...เช้ามืดของวันที่ 19 ธ.ค ที่ผ่านมาต้องตื่นขึ้นเพราะความเย็นที่แทรกซึมทะลุผ้าห่มผืนบางเข้าไปกระทบผิวกาย ทำไมเช้านี้มันเย็นจนรู้สึกได้ขนาดนี้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแอปอุณหภูมิ กทม.เช้าวันนั้นปรากฎว่าอยู่ที่ 17 องศา ว่าจะนอนต่อ แต่นอนไม่หลับคิดไปคิดมาอากาศแบบนี้ ถ้าได้ขับรถเล่นออกไปสูดอากาศเย็นๆคงดีไม่น้อย ว่าแล้วก็จัดแจงถีบตัวเองลุกจากที่นอน กริ๊งกร๊างไปบอกแม่กับน้องสาวว่าเดี๋ยวไปรับพาขับรถเล่นออกนอกเมืองไปเรื่อยๆ...ขณะขับรถออกจากกทมวิ่งขึ้นไปทางเหนือ ใกล้ถึงทางแยกเข้าอยุธยา กำลังสองจิตสองใจว่าจะไปไหนดี ได้ยินเสียงเพลงเนื้อหาเกี่ยวกับดอกไม้ นึกขึ้นได้เลยตัดสินใจว่าอากาศหนาวๆแบบนี้ไปดูทุ่งดอกไม้ดีกว่า อย่ากระนั้นเลยมุ่งหน้าขึ้นไปทางสระบุรีแล้วเลี้ยวขวาตัดเข้าเส้นมิตรภาพขึ้นไปโคราชจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไร่จิมทอมสันฟาร์ม

การเดินทางทุกครั้งผมมักใช้บริการของ googlemap ถึงแม้มันจะพาไปถูกบ้างผิดบ้างก็ตาม และครั้งนี้มันก็พาผมไปยังเส้นทางที่ไม่ได้ดูเลยว่าผมใช้รถอะไร เลยฟาร์มโชคชัยมาสักพัก มันพาผมกลับรถวิ่งเข้าเส้นวังน้ำเขียวไปทางอ.หนองสาหร่ายแล้วตัดเข้าป่าพอเลี้ยวเข้าไปตามทางที่มันบอกซัก 50 เมตรต้องถอยกลับมาทันทีเพราะเจอสภาพทางที่พื้นผิวถนนแทบจะไม่เหลือ ขับย้อนกลับมาถามแม่ค้าตรงปากทางเข้าอีกที แม่ค้าบอกว่าไปได้ ทางไม่ดีแค่ช่วงแรกเท่านั้น แต่ยิ่งขับลึกเข้าไปเรื่อยๆ เฮ้ย!! ทำไมทางมันยิ่งแย่กว่าเดิม มองซ้ายมองขวามีแต่ป่านานๆมีรถบรรทุกสวนมาสักคัน มองไปข้างหลังมีรถเก๋ง 2-3คันขับตามมาสงสัยคงพึ่ง googlemap เหมือนกัน ทำไงได้เดินหน้ามาแล้วต้องไปต่อยังอุ่นใจว่ามีรถตามมาอยู่ กว่าจะหลุดมาถึงถนนหลักได้เช็คระยะทางประมาณ 13 กิโลที่สภาพถนนขรุขะเป็นหลุม ต้องค่อยๆหยอดมาตลอดทาง แต่รู้ไหมมาทางนี้ดีสำหรับรถกระบะมาก เพราะย่นระยะทางไปได้เยอะ แถมหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดเป็นอย่างมาก ตรงแถวสีคิ้ว ที่ทำให้รถติดยาวเหยียดหลายกิโล กว่าจะผ่านไปได้เสียเวลาไปเป็นชั่วโมง (ขากลับผมใช้เส้นสีคิ้ว)

จิมทอมสันฟาร์มทัวร์ เปิดให้ชมตั้งแต่ 2 ธ.ค 60 - 7 ม.ค 61 เวลา 9:00-17:00 (เหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้วน่ะครับ)

สำหรับราคาบัตรผ่านประตูหน้าฟาร์ม

  • วันธรรมดา : ผู้ใหญ่ 180 เด็ก 130 ผู้สูงอายุ 90 (60 ปีขึ้นไป)
  • วันเสาร์-อาทิตย์ : ผู้ใหญ่ 220 เด็ก 160 ผู้สูงอายุ 90

หากจองล่วงหน้ากับทาง Thaiticket

  • วันธรรมดา : ผู้ใหญ่ 150 เด็ก 100 ผู้สูงอายุ 90 (60 ปีขึ้นไป)
  • วันเสาร์-อาทิตย์ : ผู้ใหญ่ 180 เด็ก 140 ผู้สูงอายุ 90

"เต๋อเติน เวินวัง - พลังแห่งน้ำ" คือคอนเซ็ปของงานภายในปีนี้ เต๋อเติน เวินวัง เป็นภาษาอีสาน หมายถึงพลังเสียงของนํ้าที่ดังสะเทือนกึกก้องอันเกิดจาก “ยักษ์จมูกแดง” ผู้สร้างตำนานแม่นํ้าโขง ดังนั้นการเล่าเรื่องราวในปีนี้จึงมีนํ้าเป็นตัวดำเนินเรื่อง เริ่มตั้งแต่จุดจำหน่ายบัตร ซึ่งเป็นซุ้มไม้ไผ่หน้าบริเวณทางเข้า ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแม่น้ำโขง ซึ่งตำนานแม่น้ำโขงที่คนอีสานในยุคแรกเล่าต่อๆกันมาว่า “แม่นํ้าโขง” เกิดจากยักษ์สะลึคึ ที่มีลักษณะพิเศษคือจมูกสีแดง ถามว่าใหญ่แค่ไหนได้มีการเปรียบเทียบว่าเด็ก สามารถเข้าไปเล่นสะบ้าในรูจมูกได้เป็นร้อยเป็นพันคน ซึ่งในยุคนั้นยักษ์ไม่มีการสวมเสื้อผ้า ทำให้อวัยวะลับ
หรือที่ชาวอีสานเรียกว่า “ของ” ของยักษ์จมูกแดงตัวนี้ห้อยโตงเตงไปมา
ลากทะลวงพื้นดินทั้งหมดเป็นทางยาวจนเกิดเป็นแม่นํ้าโขง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมชาว สปป.ลาวและชาวอีสานของเราเรียกแม่นํ้าแห่งนี้ว่า “แม่นํ้าของ” ส่วนตำนานต้นกำเนิดแม่น้ำโขงเต็มๆที่ทำให้เกิดคอนเซ็ปงานนี้ได้ ไปหาอ่านได้ตาม link นี้ ตำนานยักษ์จมูกแดงผู้สร้างแม่น้ำโขง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าตำนานนี้ผูกเป็นเรื่องราวเกี่ยวพันกับสถานที่ต่างๆของประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย


การเดินทางภายในฟาร์มจะมีรถรับส่งพร้อมไกด์คอยบรรยายไปยังแต่ละจุด ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 5 จุดบนพื้นที่ 600 ไร่ คือ

จุดที่ 1.ทุ่งคอสมอสและแปลงผักปลอดสารพิษ

จุดที่ 2.ลานฟักทองและทุ่งดอกไม้หลากสี

จุดที่ 3.หมู่บ้านอีสาน

จุดที่ 4.หมู่บ้านจิม

จุดที่ 5.ตลาดจิม

บริเวณจุดที่ 1 ทุ่งคอสมอสและแปลงผักปลอดสารพิษ ตรงจุดนี้จะมีโรงอาหารหากหิวก็รองท้องกันได้ ผ่านประตูเข้ามาแล้วอยู่ทางซ้ายมือ ซึ่งจุดนี้อยู่ติดกับแปลงผักปลอดสารพิษ ลองลงไปเดินสำรวจแปลงผักดูเห็นผักแต่ละอย่างดูใหญ่โตกว่าปกติมาก ผมนั่งทานอาหารตรงบริเวณจุดแปลงผักปลอดสารพิษเสร็จเดินไปขึ้นรถที่อยู่หลังจุดจำหน่ายบัตรผ่านประตู เพื่อนั่งรถไปยังจุดที่ 2 ก่อน แล้วทิ้งส่วนทุ่งดอกคอสมอสไว้เก็บตกตอนท้ายอีกที เพราะยังไงรถก็ต้องวนกลับมายังจุดเริ่มต้นอยู่แล้ว





บริเวณจุดที่ 2 เป็นลานฟักทองและทุ่งดอกไม้หลากสี จุดนี้เป็นลานกว้างเรียกว่า ลานจึ่งขึ่งดังแดงและยักษ์สะลึคึ มีวิวภูเขาพญาปราบเป็น background มีลานฟักทอง ซึ่งตกแต่งแล้วมองไปมองมาคล้ายๆวัดจานบินแถวๆปทุมธานี นอกจากนี้ยังเอาโครงเหล็กสีแดงเปรียบเทียบเหมือนเป็นจมูกของยักษ์ในตำนาน แล้วเอาฟักทองไปวางไว้ให้คนเข้าไปถ่ายรูป เปรียบเสมือนดังตำนานที่คนเข้าไปเล่นสะบ้าในรูจมูกยักษ์

ถัดไปเป็นทุ่งดอกดาวกระจาย และมีดอกอะไรไม่รู้ขึ้นแซมประปราย แต่หลักๆจะเป็นดาวกระจาบที่บานสะพรั่งเต็มท้องทุ่ง

สิ่งนี้เขาเรียกว่าไหดักน้ำค้างยักษ์ เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่เอาน้ำจากอากาศมาไว้ทำการเกษตร และยังให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไป
รับชมทุ่ง
ดอกไม้หลากสี วิวทิวทัศน์ของภูเขา
พญาปราบและอ่างเก็บนํ้าลำสำลายในมุมสูงได้ แค่จุดแรกก็ใช้เวลาเดินถ่ายภาพกันเป็นชั่วโมงเลย อากาศเย็นสบาย แม้จะมีแสงแดดแรงแต่ไม่รู้สึกร้อนเลย


เดินมาอีกหน่อยมองเห็นบ้านเรือนไทยแบบอีสาน จุดนี้หากยืนมองบนระเบียงจะเห็นทุ่งดอกไม้บานเต็มท้องทุ่ง มองไปทางไหนก็สวยไปหมด

มีมุมถ่ายรูปสวยอยู่มากมายนับไม่ถ้วนบนบ้านหลังนี้ ซึ่งสถานที่นี้เป็นบ้านของนางคำแก้วในละะครเรื่องนาคี


จุดต่อมาเป็นจุดที่ 3 หมู่บ้านอีสานซึ่งเป็นการบอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของชาวอีสาน และยังได้รวบรวมสถาปัตยกรรมบ้านเรือน ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะวัฒนธรรม อุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ และการละเล่นพื้นบ้านของชาวอีสานมารวมไว้ที่นี้ และยังมีการสาธิตการสาวไหม และต้นกำเนิดของผ้าไหมว่ามาจากอะไร มีขั้นตอนอย่างไรกว่าจะมาเป็นผ้าไหม จุดนี้ยังมีจุดขายอาหารอีกด้วย

ภูมิปัญญาชาวบ้านขั้นตอนในการทำไหมจากต้นน้ำยันปลายน้ำที่ทำให้ผ้าไหมของไทยโด่งดังไปทั่วโลก

จุดที่ 4.หมู่บ้านจิม และจุดที่ 5.ตลาดจิม ผมจำเป็นต้องข้ามไปก่อนเพราะว่าเวลาไม่พอแล้ว ต้องเผื่อเวลาเดินทางกลับอีกอย่างน้อย 3 ชั่วโมงเพื่อไม่ให้ถึงกรุงเทพค่ำเกินไปนัก และอีกอย่างแม่ผมเริ่มเดินไม่ไหวแล้วด้วยไม่อยากทรมานสังขารของท่าน ขอข้ามมาเก็บตกที่ทุ่งดอกคอสมอสอีกนิดหน่อย ผมนั่งรถยาวจากจุดที่ 3 มาลงยังจุดเริ่มต้น แล้วเดินย้อนกลับไปเก็บภาพทุ่งดอกคอสมอส แต่ถ้าใครไม่อยากนั่งรถ จากจุดที่ 5.ตลาดจิมเดินเก็บภาพมาเรื่อยจนจุดเริ่มต้นจะได้หลายมุมมากกว่า

สำหรับการเดินทางน่ะครับ ดูตามแผนที่ในเว็บจิมทอมสันฟาร์ม น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด อย่าเชื่อพวก googlemap ไปหมด อาศัยเป็นไกด์ไลน์ในการเดินทางตามถนนเส้นหลักก็พอ ถนนเส้นรองอาศัยถามทางกับชาวบ้านประกอบการตัดสินใจอีกทีหากไม่มีแผนที่ หากเดินทางท่องเที่ยวในช่วงปีใหม่ขอให้ทำใจไว้ได้เลยครับเรื่องการจราจร และที่ท่องเที่ยวต่างๆจะเต็มไปด้วยผู้คนมากมายจนทำให้ไม่สนุก เป็นไปได้เลือกไปหลังปีใหม่ หรือ ก่อนปีใหม่ จะดีกว่า ขอให้ทุกท่านเดินทางท่องเที่ยวปีใหม่กันอย่างปลอดภุยน่ะครับ รีวิวนี้คงเป็นรีวิวสุดท้ายของปี สวัสดีปีใหม่ครับ


-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ

-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด








สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 06.33 น.

ความคิดเห็น