสื้อกันอย่างเเน่นหนา เราออกรถมาประมาน ตีสี่ครึ่งได้ครับ มาป้าขับไปเรื่อยๆ ระหว่างทางมืดมาก ไม่มีไฟ เเต่ป้าเเกมีประสบการณ์มาก ชำนาญทางสุดๆ ไม่นานนักเราก็ถึงตลาด อ. ชาติตระการ เเล้ว ป้าเขาก็จอดเพื่อจะให้ทุกคนซื้อของกินของใช้กัน ที่นี่มีของขายเยอะครับ


เเต่ส่วนใหญ่เป็นของสด ผัก ผลไม้เนื้อต่างๆ บ้างก็ไก่ย่าง ขนมครก น้ำเต้าหู้ ของย่างต่างๆ เเละตรงข้ามตลาดก็มีโลตัสเอ็กเพลส กับเซเวนอีเลเวนอยู่ด้วย


ระหว่างทางผมก็คิดนะ ว่าจะกินอะไรดี พอมาถึงเดิน ดูๆไป ไอ้นั่นก็น่ากินไอ้นี่ก็น่ากินนน โอ้ยยย มีความหิวใช่ไหมนี่ สุดท้ายผมตัดสินใจซื้อข้าวหลาม ไก่ย่าง ข้าวเหนียวไปกินระหว่างทาง


ส่วนเพื่อนผมซื้อขนมปังไปกินเป็นมือเที่ยง ในขณะที่มื้อเย็นนั้นเราตัดสินใจซื้อมาม่าขึ้นไปกินกันข้างบน เดินตลาดๆ ไป ป้าคนขับรถก็เเนะนำว่าซื้อมันขึ้นไปเผาสิ อร่อยนะ หนาวๆ กินมันเผา ร้อนๆ ผมก็คิดเป็นอะไรที่น่าจะดี ก็เลยซื้อมันมา 20 บาทเตรียมไปด้วย ซื้อของกินเเล้วอย่าลืมซื้อน้ำเปล่าขึ้นมาด้วยนะครับ เพราะเราต้องมีน้ำกินระหว่างทาง เเล้วก็มีน้ำกินข้างบน บริหารจัดการน้ำดีๆ นะครับ พอสมาชิกทุกคนบนรถซื้อของครบเเล้ว ก็เดินทางต่อไปยัง อช. ภูสอยดาว ระหว่างทางทุกคนก็ซะลึมซะลือ หลับบ้าง ตื่นบ้าง สักพักก็เช้า บรรยากาศระหว่างทางดีมากๆ เป็นไร่นา สลับกับภูเขา พอใกล้ตัวอุทยานเข้าไปเรื่อยๆ ฝนก็ตกปรอยๆ สลับกับการเห็นหมอกควัน ที่ปกคลุมยอดเขาอยู่ ซึ่งก็เป็นบรรยากาศที่ดีมาก หันกลับเข้ามาในรถ ทุกคนพร้อมใจกันขดตัว กอดอก เพราะว่าหนาวมาก มีทั้งฝนทั้งลมเพราะเราอยู่บนรถ ลมจึงเเรงด้วยเป็นธรรมดา เเน่นอนครับ ผ่านฤดูฝน มาเป็นฤดูหนาวเเล้ว ใครจะไปคิดว่าจะมีฝนตก อย่างนี้ ทั้งรถจึงไม่มีใครเตรียมใจเลยว่าจะมาเจอฝน


ไม่นานเราก็มาถึงที่ทำการอช. ภูสอยดาวเเล้วครับ เสียค่าเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท ขนสัมภาระลง จ่ายเงินป้า เเล้วก็เจรจาว่าจะกลับด้วย ป้าเลยให้เราจ่ายสี่ร้อยเป็นมัดจำขากลับไว้ร้อยนึง เเล้วบนรถที่มาด้วยกันมีน้องเรียนพยาบาลสองคนเค้ากลับพร้อมเราด้วย เราเลยติดต่อน้องๆ ว่าจะลงมาพร้อมกันพรุ่งนี้ ไปๆ มาๆยังไงไม่รู้เราก็ชวนน้องเขาคุยไปเรื่อย จนเขาไปกะเราด้วยเฉย จากไม่รู้จักกัน 555


ขั้นตอนในการที่จะขึ้นไปบนลานสน 1.เราจะต้องลงทะเบียนเขียนชื่อต่างๆ บอกจำนวนเต้นท์และเครื่องนอน 2.พอเสร็จก็ไปจ่ายตังค่ามัดจำขยะกลุ่มละ 200 บาท ค่าจ้างลูกหาบ โดยเขาคิด กก. ละ 30 บาท เเละค่าเต้น จากนั้นเขาจะให้ใบเสร็จเราไว้ยืนยันตอนรับของต่างๆ ข้างบน ตอนเเรกผมก็มากับเพื่อนผมเเค่สองคนนี่หละ เเต่ก็อย่างที่ว่า น้องที่เรากลับด้วยกันเเก๊งเราเลยมีด้วยกันสี่คนโดยปริยาย


จากนั้นเราก็นั่งรถกระบะจากที่ทำการอุทยาน เข้ามาตรงตีนเข้า ทางขึ้นภูสอยดาว ทุกคนมองหน้ากันเเล้วก็พูดว่ะ เอาวะ ต้องไปให้ถึง ต้นทางจะมีน้ำตกสวยๆ ให้ถ่ายรูป มากมาย ก่อนเราจะขึ่นเราก็ขอลีลานิดนึง ถ่ายรูปกันเเชะสองเเชะ


เเล้วการเดินทางขึ้นสู่ภูสอยดาวก็เริ่มต้นการเดินทางเวลา 9.00 น. การเดินทางสู่ภูสอยดาวจะมีจุดสำคัญๆ อยู่ห้าจุดคือ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่ากอ เนินหลังเสือโคร่ง เเละเนินมรณะ ซึ่งมีความโหดหินต่างกัน ตามลำดับหึหึ


ระหว่างที่ผมขึ้นไปมันเป็นช่วงที่มีฝนตกปรอยๆ จึงทำให้มีหมอกเเละควันมาก เส้นทางก็เปียกๆ เเต่ไม่ถึงกับเเฉะ อากาศค่อนข้างชิ้นผสมหนาวครับ


ช่วงเเรกก่อนถึงเนินส่งญาติ จะเป็นทางเดินเลียบไปกับน้ำตก เเละลำธารอาจจะมีขึ้นๆ ลงๆบ้างสลับกันไป ช่วงนี้เดินค่อนข้างสบายครับ ผม น้องๆ เเละก็เพื่อน เดินคุยกันสนุกสนานทำความรู้จักกัน น้องๆ สองคนเป็นคนน่ารักคุยเก่ง รู้สึกโชคดีมากที่เจอมิตรภาพที่ดีระหว่าง การเดินทาง ไม่นานเราก็มาถึงเนินส่งญาติ ซึ่งจุดเริ่มต้นของเส้นทางสู่ลานสน ภูสอยดาว


เราก็เดินต่อไป เส้นทางเป็นทางราบสลับ กับชันบ้าง เเต่ไม่มาก บรรยากาศสองข้างทาง มีหมอกจางๆ ต้นไม้ที่เขียวขจี กับอากาศที่ชื้นๆ เล็กน้อย ทำใหพวกเราทุกคน สดชื้นมาๆ ครับ เเม้จะเรื่มโหดขึ้นเล้วก็ตาม เเต่ก็เอาวะ ทุกคนยังยิ้มได้


ต่อมาถึงเนินปราบเซียน บทพิสูจน์เเรกเเห่งขุนเขา จากทางราบๆ ก็เริ่มชัน เป็นทางชันที่มีบันไดสลับกับหินบ้าง ผมเเละเพื่อนก็เดินไปเรื่อยๆ จนน้องเราที่มาด้วยบอกว่า พี่ไปก่อนเลยค่ะ เดี่ยวเจอกันข้างบน ไอ้เรากับเพื่อนก็ไม่ได้ฟิตอะไรหรอก เเต่เดินได้เรื่อยๆ


พอผ่านเนินปราบเซียนมาได้ ตูก็เริ่มหิวเเล้วสิ เราสองคนจึงตัดสินใจ เเวะกินข้าวกันระหว่างทาง ก่อนถึงเนินป่ากอ ผมก็ควักไก่ย่าง ข้าวเหนียวออกมาเปิปกินอย่างเอร็ดอร่อย บรรยากาศ เเม่มโครตได้อาครับ รอบๆ มีหมอกควันอากาศหนาวๆ ถึงไก่เย็นไปเเล้ว เเต่ก็ยัง อร่อยครับ ส่วนเพื่อนผมจัดขนมปังไปนึงอัน


พอเราอิ่มหนำกันกลางป่าเเล้ว ก็เดินทางต่อ เเละเเล้วเราก็ถึงเนินป่ากอ ที่ค่อนข้างราบสลับกันทางชันบ้างเล็กน้อยย ความโหดเริ่มเพิ่มขึ้นกับการเดินทางสู่เนินหลังเสือโคร่ง ที่มีทางลาดชันเพิ่มขี้นเรื่อยๆ เเต่ผมกับเพื่อนก็ยังไม่หวาดหวั่นใจ


ระหว่างทางจากเนินหลังเสือโคร่งไปยังเนินมรณะเราเจอจุดชมวิวที่สวยมาก จุดหนึ่งเป็นโขดหินริมผา ที่มองลงมาเห็นภูเขาสีเขียวปกคลุมด้วยหมอกปุยเมขบางๆ ดังรูป เราก็เลยถ่ายรูปกันสักหน่อย


จากนั้นเราก็เดินๆ ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ก็ถึงเนินสุดท้าย ความโหดที่เเท้จริงอยู่ที่นี่ '' เนินมรณะ '' เป็นเขาลูกสดท้ายที่ต้องข้ามไปก่อนถึง ลานสน


ภูสอยดาว เป็นเส้นทางที่เดินขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้นอย่างต่อเนื่องจริงๆ เป็นทางขึ้นที่ชัน เเละไม่มีจุดพักเหนื่อยมากนัก

ผมก็รีบเดินไปเรื่อยๆ พักให้น้อยที่สุดเพราะถ้าพักมาก ผมจะยิ่งเหนื่อย เเต่ในใจมีความคิดว่า เชรี้ยๆๆ เมื่อไหร่จะถึงเนี้ย 555 เดินจนหนีเพื่อนที่มาด้วยกันขึ้นไป เพื่อนมันว่าเอ็งเดินไปได้เลยไม่ต้องรอ มันเดินช้า เเละเเล้วผมเเซงมันไปไกลเรื่อยๆ จนถึงยอดบนภูเขาของเนินมรณะ ค่อยโล่งใจหน่อย
จากตรงนี้ผมเดินลงเขาทางลาดเล็กน้อย เเล้วก็เริ่มเห็นลานสนเเล้ว ในใจคิดเอาวะอีกนิเดียว ผมรีบเดินเเละก็ในที่สุด ผมก็ถึงต้นทางของลานสน สักพักเพื่อนผมก็ตามขึ้นมา


จากป้ายผู้พิชิตลานสนภูสอยดาวเราก็เดินต่อไป ระหว่างทางก่อนถึงจุดกางเต้นภูสอยดาว ก็รายล้อมไปด้วยต้นสน เเล้วทุ่งหญ้า ที่สำคัญคือตอนเราไปมันมีละอองฝนทำให้เก็นหมอกปกคลุม อยู่อีกด้วย เเน่นอนครับ ถ่ายภาพกันซักพัก


เเละเเล้วในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงลานกางเต้น บนลานสนภูสอยดาว เเล้วเราก็เอาใบเสร็จที่เขาให้เราจากข้างล่างมารับของ รวมถึงเต้นที่ที่ทำการอุทยานข้างบน ข้างบนนี้ไม่มีอะไรขายนะครับ ของกินต้องขนขึ้นมาเองหมด มีเเต่ให้เช่าเตาถ่าน เตาเเก๊ส หม้อ กาน้ำ ตะเเกรงปิ้ง ที่คีบ


รวมถึงถังน้ำ กะละมัง ที่เป็นสิ่งจำเป็นในการอาบน้ำ หรือเข้าห้องน้ำห้องท่า เพราะว่า เขาจะมีน้ำจากลำธารดูดมาเก็บในเเท้ง พอจะอาบหรือจะทำธุระที เราก็ต้องไปกดจากถัง หรือตักจากลำธารมาใช้ ส่วนตรงที่ทำการจะมีเเท้งน้ำฝนที่อาจจะใช้ล้างจาน หรือเเปลงฟันได้ในตอนเช้าได้เท่านั้นเอง


หลังจากที่เราได้ของครบเเล้ว ผมกับเพื่อนก็ตัดสินใจไปงีบในเต้นสักพัก พอประมาณเกือบหกโมง เพื่อนก็ปลุกผมไปถ่ายรูป มันว่ามืงๆ ตื่นๆ เผื่อมืงจะถ่ายรูปท้องฟ้าสีส้ม คือผมเคยบ่นว่าอยากถ่ายรูปท้องฟ้าสีส้ม ตอนเย็นๆ เเต่คือวันนี้มันมีหมอก ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมี เเต่ตื่นมาก็ไม่ทันซะเเล้ว ทำได้เเค่ถ่ายเเถวๆ หน้าเต้น คือที่นี่มีจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น กับพระอาทิตย์ตกนะครับ เเต่ไปไม่ทันเเล้ว เลยได้รูปมาอย่างที่เห็น

พอมืดเเล้ว เราก็ตัดสินใจต้มน้ำ ทำมาม่ากินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนมันที่เราเอามาเผานั้น ลืมไปได้เลยชื้นมาก อากาศอีกอย่างเราเช่าเตาเเก๊สปิกนิค มาเราก็เลยจัดเมนู มันต้มเเทน อร่อยหมดทุกอย่างครับ คงเป็นเพราะความหิวเเละความหนาวประกอบกัน เเน่ๆ


พออิ่มหนำกันสักพักเเล้ว เรากบเพื่อนก็ไปเเปรงฟัน เข้าห้องน้ำ ก่อนกลับมานอน ที่เต้นเวลาประมานสามทุ่ม โดยพกถังน้ำกับขันที่เช่ามาไปด้วย พอกลับถึงเต้นทุกคนก็ขดตัวอยู่ในถึงนอนอันเเสนอุ่น ผมก็เอาเสื้อกันหนาวตัวหนาอีกตัวใส่ก่อนนอน เพราะคาดว่าเช้านี้ต้องหนาวเเน่ๆ ก่อนผมจะเข้าเต้นก็คิดว่า ฟ้าปิดงี้ไม่เห็นเเน่ดาวบนฟ้า ทันไดนั้น มีเสียงคนนอกเต้น คุยกันอย่างต่อเนื่องว่า เห้ย มืงออกมาดูดาวดิ ดาวเยอะมาก เพื่อนผมกำลังจะหลับ ส่วนผมกลับตาโต ด้วยความที่อยากจะลองถ่ายรูปดาว ด้วยความเป็นมือใหม่มากๆ ไม่มีหรอกขาตั้งกงตั้งกล้อง ก็เลยออกมาจากเต้นท์เเละก็ไปลองถ่ายมาได้ภาพอย่างที่เห็นครับ


วันสุดท้ายเราตื่นกันประมาณ หกโมงกว่าๆ ก็เลยจะเดินไปดูวิวรอบๆ ซะหน่อย ข้างหลังที่ทำการอุทยานข้างบน เป็นทางไปหลักเขตเเดน เเละก็จุดชมพระอาทิตขึ้น ซึ่งเช้าวันนี้อากาศสดใส ฟ้าเปิด เราก็เลยไปถ่ายรูปเล่นกัน หน้าเขาที่เป็นจุดสูงสุดของภูสอยดาว ซึ่งเต็มไปด้วยต้นสนมากมาย บรรยากาศเช้าๆ ดีมาก ไม่หนาวนัก เย็นกำลังดี


จากนั้นเราก็กลับมาเก็บของ จ้างลูกหาบ เเล้วก็เดินลง วันนี้อากาศดีมากครับ จากหมอกบดบังทุกสิ่ง กลายเป็นฟ้าเปิด เเสงตะวันสาดส่องลงมา


พอถึงต้นทางลง ก็พบกับวิวอันน่าตะลึง เพราะเมื่อวานเป็นหมอกปกคลุม ไม่เห็นอะไรเลย วันนี้ เราก็เห็นภูเขาที่มีทะเลหมอกปกคลุมอยู่ นับว่าคุ้มเลยครับครั้งนี้เหมือนมาทีเดียวได้เที่ยวสองฤดู สองบรรยากาศ


พอลงมาถึงข้างล่าง เราก็อาบน้ำกินข้าว ออกจากอุทยานมาสถานีขนส่ง พิษณุโลกใหม่ เเล้วก็นั่งรถบัสกลับกรุงเทพ การเดินทางครั้งนี้ผมใช้เงินไปประมานสองพันกว่าบาท นับว่าคุ้มค่ากับความเหนื่อยที่ได้เดิน ได้เรียนรู้ได้ประสบการณ์ที่ดี ได้มิตรภาพที่ดี ขอเเค่คุณกล้าที่จะออกจากบ้าน ไปที่ไหนก็ได้ ที่ได้สัมผัสธรรมชาติ ไม่ว่าไปกับใคร ไปกับเพื่อน ไปคนเดียว หรือไปเป็นเเก๊ง ก็สนุกไปอีกเเบบ คงไม่มีใครบอกเราได้ว่าการไปเที่ยวให้อะไรไปมากกว่าตัวเราเอง เเต่ธรรมชาติก็คงเป็นสิ่งที่ช่วยให้จิตใจสดชื่น อยู่กับตัวเอง ฟังความคิดของตัวเอง รู้จักเพื่อน รู้จักตัวเอง รู้จักธรรมชาติ ออกไปเที่ยวกันเถอะครับ เเล้วคุณจะพบว่ามันดีต่อใจจริงๆ

เที่ยวเอง . . เขียนเอง

 วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 23.28 น.

ความคิดเห็น