ผมเชื่อว่าในยุคปัจจุบันไม่ว่าใครคนไหนก็แล้วแต่ จะต้องมีความชอบเที่ยวซ่อนอยู่ในตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ หรือแม้แต่ท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อน ชาร์ตพลังให้กับตัวเอง
แต่มาวันนี้การท่องเที่ยวที่จะไม่ได้เป็นแค่การท่องเที่ยวเพื่อตัวเองอีกต่อไป
เพราะในทุกการท่องเที่ยวจะมีส่วนในการมอบรายได้คืนกลับชุมชน และทำให้มีการสร้างงาน,สร้างอาชีพในชุมชนอีกด้วย
ทริปนี้เป็นทริปที่ผมได้ออกเดินทางร่วมกับทาง Local Alike
ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วเป็นทัวร์ที่เน้นการท่องเที่ยวแบบสัมผัสชีวิตของชาวบ้านอย่างลึกซึ้งเลยที่เดียว
และรายได้ส่วนหนึ่งของ Local Alike ก็ยังจะมอบคืนกลับให้แก่ชุมชน เพื่อไปพัฒนาในด้านอื่นๆอีกด้วยครับ
ทริปนี้ของเราจะเดินทางกันไปที่บ้านหล่อโย จ.เชียงราย ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวอาข่า
ที่เปิดรับบุคคลภายนอกให้เข้ามาเรียนรู้ และสัมผัสถึงชีวิตของชาวอาข่าครับ
จุดเริ่มต้นของเราเริ่มที่สนามบินเชียงรายเลยแล้วกันนะครับ.. ที่นี้เป็นสนามบินที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
รถเข็นกระเป๋า จอดไว้อย่างเรียบร้อย
จากสนามบินเชียงรายไปยังหมู่บ้านหล่อโยนั้น จะใช้เวลาไม่นานครับประมาณ 1 ชั่วโมง เศษๆ เราก็มาถึงบ้านหล่อโยแล้ว
ที่พักของเราในวันนี้ชื่อ "บ้านดินอาข่าดอยแม่สลอง" (Akha Mudhosue Maesalong)"
ภาพแบบ 360 องศา https://goo.gl/Glya2g
ซึ่งเจ้าของก็คือ คุณโยฮันเป็นชาวอาข่าแท้ๆ 100% ที่ต้องการจะสร้างรายได้ให้กับชุมชน
โดยที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของความเป็นชาวอาข่าไว้ โครงการบ้านดินอาข่าดอยแม่สลองจึงได้เกิดขึ้น
เมื่อมาถึงแล้วเพื่อนๆอาจจะได้เจอพนักงานต้อนรับอีกหนึ่งตัว ที่จะมาคอยต้อนรับเราอย่างอบอุ่นด้วยนะครับ
เจ้านกเอี้ยงตัวนี้แหละครับ ฉลานแสนรู้ ขี้แกล้ง กินได้หมดทุกอย่าง
ซึ่งในการสร้างบ้านดินวัสดุส่วนใหญ่ก็ล้วนได้มาจากชุมชนเช่น
เอาไม้ไผ่นำมาทำเป็นโครงผนังและประตู แกลบนำมาผสมดิน ขวดสีต่างๆใช้แทนบล็อคใส
เวลคัมดริ๊งของที่นี้คือ ชามะลิ ซึ่งชาวบ้านของที่นี่เค้าปลูกกันเอง
นี่ครับห้องพักอย่างที่บอก โครงผนังนั้นทำมาจากไม้ไผ่สานผสานกับแกลบและก็ดิน
ส่วนขวดสีต่างๆก็เอามาประดับตกแต่งห้องใช้แทนแก้วบล็อคใส
ผมก็เพิ่งเคยพักบ้านดินครั้งแรก..ไม่น่าเชื่ออากาศในบ้านดินเย็นอย่างรู้สึกได้ทั้งๆที่ด้านนอกร้อนนนนนเหลือเกิ๊น
ด้านในห้องน้ำสะอาดเรียบร้อย อุปกรณ์อาบน้ำมีให้พร้อม
มุมด้านนอกห้องพักสวยชิมิ
การตกแต่งของที่พักก็นำข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในชีวิตประจำวัน ก็นำมาประดับ
นอกจากนี้ภายในที่พักก็ยังมีผลิตภัณฑ์จากชุมชนที่ชาวบ้านทำเอง มาวางจำหน่ายด้วย
มีทั้งหมวก กำไล สร้อยข้อมือพวงกุญแจ
จากนั้นพี่โยฮันก็ได้สอนพวกเราเกี่ยวกับการละเล่นของชาวอาข่า (เป็นไง..เที่ยวกันแบบลึกซึ้งไปเลย)
อันแรกเป็นการเล่นลูกข่างครับ ไม่ยากไม่ง่าย คนที่เคนเล่นลูกข่างมาแล้วจะได้เปรียบหน่อยๆ
ความเท่ห์ของมันอยู่ที่ท่าโยนครับ
ต่อไปเป็นไม้เขาะเนาะ หรือเล่นต่อขาครับ ที่ให้เราไปยืนบนไม้ไผ่อ่ะ
ตอนแรกคิดว่าง่าย...ที่ไหนได้แค่ยืนนิ่งๆยังทำไม่ได้เลย
พี่โยฮันเลยโชว์ให้เราดูสักหน่อยว่าโปรๆแล้วเค้าเล่นกันแบบนี้
ต่อไปคือรถไม้ หรือแรลลี่ชาวดอย บังคับโดยการใช้ขาถีบซ้ายขวา สนุกดีเหมือนกัน
เสร็จจากการทดลองเล่นแบบชาวอาข่าแล้ว เราจะไปเดินเพื่อเรียนรู้ชุมชนกันครับ
จุดเด่นอีกอย่างนึงของหมู่บ้านหล่อโยก็คือที่นี้จะมีการปลูกพืชต่างๆ ทั้งมัลเบอรี่ ฝรั่ง เชอรี่
กันแทบทุกบ้าน ซึ่งเราสามารถเด็ดชิมได้เลย..ชาวบ้านที่นี่ไม่หวงครับ แต่เด็ดแค่พอทานนะ....^_^
ซึ่งน้องที่มาเป็นไกด์ให้เราก็สนุกกันใหญ่
และในระหว่างการเดินเรียนรู้ชุมชนเราก็จะได้เจอ ของที่ระลึกจากฝีมือชาวบ้าน
ก็อย่าลืมซื้อหาเป็นกำลังใจให้กับชาวบ้านด้วยนะครับ
ในการเดินเรียนรู้หมู่บ้านครั้งนี้ทำให้เราทราบว่า หลายอย่างจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไป
อย่างเช่น บ้านดั้งเดิมของชาวอาข่านั้นจะใช้หญ้าคาทำมาเป็นหลังคา ซึ่งจำเป็นจะต้องเปลี่ยนทุกๆ 4 ปี
แต่ในการที่จะใช้ประโยชน์จากหญ้าคานั้นจำเป็นต้องเผาทุกปี
เพื่อกระตุ้นให้หญ้าคาเจริญเติบโตในปีต่อๆไป ทำให้เกิดปัญหาหมอกควันในบริเวณนี้อยู่ตลอด
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนจากหลังคาเดิมเป็นหลังคาสมัยใหม่
เสร็จจากการเดินเรียนรู้ชุมชนพี่โยฮันได้พาเราไปเล่นน้ำตรงลำธารใกล้หมู่บ้าน
เสียดายที่ไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยน ไม่งั้นโดดลงไปเล่นน้ำด้วยแล้ว
กลับมาจากการเล่นน้ำ คราวนี้เราจะได้ลองทำกับข้าวของชาวอาข่าดูบ้าง..
ซึ่งการทำกับข้าวในครั้งนี้เราจัดเต็มแน่นอนครับ..
แม้แต่ชุดยังต้องไปเปลี่ยนให้เต็มยศเลย
วัตถุดิบต่างๆทั้งภาชนะ อาหาร ผัก ข้าว ก็ล้วนแต่เป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชนนี้ทั้งนั้นเลยครับ ปลูกเองกินเอง
อีกหนึ่งไฮไลท์ของทริปบ้านหล่อโยก็คืออาหารนี้แหละครับ...
แค่รูปร่างหน้าตาของภาชนะที่ใส่มาก็เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร
รสชาติอาหารโดนใจแน่นอน ข้าวที่นี่จะเหนี่ยวๆนุ่มๆเหมือนข้าวญี่ปุ่นเลยครับ คีบกินง่าย
บรรยากาศยามเย็นของบ้านดินอาข่า
ก่อนนอนคืนนี้พี่โยฮันก็มีของดีมาฝากเราอีกเช่นเคย เหล้าอะราบิคก้า ไม่มีขายแต่ให้ชิมฟรี
ผมก็ถามแกนะครับว่าทำไมถึงไม่ขายล่ะ แกตอบกลับมาว่า
ถ้าขายก็ได้เงินกลับมา แต่ถ้าให้ฟรีสิ่งที่ได้คือใจ ครับ....อึ้งไปเลยเรา....
หลังจากยกไปหนึ่งจอก...ผมก็ทนความร้อนแรงของเหล้าอะราบิคก้าไม่ไหวเลยขอตัวพี่โยฮันไปนอนก่อน
เราเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยความสดชื่นครับ เจ้าอะราบิคก้าเมื่อคืนไม่ได้ทำให้เรามีอาการแฮงค์แต่อย่างใด
วันนี้พี่โยฮันพาเราเข้าไปชมบ้านที่ที่แกอยากจะทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติและความเป็นมาของชาวเขาเผ่าอาข่า
ทางเข้าบ้านนั้นทำเป็นซุ้มมีรูปปั้นแกะสลักวางอยู่โดย เราเรียกว่าประตูผีครับ
ซึ่งจำลองมาจะประตูทางเข้าหมู่บ้านในสมัยก่อน ที่มีความเชื่อกันว่าประตูนี้จะกันไม่ให้ภูตผีต่างๆเข้ามาในหมู่บ้านได้
ด้านในบ้านนี้อยู่ในระหว่างการรวบรวมสิ่งต่างๆของชาวอาข่าอยู่ครับ อีกไม่นานก็คงสมบูรณ์
จากนั้นพี่โยฮันก็พาเดินมาอีกด้านนึงของหมู่บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสวน เป็นไร่ของชาวบ้าน
น่าเสียดายที่ช่วงนี้มันแล้งซะแล้วถ้าเป็นหน้าฝนก็จะสวยกว่านี้
เมื่อกลับมาถึง บ้านดินอาข่าดอยแม่สลอง ก็ปรากฎว่า อาหารมื้อเช้ามาตั้งรอเราเรียบร้อยแล้วครับ
มื้อนี้เป็นข้าวต้มและไข่เจียวสมุนไพร
จากนั้นก็จะเป็นการหัดทำ เครื่องประดับของชาวอาข่ากัน ซึ่งรูปแบบนั้นก็มีทั้งยากและง่าย
แล้วแต่ความถนัดในการเย็บปักถักร้อยของแต่ละคนครับ ซึ่งวัสดุที่ใช้ทำเครื่องประดับของชาวอาข่านั้นมักจะเป็น
ลูกปัด เมล็ดพืชต่างๆ และก็เครื่องเงินครับ
พูดถึงเครื่องเงินนี่คือเข็มขัดของชาวอาข่าซึ่งทำมาจาก เหรียญบาทในสมัยก่อน บางเหรียญอายุมากกว่าผมซะอีก
นี่คือเหรียญแทนตัวชาวเขาที่พี่โยฮันเอามาให้ดูครับ เลขในเหรียญนี้จะไม่ซ้ำกันนะครับ
เนื่องจากในสมัยก่อน พวกพี่ๆเค้ายังไม่มีบัตรประชาชน ก็จะมีเหรียญนี่แหละครับแทนตัวว่าใครเป็นใคร
พอถึงช่วงสายๆได้เวลาอันสมควรเราก็อำลาจากบ้านดินอาข่าดอยแม่สลองแห่งบ้านหล่อโย เดินทางขึ้นดอยแม่สลองกันครับ
จุดหมายต่อไปของเราคือการไปล่าขาหมูยูนานกัน ของดีแห่งดอยแม่สลองใครมาแนะนำเลยว่ามาต้องลองมาชิมสักครั้งนึง
ร้านที่เราไปชื่อว่า"ผิงผิงโภชนา" ร้านอยู่บนดอยแม่สลองใกล้ๆกับหลักกิโลใหญ่ๆ
มาที่นี้เราจึงของทางร้านสั่งอาหารยอดนิยม 5 อย่าง
ที่มีชื่อเรียกว่า 5 เทพแห่งดอยแม่สลอง(อันนี้ตั้งเอง) ได้แก่
ขาหมู+หมั่นโถว ยำใบชาสด หมูน้ำค้าง เห็ดหอมอบซีอิ๊ว ผัดปวยเล้ง
ขาหมูหมั่นโถวนั้น เสิร์ฟมาจานใหญ่ เนื้อหมูนุ่มหนังหมูนิ่มราวกับเยลลี่จานนึงกินได้ห้าคนอ่ะครับ
ยำใบชาสด...รสจัดมากกกกกก...ใครไม่ทานเผ็ดร้องแน่นอน
หมูน้ำค้าง...กรุบกรอบรสชาติเค็มๆหน่อย
เห็ดหอมอบซีอิ้ว..หน้าตาดูดำๆแห้ง...แต่อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ
ผัดปวยเล้ง..เหมาะกับคนชอบผัดผัก รสชาติคล้ายผัดฟักแม้ว
มาดอยแม่สลองทั้งทีจะพลาดการชิมชาได้อย่างไร จุดหมายต่อไปของเราคราวนี้จึงเป็นไร่ชา 101 แห่งดอยแม่สลองครับ
ไร่ชา101 เป็นไร่ชาที่คว้ารางวัลชนะเลิศในการประกวดสุดยอดชาโลก
ชาที่ไม่ควรพลาดคือ (พันธุ์อัสสัม, ชิงชิง, เบอร์12, ก้านอ่อน)
สามารถลองชิมชาได้ฟรีนะครับ ชมเสร็จเราก็เดินชมไร่ชากันสักหน่อย
เสร็จจากไร่ชา 101 ก็ได้เวลาลงดอยกันแล้วครับ จุดหมายต่อไปของเราคือ บ้านดอยดินแดง
แหล่งผลิตงานเซรามิก ในด้านศิปะ ที่ใช้คำว่าในด้านศิลปะ เพราะงานของที่นี่นั้น
ทำจากมือทุกชิ้น ไม่มีการหล่อ พิมพ์ ปั๊ม วัสดุที่ใช้ทำลวดลายที่เกิดขึ้นล้วนมากจากธรรมชาติทั้งสิ้น
อื้อหืม...งานอาร์ตขนาดนี้สงสัยแล้วสิว่าเจ้าของที่นี้คือใคร
เจ้าของบ้านดอยดินแดงนั้นคือ อ. สมลักษณ์ ปันติบุญ ท่านเป็นศิลปินเซรามิคชาวเชียงราย
ที่กลับมาทำความฝันของตัวเองบนแผ่นดินเกิด
นี่คือผลงานของท่าน อ. สมลักษณ์ ปันติบุญ เองครับ งานของท่านนั้นจะมีกลิ่นอายของนิกายเซนอยู่มากที่เดียว
ที่สุดท้ายของทริปนี้เราไปกันที่ สวรรค์บนดินฟาร์ม แอนด์ โฮมสเตย์ จุดเด่นของที่นี้คือ
เครื่องดื่มสมุนไพรแบบ infusion ซึ่งมีสรรพคุณที่ดีถึงขนาดว่าทำให้ผู้ป่วย
ที่เดินเหินไม่ได้กลับมาเดินได้อีกครั้งเลยล่ะ...
ผู้ป่วยที่ว่านี่ก็ไม่ใช่ใครอื่นเป็นคุณพ่อของเจ้าของ สวรรค์บนดินฟาร์ม แอนด์ โฮมสเตย์ นั่นเอง
จุดกำเนิดของ สวรรค์บนดินฟาร์ม แอนด์ โฮมสเตย์ น่าประทับใจๆพอกับตัว เครื่องดื่มสมุนไพร
คุณโต ผู้เป็นเจ้าของสวรรค์บนดินฟาร์ม แอนด์ โฮมสเตย์นั้นเป็นคนเชียงรายแต่กำเนิดแต่ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพ
ต่อมาคุณพ่อของคุณโตป่วยเป็นภาวะลิ่มเลือดอุดตันในสมองไม่สามารถเดินเหินได้อย่างปรกติ
ทั้งครอบครัวตัดสินใจกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดในจังหวัดเชียงราย
และคุณโตก็ได้ไปเรียนรู้เกี่ยวกับการชงกาแฟ ชงชา และการปลูกพืชสมุนไพรต่างๆ
จึงลองนำความรู้ที่ได้มาทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพร
และได้ให้คุณพ่อดื่มสมุนไพร จนอาการป่วยทุเลาลง เดิมเดินได้คล่องแคล่วขึ้น พูดได้เหมือนปรกติ
นี่จึงเป็นเรื่องราวที่มาของ สวรรค์บนดินฟาร์ม แอนด์ โฮมสเตย์ ครับ
เครื่องดื่มที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาที่นี่เลยคืออัญชันลาเต้ครับ
ความหอมอ่อนของดอกอัญชันผสมกับความนุ่มของนมได้อย่างลงตัวที่เดียว
นอกจากนี้ที่นี้ยังมีขนมปังโฮมเมดให้ลองชิมด้วยนะครับ
นอกจากเครื่องดื่มสมุนไพรแบบ infusion แล้ว ที่นี้ก็มีบริการบ้านพักแบบโฮมสเตย์ด้วย
แต่มีห้องไม่มากครับ มีเพียง 4 ห้องเท่านั้นเอง
จากเราได้คุยกับกับคุณว่าโตว่าเค้ามีโครงการจะทำน้ำสมุนไพรเฉพาะบุคคล
คือเป็นการสอนทำน้ำสมุนไพร ทั้งสี กลิ่น รส เพื่อให้เหมาะกับบุคคลคนนั้นไปเลย
ซึ่งเป็นโครงการที่โครงการที่น่าสนใจมากครับ ตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างปรับปรุงสูตรการสอนอยู่
จากนั้นพวกเราก็ได้ขอตัวคุณโตเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพ...
สิ่งที่ได้จากการเดินทางเเบบลึกซึ้งในครั้งนี้ทำให้ผมได้รู้ว่า แรงบันดาลใจเป็นสิ่งสำคัญ
สมกับเป็น เส้นทาง "เหนือฝัน ล้านแรงบันดาลใจ"จริงๆครับ
ทุกๆที่ที่ผมได้ไปในทริปนี้ไม่ว่าจะเป็น "บ้านดินอาข่าดอยแม่สลอง" ที่บ้านหล่อโย,
บ้านดอยดินแดง, สวรรค์บนดินฟาร์ม แอนด์ โฮมสเตย์ ก็ล้วนแต่มีแรงบันดาลใจ
ที่จะทำฝันตัวเองให้เป็นจริงและตอบแทนคุณแผ่นดินตัวเองเกิดมา
มันทำให้ผมได้คิดว่าเมื่อกลับไปผมพอที่จะทำอะไรให้กับชุมชนและผู้คนรอบตัวของผมบ้าง
ขอบคุณเพื่อนๆร่วมทริปทุกคน
ขอบคุณ Local Alike ที่ได้สร้างสรรค์ทริปดีๆแบบนี้ขึ้นมา
ถ้าเพื่อนๆอยากรู้ว่าทริปแบบนี้มีที่ไหนน่าเที่ยวบ้างสามารถเข้าไปดูได้ที่
https://www.facebook.com/LocalAlike
สุดท้ายขอบคุณผู้อ่านทุกคนนะครับ...แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้าน๊าาาา
Wefoto
วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 09.01 น.