ทริปนี้น่าจะเป็นทริปแรกที่เราตั้งใจชวนสมาชิกไปด้วยกันให้ครบ 20 คน และก็น่าจะเป็นทริปแรกที่เปิดรับแล้วมีคนให้ความสนใจเรียกว่าล้นหลามและเต็มภายในเวลาไม่นาน แต่กว่าจะถึงวันเดินทางก็มีสมาชิกหลายคนถอนตัวไปแต่ก็หาคนมาแทนได้ทัน เป็นแบบนี้จนกระทั่งก่อนวันเดินทางเพียง 2 วัน เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นจนได้ มีคนถอนตัวพร้อมกันสองคน โดยไม่รู้สาเหตุ ไม่บอกใดๆ ไม่รับผิดชอบกับสิ่งที่คนจัดจะได้รับ สุดท้ายความเครียดก็มาตกอยู่ที่เราอีกเช่นเคย รถที่เตรียมไว้ คน และสถานที่ที่ติดต่อไว้รู้ใช่ไหมว่าทุกอย่างมันมีค่าใช้จ่าย ครั้งนี้เป็นครั้งที่เคยคิดว่าทำไปทำไมสุดท้ายก็เข้าเนื้อ มีแต่หาเรื่องใส่ตัวเองทั้งนั้น เราหวังเพียงแค่ได้ไปเที่ยวและทำประโยชน์ด้วยกันกับเพื่อนๆ ไม่ได้จัดเป็นทัวร์ และไม่มีผลกำไร ตอนนี้ใจล้วนๆ สนองความอยากทำสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้น และก็ขอบคุณอีกหลายๆ คนที่เข้าใจ และให้กำลังใจกัน จนลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ตั้งใจจะทำให้มันออกมาดีที่สุด เราพยายามบอกทุกคนที่มาร่วมทริปด้วยกันเสมอว่าไปกับเราไม่สบาย ไม่ได้เที่ยวอย่างเดียว แต่ต้องไปทำประโยชน์ที่เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะดีมากน้อยแค่ไหน แค่คิดว่าก็ดีกว่าไม่ทำอะไร นั่นแหละ อาสาเที่ยว ที่เราพยายามทำอยู่



“เรา คิด ว่า เรา ค้น พบ แนว ทาง ของ เราแล้ว"

“อา สา เที่ยว แค่ อยาก ให้ คน ไป เที่ยว ได้ อะไร มาก กว่า แค่ ไป เที่ยว"

การเดินทางครั้งนี้เรายังคงนัดหมายกันที่เดิม เรียกว่าแทบจะเป็นที่ประจำไปละสำหรับการเพื่อรวมกลุ่มเจอกันก่อนออกเดินทาง ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่เรามาถึงคนแรก เดินวนไปวนมาจนหาโต๊ะนั่งได้แล้ว มีผู้คนแบเเป้เดินเข้ามาที่นี่อยู่เรื่อยๆ ซึ่งเรากลับไม่คุ้นหน้าใครเลย แต่ก็มีคนเดินมาเหมือนจะทักเราเหมือนกันนะ เราก็มองหน้าและพยายามคิดแล้วนะ ไม่เห็นคุ้นหรือรู้จักสักนิด เขาก็ยิ้มๆ แล้วก็เดินไป เอ้า!!! งงกว่าเดิม ในขณะที่เรานั่งกินข้าวรอ สมาชิกก็ทยอยมาถึงทีละคน ทั้งที่อยู่กรุงเทพฯ มาจากใต้ ฝั่งอีสานก็มี ซึ่งตอนนี้ขาดแค่โอ๊คคนจัดกับรถตู้ที่กำลังมา บอกว่ารถติดมากค่อยๆ เคลื่อนมาทีละนิดๆ กว่าพวกเราจะได้ออกจากที่นี่ก็มากดึกละ เราทยอยเดินไปขึ้นรถเลือกนั่งกันตามสบาย เราแวะรับสมาชิกแถวๆ รังสิตก่อนที่จะยิงยาวไปจนถึงขนส่งตากเพื่อรับสมาชิกอีกจำนวนหนึ่ง



พี่ไก่คือคนที่เคยออกทริปกับเราและบอกว่าอยากมาด้วย ซึ่งเราก็ลุ้นตลอดว่ายังไงเพราะขนาดวันเดินทางตอนเช้ายังเห็นพี่เขาอยู่อินเดียอยู่เลย แต่สุดท้ายก็มาเจอพี่เขาที่ขนส่งตาก เพราะเขากลัวว่าจะไม่ทันพอลงเครื่องก็ขับรถยิงยาวมาดักเราที่นี่แทน ช่วงเวลาที่เรามาถึงก็ใกล้เช้าทำให้หลายคนตื่นบ้างแล้ว เราแวะกินข้าวที่อำเภอแม่สอด และซื้อของบางส่วนเพิ่มเติมที่นี่ ซึ่งแต่ละคนนอกจากจะกินอิ่มแล้วก็ยังมีของกินติดไม้ติดมือไปอีกคนละอย่างสองอย่าง เราขึ้นรถออกจากที่นี่มุ่งหน้าไปอบต.ท่าสองยาง และก็แวะรับข้าวเที่ยงที่มีคนทำมาส่งระหว่างทางด้วย

กางแผนที่



จากแม่สอดไปอบต.ท่าสองยางระยะทางไกลพอสมควร เราต้องนั่งเมื่อยอยู่บนรถตู้ยาวไปจนถึงอบต.ท่าสองยางตอน 10 โมงกว่าๆ ไปถึงก็รีบขนของลง เร่งจัดกระเป๋าของแต่ละคนให้พร้อม ซึ่งกว่าจะเรียบร้อยก็ใช้เวลาหน่อยเพราะจำนวนคนที่ค่อนข้างเยอะ เราแวะซื้อน้ำหลากชนิดทั้งน้ำเปล่าและน้ำหวาน ระหว่างทางเรียบร้อย และก็ขึ้นรถกระบะไปยังจุดเดินขึ้นดอยทูเล ที่บ้านแม่จวาง จุดที่ลูกหาบรออยู่ แต่ละคนจะแบกได้ 25-30 กิโล นอกจากแบกของแล้วลูกหาบสามารถช่วยเหลือพวกเราได้หลายอย่างเช่น ก่อกองไฟ หุงข้าว แล้วอย่าลืมทำกับข้าวเผื่อพวกเขาด้วยนะ เราเริ่มเดินกันอีกทีตอน 11 โมงกว่าแล้ว แดดตอนนี้แรงใช้ได้ แม้ว่าจะใส่หมวก เอาผ้าคลุมหน้าป้องกันอย่างดีแล้วก็ตาม ทุกคนเริ่มเดินนำหน้าเราไปก่อน เพราะครั้งนี้เราบอกตัวเองว่ายังไงก็เดินให้เร็วกว่านี้ไม่ได้แน่ๆ อาจจะต้องถึงเป็นคนสุดท้ายก็ทำใจไว้ก่อนไปละ เพราะที่เท้าเพิ่งไปจี้ตาปลามา เป็นสิ่งที่เราไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นเพราะเดินป่ามานานละ ไม่เคยรู้จักเลยว่ามันเป็นยังไงจนกระทั่งก่อนวันเดินทางเกือบเดือน ไปหาหมอและหมอบอกกว่าเป็นตาปลาให้ยามาหยอดก็รู้สึกว่ามันไม่ทันใจ ไม่ดีขึ้นเลย ยิ่งหยอดยิ่งเจ็บ ก็เลยไปหาอีกรอบและขอให้หมอจี้ออกเลย ซึ่งเราคิดเองว่ามันน่าจะหายทัน แต่พอถึงวันเดินทางแผลยังคงไม่แห้ง และยังต้องล้างแผลทุกวัน เราก็ทำได้แค่เพียงเตรียมอุปกรณ์ล้างแผลไปให้พร้อมเป็นอย่างดี เพราะประเมินตัวเองแล้วน่าจะไม่มีปัญหาในการเดิน จากการใส่รองเท้าผ้าใบทำให้สามารถเดินได้ปกติ ไม่ได้รู้สึกเจ็บแผลแต่อย่างใด จะไปแบบไม่เป็นภาระคนอื่นแน่นอน



นาข้าวที่ตอนนี้ถูกเก็บเกี่ยวไปจนเหลือแต่ตอ เป็นภาพเดียวที่นึกออกในตอนนี้ เกี่ยวกับม่อนทูเล เราต้องเดินฝ่าแดดที่ร้อนและแรงโดยปราศจากร่มเงาใดๆ ไปในระยะทางที่ทำให้หลายๆ คนก็ดูเหมือนจะออกอาการแล้ว โดยเฉพาะตัวเราเองที่ไม่ชอบการเดินป่าแบบนี้เลย มันทรมานเกินไป ให้เดินตากฝนซะยังดีกว่า แฉะๆ แต่ก็ชุ่มชื่น เย็นฉ่ำ

ทีละก้าว ทีละก้าว



ดอยทูเล หรือม่อนทูเล หรือ “ทูเลโค๊ะ" เป็นชื่อที่ชาวปกาเกอะญอเรียกขานกัน มีความหมายคือ “ภูเขาสีทอง" ตั้งอยู่ในเขตบ้านแม่จวาง ต.ท่าสองยาง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก เป็นภูเขาที่มีระดับความสูง 1,350 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ทอดตัวขนานกับแม่น้ำเมย เส้นกันพรมแดนระหว่างไทยกับพม่า สามารถขึ้นดอยทูเลได้ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน – มีนาคม ของทุกปี



ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่เรากลับมาหลังจากครั้งแรกที่มาเมื่อหลายปีก่อนและไม่มีความประทับที่นี่เลย เพราะครั้งนั้นเจอไฟป่าเพิ่งไหม้ตลอดเส้นทางเหม็นควันไปตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ทำให้ครั้งนี้ที่เรามาเดินบอกเลยว่าแทบจะจำอะไรไม่ได้เลยว่าจะเจออะไรระหว่างทางบ้าง รู้แค่เพียงต้องเดินขึ้น ขึ้น และขึ้น หลังจากที่เดินตรงทุ่งนาไปได้ไม่ไกลก็เลี้ยวขวาตัดผ่านลำธารเล็กๆ เพื่อไปเดินขึ้นทางนั้น ตอนนี้เห็นทางตรงหน้าแล้วว่าจะต้องเจอกับอะไร ทางชันทางที่เมย์ไม่ชอบมากที่สุด ทำให้เดินเป็นคนปิดท้ายไปโดยปริยาย หลายคนนำหน้าเราไปไกลพอสมควรแล้ว เราก็เดินไปแบบไม่เร่งไม่รีบ ยังไม่ได้ผ่านเนินแรกเลยน้ำหวานใส่น้ำแข็งเย็นๆ ก็ถูกดื่มไปจนจะหมดถุงละ จิบไปตลอดทาง ตอนนี้หลายคนเริ่มหยุดพักจนทำให้เราเดินแซงไปแต่ก็ไม่ได้ทิ้งห่างกันเท่าไร ทางชันก็เดินเรื่อยๆ ไม่รีบ ไม่เร่งอยู่แล้ว เรียกว่าต้องขอเดินไปแบบเสต็ปเต่าเดินช้าๆ แต่เดินเรื่อยๆ แล้วกันในช่วงนี้



ด้วยจำนวนคนที่มากในการเดินก็เลยเหมือนถูกแบ่งออกเป็นหลายๆ กลุ่ม ใครเดินเร็วก็นำไป ใครช้าก็พยายามเกาะกลุ่มไม่ให้กระจัดกระจายเกินไป ลูกหาบเดินสลับแซงไปบ้างในบางช่วง เราเริ่มมองไม่เห็นกลุ่มหน้าในบางช่วงที่เดินตัดเลี้ยวไปจนเขาบัง แต่เราก็ไม่สามารถเร่งให้เร็วไปกว่านี้ได้ แต่ก็ไม่เป็นไรทางที่เราเดินเห็นชัด และยังคงมีลูกหาบเดินปิดท้าย ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทางแน่นอน

ทางยังคงเป็นทางชันแต่ก็ยังดีที่มีเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวามีวิวหลากหลายให้ได้ดูบ้าง แต่หลายช่วงก็เป็นทางชันตรงยาวแบบไม่รู้ว่ายอดจริงๆ มันอยู่ตรงไหนกันแน่ เป็นช่วงที่เหนื่อยจนไม่สนใจทั้งคนรอบข้างและวิวทิวทัศน์ใดๆ เพราะกลัวว่าตัวเองจะงอแงแล้วเป็นภาระคนอื่น พอเห็นคนข้างหน้าเดินไปไกลจนรู้สึกว่าระยะห่างมากเกินไปก็จะพยายามฮึดเดินให้ไวกว่าเดิมแต่ก็จะไม่ทรมานตัวเองจนเกินไป กลัวแผลอักเสบก็จะเรื่องใหญ่ไปอีก



จากตรงนี้เรายังต้องเดินกันต่อไป สู้กับทางขึ้น และชันแบบนี้ไปเรื่อยๆ หลายคนก็ออกอาการให้เห็นขัด แต่ทุกคนก็พยายามไปด้วยความเร็วของตัวเอง จนในที่สุดก็เจอป้ายชี้ทางไปดอยทูเล และทำให้หลายๆ คนยิ้มได้ เพราะ หลังจากนี้จะมีทางลง และทางเรียบสลับให้ขาไม่ล้ากับการเดินขึ้นมาอย่างยาวนาน

พอรู้ว่าทางไม่ชันเหมือนช่วงแรกแล้ว บางคนก็เริ่มสนใจสิ่งรอบข้าง ดูนู่น ดูนี่ สำรวจไปเรื่อย อะไรที่กินได้ก็เก็บอย่างมะขามป้อม และก็เก็บกันมาตลอดทาง แต่บางคนก็ถึงขั้นเขย่าต้นกันเลยทีเดียว ป่าช่วงนี้ก็โปร่งๆ แดดส่องไม่ถึงเรา เพราะร่มไม้บังให้หมด แต่เสียดายลมน้อยไปหน่อย ก็เลยรู้สึกอบอ้าวกันในบางช่วง เราเดินจนมาถึงช่วงที่เป็นป่าไผ่เยอะๆ และทางเริ่มเป็นทางลงมากกว่าเดิม เราเดินมาเรื่อยๆ ก็มาเจอลำธาร และตอนนี้กลุ่มเราที่เดินมากลุ่มหน้าหลายคนเริ่มหิวแล้ว เราก็เลยพักกินข้าวเที่ยงกันที่นี่และรอกลุ่มหลังไปด้วย



เราเลือกนั่งกันแบบว่าตามใจกันเลยเพราะทุกคนมีข้าวห่อกลางวันกันคนละห่ออยู่แล้ว ข้าวกับผัดพริกแกงถั่วพร้อมไข่ต้มกินหมดนี่ก็มีจุกอะ ทำให้เมย์กินไปแค่ครึ่งถุงก็อิ่มแล้ว เรานั่งกินไป คุยไป ใช่สิตอนนี้ทิ้งเป้หมดแล้ว นั่งพักสบายๆ ก็ลัลลา เฮฮากันไป ทุกคนกินจนอิ่มหมดแล้วกลุ่มหลังก็ยังมาไม่ถึง จะให้รอเฉยๆ ก็กลัวจะหลับกันซะก่อน เราก็เลยตกลงกันว่าจะเริ่มทำฝายกันเลย เอาเท่าที่ทำได้ ทำรอไปเรื่อยๆ

น้ำใสไหลเย็นที่ผ่านไม้ไผ่วัสดุในพื้นป่าแห่งนี้ ถูกเก็บและกอกเพื่อเติมน้ำ หลังจากที่เราได้กินข้าวเสร็จ กอกแล้วดื่มเลยหรือจะผสมเกลือแร่ น้ำหวานอื่นๆ ก็ชื่นใจทั้งนั้นเพราะความเย็นของน้ำ ตอนนี้ทุกคนพร้อมแล้วที่จะช่วยกันเริ่มทำฝายอย่างที่ตั้งใจ ซึ่งขั้นตอนแรก พี่ๆ อบต. ก็พาพวกเราเดินเข้าไปข้างหลังลำธารมีกอไผ่ หลายกอ หลากหลายขนาด พี่ๆ ก็ลงมือทำให้ดูก่อน แล้วค่อยทำตาม กว่าจะตัดหักได้แต่ละต้นก็ใช้เวลาพอสมควรเพราะต้นไผ่ต้นใหญ่มาก ต้นไหนโค่นแล้วตัดใบออกก็ช่วยกันแบกออกมากองตรงที่จะทำฝายข้างนอก



การสร้างฝายครั้งนี้พี่ๆ ที่อบต.นำโดยพี่ดอย เป็นการสร้างฝายจากวัสดุธรรมชาติที่มีอยู่ในพื้นที่นั้นๆ เพื่อที่จะป้องกันเมื่อฝายเสียหายในอนาคต มันจะได้ย่อยสลายได้ไม่หลงเหลือเศษวัสดุที่ย่อยไม่ได้อย่างกระสอบปุ๋ยที่เคยทำแบบในอดีต มันก็เข้าท่าดีนะ ตอนนี้ต้นไผ่ถูกตัดมาตามจำนวนที่ต้องการแล้ว หนุ่มๆ แรงดีก็ขนออกมาเรียบร้อยเพื่อทำขึ้นตอนต่อไป พวกเรายังคงสนุกสนานช่วยกันทำคนละไม้คนนละมือ

ต้นไผ่บางส่วนเอาไปวางขวางบริเวณที่น้ำไหลผ่านเป็นเหมือนแกน ทำเป็นกรอบกั้นซ้ายขวา ให้มีพื้นที่ว่างตรงกลาง ส่วนที่เหลือพี่ๆ เขาช่วยตัดแบ่ง ผ่าซีกให้เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อเอามาเสียบขั้นขวางกันขัดเพื่อไม่ให้หินที่ใส่ตรงกลางหลุดได้ง่ายๆ หลายคนช่วยอยู่กลุ่มนี้แล้ว ทำให้กลุ่มคนที่เหลือก็ตั้งแถวยาวลึกเข้าไปถึงในป่าด้านใน เพื่อช่วยกันลำเรียงก้อนหินขนาดต่างๆ ออกมาให้ได้มากพอที่จะใส่เข้าไปในฝายที่เรากำลังทำโครงกันอยู่ในตอนนี้ และทุกคนก็หาหน้าที่ที่เหมาะกับตัวเองได้แล้ว ความสนุกก็เริ่มเกิดขึ้นเช่นกัน มันรู้สึกดีแบบนี้นี่เองทำไปด้วยความสุข ตอนนี้กลุ่มหลังก็เดินมาถึงจุดนี้แล้วเช่นกัน และก็ไม่รอช้าที่จะเข้ามาช่วยทันทีเช่นกัน

เราตั้งเรียงแถวช่วยกันส่งหินไปเป็นทอดๆ พยายามช่วยกันเก็บทั้งก้อนเล็ก ก้อนใหญ่ ก้อนที่เราสามารถเก็บได้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เสียงดังที่สุดด้วย ทั้งเสียงที่คุยกันด้วย และเสียงกรี๊ดด้วย จะดังมาเป็นระยๆ จากกลุ่มที่อยู่ด้านในที่เป็นคนเก็บหินคนแรก เพราะการแงะแต่ละก้อนบางครั้งก็มักจะเจอสัตว์ต่างๆ อยู่ใต้ก้อนหินหลากหลายชนิด และก็ยังมีเสียงหัวเราะสลับบ้างบางเวลา เรายังคงช่วยกันเก็บก้อนหินไปเรื่อยๆ จนได้ปริมาณที่มากพอสมควรแล้ว ในขณะที่อีกกลุ่มก็ทำโครงที่จะใส่หินกั้นเป็นฝายเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

หินที่เราช่วยกันเข้าไปเก็บจากข้างในถูกวางไว้ข้างๆ โครงที่ทำฝาย หลังจากนั้นพี่ๆ อีกกลุ่มก็ทยอยหยิบใส่โครงที่ทำด้วยไม้ไผ่ต้นใหญ่และกั้นด้วยซี่ไม้ไผ่เล็กๆ เพื่อไม่ให้หินก้อนเล็กก้อนน้อยไม่ไหลออกจากโครงที่ทำไว้ และยังใช้หินก้อนใหญ่ๆ เอามาวางด้านข้างกั้นไว้อีกชั้นเพื่อไม่ให้ก้อนเล็กก้อนน้อยอยู่ตรงกลาง

หินถูกใส่ลงไปในโครงไม้ไผ่จนเต็มแล้ว พี่ๆลูกหาบก็มาช่วยตัดเก็บซี่ไม้ไผ่เล็กๆ ที่ยื่นโผล่ออกมาเกินไม่ให้เกะกะเกินไป และเคลียร์รอบๆ ฝายไม่ให้มีใบไม้ กิ่งไม้ มาขวางทางน้ำ และแล้วในที่สุด ทั้งหมดที่เราช่วยกันทำก็เสร็จสิ้นในเวลาที่ค่อนข้างนาน เพราะเริ่มทำกันตั้งแต่ขึ้นตอนแรก แม้ว่าคนจะเยอะก็ตาม แม้ว่าฝายที่เราทำไม่ได้ใหญ่ และค่อนข้างเล็กเมื่อพวกเรามายืนอยู่ข้างๆ เรียกว่าบังมิดกันเลย แต่เราก็สุขใจกับสิ่งที่เราช่วยกันทำ เบิกบานสำราญใจกันไป

หลังจากที่ทำฝายจนเสร็จแล้ว พวกเราก็ล้างไม้ล้างมือและเตรียมตัว แบกเป้เพื่อจะออกเดินทางอีกครั้ง เพราะหนทางยังอีกยาวไกลกว่าจะถึงจุดตั้งแค้มป์ ทางก็ยังคงเป็นทางชันแม้ว่าจะไม่มากเท่ากับที่ผ่านมาแล้วก็ตาม ก็เป็นทางที่เดินท่ามกลางป่าปกคลุม แม้ว่าจะรีบเร่งในการเดินมากแค่ไหนก็ตาม แต่ขาก็ไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจต้องการเลย แต่เราก็ยังเดิน เดิน เดินกันต่อไป แวะพักให้น้อยที่สุดจนในที่สุด เราก็เดินมาถึงจุดที่ต้องเดินขึ้นเขาที่ชันขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เรามองเห็นวิวแล้ว แต่เราก็หยุดแล้วหันมามองเป็นพักๆ เพราะไม่อยากหยุดทางขึ้นแบบนี้นานๆ กลัวว่าจะเป็นตะคริวที่ขา



เราหันกลับไปมองสมาชิกเป็นระยะๆ ก็เห็นทยอยเดินตามกันมาโดยแบ่งแยกออกเป็นหลายกลุ่มอย่างชัดเจน หลายคนโผล่ออกมาจากป่าแล้ว แต่หลายคนยังคงไม่ถึงจุดนี้ เราก็ค่อยๆ เดินตามคนข้างหน้าไปเรื่อยๆ ด้วยสปี๊ดที่ช้ามาก แต่ก็ไม่สามารถเร่งให้เร็วกว่านี้ได้ เท้าข้างที่เป็นแผลก็รู้สึกแปลกๆ รองเท้าที่เปลี่ยนก็ไม่ถนัดเลย กลัวลื่นก็กลัว ต้องเกร็งเท้าตลอดตรงนี้จึงใช้ความพยายามในการเดินอย่างมาก เพราะข้างซ้ายเหมือนต้องทำหน้าที่หลักและหนัก เพราะยังไม่กล้าลงน้ำนักมากๆ ไปที่ข้างขวากลัวแผลอักเสบ

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเจ็บเท้า กลัวลื่น หรือวิวสวย ก็ทำให้เผลอหยุดพักเป็นระยะๆ จนรู้สึกว่าเหมือนตะคริวจะขึ้น ขาข้างซ้ายมีอาการแปลกๆ ที่ก้าวเท้าและลงน้ำหนัก ในใจภาวนาขออย่าให้ตะคริวขึ้นตอนนี้เลย และก็พยายามค่อยๆ ก้าวอย่างช้าๆ แต่ไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยืนนานๆ ก็เลยทำให้เดินแซงหลายคนที่หยุดถ่ายรูปอยู่ตอนนี้ และกลายมาเป็นคนนำเฉยเลย ไม่ใช่เดินเร็วหรอกนะ แต่ตอนนี้คนอื่นๆ ไม่มีใครเดินกันเลย หยุดยืนดูวิว



สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันก็งดงามและคุ้มที่จะยืนดูจริงๆ แต่เมย์รู้ตัวอีกทีก็ขึ้นมาถึงตรงที่มีป้ายแล้ว โดยมีอีกคนสองคนที่ขึ้นมาถึงพร้อมกัน และกลัวว่าแสงจะหายก็เลยรีบเดินต่อไปยังจุดตั้งแค้มป์ และรีบวิ่งขึ้นไปตรงเจดีย์หินเพื่อชมแสงสุดท้าย ซึ่งเป็นแสงสุดท้ายจริงๆ เห็นแค่แวบเดียวก็มืดเลย หลังจากนั้นก็เดินลงมาที่กางเต็นท์ข้างล่าง ซึ่งสมาชิกกลุ่มเราก็ยังมาไม่ครบเลย

ในอีกฝั่งมุมหนึ่งกับอีกกลุ่มที่ยังคงเดินขึ้นไม่ถึงข้างบน แสงก็สาดส่องแดงทั่วไปทั้งภูเขาแล้ว แต่หลายคนก็ยังคงไม่ได้รีบร้อนเพื่อเดินให้ถึงยอดไวๆ ไม่รู้ว่าเหนื่อยหรึออยากชมแสงสุดท้ายที่นี่ แต่หลายคนที่มาที่นี่เป็นครั้งแรกก็น่าจะยังไม่รู้ด้วยแหละว่าถึงยอดนี้แล้วมันต้องเดินไปที่จุดตั้งแค้มป์อีกพอสมควร ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคมากนัก และไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร เพราะกลุ่มนี้ยังเหลือกันอีกหลายคนรวมทั้งหัวหน้าทริปด้วย ทุ่มกว่าๆ สมาชิกทั้งหมดก็มาถึงรวมตัวกันที่จุดตั้งแค้มป์แล้ว



เราช่วยกันหาของกลางอย่างเต็นท์ และของกิน ที่ลูกหาบมาให้ ซึ่งตระกร้าก็วางเรียงรายอยู่หลายใบที่มีของอยู่ในนั้น กลุ่มหนึ่งช่วยกันรื้อแล้วช่วยกันกันกางเต็นท์ อีกกลุ่มจะทำครัว

แต่ละเมนูถูกหลายๆ คน ช่วยกันทำ ช่วยกันที่ว่างก็ช่วยฉายไฟ ทำให้การทำกับข้าวมื้อเย็นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ หรือเอะอะโวยวายก็ไม่รู้เหมือนกัน กลิ่นกุนเชียงลอยมา สลับกับปลาแห้งทอด ตบท้ายด้วยต้มยำปลากระป๋อง โชยมาตามลม ที่ตอนนี้เริ่มพัดแรงขึ้น จนหลายคนออกอาการหนาว มีควันออกจากปากเวลาพูดเป็นระยะๆ และแล้วกับข้างเสร็จ ข้าวที่หุงสุกนานแล้วก็วางอยู่ข้างวงที่เรานั่งล้อมรอกกันเรียบร้อยแล้ว เราแบ่งกับข้าวและข้าวบางส่วนให้ลูกหาบเสร็จแล้วเราก็ลุยกันเลย ไม่รู้ว่าหิวหรืออร่อย แต่ก็ไม่น่าถามเนอะ เพราะกินกันหมดในเวลาอันรวดเร็วมาก



เราแยกย้ายกันไป บางคนไปอาน้ำท้าความหนาวจากน้ำในลำธารที่ยังมีอยู่ปริมาณมากพอที่จะอาบได้ บางคนก็เดินขึ้นไปรับลมและดูดาวข้างบนที่ระยิบระยับอยู่เต็มท้องฟ้างดงามมาก ตอนนี้ดึกมากแล้วหลายคนแยกย้ายไปนอน แต่ก็ยังเหลืออีกหลายคนที่ยังคงท้าลมหนาวนั่งคุยกันอยู่รอบกองไฟข้างๆ เต็นท์

เสียงนาฬิกาดังปลุกตอนตีห้าครึ่ง จนเสียงนาฬิกาเงียบไปแล้วทุกอย่างรอบๆ ตัวยังคงเงียบ จนสักพักก็เริ่มมีคนตื่นและส่งเสียงเรียกกันว่าจะขึ้นไปดูพระอาทิตย์กันไหม คนที่บอกว่าไปใช้เวลาเพียงไม่นานก็ออกมานอกเต็นท์ ด้วยชุดกันหนาวที่มี และอุปกรณ์กล้องที่เตรียมพร้อม จนเกือบจะหกโมงแล้วก็ยังออกมาไม่ครบสึดท้ายกลุ่มแรกก็เดินออกไปก่อน ตามทางที่เดินขึ้นไปตรงเจดีย์หิน ท้องฟ้ายังคงมืดทำให้การมองทางไม่ชัดเจนเท่าไร ทำให้หาทางเลี้ยวเพื่อเดินขึ้นไปไม่เจอ เพราะไม่ว่าเราจะเบี่ยงไปทางไหนก็มีแต่เต็นท์กางขวางไว้หมดเลย จนฟ้าเริ่มจะสว่างบวกกับแสงไฟฉายที่เริ่มมีคนหลายกลุ่มมาช่วยกันฉายก็หาทางเดินขึ้นไปข้างบนจนได้



ทางช่วงแรกๆ ต้องเดินขึ้น เพราะค่อนข้างชันและลื่นมากโดยเฉพาะตรงที่เป็นดินล้วนๆ ไม่มีต้นไม้ปกคลุม ไม่มีอะไรให้จับ ไม่มีเป็นขั้นให้เหยียบ เราก็ต้องค่อยๆ ช่วยกันฉายไฟและค่อยๆ เดินขึ้นไป เหนื่อยและหอบใช้ได้เลย กว่าจะถึงตรงป้ายก็แทบหมดแรง เราขึ้นมาถึงโดยที่พระอาทิตย์ก็ยังไม่ขึ้นเลย หลายคนเดินต่อไปยังเขาลูกหน้าเพื่อให้เห็นวิวที่กว้างขึ้นไม่มีอะไรบัง แต่หลายคนก็เลือกที่จะนั่งรอแสงอยู่ตรงป้าย ซึ่งจุดนี้มีลมพัดแรงมาก ผู้คนก็ทยอยกันขึ้นมาเรื่อยๆ



แสงพระอาทิตย์เริ่มส่องแสงแรกมา และค่อยๆ ขึ้นมาทีละนิดๆ พวกเราก็เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ทุกอย่างส่วงขึ้นจนเริ่มเห็นหมอกขึ้นมาบ้างละ แม้ว่าจะไม่ได้มากจนเป็นทะเลหมอกหนาๆ ก็รู้สึกประทับใจละ จากนั้นแรงก็เริ่มแรงขึ้นๆ เราอยู่ที่นี่อีกสักพักก็เดินลงมาเก็บภาพที่เจดีย์หินก่อนลงไปที่เต็นท์

หลังจากที่เราเดินลงมาข้างล่างตรงจุดกางเต็นท์แล้ว ก็ช่วยกันทำกับข้าวในมื้อเช้า ซึ่งเมนูก็ไม่ต่างจากเมื่อวาน คนหนึ่งหั่นกุนเชียงให้ ส่วนอีกคนเอาไปทอด กระทะที่ว่างๆ อยู่ ก็เอาไปช่วยทอดปลาที่กองไฟอีกกอง เพิ่มต้มปลากระป๋องที่ยังมีเหลืออยู่ มีน้ำพริก แคปหมูมาเพิ่มจากการริ้อค้นในกระเป๋าของแต่ละคน ซึ่งเราใช้เวลาในการทำไม่นานเลยก็เสร็จเรียบร้อย เราล้อมวงนั่งบ้าง ยืนบ้าง เพราะจำนวนคนที่ค่อนข้างเยอะ แต่ก็ไม่มีใครแย่งกัน ช่วยตักให้กันในส่วนที่ตักไม่ถึง ข้าวที่ลูกหาบหุงให้มากพอที่จะทำให้ทุกคนตักเติมได้ถ้าไม่อิ่ม

หลังจากที่กินข้าวเสร็จก็พักพุง ดื่มชากาแฟกันสักพัก แล้วทุกคนก็รีบช่วยกันเก็บของ พับเต็นท์ ซึ่งก็ทำเสร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว เพราะทุกคนรู้หน้าที่และช่วยกันทุกอย่างก็เลยใช้เวลาไม่มาก กองไฟถูกดับเรียบร้อย ขยะที่ย่อยสลายไม่ได้เราก็ใส่ถุงดำแพคกันอย่างดี ช่วยกันถือไปคนละถุงสองถุงได้อย่างสบายไม่หนักที่ใครคนใดคนหนึ่ง เพื่อมุ่งหน้าไปยังม่อนคลุยที่พักคืนที่สองของเรา ก่อนออกเดินทางพี่ดอยก็มาชวนให้เราไปช่วยพี่เขา “กวนน้ำ" ฟังตอนแรกก็ดูงงๆ ทุกคนนึกภาพไม่ออกจนพี่เขาทำให้ดู แล้วเราก็ไปทำตาม



การกวนน้ำหรือจะเรียกง่ายๆ ว่าเป็นการเปิดทางน้ำให้มันไหลไปเรื่อยๆ ตรงไหนที่น้ำนิ่งเกินไปก็พยายามเปิดทางยกหิน เขื่ยใบไม้ให้น้ำมันมีทางไปไม่ขังเป็นแอ่งๆ สาเหตุที่เราต้องทำแบบนี้เพราะว่า เราไปล้างจานแล้วสาดเศษอาหารลงไปในน้ำที่มันเป็นแอ่ง ซึ่งถ้าน้ำมันไม่ไหลก็จะทำให้แอ่งน้ำตรงนั้นเน่าได้ พอรู้ถึงสาเหตุว่ามันมาจากตัวเราโดยตรง พวกเราก็รีบกันช่วยกันเปิดทางน้ำให้มันไหลไปได้มากที่สุด อย่างน้อยคนที่มาใช้ที่นี่ต่อจะได้มีน้ำใช้ และเป็นความรู้ใหม่ของพวกเราด้วย

หลังจากที่เราทำทุกอย่างเรียบร้อย แบกเป้ขึ้นหลังกันทุกคนแล้วก็ออกเดินทางกันเลย เริ่มแรกทางที่เราต้องเจอก็ยังคงเป็นทางชันอีกแล้ว เป็นช่วงที่ทุกคนจะเดินเกาะกลุ่มตามกันไปเรื่อยๆ แม้ว่าทางที่เรามาจะไม่ค่อยเจอแดดเพราะมีต้นไม้ปกคลุมแต่อากาศค่อนข้างร้อน ไม่มีลมพัดเลยทำให้หลายคนเริ่มออกอาการตั้งแต่อรกอีกเช่นเคย แต่เราก็พยายามเดินกันไปเรื่อยๆ จิบน้ำบ่อยๆ ทั้งน้ำเปล่าและที่ผสมเกลือแร่ สลับกับกินลูกอม ขนมหวาน และช็อคโกแลตก็เพลินๆ ดีเหมือนกัน จนลืมไปว่าเราต้องเดินกันอีกไกล



ต้นไม้ช่วงนี้จะมีพืชตระกูลกล้วยไม้เกาะอยู่ตามกิ่งเยอะแยะมากมาย แต่ก็เห็นแค่ใบ และเราก็ไม่ทันได้สังเกตเท่าไร แต่เป็นจุดที่หลายคนเจอดอกกล้วยไม้ที่มีทั้งพันธุ์ที่เจอบ่อยๆ แลัพันธุ์หายากที่ยังไม่มีแม้แต่ชื่อ ซึ่งคนที่เจอมักจะเป็นคนที่ไม่มีความรู้ทางด้านนี้เห็นว่าสวยแล้วถ่ายรูปก็แค่นั้น



เรายังคงเดินตามทางที่ยังชันอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่มีวี่แววว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ในขณะที่พยายามทำใจนิ่งๆ เดินก้มหน้ามองเท้าที่ก้าวเดินไปเรื่อยๆ สลับกับคุยบ้างบางช่วง ทางที่เราหวังอยากให้เจอก็ปรากฎอยู่ตรงหน้า ทางลงแม้ว่าจะเป็นทางที่เราชอบแและรู้สึกว่าถนัดกว่าการเดินขึ้นก็ต้องใช้ความระมัดระวังมากพอสมควรในการเดิน ต้องมองดูสิ่งรอบตัวในการจับกิ่งไม้ และสัมผัสเพื่อช่วยผยุงในการลง เพราะทางบางช่วงก็เป็นดินร่วนมากถ้าลื่นไถลนี่อาจจะยาวจนไปถึงข้างล่างได้



ตอนนี้เราเดินลงโดยจดจ่ออยู่แค่ที่ทางที่จะลง พอหยุดพักก็เพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้เดินอยู่คนเดียวอีกแล้ว แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงสมาชิกอยู่เป็นระยะๆ ทุกครั้งที่เดินลงก็จะยาวไปเรื่อยๆ เพราะมันจะหยุดยากนอกเสียจากจะเจอที่พักกว้างมากพอให้หยุดยืน แต่ก็ไม่ค่อยจะหยุดนานเพราะมันรู้สึกวังเวงเกินไป แม้จะรู้ว่าข้างหน้ามีเพื่อนเราเดินไปแล้วและมีตามหลังอีก แต่ตอนนี้อยู่คนเดียวมันไม่กล้าจริงๆ



เราเดินลงแบบว่าลึกสุดจนถึงตีนเขาเลย และก็เจอกับลำธารที่อยู่กลางป่า แค่เดินมาใกล้ๆ ก็รับรู้ได้ถึงความเย็นสบาย ยิ่งได้ล้างหน้า เอาน้ำลูบแขน เอาเท้าแช่น้ำ ยิ่งสดชื่นมาก ใครถึงก่อนก็ได้รับความสดชื่นก่อน และได้พักเร็วกว่า

หลังจากที่กลุ่มเราเดินมาถึงจุดนี้ทุกคนแล้ว ได้สัมผัสกับน้ำจนสดชื่นแล้ว เราก็ช่วยกันทำมื้อเที่ยงกินที่นี่ ของแห้งที่เหลือจากมื้อเช้าถูกเทออกมาใส่จานเรียบร้อยแล้วก็ต้มมาม่าเพื่อซดน้ำเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง พอทุกอย่างพร้อมคนก็ล้อมวงเข้ามาเช่นเคย อาหารมันไม่ได้หรู มีเท่านี้เราก็กินกันเท่านี้ ไม่มีใครบ่น ทุกคนกินเหมือนกันหมด แค่ให้อิ่มเท่านั้นก็ถือว่าดีละ หลังจากอิ่มแล้วเราก็กอกน้ำที่ลำธารแห่งนี้เติมน้ำใส่ขวดจนเต็มเพราะจากนี้จะไม่มีจุดเติมน้ำอีกแล้ว เดินยาวไปจนถึงจุดที่รถกระบะมารับเลย



เป้ถูกแบกขึ้นหลังอีกครั้งและเราก็ทยอยเดินขึ้นตามทางที่ลูกหาบเดินไป แค่เห็นก็ถอนหายใจรอเลย ทางขึ้นอีกแล้ว และดูท่าทางจะชันไปอีกไกลพอสมควร ต้นไม้น้อยใหญ่ถูกจับเพื่อให้เดินขึ้นง่ายขึ้น แต่ก็ต้องระมัดระวังเพราะทางลื่นมาก คนที่เดินทางหลังต้องทิ้งระยะห่างพอสมควร ขาเมย์ค่อยๆ ก้าวขึ้นไปแบบไม่กว้างมากนัก อาศัยเดินขึ้นแบบเรื่อยๆ ก้มหน้ามองที่เท้าเป็นส่วนใหญ่ เงยหน้าขึ้นมองในบางช่วง เพียงเวลาที่รู้สึกเองว่าไม่นานเราก็โผล่ขึ้นมาข้างบนแล้ว และเริ่มเห็นสันเขา ท้องฟ้า ก้อนเมฆเสียที

ฟ้าโปร่ง โล่ง สบาย เห็นสันเขาทอดยาวไปอีกไกลเลย โดยที่เรามองไม่เห็นจุดหมายเสียด้วยซ้ำ ทางที่เราต้องเดินไปต้องลัดเลาะไปตามเขา เดินขึ้นบ้าง เดินลงบ้าง แบบนี้ไปเรื่อยๆ



คนเดินนำกลับมามาเดินตามบ้างบางช่วง และคนเดินตามก็จะกลับเป็นผู้นำได้เช่นกัน เราค่อยๆ เดินกันไปเรื่อยๆ เร็วบ้าง ช้าบ้าง อยู่ที่วิว แดด และความล้าที่ขาว่ามีมากน้อยแค่ไหน เราเดินแบ่งแยกออกเป็นหลายกลุ่มตามกันไปเรื่อยๆ จะไม่มีใครหยุดพักนานๆ ในช่วงนี้น่าจะเกี่ยวกับทางเดินด้วยเพราะมันมีสลับกันไป หลากหลายไม่มีทางไหนเดินซ้ำๆ นานๆ หรือไกลๆ รอบตัวก็สวยงามมีตจุดดึงดูดเราตลอดเวลา ทำให้ลืมเหนื่อยไปเลยช่วงนี้

เรายังคงเดินยังไปตามทางเรื่อยๆ ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนตลอดทาง แต่เราก็ยังคงต้องเดิน เพื่อไปยังจุดหมายและที่นอนคืนนี้ของเราคื ม่อนคลุย แม้ว่าทางจะไม่ชันมาก ไม่ต้องเดินขึ้นเดินลงจนปวดเข่า แต่การเดินแบบเรื่อยๆ แบบนี้ก็ทำให้เริ่มล้าแบบไม่รู้ตัวเหมือนกันนะ เราเดินกันมาเรื่อยๆ เริ่มมีการปีนป่ายข้ามกิ่งไม้ที่วางกองไว้ หลังจากนั้นเราก็มาเจอทุ่งหญ้าสีทองน่าจะเป็นจุดที่ใหญ่ที่สุดที่เราเห็น ยิ่งพอไปยืนอยู่ริมๆ สีทองของหญ้าจะตัดกับสีเขียวของต้นไม้ของเขาอีกลูก บรรยากาศเกินบรรยายจริงๆ ในช่วงเวลานี้ หลายคนที่เดินเก็บกล้องมานานก็ถึงกับรีบหยิบออกมาเก็บภาพกันใหญ่ รวมทั้งขอเป็นแบบเองด้วย

หลังจากกระหน่ำถ่ายรูปกันจนพอใจแล้ว ทางที่เราจะต้องเดินไปต่อคือทางลงที่แค่มองลเห็นก็ใจหวิวกันละ แต่ก็พร้อมจะเดินลงทันที สุดท้ายก็ต้องยืนรอกันไปพักใหญ่เพราะพี่ๆ เขาให้คนกลุ่มล่างเดินขึ้นมาก่อน ถึงจะให้เราลงไปได้ ไม่อยากให้เดินสวนกันระหว่างทาง เพราทางลงทางนี้ค่อนข้างชันและอีกด้านคือเหว เพื่อป้องกันเหตุที่จะเกิดขึ้นเราก็เลยต้องรอ จนเพื่อนเราที่เดินอยู่กลุ่มหลังเดินตามมาทันแล้ว หลังจากคนสุดท้ายเดินขึ้นมาถึง เราก็เดินลงกันในทันที ทุกคนค่อยๆ เดินลงไปเรื่อยๆ แต่ทางลงอย่างที่บอกมันเป็นทางของเมย์ ก็เลยรู้สึกว่าหันไปมองเพื่อนข้างหลังอีกทีก็ทิ้งห่างอีกละ จะหยุดรอตรงนี้ก็ไม่ไหว ทั้งหวาดเสียวและร้อน ก็เลยรีบเดินรวดเดียวยาวๆ แบบไม่ได้สนใจวิวที่จะถ่ายรูปเลย เพียงแค่หันไปมองจดจำทางสายตาบ้างนิดหน่อย

เมย์ลงมาถึงข้างล่างแล้ว แต่กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ก็ต้องผ่านทางลงสุดท้ายที่ทั้งลื่นทั้งฝุ่นเกือบล้มหลายต่อหลายรอบ หวาดเสียวกันไปเพราะมันอยู่ริมผาถ้าตกไปละคงไหลยาวแน่ๆ ฝุ่นฟุ้งเข้าหน้า ขาเริ่มสั่น แดดส่องหลังแบบไม่ลดละนี่ขนาดบ่ายสามกว่าแล้วยังแสบขนาดนี้ ในใจนี่คิดอยู่อย่างเดียวขอให้ถึงไวๆ จนสุดท้ายก็มานั่งรอกลุ่มหลังที่ยังมาไม่ถึง เมย์นั่งมองวิวภูเขาที่เราเพิ่งเดินผ่านมา มันดูยิ่งใหญ่อลังการมากๆ เห็นคนอื่นๆ ที่กำลังเดินลงมาตัวเล็กๆ ไกลๆ บางคนเดินบ้างหยุดบ้าง แวะรายทางไปเรื่อยๆ



หลายคนที่ลงมาถึงก็แวะนั่งพัก หลบแดดให้หายร้อน หายเหนื่อย เพราะคิดว่าจากตรงนี้ไม่น่าไกลเท่า ซึ่งอันนี้คิดเองล้วนๆ นั่งพักแบบสบายใจเลยก็ว่าได้ ไหนๆ ก็ยังรอคนอื่นๆ อีกหลายคน เพราะคงจะอีกสักพักกว่าจะลงมาถึงจุดที่เรานั่งอยู่ แต่เราก็ไม่ได้รอจนมาครบทุกคน เพราะพอเรารู้สึกหายเหนื่อยก็ลุกขึ้นพร้อมเป้เพื่อออกเดินทางอีกครั้ง

ทันทีที่เราหันหลังเพื่อเดินไปตามทางที่ป้ายชี้ ซึ่งเห็นอยู่ไกลๆ พอเดินเข้ามาใกล้ๆ ก็ถึงกับชะงักนิดหน่อยก่อนออกเดินต่ออีก 5 กิโล!!! บอกเลยว่ามันไม่ได้ใกล้เลย ถ้ารู้ว่าอีกไกลคงไม่นั่งเพลินขนาดนี้หรอก เพราะพอพักนานๆ แล้วเริ่มเดินมันรู้สึกว่าต้องปรับสภาพใหม่อีกครั้ง แม้ว่าทางจะเป็นทางเรียบทางถนัดแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้ไม่อยากเดินแล้ว เราเดินผ่านป่ามาได้สักระยะ ก็มาเจอทางแยกและมีป้ายชี้บอกทางอีกครั้ง เกือบถึงละ…ม่อนคลุย แค่นั้นแหละรีบเดินใหญ่เลย แม้ว่าทางจะเป็นทางชันอีกครั้ง เป็นเหมือนทางรถรอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ตอนแรกก็ยังเดินตามโอนรุ่นน้องที่ไปด้วยกัน แต่ทางก็ยังคงชันอยู่เรื่อยๆ ทำให้เดินช้าลง ช้าลง ช้าลง จนตอนนี้ข้างหน้ามองไม่เห็นโอนแล้ว



พยายามจะก้าวเท้าให้ไวและเร็วกว่าเดิม แต่ก็ทำไม่ได้ยังเดินไหวนี่ถือว่าดีแล้ว จนในที่สุดก็หยุดเดินเพื่อรอคนข้างหลัง ทุกอย่างหยุดนิ่ง เงียบ ไม่มีคนข้างหน้า ไม่เห็นคนข้างหลัง ผ่านไปจะครึ่งชั่วโมงจึงตัดสินใจเดินอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้กึ่งเดินกึ่งวิ่ง ยังไงก็จะต้องให้เห็นใครสักคนก่อนถึงจะหยุด เหนื่อยก็เหนื่อย ล้าก็ล้า รีบก็รีบ กลัวก็กลัว ก็ยังไม่เห็นใคร ตะโกนสิคะ อย่างน้อยก็ไม่เงียบ ตะโกนเรียกหลายต่อหลายรอบ โอน โอน โอน อ้ายยยยโอน ทุกอย่างก็ยังเงียบ จากที่เดินทางเหมือนทางรถวิ่งก็แคบลงและเลียบๆ เขาไป อีกสักพัก ก็ยังคงตะโกนและเดินเร็วๆ อยู่ จนในที่สุดพอเดินเข้าป่าอีกครั้งและมีเสียงคนคุยกัน วิ่งเลบคราวนี้ จนโผล่ออกมาเจอลานกว้างเห็นโอนและคนอื่นๆ กำลังนั่งพักกินน้ำอยู่เลย ทิ้งเป้และทุกสิ่งพุ่งใส่น้ำอัดลมเลย



รถยังไ่ม่มา สมาชิกก็ยังไม่ครบ นั่งพักกันไปยาวๆ แต่จุดนี้ก็ยังไม่ใช่จุดหมายเพราะเราต้องนั่งรถไปอีก 3 กิโล หลายคนเริ่มเดินมาถึงตรงนี้แล้ว และทุกคนพุ่งใส่น้ำอัดลมทุกคนเช่นกัน เพื่อความสดชื่น แดดไล่มาถึงที่เรานั่งแล้ว สมาชิกครบ รถก็จอกรอละ เราทยอยขนของขึ้นรถรวมทั้งตัวเราด้วย ต้องนั่งบนรถที่ต้องผ่านถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่น กระแทกซ้ายขวาไปตามทางที่ไร้ความเรียบ ขรุขระไปตลอดทางจนถึงม่อนคลุย

หลังจากขนของลงจากรถเรียบร้อยแล้ว ก็แอบแวบมากินน้ำและขนมต่อก่อนที่จะไปช่วยกันสร้างห้องน้ำ ที่พี่ๆ ช่วยกันทำอยู่ก่อนแล้ว จำนวนคนเยอะก็เลยถูกแบ่งหน้าที่กันไปทำในหลายๆ อย่าง ส่วนใหญ่กลุ่มเราตั้งแถวเพื่อรับส่งปูนที่ผมไปยังจุดที่จะทำห้องน้ำ ทำไปพร้อมกับเสียงหัวเราะจริงๆ นี่ขนาดคนกลุ่มเราก็เยอะแล้วนะก็ยังจะไปชวนกลุ่มอื่นที่เขากำลังกางเต็นท์อยู่ให้มาช่วยด้วยซะงั้น คนผสมปูนก็ผสมไปแล้วตักใส่ถังส่งต่อๆ กันมา และเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว

ส่วนคนที่เหลือและถนัดงานช่างก็ช่วยกันทำโครงห้องน้ำ เลื่อยไม้ ตอกสังกะสี ฉาบปูน ก่ออิฐ ต่อท่อน้ำ คนละเล็กคนละน้อย ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ช่วยจับ ช่วยถือ ช่วยดูแล้วส่งกำลังใจก็ได้เช่นกัน

ห้องน้ำค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ผนังมาครบทุกด้าน ตอกๆ ตัดๆ จนครบละ และปิดท้ายด้วยการประกอบประตูจนสำเร็จ กลายเป็นห้องน้ำที่สมบูรณ์หนึ่งห้อง ด้วยกำลังคนที่มากมายเกินความเป็นจริง ส่วนอีกห้องในระยะที่เรามีจึงไม่สามารถทำเสร็จได้ทัน เพราะแสงสุดท้ายองวันกำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว ซึ่งพี่ๆ ก็รับปากว่าจะจัดการให้เสร็จเรียบร้อยตามที่เราคาดหวังไว้

พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว พวกเราก็รีบไปช่วยกันกางเต็นท์ก่อนที่แสงจะหมด แล้วจะลำบากเพราะแสงสุดท้ายลับขอบฟ้าไปเร็วมากในเวลาไม่กี่นาที แต่ก็เพียงพอที่เราจะกางเต็นท์เสร็จทันก่อนที่จะมืดโชคดีไป เพราะที่นี่มืดมากมีเพียงแสงดาวและไฟฉายจากเราเท่านั้น กว่าจะเดินไปอายน้ำที่ห้องน้ำข้างล่างยังลำบากมากเพราะแสงน้อยและทางค่อนข้างไกล ที่สำคัญห้องน้ำก็ไม่มีไฟ คืนนี้เรากินข้าวที่ช่วยกันทำแบบเต็มอิ่ม และมานั่งมองดาว คุยกันช่วงหัวค่ำ หลายคนขอไปนอนพักก่อน แต่หลายคนยังมีแรงเหลือเฟือคุยกันต่อยันดึก



แสงเช้าโผล่มาทักทายเราผ่านเต็นท์ เพียงแค่เปิดออกมาเราก็เห็นทะเลหมอกแบบใกล้ชิดและเยอะมาก โดยไม่ต้องออกไปไกล แต่ถ้าใครต้องการความสดชื่นก็สามารถออกมารับลมข้างนอก ชมทะเลหมอกรอแสงพระอาทิตย์บอกเลยว่าวันนี้มันทำให้หลายคนลืมเหนื่อยในวันที่ผ่านมาจนหมดแล้ว เราก็นรู้สึกแบบนั้นเช่นกัน เป็นการจบทริปที่ดี สวยงาม ไม่เหนื่อย เพราะเราเก็บของเสร็จก็ไปอาบน้ำที่อบต. และกินข้าว ซึ่งมื้อนี้พิเศษ ผอ.ททท.ที่ตากมาเลี้ยงข้าวและชวนเรามาร่วมกิจกรรมที่ตากในครั้งต่อไป อิ่มสบายท้อง ขึ้นรถกลับ หลับยาวเลย

มิใช่…แค่ปลางทาง



เพราะทริปนี้ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม และก็เต็มไปด้วยมิตรภาพที่มากมายและหลากหลายจริงๆ บางคนเราเคยเจอกันแล้ว บางคนยังไม่เคยคุยกันสักคำ แม้ว่าช่วงเวลาเดินทางเราจะอยู่รถกันคนละตู้ จะเจอกับแวบๆ ระหว่างทางที่เดิน แซงกันไปมา นั่งกินข้าวไกลกัน แต่สุดท้าย เราก็ยิ้ม หัวเราะทักทายกันเมื่อตอนที่เราต้องช่วยเหลือกันทำฝายเล็กๆ ท่ามกลางป่าใหญ่ระหว่างทางที่เราจะเดินไปยังจุดหมาย มันทำให้เราได้เรียนรู้กันมากขึ้นโดยที่เราไม่ต้องคุยกันเลย ความช่วยเหลือที่เต็มใจ ยื่นมือต่อมือไปเป็นระยะๆ ก็เลยทำให้สิ่งเล็กๆที่เราช่วยกันทำคนละไม้ คนละมือ มันรู้สึกยิ่งใหญ่เมื่อมันสำเร็จอย่างที่พวกเราหวัง

เก็บตก



พวกเราแม้ว่าจะต่างที่มา แต่เรากลับมีบางอย่างที่คล้ายๆ กัน เป็นพวกจริงจังและทุ่มสุดตัวเต็มที่ในการเป็นแบบถ่ายรูป ให้นอนกลิ้งต้นหญ้า ท่ามกลางแดด ก็ทำกันโดยไม่มีใครบ่น ยิ่งเป็นสิ่งที่ชอบด้วยแล้วไม่ต้องมีใครบอก และไม่สามารถห้ามทัน อย่างการเล่นน้ำที่เย็นท่ามกลางอากาศร้อนขนาดนี้จะให้แช่แค่เท้าล้างแต่หน้ามันดูจะน้อยไปยังไงก็ต้องลง ส่วนอีกสิ่งที่เราน่าจะไปไหนก็ไม่อดตายเพราะมีแค่ไหนเราก็แบ่งกันกินแค่นั้น กินง่ายๆ กลางป่า ข้างน้ำตก ทำอะไรมาก็กินได้ ใช้ชีวิตเรียบๆ

เราเป็นพวกที่สนุกได้ทุกเรื่อง และทุกที่ พร้อมจะหัวเราะเสียงดังๆ ออกมาได้ตลอดเมื่อเราคุยกัน หรือว่าาจริงๆ แล้วที่เราเหมือนกันหลายๆ อย่างเพราะเรา บ้าเหมือนกัน นั่นเอง แต่เราก็ไม่ได้ไปเพื่อสนุกสนานเฮฮากันอย่างเดียวนะ ทริปเราก็ดูดีมีสาระ (แอบแวยนิดนึง) และพยายามจะทำตัวให้เป็นประโยชน์อย่างที่เราตั้งใจไว้ว่า อาสาเที่ยว แค่อยากให้คนไปเที่ยวได้อะไรมากกว่าแค่ไปเที่ยว



ติดตามกิจกรรมของพวกเราเพิ่มเติมได้ที่
http://www.rsatieow.com/

May Macro

 วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.07 น.

ความคิดเห็น