หนึ่งในสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จในปี 2018 คือ การไปพิชิต " ดอยผ้าห่มปก " อ. ฝาง จ. เชียงใหม่ ที่ถูกจัดอันดับให้เป็นดอยที่สูงเป็นอันดับ 2 ของเมืองไทย ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,285 เมตร และยังมีลานเกางเต๊นท์ที่สูงที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย

ถ้าดูจากระดับความสูงอาจจะรู้สึกว่าเส้นทางนั้นมันจะต้องโหดแน่ๆ แต่ความจริงคือไม่ได้โหดอย่างที่คิด ถ้าให้คะแนนความโหดเต็ม 5 ดาว จากน้อยไปมาก ต้องบอกว่า การพิชิตยอดดอยผ้าห่มปกนั้นระดับความยากแค่ 1 ดาวเอง

และเพื่อเป็นการสนองความฝันที่อยากทำให้สำเร็จส่งท้ายปี 2018 นี้ จึงตัดสินใจเลือกเดือนธันวาคม เป็นฤกษ์งามยามดีในการพิชิตยอดดอยผ้าห่มปก


ศุกร์ ที่ 21 ธ.ค. 2018
ออกเดินทางจากหมอชิต เวลา 18.45 น. มุ่งหน้าสู่ อ. ฝาง ลงที่จุดจอดตลาดโชคธานี ด้วยรถทัวร์ของบริษัท นิววิริยะยานยนต์ทัวร์ เป็นรถ ม.4 ธรรมดา จริงๆ จองรถ VIP 32 รอบ 16.00 น. แต่ด้วยปัญหาอะไรสักอย่างทำให้ถูกเลื่อนมาเป็นรอบ 18.30 น.

ปล.

  • บางคนก็นั่งรถมาลง ตัวเมืองเชียงใหม่ และต่อรถตู้มายัง อ. ฝาง อยากจะบอกว่าราคาต่างกันไม่กี่บาท นั่งรถมาลงฝางเลยสะดวกสุดแล้ว
  • รถทัวร์ที่มาถึง อ. ฝาง มีของ นิววิริยะ และ บขส.

เสาร์ ที่ 22 ธ.ค. 2018

ทางที่ผ่านก็จะผ่าน อ. เชียงดาว ด้วยนะเผื่อใครอยากไปดอยหลวงเชียงดาว จาก กทม. เราใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 14 ชม. ก็มาถึงยังตลาดโชคธานี ใครจะตุนเสบียงตรงนี้เป็นแหล่งวัตถุดิบชั้นดีเลย ใกล้ๆ กันมีห้างโลตัสด้วย แต่ด้วยความที่ลืมคิด

ลงรถปุ๊บก็ติดต่อวินมอเตอร์ไซค์เลย ค่าโดยสารตรงกับที่ศึกษามาก็ไม่รอช้าขึ้นรถทันที ค่าโดยสารคนละ 100 บาท ถ้ามาหลายคน แนะนำนั่งสองแถวจะถูกกว่า ถ้าข้อมูลไม่ผิดก็ 300 บาท

เมื่อมาถึงยังเขต อช. ดอยผ้าห่มปก จะต้องเสียค่าเข้าอุทยานอีกคนละ 50 บาท จากตลาดนั่งมาประมาณ 10 นาทีก็มาถึงยังที่ทำการอุทยานฯ หลังจากนั้นต้องเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานเพื่อรวบรวมสมาชิกให้ได้ 8 คน เพื่อมาแชร์ค่ารถกัน
(ราคาเหมารถนั้น อยู่ที่ราคา 1,800 บาท ต่อ 8 คน ถ้าหารกันก็คนละ 225 บาทเท่านั้น รถส่วนตัวก็สามารถขับขึ้นไปได้ แต่จะมีกฏอยู่ว่ารถประเภทใดที่อนุญาติให้ขึ้น)

เมื่อติดต่อเรียบร้อยเจ้าหน้าที่ก็นัดให้มาเจอกัน ณ ที่ทำการ 13.00 น. แต่เวลานี้พึ่งจะ 9.30 น. เอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะรอนานขนาดนั้น เพราะเจ้าหน้าที่จะต้องเคลียร์คนจากข้างบนลงมาก่อนเพื่อความสะดวกในการใช้เส้นทางเดินรถด้วย

ณ ที่ทำการอุทยานดอยผ้าห่มปกนั้น มี "บ่อน้ำพุร้อนฝาง" ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ เวลาที่เหลือนั้นเราก็ไปเดินถ่ายรูป ต้มไข่ หรือแม้แต่ไปนั่งแช่เท้า ซึ่งมันฟรีจ้าา !! ถ้าใครอยากอาบน้ำที่นั่นก็มีห้องอาบน้ำซึ่งไม่เสียค่าบริการแต่อย่างใด เพราะเป็นของอุทยาน เรียกได้ว่าเวลาที่เหลือระหว่างรอเวลานั้นไม่น่าเบื่อเลย

น้ำพุร้อนนี้เขาจะเปิดเป็นเวลาให้มันพุ่งขึ้นมา

บ่อนี้แช่เท้าได้ฟรีเหมือนกัน

นี่ไข่ที่เราจะเอาไปต้มซื้อมาในราคา 4 ใบ 20 เลยจัดมา 8 ใบเลย รอบแรกต้มแล้วกินไป 1 ใบ มันยังไม่ค่อยสุกดีเท่าไหร่ รอบนี้เลยเอามาต้มรอบ 2

บ่อที่เราจะใช้ต้ม

แขวนกันเยอะเลยก็เลยมัดปมไว้สองปม ตอนแขวนก็ดูแล้วนะว่าผูกไม่เหมือนใครแน่นอน พอเดินกลับมาอีกรอบ หายหมดเลยจ้าาาาาาา เจ็บใจมาก ตอนแรกคิดว่าแค่ 20 บาทคงไม่มีใครขโมยหรอก ปรากฏว่าแม่งหาย แม๊กกี้ที่ซื้อมาอีก 20 บาท พึ่งจะหยอดไปสามหยด (จำฝังใจเลย ใครจะต้มแนะนำนั่งเฝ้าใกล้ๆ นะ)

เวลาที่เหลืออีก 1 ชม. นั้น ก็มานั่งชาร์ตแบตตรงที่ทำการได้แต่ต้องนั่งเฝ้าเองนะ เวลา 12.30 สมาชิกที่จะร่วมแชร์ค่ารถไปกับเราก็พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางขึ้นไปยังลานกางเต๊นท์

ใช้เวลา 1 ชม. รถก็จอดแวะให้เราถ่ายรูประหว่างทาง ณ จุดชมวิว


จากจุดชมวิวขึ้นมาประมาณ 10 กว่านาทีในที่สุดเราก็มาถึงยังลานกางเต๊นท์ หลังจากนี้เราจะต้องไปติดต่อที่ทำการเพื่อชำระค่าเช่าเต๊นท์ และเครื่องนอน

ค่าใช้จ่ายมีดังนี้

- เต๊นท์ 225 บาท/คืน
- ค่าพื้นที่กางเต๊นท์ (สำหรับคนที่เอาเต๊นท์มาเอง) 30 บาท / คน
- ถุงนอน 30 บาท/ คืน
- หมอน 10 บาท/ คืน
- ที่รองนอน 20 บาท/ คืน

โซนนี้คือ โซน A เป็นเต๊นท์ของอุทยาน ใครที่เอามาเองต้องไปโซน B C D E F G H I J K จนถึง Z 555

ร้านค้าร้านเดียวบนลานกางเต๊นท์ มีข้าว ก๋วยเตี๋ยว มาม่า น้ำ ขนมนิดหน่อย หมูกระทะก็มีนะ

ทริปนี้ผมเอาเต๊นท์มาเอง เพราะตอนโทรมาเจ้าหน้าที่บอกเต็ม แต่พอมาถึงเต๊นท์ว่างจ้า งงมาก ??
ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว 399 บาท 555 ก็ไม่ง้ออุทยานกางเองแม่งเลย

และเราก็มาเลือกกางเต๊นท์กันตรงจุดนี้ มีที่ให้เลือกเยอะเลย ชอบตรงไหนก็กางตรงนั้นเลย

หลังจากกางเต๊นท์เสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกสำรวจบรรยากาศรอบๆ

นี่คือเส้นทางที่เราจะเดินไปสู่ยอดดอยในวันพรุ่งนี้

อยากเดินตามคนอื่นไปดูพระอาทิตย์ตกบนยอดเหมือนกัน แต่ไม่ได้เอาเสื้อหนาวติดออกมา ก็เลยขี้เกียจเดินละแค่นี้พอละกัน


บางคนก็เดินไปดูพระอาทิตย์ตกที่ยอดดอย ส่วนผมขอดูพระอาทิตย์ตกแถวๆ เต๊นท์ดีกว่า 555 ระหว่างรอวิวมันก็จะประมาณนี้แหละเวลานี้บ่ายแก่ๆ

และเวลาที่รอคอยก็มาถึง



หลังจากพระอาทิตย์ตกเราก็ไปหาอาหารเย็นกินกันที่ร้านค้าใกล้ๆ ที่ทำการด้วยความโหย เลยจัดข้าวไข่เจียวไป 1 จาน จานละ 50 บาท ของกินที่นี่ก็จะชาตราคาประมาณนึงแต่ไม่แพงมาก

ตรงโต๊ะกินข้าวที่ร้านค้านั้นมองออกไปปรากฏว่าเห็นพระจันทร์สีนวลๆ ช่างสวยงามยิ่งนักเมื่อได้มองผ่านต้นไม้มันได้อารมณ์เหงาๆ ไปอีกแบบเลย

กินข้าวจนเสร็จสิ้น ก็ได้เวลาพักผ่อน เพื่อตื่นแต่เช้าเดินขึ้นไปยังยอดดอย ก่อนเข้าเต๊นท์นั้นเราก็ได้ไปนัดแนะกับกลุ่มที่เหมารถมาด้วยกัน และไปติดต่อไกด์นำทางที่จะพาเราขึ้นไปยังยอดดอย ค่าไกด์ก็ 300 บาท ต่อกลุ่มเท่านั้น

อากาศตอนกลางคืนต้องบอกว่าหนาวมาก ๆ ไม่อยากออกนอกเต๊นท์เลยอยากนอนในถุงนอนนานๆ


อาทิตย์ ที่ 23 ธ.ค. 2018

เวลา 3.30 น. ก็ได้เวลาตื่นไปล้างหน้า แปรงฟัน และไปพบกับพรรคพวกของเรา ณ จุดที่ได้นัดหมายในเวลาตี 4 เพื่อเดินเท้าสู่ยอดดอยผ้าห่มปกที่สูงเป็นอันดับสองของเมืองไทย เป้าหมายของเราคือต้องไปถึงยอดก่อน 7 โมง เพราะพระอาทิตย์จะขึ้น 6.59 น.

แต่ก่อนจะเดินไปจุดนัดรวมพลนั้น ขอแอบถ่ายรูปดาวหน้าเต๊นท์สักหน่อย เป็นครั้งแรกที่ได้ลองถ่ายดาว

เริ่มออกเดินในเวลา 04.00 น. ใช้เวลาเดินมา 1 ชม. 20 นาที ก็มาถึงจุดบังเกอร์ชมวิว เห็นพระจันทร์สวยก็เลยแวะถ่ายรูป บวกพักเหนื่อยนิดหน่อย

เวลา 6.10 น. เราก็มาถึงยังยอดดอยผ้าห่มปก ถ้าใครฟิตๆ ก็จะมาถึงเร็วกว่านี้กลุ่มผมมีคนอายุระดับนึง เขาพักเราก็ต้องพักพร้อมกัน จะทิ้งกันไม่ได้เด็ดขาด เพราะเราคือเพื่อนร่วมทางกัน มิตรภาพของทุกคนเกิดขึ้นจากเรื่องแบบนี้แหละครับ

อากาศยอดดอยต้องบอกว่าหนาวมากกกกกกก อุณหภูมิ 9 องศา เป็นอากาศที่หนาวที่สุดที่เคยเจอในชีวิตเลย เดินไอน้ำออกปากตลอดทางเลยเหมือนอยู่เมืองนอกเลย อากาศวันนี้ค่อนข้างเป็นใจท้องฟ้าเปิด และมีทะลหมอกอยู่ไกลๆ

ตัดภาพมาที่อีกทิศนึงระหว่างที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น ก็มีพระจันทร์ที่กำลังจำลับหายไป

สิ่งที่อยากเห็นที่สุดในการมาทริปนี้ก็คือ การได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า และก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ เพราะ พระอาทิตย์ที่นี่ไม่ได้ขี้อายอย่างที่คนอื่นๆ บอกเลย

หลังจากถ่ายรูปกันเต็มที่แล้ว 7.30 น. ก็เริ่มเดินลงจากยอดดอยกลับสู่ลานกางเต๊นท์

เดินเรื่อย ๆ ลงมาประมาณ 1.30 ชม. ก็มาถึงยังลานกางเต๊นท์ จริงๆ ถ้าไม่พักเลยก็ไม่ถึงชั่วโมงก็ลงมาถึง
ระหว่างกลับเต๊นท์ได้สังเกตว่าไกลๆ ออกไปมีทะเลหมอกด้วย

เวลา 9.00 น. ก็มาถึงยังลานกางเต๊นท์ ใครอยากแวะจิบกาแฟ โอวัลตินร้อนๆ เวลานี้ฟินมากๆ ถึงตอนนี้ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเก็บข้าวของ และมาเจอกัน 9.30 น. เพื่อกลับลงไปยังที่ทำการอุทยานตรง ณ บ่อน้ำพุร้อนฝาง

ใครที่จะกลับเข้าเมืองเชียงใหม่นั้น ตอนลงจากเขาให้บอกคนขับรถว่าให้ไปส่งที่คิวรถตู้ จะได้ไปต้องหารถจาก ที่ทำการออกมาให้เสียเงินอีก

เมื่อมาถึงยังบ่อน้ำพุร้อนฝาง หรือที่ทำการอุทยานดอยผ้าห่มปก ใครที่อยากอาบน้ำก็ที่เดิมเลยเหมือนตอนที่มา

ส่วนการเดินทางกลับ กรุงเทพฯ นั้น ตามแพลนที่วางไว้คือ ไปขึ้นรถตู้แถว ตลาดโชคธานี ใกล้ๆ ที่ลงรถบัสนั่นแหละ เข้าเมืองเชียงใหม่ไปลง ขนส่งช้างเผือก => ต่อรถสองแถวไป อาเขต หรือสถานีขนส่งเชียงใหม่ => ต่อรถทัวร์กลับ กทม.
(ค่ารถตู้ 120-150 บาท ประมาณนี้ ส่วนรถเมล์พัดลม ก็ 80 บาทมั้งนะ)

แต่ด้วยมิตรภาพ และน้ำใจที่เปี่ยมล้นของผู้ร่วมเดินทางของผม พี่เขาชักชวนให้ติดรถกลับไปกับพี่เขา เพราะพี่เขาเช่ารถมาจากสนามบิน และต้องไปขึ้นเครื่องที่ตัวเมืองเชียงใหม่

ก่อนจะกลับเข้าเมืองเชียงใหม่นั้นพี่เขาก็พาไปเที่ยว สวนส้มธนาธร ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนักจาก อช.
และก็ไปจบลงด้วยของกินในเมืองเชียงใหม่ที่ร้านคั่วไก่ไฮบริด ก่อนที่จะไปส่งยัง อาเขต หรือสถานีขนส่งเชียงใหม่ จากฝาง เข้าเมืองเชียงใหม่ก็ประมาณ 3 ชม. ในการเดินทางเผื่อเวลาให้ดี ๆ นะ
(ขอขอบคุณพี่เอ๋ พี่แพะ ด้วยนะครับที่ให้ติดรถมาด้วย)

เดอะแก๊งค์ของผม พี่เอ๋ พี่แพะ พี่ไพฑูรย์ พี่สา พี่ดุล พี่อีกคนจำชื่อไม่ได้ 555


ฉันจะไป : I Will Go

 วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 00.22 น.

ความคิดเห็น