พม่าเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติมายาวนาน เป็นประเทศที่มีความรุ่งเรืองทางด้านพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก พุทธศาสนิกชนที่นี่จึงเปี่ยมล้นไปด้วยพลังศรัทธาที่สืบต่อกันมา แต่ปัจจุบันพม่าเริ่มเปิดประเทศมากขึ้น ทำให้ความเจริญต่าง ๆ เข้ามามากมาย มุมมองเก่า ๆ ของพม่าเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเยอะ พาหนะในการสัญจร ที่มีตั้งแต่วัวเทียมเกวียน รถม้า เดี๋ยวนี้เริ่มมีรถยนต์หรู ๆ รถบัสคันใหญ่ ๆ เข้ามาวิ่งขวักไขว่แทนที่ ถ้าคุณยังอยากเห็นวัฒนธรรมดี ๆ ที่พอหลงเหลืออยู่บ้าง ให้รีบเยือนพม่าซะก่อน ก่อนที่ความเจริญแบบทุนนิยมจะเข้ามาแทนที่ นี่คือเหตุผลหลักที่ผมอยากจะมาสัมผัสความเป็น “พม่า" ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป

Myanmar Now or Never # 1 : Bago , Bagan

https://th.readme.me/p/1356

Myanmar Now or Never # 2 : Mandalay

https://th.readme.me/p/1357


เช้าวันที่ 7 ผมออกเดินทางแต่เช้าเพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบินมัณฑะเลย์ สนามบินอยู่ห่างจากตัวเมืองราว ๆ 1 ชั่วโมงครับ ไฟล์ทนี้ผมบินกับ Air Bagan อีกครั้ง หลังจากโหลดกระเป๋า รับแจกสติ๊กเกอร์ติดที่หน้าอกเพื่อแบ่งแยกสายการบินแล้ว ก็มารอเตรียมปล่อยตัวให้ขึ้นเครื่องครับ การขึ้นเครื่องของที่นี่ก็ยังเหมือนเดิม เลือกนั่งตามใจฉัน

ผมใช้เวลาบินประมาณ 20 นาที แอร์ฯ ยังไม่ทันแจกน้ำ แจกแต่ลูกอม ลูกอมยังไม่ทันละลายหมด ก็ถึงสนามบิน Heho แล้วครับ

สนามบินนี้แหล่ะครับ ที่ Air Bagan ตก และช่วงเวลาที่ตก คือเวลาเดียวกับไฟล์ทผมด้วยแหล่ะ อิอิ

เครื่องบินส่งเราเทียบประตูเข้าอาคารผู้โดยสารเลยครับ สนามบิน Heho เป็นสนามบินเล็ก ๆ เรียกได้ว่าเล็กที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยก็ว่าได้ เมื่อเข้ามาถึงอาคารผู้โดยสารแล้ว ก็มายืนรอกระเป๋ากันตรงนี้เลย เจ้าหน้าที่จะเอากระเป๋าผู้โดยสารใส่รถเข็นแล้วเอามากอง ๆ ให้ผู้โดยสารเลือกกระเป๋ากันเอง ดูวุ่นวายแต่ก็เรียบง่ายดีเหมือนกันครับ หลังจากได้กระเป๋าแล้วต้องมีการตรวจ Passport อีกต่างหาก ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะตรวจทำไม เพราะไม่เห็นมีการลงประทับใน Passport เลย

จากสนามบินเรานั่งรถต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เข้าเขตท่าเรือเมืองยองชเว (Nyaung Shwe) ครับ เราต้องเสียค่าเหยียบแผ่นดินที่ทางเข้าคนละ 5 USD และเสียค่าเหมาเรือ 30,000 จ๊าด/วัน/4 คน สำหรับเรือเป็นเรือหางยาว มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีเก้าอี้ที่ปรับเอนตามองศาการนั่งที่สบายให้พร้อม มีผ้าห่ม ร่ม และเสื้อชูชีพสำหรับทุกที่นั่งครับ

ทะเลสาบอินเล (Inle Lake) อยู่ใจกลางรัฐฉาน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของพม่า ห่างจาก Heho ประมาณ 35 กิโลเมตร ทะเลสาบอินเลมีเนื้อที่ประมาณ 116 ตารางกิโลเมตร พื้นที่จะเปลี่ยนแปลงน้อยลงช่วงฤดูแล้ง เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของพม่ารองจากทะเลสาบอินดอจี ในรัฐคะฉิ่น ทางเหนือสุดของประเทศ ทะเลสาบแห่งนี้ได้รับการรับรองให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะเป็นมรดกทางธรรมชาติที่เก่าแก่ของพม่าด้วย ในฤดูแล้งน้ำจะสูงประมาณ 2 เมตร แต่ถ้าเป็นฤดูฝน น้ำจะสูงประมาณ 3.5 เมตรครับ

ตลอดสองฝั่งที่เรานั่งเรือมา จะเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ นั่งเรือออกมาได้สัก 10 นาที ก็จะมาถึงปากอ่าวที่จะเข้าสู่ทะเลสาบอินเลครับ ผมเห็นชาวอินทาซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของที่นี่ออกมาหาปลาด้วยอุปกรณ์พื้นบ้าน ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของที่นี่เลยก็ว่าได้ เมื่อชาวอินทาเห็นเรือนักท่องเที่ยว ก็จะพยายามโพสท่าคู่กับสุ่มหาปลา ให้นักท่องเที่ยวได้เห็นเหมือนเป็นการต้อนรับพวกเราเข้าสู่เขตอินเลครับ

น้ำที่นี่ค่อนข้างใส มองเห็นสาหร่ายใต้น้ำได้อย่างชัดเจน

จากปากอ่าว ผมนั่งเรือต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง เรือก็พาผมมาเทียบท่าของโรงแรม Golden Island Cottages Hotel

ยังไม่ทันก้าวเท้าลงจากเรือ เหล่าบรรดาพนักงานในโรงแรมก็วิ่งกระหือรือมาที่ท่าเรือ พร้อมกับกลองยาวชุดใหญ่ มายืนตีกลองต้อนรับพวกเราขึ้นจากเรือ ก็เป็นอีก 1 วิธีที่ทำให้แขกประทับใจครับ

ผมจัดแจงเอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องพักให้เรียบร้อย ภายในห้องพักก็ถือว่าไม่ได้หรูหรามากมาย ห้องผมนอน 3 คน เลยเสริมเตียงครับ

ภายในห้องน้ำครับ

แต่ที่ผมประทับใจที่สุดคือบรรยากาศของที่นี่ครับ เรียกได้ว่าเปิดประตูห้องพักออกมาก็มองเห็นวิวทะเลสาบอินเลแบบเต็ม ๆ สนนราคาห้องพักอยู่ที่ 100 USD ครับ

หน้าห้อง มีเก้าอี้ให้นั่งกินลมชมวิวด้วยครับ

หลังจากเก็บกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาอาหารกลางวัน พวกเรารีบตุนเสบียงให้เรียบร้อยเพื่อจะออกเดินทางเที่ยวชมวิถีชีวิตของชาวอินทากันครับ

ทะเลสาบอินเลเป็นแอ่งรวมน้ำขนาดใหญ่ ที่เกิดจากการไหลของน้ำจากเทือกเขาต่างๆ ที่เรียงรายอยู่รอบทิศ ด้วยพื้นที่กว้างใหญ่ จึงเกิดความมหัศจรรย์แห่งวิถีชีวิตขึ้น คือบ้านเมืองกลางน้ำ เป็นชุมชนใหญ่นับรวมพื้นที่ทั้งในน้ำและชายขอบทะเลสาบ มีหมู่บ้านเกิดขึ้นถึง 17 หมู่บ้าน ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทั้งประมง เพาะปลูก ทอผ้า ตีเหล็ก มวนบุหรี่ และอีกส่วนหนึ่งก็มีรายได้จากการบริการท่องเที่ยวครับ

แปลกใจใช่ไหมครับ ทั้ง ๆ ที่พื้นที่ทั้งหมดเป็นน้ำ แต่ทำไมเขาถึงปลูกผักได้กลางน้ำ ชาวอินทารู้จักนำเอาธรรมชาติรอบตัวมาใช้เป็นประโยชน์อย่างอย่างสูงสุด โดยเขาจะตัดเอาหญ้าวัชพืชที่ขึ้นอยู่บนพื้นดินตามชายขอบของทะเลสาบมาผูกเป็นแพยาวราว 10 เมตร แล้วลากมายังทะเลสาบในทำเลที่เหมาะ จากนั้นจะใช้ไม้ไผ่ลำยาวๆเสียบแพทะลุลงไปในดินใต้ผืนน้ำ เพื่อที่จะยึดแพหญ้าเหล่านี้ให้อยู่กับที่ จากนั้นก็โกยเอาโคลนเลน สาหร่ายจากใต้น้ำที่อุดมไปด้วยสารอินทรีย์ขึ้นมาโปะไว้บนแพให้มีความหนาพอสมควร แล้วจึงปลูกพืชให้เติบโตในแพลอยน้ำนี้ พืชส่วนใหญ่ที่ผมเห็นคือมะเขือเทศครับ ที่นี่ถือเป็นแหล่งปลูกมะเขือเทศที่สำคัญของพม่าเลยครับ

ผมนั่งเรือไปเรื่อย ๆ เลียบเลาะไปในแปลงมะเขือเทศของชาวอิทา แล้วมาโผล่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง สภาพบ้านเป็นบ้านไม้ บางหลังมีขนาดใหญ่ สูงถึง 3 ชั้นยังมีเลยครับ เรียกว่าเขามีภูมิปัญญาในการสร้างบ้านจริง ๆ

ผ่านวัด

ผมนั่งเรือต่อไปเรื่อย ๆ จนคนเรือพามาจอดอยู่ที่ริมตลิ่ง จากท่าเรือเราต้องเดินเท้าผ่านหมู่บ้านอินเต่ง ตลาด โรงเรียน ระยะทางไกลพอสมควรครับ แต่สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบข้างเราทำให้ไม่รู้สึกว่ามันไกลเลย

เจ้าหนูคนนี้ดูท่าทางเอาเรื่องเลยทีเดียวครับ

แม่ค้าถั่วกระจกตัวน้อย ๆ เรียกให้พวกเราอุดหนุนซื้อถั่วของเธอ

วิถีชีวิตริมน้ำ ทั้งอาบน้ำ ทั้งซักผ้า ซักเสร็จก็ตากผ้ากันตรงนี้เลยครับ

แล้วเราก็มาถึงจุดหมายแรกของวันนี้ คือวัดอินเต่ง (Shwe Inn Dain Pagoda) ครับ

ลักษณะของวัดอินเต่งเหมือนเป็นทุ่งเจดีย์ที่เก่าแก่ประมาณ 2,000 องค์ บางองค์เก่าแก่มาก สามารถสืบประวัติไปถึงสมัยพระเจ้าอโนรธาทีเดียวครับ

ภายในเจดีย์บางองค์ มีพระพุทธรูปและจิตกรรมฝาผนังด้วยครับ

พระประธานภายในวิหารครับ

บริเวณภายในวิหารของวัดอินเต่ง จะเป็นเจดีย์ที่ได้รับการบูรณะซึ่งแตกต่างจากรอบ ๆ วิหารที่จะปล่อยให้เก่าแก่ลงตามกาลเวลา ในส่วนของเจดีย์ใหม่ ผมแอบเห็นชื่อของคนไทยมาร่วมบูรณะวัดนี้ด้วยครับ

บริเวณทางเข้าวัดมีสินค้าจากชาวบ้านมาตั้งร้านขายมากมาย พ่อค้าแม่ค้าที่นี่จะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรงสักเท่าไร เวลาที่เราสอบถามราคา เขาจะนำกระดาษที่พิมพ์ตัวเลขไว้เยอะแยะมากมาย แล้วมาเลือกชี้ราคาที่เขาต้องการขายให้เราดู หากเราต้องการให้เขาลดราคาตามที่เราต้องการ เราก็ชี้ตัวเลขที่เราต้องการให้เขาดูครับ

เราปิดโปรแกรมของวันนี้ที่วัดอินเต่งครับ แต่ยังมีกิจกรรมอีกอย่างที่เรารอคอย คือการนั่งเรือตะเวนหาภาพชาวอินทาหาปลาด้วยสุ่มยักษ์ ที่ผมถือว่าเป็นพระเอกของทะเลสาบอินเลเลยก็ว่าได้ คนขับเรือพาเราตะเวนหาอยู่นาน แต่ก็ไม่เจอ

คนขับเรือพยายามอธิบายว่า การที่จะใช้สุ่มหาปลานั้นจะต้องไปในจุดที่เป็นน้ำตื้น แต่ตอนนี้เราอยู่ในเขตน้ำลึก จึงไม่สามารถเห็นการจับปลาโดยสุ่มได้

แต่จะเห็นการจับปลาแบบลงแหแทนครับ เมื่อลงแหเรียบร้อยแล้ว เขาจะทำการตีน้ำเพื่อไล่ปลาให้ไปติดกับแหครับ

สำหรับการพายเรือของชาวอินทา ถือเป็นลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว ไม่เหมือนที่ใด ๆ ในโลก เพราะเขาจะยืนใช้ขาและเท้าในการพายเรือครับ ที่เขาต้องยืนเพราะ ต้องสังเกตสภาพแวดล้อมจากมุมสูงและใช้สองมือจัดการกับอุปกรณ์การประมงรอบตัวได้โดยไม่เสียการบังคับ ดูแล้วไม่แตกต่างจากการเต้นบัลเล่ต์เลยครับ

ผมมารอเก็บแสงสุดท้ายบนที่พัก พระอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลง และตกหลังทิวเขาที่อยู่เบื้องหน้าผม

แสงค่อย ๆ หมดไปเรื่อย ๆ ช่วงเวลาที่ใกล้หมดแสงแล้ว ชาวอินทาทยอยกลับบ้าน มีเรือสวนกันขวักไขว่พอสมควร

วันนี้ถือว่าเป็นวันที่มีแสงสุดท้ายสวยอีกวัน

แสงสั่งลา

พรุ่งนี้เช้าผมมีโปรแกรมออกไปตามหาชาวประมงกันแต่เช้าครับ

เช้าของวันที่ 8 กับอากาศเย็น ๆ ถือได้ว่าเย็นที่สุดของทริปนี้แล้ว ผมมีนัดกับคนเรือ เพื่อจะไปตะเวนหาชาวประมงที่ใช้สุ่มหาปลาขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของทะเลสาบอินเลแห่งนี้ครับ

ผมเตรียมตัวพร้อมก่อนถึงเวลานัด เลยเดินหามุมถ่ายภาพด้านหลังรีสอร์ทครับ

เรือค่อย ๆ พาเราล่องออกไปกลางทะเลสาบ ความหนาวเย็นที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลับยิ่งหนาวเย็นเข้าไปอีก เมื่อลมที่พัดผ่านสายน้ำมาปะทะกับผิวของเรา แสงเช้าเริ่มสาดส่องมา ส่งสัญญาณว่าการดำเนินชีวิตของคนที่นี่เริ่มต้นกันอีกครั้ง

ผ่านจุดที่เขาเล่ากันว่า พระพองดออูเคยจมน้ำหายไป แล้วมาเจอที่จุดนี้ครับ

ไม่แน่ใจว่าคืออะไร บ้าน , วัด ? เห็นสร้างกันกลางน้ำเลยครับ

ผมนั่งเรือย้อนกลับไปที่ปากอ่าวอีกครั้ง เพราะบริเวณนั้นเป็นจุดที่มีน้ำตื้น แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ ผมเห็นชาวประมงออกมาหาปลาอยู่จุดนี้อยู่หลายคนเลยทีเดียว

อุปกรณ์สำหรับจับปลาของชาวอินทามีลักษณะเหมือนสุ่มบ้านเรา แต่มันใหญ่กว่าสุ่มบ้านเรามาก ลักษณะเป็นกรวยทรงสูง มีแหติดอยู่ข้างใน สุ่มนี้จะใช้จับปลาในจุดที่มีน้ำตื้น

เขาจะเอาสุ่มกดลงไปในน้ำแล้วเอาฉมวกแหย่ ๆ ลงในน้ำ ให้ปลาว่ายกระทบสุ่ม เขาก็จะรู้ว่ามีปลาติดอยู่ภายใน แล้วก็จะปล่อยแหลงเพื่อจับปลา ถือว่าเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาของคนที่นี่ครับ

วิถีชีวิตจริง ๆ ครับ

ลีลาแต่ละคน สุด ๆ ครับ

แต่ละคนไม่ยอมให้น้อยหน้ากันเลย

ดูซะเพลิน เหมือนตัวเองกำลังอยู่ในโรงละคร แล้วได้ชมการแสดงบัลเล่ต์อยู่เลยครับ มี Dry ice ลอยอยู่เต็มเวทีเลยครับ

เราอยู่จุดนี้ร่วมชั่วโมง เรียกได้ว่าถ่ายรูปกันหนำใจเลยครับ จากนั้นก็เลยมุ่งหน้ากลับที่รีสอร์ท เพื่ออาบน้ำ ตุนเสบียง เพื่อเตรียมล่องเรือชมสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในทะเลสาบอินเลกันต่อครับ

กลับมาถึงรีสอร์ท ขอไปถ่ายด้านหลังรีสอร์ทอีกครั้งช่วงฟ้าเป็นฟ้าอีกสักหน่อยครับ

หลังอาหารเช้า เราออกเดินทางล่องเรือกันต่อ กินลมชมวิวไปเรื่อย สักพักเรือก็พาเรามาจอดที่จุดหมายแรกของวันนี้ที่วัดพองดออู (Paung Daw U)

วัดแห่งนี้เป็นวัดที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวอินทา เพราะมีพระพองดองอู หรือที่รู้จักในนาม พระบัวเข็มห้าองค์ ประดิษฐานอยู่ที่นี่

พระบัวเข็มทั้งห้าองค์ สลักจากไม้จันทร์หอม ชาวอินทางมพระพุทธรูปขึ้นจากน้ำได้ 4 พระองค์ เมื่อสร้างบุษบกเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป กลับแสดงปาฏิหาริย์ มี 5 พระองค์

ด้านข้างของวัดมองเห็นที่จอดเรือการเวกด้วยครับ

เรือการเวกครับ

ทุกออกพรรษาชาวอินทาจะทำการแห่พระพุทธรูปนี้ไปรอบหมู่บ้าน มีครั้งหนึ่งเรือการเวกที่ประดิษฐานพระบัวเข็มได้ล่มลง ชาวอินทาช่วยกันงมมาได้เพียง 4 องค์ แต่พอกลับมาถึงวัด พระพุทธรูปองค์ที่ 5 กลับมาคอยอยู่ที่วัดแล้ว ชาวอินทามีความศรัทธามาก จึงนำทองคำเปลวมาปิดไว้ที่องค์พระพอกหนาจนมองไม่เห็นเป็นรูปองค์พระพุทธรูปเลยครับ

ออกจากวัดพองดออู เราผ่านศูนย์แสดงศิลปะหัตกรรม ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามวัดอะไรสักอย่างผมไม่รู้จักชื่อครับ ด้านหน้าศูนย์จะมีกระเหรี่ยงคอยาวคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ด้วย

ที่ศูนย์แห่งนี้มีสินค้าพื้นเมืองขายแต่ขอบอกว่าราคาค่อนข้างสูงมากครับ เพราะราคานี้ตั้งไว้ขายให้กับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ที่ผมรู้เนื่องจาก ผมไปลองถามราคาผ้าพันคอผืนหนึ่ง เขาบอกราคามา ผมจำราคาที่บอกไม่ได้ แต่จำได้ว่าเป็นหลักหมื่นจ๊าด ผมก็เลยเดินถอยออกไปเพราะบอกราคาแพงจนเราไม่อยากจะต่อราคาเลย เผอิญผมได้เจอกับคนไทยที่สามารถพูดภาษาพม่าได้ กำลังต่อรองราคาผ้าพันคอที่ผมต้องการอยู่พอดี สอบถามเขาถึงรู้มาว่า เขาต่อรองได้ในราคาเพียง 3,000 จ๊าดเองครับ ผมเลยออกอุบายฝากคนนั้นซื้อให้ผม แต่คนขายก็รู้ทัน เขาไม่ยอมให้ราคา 3,000 แต่ยื่นคำขาดที่ 3,500 ผมเลยไม่เอาครับ แต่ท้ายสุดผมก็ไม่ละความพยายาม พอลับตาจากคนขาย ผมก็ฝากให้คนไทยคนนั้นเข้าไปซื้อให้ผมใหม่อีก 3 ผืน ท้ายสุด ผมก็ได้ผ้าพันคอมาในราคาผืนละ 3,000 จ๊าด 5555

ที่ด้านหลังของศูนย์แห่งนี้ มีตลาดนัดชาวบ้านด้วยครับ ในตลาดมีทั้งของที่ระลึก เสื้อผ้า ของกิน ของสดมากมาย ราคาถูกกว่าในศูนย์ที่ผมแวะด้วยครับ ผมเลยได้เสื้อผ้าป่านมาอีก 1 ตัว แต่เทียบราคาแล้ว ราคาแพงกว่าในรีสอร์ทผม 1,000 จ๊าด แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะในรีสอร์ทไม่มีสีที่ผมต้องการครับ

บริเวณด้านหน้าศูนย์ฯ ซึ่งเป็นที่จอดเรือนักท่องเที่ยว ก็จะมีแม่ค้าพายเรือมาขายของให้กับนักท่องเที่ยวครับ

จุดหมายสุดท้ายในทะเลสาบอินเลของผมอยู่ที่วัดงาพีชวอง (Nga Phe Chaung) วัดนี้เป็นที่เลื่อมใสของผู้คนทั่วทั้งทะเลสาบ และมีอายุมากถึง 162 ปี จึงมีงานศิลปะเก่าแก่ที่ชาวทะเลสาบอินเลได้สร้างถวายวัดไว้เป็นจำนวนมาก แต่วันหนึ่งเจ้าอาวาสได้ลองฝึกแมว ซึ่งเป็นสัตว์ที่ฝึกยากมาก ให้มันกระโดดลอดบ่วงได้สำเร็จ วัดนี้จึงมีชื่อเสียงโด่งดังอีกหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับแมวกระโดด จนหนังสือท่องเที่ยวของฝรั่งแทบทุกเล่มต้องเขียนแนะนำให้มาดูด้วยตาของตัวเองหากแวะมาที่ทะเลสาบอินเลครับ แต่ช่วงหลังเหมือนเขาจะไม่มีโชว์แมวกระโดดแล้ว เพราะเจ้าหน้าที่รีสอร์ทที่ผมพักและคนเรือบอกว่า แมวไม่กระโดดแล้วน่ะครับ

หลังจากผิดหวังจากแมวไม่ยอมกระโดดแล้ว เราก็มุ่งหน้ากลับรีสอร์ทเพื่อตุนเสบียงมื้อกลางวัน เก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางกลับสู่ย่างกุ้งครับ เรามาถึงที่สนามบิน Heho ไวกว่าเวลาพอสมควร หลังจากเช็คอิน รับสติ๊กเกอร์แปะหน้าอกเรียบร้อย ก็เลยต้องมานั่งรอที่อาคารผู้โดยสารอยู่นานพอสมควร เพราะภายในสนามบินไม่มีอะไรให้เราทำได้เลยนอกจากการนั่งรอครับ เวลาเครื่องบินไฟล์ทอื่นจะขึ้นที ลมจากใบพัดเครื่องบินก็จะตีฝุ่นตลบไปทั่วทั้งอาคารผู้โดยสารเลย ตลกดีเหมือนกันครับ ไฟล์ทนี้ผมบินกับสายการบิน Air KBZ ใช้เวลาในการบินประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ไฟล์ทนี้นอกจากเสริฟน้ำดื่ม ลูกอมแล้ว ยังแถมด้วยอาหารว่างด้วยครับ เมื่อถึงย่างกุ้ง ก็รีบเข้าที่พักที่ Central Hotel ราคาประมาณ 2,500 บาทครับ คืนนี้ต้องรีบนอนหน่อยเพราะพรุ่งนี้เรามีโปรแกรมกันตั้งแต่เช้ามืดครับ

เช้ามืดวันที่ 9 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของทริปนี้แล้ว เราเปิดโปรแกรมกันที่พระธาตุชเวดากอง (Shwe Dagon Pagoda) ซึ่งเป็นอีก 1 ใน 5 มหาบูชาสถานของพม่า ผมมาที่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกผมมาช่วงเย็นต่อค่ำ แต่ครั้งนี้มาตั้งแต่ตีห้าครับ เมื่อรถจอดก็จัดแจงขึ้นลิฟท์ แล้วมุ่งตรงสู่ลานวัด ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งวัด ผมว่าผมมาเช้าแล้ว แต่ยังช้ากว่าเหล่าพุทธศาสนิกชนของที่นี่ครับ

มหาเจดีย์ชเวดากอง ไม่ได้สร้างจากการผสานทองให้เป็นเนื้อเดียวกัน แต่จะใช้ทองคำแท้ตีเป็นแผ่น ๆ ปิดองค์เจดีย์ไว้รอบองค์ ทอง 1 แผ่น หนักประมาณ 6 บาท ครั้งเมื่อแผ่นทองหมองคล้ำก็จะถอดหมุดแล้วแกะแผ่นทองออกมาขัดล้างปีละครั้ง เป็นประเพณีสืบเนื่องกันมาตลอดมา เมื่อรวมน้ำหนักทองคำทั้งองค์เจดีย์แล้ว มีทองคำโอบหุ้มอยู่เป็นน้ำหนักถึง 1,100 กิโลกรัมเลยครับ และทุก ๆ 5 ปี จะมีการบูรณะใหญ่ 1 ครั้ง โดยจะใช้เหล็กเชื่อมเป็นรูปตะแกรงคล้ายกับการก่ออิฐ นำมายึดกับผนังของเจดีย์โดยรอบ แล้วเอาแผ่นทองเหลืองยึดติดกับโครงตะแกรงเหล็กก่อน จากนั้นจะนำแผ่นทองคำที่ตีเป็นแผ่นมายึดติดด้วยหมุดยึด ซึ่งหมุดยึดก็เป็นทองคำด้วยเช่นกัน สุดยอดจริง ๆ สำหรับด้านบนสุดของยอดเจดีย์จะมีสุวรรณฉัตร มีการเปลี่ยนฉัตรมาแล้วถึง 3 ครั้ง บนสุวรรณฉัตรจะมีทั้งแหวนเพชร สร้อยทองเครื่องประดับอัญมณีนานาชนิดซึ่งมาจากแรงศรัทธาสูงส่งของชาวพม่าที่ ได้ถวายให้แก่องค์มหาเจดีย์ชเวดากอง เชื่อกันว่าเจดีย์แห่งนี้เป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้นครับ

นั่งรอจนฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีครับ

ค่อย ๆ สว่างขึ้นเรื่อย ๆ

ย้อนแสงสักรูปครับ

วิหารต่าง ๆ ด้านในเจดีย์ชเวดากองครับ

วิหารต่าง ๆ ด้านในเจดีย์ชเวดากองครับ

ฟ้าเป็นฟ้า กับชเวดากองครับ

ด้านหน้าชเวดากอง มีสิงห์คู่ตัวใหญ่มาก ๆ ครับ

จุดหมายที่ 2 ของผมอยู่ที่ วัดพระเขี้ยวแก้ว (Tooth relic Temple) สร้างขึ้นจากสถาปัตยกรรมโบราณพุกาม เจดีย์แห่งนี้เป็นเจดีย์ทรงปราสาทแปดเหลี่ยม ยอดบนประดับด้วยทองคำแท้ครับ

ณ เวลานี้ผมอยู่ด้านนอกนานไม่ได้ เพราะร้อนเท้ามาก ๆ แถมมีเณรมาเดินตามเพื่อจะให้เราทำบุญอยู่ตลอดเวลาเลยครับ ก็เลยรีบก้าวเข้ามาในองค์เจดีย์

ด้านในเจดีย์ตรงกลางจะพบบุษบกสีทองงามสง่า ภายในบุษบกจะเป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วจำลองที่ได้มาจากอาณาจักรน่านเจ้า และที่รอบ ๆ ของบุษบกก็จะมีพระพุทธรูปประจำวันเกิด องค์ทองอร่าม ตั้งเรียงรายให้พุทธศาสนิกชนได้เข้ามากราบไหว้ขอพรกันครับ

จุดหมายที่ 3 ของผมอยู่ที่เจดีย์กะบาเอ (World Peace Pagoda) เจดีย์แห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุของพระโมคลา และพระสารีบุตร เจดีย์ทรงกลมมีความสูงและมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางวัดได้เท่ากัน คือ 34 เมตร ภายในจำลองเป็นมหาปาสณคูหาหรือถ้ำสัตตบรรคูหา ตามแบบในกรุงราชคฤห์

นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระมหามัยมุนีองค์จำลองครับ ครั้งแรกที่ผมมาที่นี่ ผมก็รู้สึกตื่นเต้นกับองค์พระมหามัยมุนีองค์จำลองนี้ แต่พอได้มาเห็นของจริงที่มัณฑะเลย์แล้ว เลยรู้สึกเฉย ๆ กับองค์จำลองนี้ไปเลยครับ วัดในย่างกุ้งแทบทุกวันจะเสียค่ากล้องด้วยนะครับ

จุดหมายที่ 4 ของผมคือ อุโมงค์มหาพาสนะ (Mahapasana Cave) ทางเข้าอุโมงค์ถูกประดับประดาไปด้วยแผ่นหยก (แท้) อุโมงค์แห่งนี้ใช้เป็นสถานที่ชำระพระไตรปิฎกครั้งที่ 6 และล่าสุดใช้เป็นสถานที่ในการประชุมสงฆ์โลกเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2547 ด้วย

วันนี้ดูเหมือนเขาจะมีงานอะไรสักอย่าง เพราะผมเห็นมีโต๊ะและหนังสือพระธรรมตั้งอยู่ทุกโต๊ะเลยครับ ผิดกับครั้งก่อนที่เข้ามาแล้วมองเห็นเป็นพื้นที่โล่ง ไม่มีโต๊ะตั้งแบบนี้ รอบ ๆ มีเหมือนกับอัฒจรรย์สำหรับดูกีฬาครับ

จุดหมายที่ 5 ของผมคือวัดบารมี เพื่อมาสักการะพระเกศาของพระพุทธเจ้าที่เชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่จริง วัดนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นที่เก็บองค์พระบรมสารีริกธาตุไว้มากที่สุดด้วย ไม่ว่าจะเป็นของพระโมคาลา พระสารีบุตร และพระอรหันต์ต่าง ๆ ท่านเจ้าอาวาสจะเป็นผู้ประกอบพิธีให้พวกเราได้เห็นว่า พระเกศาธาตุยังมีชีวิตอยู่จริง หลังเสร็จพิธี ท่านได้มอบพระธาตุให้พวกเราได้ไปบูชาด้วย ที่วัดแห่งนี้อดีตนายกอภิสิทธิ์ก็เคยแวะมาสักการะพระเกศาธาตุด้วยเช่นกันครับ แต่แปลกนะครับที่วัดนี้เป็นที่รู้จักของคนไทยซะมากกว่า แต่คนพม่าไม่ค่อยรู้จัก ขนาดคนขับรถตู้ผม เขายังไม่รู้จักเลย ผมก็อธิบายคนขับไม่ถูกว่าวัดนี้อยู่ตรงไหน โชคดีที่ไปเจอไกด์พม่าที่นำคณะคนไทยมาเที่ยวที่วัดพระเขี้ยวแก้ว ผมเลยเข้าไปถามเขา ไกด์เลยเขียนชื่อเป็นภาษาพม่าเพื่อให้ผมเอาไปให้คนขับรถดู คนขับก็ไม่รู้จักอยู่ดี ต้องถามคนละแวกนั้นไปตลอดทางเหมือนกันครับ

จุดหมายที่ 6 ของผมคือพระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี (Kyauk Htatgyi Buddha) หรือที่คนไทยรู้จักในนาม พระตาหวานครับ

พระตาหวาน ได้รับการขนานนามว่าเป็นพระนอนปางพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ที่มีความสวยงามที่สุดของพม่า มีความยาวกว่า 70 เมตร จีวรเป็นลายปูนปั้น แต่ดูมีความพริ้วไหวสมจริงมาก อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนพระนอนของไทยคือ ปลายสุดพระบาท พระนอนของไทยจะเป็นการวางพระบาทซ้อนกันเป็นแนวตั้งต่อกัน แต่พระนอนของพม่าจะวางลดหลั่นกัน คือพระบาทที่อยู่ด้านล่างสุดจะค่อนข้างขนานไปกับพื้น ส่วนพระบาทอีกข้างจะตั้งวางทับพระบาทอีกข้าง

ใต้พระบาทจะมีภาพวาดลายลักษณธรรมจักร บริเวณใจกลางฝ่าพระบาทและล้อมด้วยรูปมงคล 108 ประการ

สำหรับความหวานของตา ผมการันตีเลยครับ ผมมองไม่เบื่อเลยจริง ๆ ในดวงตามีแววตาเหมือนมีชีวิตมากเลยครับ

มองเห็นเงาสะท้อนข้างในแววตาด้วย นับถือคนสร้างเลยจริง ๆ ครับ

ยอมรับเลยว่าช่าง ใส่ใจในรายละเอียดมากครับ ขนาดขนตายังงอนเลยครับ

จุดหมายที่ 7 ของผมอยู่ที่เจดีย์โบดาทาวน์ เจดีย์แห่งนี้สร้างโดยทหารพันนาย เพื่อบรรจุพระบรมธาตุที่พระสงฆ์อินเดีย 8 รูปได้มาเมื่อ 2,000 ปีก่อน เจดีย์แห่งนี้เคยถูกระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ากลางองค์ จึงพบโกศทองคำบรรจุพระเกศาธาตุและพระบรมธาตุอีก 2 องค์ และพบพระพุทธรูปทอง เงิน สำริด 700 องค์ และจารึกดินเผาภาษาบาลีและตัวหนังสือพราหมณ์อินเดียทางใต้ต้นแบบภาษาพม่า

ภายในวัดมีสถานที่สำคัญอยู่ 3 จุด จุดแรกผมเลือกไปไหว้นัตโบโบยี หรือ เทพทันใจ ซึ่งชาวมอญและพม่านิยมมากราบไหว้บูชา ด้วยเชื่อว่าอธิษฐานขอสิ่งใดแล้วจะสมปรารถนาทันใจ

จุดที่สองคือใจกลางเจดีย์โบดาทาวน์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระเกศาธาตุที่บรรจุในมณฑปครอบแก้วใส

ด้านในองค์เจดีย์ถูกลงรักปิดทองอย่างสวยงาม ดูแล้วอร่ามตามาก ๆ

บางมุมก็จะมีชาวบ้านมานั่งภาวนา มีพระและแม่ชีมานั่งสมาธิ เพิ่มความขลังให้กับองค์เจดีย์เป็นอย่างมากเลยครับ

และจุดสุดท้ายคือพระพุทธรูปทองคำ ซึ่งเป็นพุทธรูปปางมารวิชัยที่งดงามมาก ตามประวัติว่าเคยประดิษฐานอยู่ในพระราชวังมัณฑะเลย์ เมื่อพม่าตกเป็นอาณานิคมอังกฤษก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังพิพิธภัณฑ์กัลกัตตาใน อินเดีย ทำให้รอดพ้นจากระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถล่มวังมัณฑะเลย์ ต่อมาพระพุทธรูปองค์นี้ถูกจัดไปแสดงที่พิพิธภัณฑ์วิกตอเรียและแอลเบิร์ต และท้ายสุดก็นำกลับมาประดิษฐานอยู่ที่นี่ครับ

ผมมาปิดท้ายโปรแกรมของทริปพม่ากันที่ตลาดสก๊อต ตะเวนละลายเงินจ๊าดกันสักหน่อยครับ เลยได้ทานาคาที่ทำสำเร็จรูปบรรจุตลับมาแล้ว 3 ตลับ และได้ลองยี หรือโสร่ง ราคาก็ตามคุณภาพของผ้า ผมซื้อมาผืนละ 3,000 จ๊าด ก็ถือว่าเนื้อผ้าดีทีเดียวครับ หลังละลายเงินจ๊าดกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าสู่สนามบินย่างกุ้ง เพื่อบินกลับเมืองไทย.. ตาตา..เมียนมาร์

ปัจจุบันแอร์เอเชียเปิดเส้นทางบินใหม่ กทม.-มัณฑะเลย์ขึ้น ทำให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการวางแผนท่องเที่ยวพม่าได้ดีขึ้น หากวางแผนดี ๆ สามารถบินลงที่มัณฑะเลย์ก่อน แล้วเที่ยวไปเรื่อย ๆ แล้วมาปิดท้ายทริปที่ย่างกุ้ง แล้วบินกลับ กทม. ก็จะทำให้ทุ่นค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าเครื่องบินภายในประเทศของพม่าได้ 1 เที่ยวบินครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 18.29 น.

ความคิดเห็น