พะติโด่ หมื่อก่าโด่ สองดอยสวยชื่อเรียกยากแห่งนี้ เป็นอีกยอดดอยหนึ่งที่นักเดินป่า อย่างเราๆ ต้องไปพิชิตให้ได้สักครั้ง อยู่ที่ไหน จะไกลสักแค่ไหน ก็ยังคงจะดั้นด้นเดินทางไป สภาพพื้นที่เป็นแบบไหน จะสวยสมคำร่ำลือมั้ย.... ไม่รู้ข้อมูลอะไรสักอย่าง รู้แค่ว่าอยู่ที่ #ปางอุ๋ง #ขุนยวม #แม่ฮ่องสอน . . . เราต้องออกเดินทางไปพิสูจน์ และทุกครั้งที่ผมออกเดินทาง ผมจะพบมิตรภาพใหม่ๆ ได้เพื่อนกลับมาเยอะเลย


ถ้าพูดถึงความยากในการเดินป่า พะติโด่ - หมื่อก่าโด่ ?? ยากยังไงน่ะหรอ ?? หุหุ...ก็ไม่รู้เหมือนกัน !! อยากรู้ต้องไปลองเอง แล้วจะติดใจ


ดอยพะติโด่ – หมื่อกาโด่ เป็นขุนเขารอยต่อของตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ กับตำบลแม่ยวมน้อย อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน วัดจากพื้นที่จริงๆ ยอดเขาถือว่าอยู่เขตแม่ฮ่องสอนนะ แต่ถนนจะเข้าไปน่ะอยู่เชียงใหม่ สองดอยสูงในภาคเหนือ แม้จะไม่ไกลกัน แต่ก็อยู่คนละจังหวัด เหมือนกับเรื่องราวที่มาของชื่อขุนเขาแห่งนี้ ถ้าตามอ่านเรื่องราวจากพื้นที่ลงท้ายคล้ายๆ กัน คือ การมีปากเสียง การแยกทาง


+++พูดคุยทักท้ายกัน ติดตามเพจได้ที่นี่ ++

FB : เที่ยวให้คนอิจฉา

รวมรีวิว Readme : เที่ยวให้คนอิจฉา

นั่งรถกว่า 16 ชั่วโมง จากกรุงเทพสู่จุดสตาร์ทเดินป่า พ ะ ติ โ ด่ - ห มื่ อ ก่ า โ ด่ ดอยลุงดอยป้า 3 วัน 2 คืน " เดินไม่ไกลอย่างที่คิด โอ้โห !! คลานดีกว่า :) "เราเดินทางผ่าน เถิน ลี้ ฮอด แม่สะเรียง ขุนยวม ไปที่โครงการหลวงปางอุ๋งเลย จุดตรวจบ้านปางอุ๋ง อยู่เขตตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม แต่เมื่อเรานั่งรถเข้ามาสักครึ่งทางก็จะเข้าสู่เขตตำบลแม่ยวมน้อย อำเภอขุนยวม ไปถึงก็เกือบเที่ยงทำการเปลี่ยนจากรถตู้เป็นกระบะของชาวบ้าน เพื่อความเหมาะสมของพื้นถนน พาเข้าไปจุดเริ่มเดิน ห่างจากตรงนี้ไปประมาณ 10 กิโลเมตร

ถนนหนทางตอนแรกก็ยังเป็นลาดยาง ผ่านหมู่บ้าน สักพักก็พาเราโขยกเขยกไปตามถนนลูกรัง เส้นทางเละๆ ผจญภัยดี สองข้างทางก็มีภูเขาลูกเล็กลูกใหญ่สลับกันเป็นวิวทิวทัศน์สวยงามให้ถ่ายรูปกันไป ฝนก็ตกลงมาต้อนรับเราเรื่อยๆ

เรามาถึงเส้นทางที่จะเดินขึ้นดอยพะติโด่ 14.00 น. จุดหมายของเราวันนี้จะเดินขึ้นดอยพะติโด่ ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง

จัดเตรียมสัมภาระ แบ่งของกองกลาง (ค่าลูกหาบ วันละ 500.-) หารเฉลี่ยกันไป

สรุปแล้วทริปนี้เราเดินทางกัน 3 วัน 2 คืน กับเพื่อนร่วมทริปกว่า 20 ชีวิต ถ่ายรูปหมู่กันก่อนเดินเท้า

เริ่มก้าวเท้าออกสตาร์ทจริงๆ เกือบสี่โมง ผ่านลำธารเล็ก ๆ พอให้ได้เปียกตั้งแต่เริ่มต้นเดินเลยทีเดียว ขอบอกว่าตั้งแต่ก้าวแรกก็เป็นการเดินขึ้นเลยแหละทางไม่ชันมากครับแต่ร่างกายไม่ได้วอร์มอัพอะไร เล่นเอาหอบเหมือนกันแฮะ แถมเพราะด้วยไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนักร่องทางเลยไม่ชัด ป่าช่วงแรกก็ค่อนข้างโปร่ง ซ้ายไปได้ ขวาไปได้ ตรงไปได้ รับรองว่าถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่นำทางมีหลงป่าแน่นอน

สองข้างทางทึบด้วยต้นไม้ เดินทางเข้าไปจุดขึ้นเดินเท้าที่เชิงเขา เห็นยอดพะติโด่อยู่ลิบๆ ทางค่อนข้างชัน

สวัสดีวันฟ้าเปิด แสงแดดชัดเจนมาก เพราะแดดร้อนสุดๆ ร้อนจนแสบหลัง ยอดพะติโด่ มองเห็นไกลๆ

เริ่มแรกของทุกๆการเดินป่า ขึ้นเขา ทุกคนก็มีรอยยิ้มเสมอแหละ อย่างเช่นแบบนี้



นอกจากจะรกชัดๆๆ แล้ว ใบไม้ก็ร่วงลงมาปิดทางเดิน ถ้าเดินเองไม่มีคนนำทางนี่หลงแน่ๆ
ทางก็ยังคงชันต่อไปเรื่อยๆ อากาศก็ร้อนอบอ้าว

ที่นี่ยังคงมีความดิบของธรรมชาติอยู่มาก ++ ไหนบอกไม่มีทากไง แล้วนี่มันคืออะไรรรรรร ++




เดินมาสักพัก ก็มาถึงทางแยกระหว่าง พะติโด่ – หมื่อก่าโด่ พะติโด่ เลี้ยวซ้าย หมื่อก่าโด่ ตรงไป

(คนนำทาง) บอกให้เราตั้งแคมป์ตรงจุดนี้ แต่ดูบรรยากาศแล้วมันดูทึบๆ ไม่ค่อยโอเค เราเลี้ยวซ้ายขึ้นไปนอนบนสันเขา เส้นทางขึ้นดอยพะติโด่ในคืนนี้ เส้นทางเดินก็จะเป็นเนินดินทราย ผสมกับหิน เดินไป พักไป

ในที่สุดประมาณห้าโมงครึ่ง เราก็มาถึงจุดตั้งแคมป์ ใช้เวลาเบ็ดเสร็จตั้งแต่เริ่มเดิมรวมชั่วโมงนิดๆ
กับระยะทางราว 4 กิโลเมตร

จุดนี้ เป็นจุดแรกครับที่เราเห็นวิวสวยๆ ของผืนป่าและทะเลหมอกของดอยพะติโด่ (ดอยลุง) แบบเต็มตา

ไม่นานเราก็เดินมาถึงจุดตั้งแคมป์บริเวณสันเขาใกล้ๆดอยลุง ก่อนที่แสงสุดท้ายจะเริ่มลาลับขอบฟ้า
เก็บภาพทะเลหมอกก่อนพระอาทิตย์ตกกันที่หน้าแคมป์เลยไม่ต้องไปไหนไกล

สำหรับการเดินป่าจากจุดเริ่มต้นมาจนถึงจุดกางเต็นท์ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว เหนื่อยแค่ช่วงแรกๆ หลังๆ ไปก็สบาย เดินไม่ไกลอย่างที่คิด เดินแปบๆก็ถึง สภาพที่ตั้งแคมป์ เป็นทางลาดเอียงนิดหน่อย พื้นที่น้อย ต้องแบ่งที่ทางกันไป นอนแบบไหลๆ นิดหน่อย

แล้วก็มาช่วยกันตั้งแคมป์ จัดแจงกางเต็นท์ ตั้งกองกลาง หุงหาอาหาร แบ่งหน้าที่กันโดยไม่ต้องพูดอะไร อาหารเยอะและกินดีกว่าตอนอยู่ที่ภาคพื้นดินอีกนะเนี่ย

บอกเลยว่าอยู่บ้านไม่ได้กินขนาดนี้นะเนี่ย (ฮา...)

ผ่านไปสักพัก นอนฟังเสียงจักจั่นร้องหริ่งๆเรไร ก็ได้เวลาล้อมวงนั่งกินข้าว คุยกันไป เป็นบรรยากาศที่เรียกเสียงหัวเราะได้โดยที่ไม่ต้องเสแสร้ง กินเสร็จใครง่วงนอนก็ไปนอนก่อน หรือจะนั่งฟังเรื่องเล่าที่รุ่นพี่ในวงไปประสบพบเจอมา ทั้งประสบการณ์เดินป่าเปิด เจอผี และอีกมากมาย

สักพักบนท้องฟ้าเริ่มมองเห็นดาว ก็เตรียมกล้อง ขาตั้งกล้อง และไฟฉาย ไปตามล่าทางช้างเผือก



ผ่านไปเกือบเที่ยงคืนก็เริ่มแยกย้ายกันไปเต็นท์ใครเต๊นท์มัน

ตี 5 กว่า ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกกันตื่น เพราะวันนี้เราจะขึ้นพิชิตยอดขุนเขาวัดใจ ทักทายดวงตะวันยามเช้า
ดูทะเลหมอก ตรงสันเขาบางๆ โน่นแหละ ยอดดอยพะติโด่ (ดอยลุง)

(วัดระยะทางจากแคมป์ถึงยอดดูแล้วไม่ไกล 1 กิโลเท่านั้น)

เริ่มต้นเราต้องเดินไปตามทางชันที่เป็นดินร่วนๆ เท้าจิกดิน มือเกาะหญ้า (ที่ไม่รู้จะหลุดมาตอนไหน)
เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยความหวังว่าเดี๋ยวมันก็คงถึง

จากที่เราเป็นคนเดินป่า ก็กลายเป็นสายคลานโดยสมบูรณ์แบบ แล้วก็คลานขึ้นมาจนถึงจุดที่ยืนได้
เฮ้ย +++ ข้างบนมันสวยอ่ะแกรรรร แต่ .... มันยังไม่หมด เรายังเดินไม่ถึงยอด

เส้นทางต่อไปเป็นสันเขา ทางเดินแคบ พื้นดินเป็นดินร่วน ผสมหินทราย ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินไม่งั้นจะเหยียบกับระเบิด (ขี้วัว) เส้นทางไม่ไกล โน่นนนนน เขาลูกโน้นนนนนน!!!! เองผ่ามพ้ามมมม

เส้นทางเดินยอดดอยนี้มีความชันที่ต้องไต่ระห่ำแทบจะคลานขึ้น (ก็คลานจริงๆๆ) รู้สึกเหมือนเดิน
อยู่บนสันคมมีดของเขาช้างเผือกยังไงยังงั้นเลยทีเดียว


เนื่องจากการปีนขึ้นยอดดอยค่อนข้างชัน ถึงชันมาก ไม่มีเชือก ไม่มีสลิง ไม่สามารถใช้ตัวแสดงแทนได้
เจ็บเอง ตายเอง เพราะความยากในการปีนป่าย

จุดถ่ายรูประหว่างทางที่สวยงาม ทำให้ใช้เวลานานพอสมควร ในการไต่เขาขึ้นไป เส้นทางโคตรชัน
เดินบนสันหินต่อไป ถ้าไถลลื่นมีร่วงลงสู่ความเวิ้งว้าง ชวนให้ลื่นกลิ้งตกเขา ไม่ทันได้เจ็บแน่ๆ
(แนะนำให้ทำประกันไว้ด้วย) 55555555

งานรีวิวสินค้าก็มา #เวเน่ เสต็มเซลล์ไม่ใช่คอลลาเจน ช่วยให้หน้าเด็ก ชะลอวัย บำรุงจากภายใน
ดีทั้งระบบ ผิวก็จะสวยอ่ะแกรรรร แบบประหยัดค่าโบท๊อก ค่าฟิลเลอร์ แนะนำเลย


แล้วในที่สุดก็ถึงยอดเขาจนได้ วิวสีขาวนี่ช่างบริสุทธิ์ปลื้มใจยิ่งนัก (ประชด!)

การไต่ระดับความสูงตามระยะทางการเดิน ... เดินเท้าประมาณ 5 กิโลเมตร

ถึงแล้ววววววว ยินดีที่ได้รู้จัก!!! ยอดดอยพะติโด่ ความรู้สึกตอนเราพิชิตเขาลูกหนึ่ง มันเป็นอะไรที่แบบโคตรฟิน ถึงแม้ตลอดทางจะมีคำถามอยู่ในหัวตลอด “ นี่กูมาทำอะไรที่นี่ว่ะ กูลางานมาลำบากเพื่ออะไร” บนยอดดอยพะติโด่ ถูกปกคลุมด้วยหญ้า แทบทั้งดอย และจากดอยพะติโด่ จะมองเห็นยอดดอยหมื่อก่าโด่ด้วยยยยยย!!!!! และแน่นวลวิวทางหมื่อก่าโด่ ก็จะต้องมองเห็นพะติโด่ทางนี้เหมือนกัน

ภูเขาลูกนี้ มีความเป็นธรรมชาติแบบดิบๆ ไม่มีป้ายสวยงามให้ถ่ายรูปว่ามาถึงแล้ว ฟ้าโคตรสวย ทะเลหมอกก็เยอะ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการพิชิตยอดดอยพะติโด่ ขาขึ้นว่ายากแล้ว ขาลงแม่งยากยิ่งกว่า !!!

เสียวชิบเป้ง ขาลง น่าจะมี ZipLine จริงๆ เลย

การไต่เขาลงเป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะทางชันมาก ขาสั้นนี่ปัญหาเยอะมาก ต้องฟิตกำลังแขน กำลังขาให้ดี อยากรู้ว่าข้างล่างลึกไหม ก็ลองโยนหินลงไป (เงียบกริบ) พอจะรู้แหละ ค่อยๆ ตั้งใจไต่เขาลงไปละกัน แล้วเราก็เดินทางกันลงมาถึงจุดกางเต็นท์ หลังจากที่เล่นสไลเดอร์ไปบางจุด

ตัดภาพไปที่นั่งกินข้าวต้มตอนเช้าด้วยความหิวกันทู๊กคนเลยทีเดียว

บร๊ะเจ้า !!! แทบช็อค ลงมานั่งยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ต้องเก็บเต็นท์เตรียมตัวเดินไปยอดหมื่อก่าโด่ ระยะทางประมาณ 4 - 5 กิโลเมตร เตรียมเสบียงอาหารไปกินมื้อเที่ยงระหว่างทาง

เราเริ่มสตาร์ทตอน 11.00 น. จากดอยพะติโด่ ไป หมื่อก่าโด่ ระยะทางประมาณ 4 - 5 กิโลเมตร แต่มันช่างเป็น 4 กิโลเมตรที่ยาวนาน เพราะต้องข้ามเขาหลายลูกเลยทีเดียว

จุดเติมน้ำก่อนไปหมื่อก่าโด่ มีแค่จุดนี้จุดเดียว เติมน้ำดื่มวนไป

การเดินทางของพวกเรา ผ่านยอดเขาลูกแล้วลูกเล่า บางช่วงก็เดินผ่านป่า บางช่วงก็ผ่านทุ่งหญ้าแม้ระยะทางอันยาวไกลก็ไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะทิวทัศน์สวยงามสองข้างทาง"

ระหว่างเส้นทาง ที่เหน็ดเหนื่อยเราก็หยุดพัก และถ่ายรูปหมู่มียอดดอยสวยๆ เป็นฉากหลัง

"เราเดินทางลัดเลาะไปตามสันเขา ผ่านทุ่งหญ้า บางช่วงก็ต้องปีนป่ายโขดหินให้ได้เหนื่อยกัน"




"ดอยลูกนี้มันมีส่วนโค้ง เว้า สวยดีจัง ขอแอคชั่นสักหน่อยดีกว่า"

ปีนป่ายข้ามไปหายอดหมื่อกะโด่ แวะกินข้าวกลางวันกัน บนลานหินริมชะง่อนผาก่อนขึ้นยอด เก็บภาพงามๆ


อาหารราคาหลักสิบ แต่บรรยากาศหลักล้าน


รู้สึกเหมือนหลุดจากมิติหนึ่งไปยังอีกมิติหนึ่ง

คือแบบตอนเช้ายังรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนเขาช้างเผือก พอเที่ยงๆ รู้สึกเหมือนเดินอยู่เขาล้อมหมวก พอบ่ายมารู้สึกเหมือนอยู่ผาสองฤดู คือแค่ข้ามภูเขาไปแค่ลูกเดียว ก็เจอภูเขาอีกมุมมองหนึ่งที่แม่งโคตรมีความชันเหมือนเขาล้อมหมวก ไต่หิน ปีนผา ผ่านไปอีกเขาก็รู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในดินแดนผาสองฤดู ฝั่งนึงมีหมอกอีกฝั่งแดดออก แล้วจะไม่ให้อารมณ์เหมือนหลุดจากโลกหนึ่งไปอีกโลกได้ไง

ผ่านความเหนื่อยโคตรๆๆๆๆ ท้อแท้สุดๆ แต่กลับตัวก็ไม่ได้แล้ว ได้แต่ก้มหน้าเดินเท้าต่อไปขึ้น
ยอดหมื่อกะโด่เพื่อถ่ายรูปกับป้ายผู้พิชิต เพียงแค่ขึ้นไปเท่านั้นอีกนิดเดียว

"เราคือผู้พิชิตยอดดอยหมื่อก่าโด่ เป็นความภูมิใจที่ฝ่าฟันเดินทางกันมาไกล ถึงจุดหมายที่ยอดดอย"

แต่ แต่ แต่... ความโหดของทริปยังไม่จบเท่านี้ เพราะจากป้ายผู้พิชิตแล้ว เราต้องเดินเท้าต่อไปอีก 4 กิโลเมตร เพื่อเข้าหมู่บ้าน แม่ลาก๊ะ ผ่านความเหนื่อยโคตรๆๆๆๆ ท้อแท้ กลับตัวก็ไม่ได้ เดินลงมาเรื่อยๆ

เดินผ่านป่าหญ้าคา ทางลงค่อนข้างชัน ระยะทางอันยาวไกล ยิ่งเดินยิ่งมองไม่เห็นวี่แววว่าจะถึงสักที ผ่านไปเกือบชั่วโมง พอจะมองเห็นพื้นด้านล่าง เป็นไร่ของชาวบ้าน

จนถึงลำธาร ข้ามลำธารเดินออกมา ผ่านไร่ชาวบ้าน เราเดินมาถึงจุดที่รถมารอรับ 17.00 น. ตรงนี้คือบ้านแม่ลาก๊ะ อำเภอขุนยวม และเมื่อลงจากเขามองย้อนกลับขึ้นไป เห็นยอดหมื่อก่าโด่

อำลากันเพียงเท่านี้ ขุนเขาวัดใจ ไต่ระห่ำ คว่ำทุกช็อต บินสไลเดอร์บ๊ายบายคร้าบคุณป้า ยินดีที่ได้รู้จัก

นั่งรถ 4x4 กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด กินข้าวเย็น ค้างคืนกันที่หมู่บ้านแม่ลาก๊ะ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับไปที่จุดตรวจปางอุ๋ง แล้วเดินทางกลับ กทม.

ขอบคุณผู้ร่วมทาง :

ทริปนี้เดินป่าไม่หนัก ปีนป่ายสนุก เหมาะสำหรับคนที่ชอบความสูง วิวสองข้างทางสวยตลอด

1. สามารถเดินได้ทั้งสองทาง คือขึ้นทางพะติโด่ ลงทางหมื่อก่าโด่ หรือขึ้นหมื่อก่าโด่ ลงพะติโด่
2. มีแหล่งน้ำด้านบน
3. มีทากอยู่บ้างในระดับค่อนข้างน้อย
4. คนจะมาเดินที่นี่ควรมีประสบการณ์มาบ้าง ไม่เหมาะกับมือใหม่สดๆ ซิงๆ และไม่เหมาะกับคนมีโรคประจำตัว คนกลัวความสูง

เบอร์ติดต่อสำหรับจองขึ้นพะติโด่ หมื่อก่าโด่ :

พี่ชาตรี 099-7964782

ค่าใช้จ่ายในการเดินศึกษาเส้นทางธรรมชาติ :

1. ค่าคนนำทาง 600 บาท/กลุ่ม/วัน

2. ค่าลูกหาบ 500 บาท/คน/วัน

3. ค่ารถรับ-ส่ง ไปยังปากทางขึ้นเขา 1000 บาท/เที่ยว/คัน

โปรแกรมการเดินขึ้นดอย 3 วัน 2 คืน :-

วันแรก : เดินขึ้นแคมป์ไม่ไกลนัก ใช้เวลา ไม่เกิน ชั่วโมงครึ่ง เราเริ่มออกเดินเท้าเวลา 16.00 น. – 17.30 น.

วันที่สอง : ขึ้นดอยพะติโด่ 06.00 – 09.30 น. จากดอยพิโด่ ไปต่อที่หมื่อก่าโด่ 11.00 – 17.00 น.


หลังจากพิชิตทั้งสองยอดดอยในเวลา 1 วัน แล้ว ต้องยอมรับว่าสวยจริงๆ มุมมองบนยอดเขาทั้งยามเย็นและยามเช้าสวยสะใจ แต่ทางเดินแม่งก็โคตรมัน ชันแล้ว ชันอีก ขึ้นเขาสุด และลงมิดเขา กับภูเขาประมาณ 3 ลูก เหนื่อยชิหายเลยทีเดียว รวมระยะทาง 17 กิโลเมตร


ทริปนี้ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดี เพราะรถเสียคร้าบ ทำให้เราต้องเสียเวลาในการรอซ่อมรถ แต่มันก็ทำให้เราได้แวะเที่ยว ถ่ายรูป ระหว่างทาง ได้ประทับตราอุทยานเพิ่มอีก 1 ที่ แต่เราไม่ได้โกงนะ เพราะเราเข้าไปเที่ยวเก็บภาพบรรยากาศมาจริง "อุทยานแห่งชาติออบหลวง"


คือรถเสียนะเฟ้ย ... ทำไมหน้าตาแต่ละคนระรื่น ไม่มีเศร้าเลย แอ๊คท่าถ่ายรูปกันวนไป ... หุหุหุ

สะสมตราประทับอุทยานเพิ่มอีก 1 ที่ (มันคือความโชคร้ายที่รถเสียชิมิ) ค่าเข้าอุทยานคนละ 20 บาท



การพาตัวเองไปในสถานที่ที่ไม่เคยไป มักสร้างการเรียนรู้ครั้งใหม่เสมอ

ขอบคุณการเดินทางที่ให้ประสบการณ์หลายอย่าง ... และยังรู้สึกว่า ...

ทุกครั้งที่ออกเดินทางก้อมักได้อะไรกลับมาเสมอ และไม่เอาอะไรกลับมานอกจากภาพถ่าย

ขอบคุณการเดินทางที่ทำให้ผมได้พบเพื่อนใหม่. . . ที่ร่วมผจญภัยทรหดอดทนไปด้วยกัน


Next Station is . . .




เ ที่ ย ว ใ ห้ ค น อิ จ ฉ า

 วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 19.38 น.

ความคิดเห็น